@ 62nd Game – Lazy day in Chiangkhan
รถบัสนำพวกเราทั้งหมด 31 คน วิ่งไปตามทางหลวงหมายเลข 2 แล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนหมายเลข 12 ผ่านอีกด้านของมหาวิทยาลัยขอนแก่น มุ่งหน้าอำเภอชุมแพ ระหว่างทางต้องผ่านทางแยกเข้าไปอำเภอภูเวียง
“พวกมรึงดูไดโนเสาร์” ไอ้บีมตะโกนบอกให้พวกเราดูไดโนเสาร์ตัวโตตั้งอยู่กลางแยกที่จะเลี้ยวไปอำเภอภูเวียง
“ตัวแมร่งโคตรใหญ่” ไอ้ไบร์ทถึงกับอุทาน พวกเราก็เลยหันไปดูไดโนเสาร์ตัวโตของไอ้บีมกับไอ้ไบร์ทกัน
“น่าแวะไปเที่ยวเนอะ” ไอ้เกมส์เปรยขึ้นมา
“จริงๆก็น่าไปนะโว้ย แต่เสียดายที่เราไม่มีเวลา” ผมเองก็อยากไปพิพิพิทธภัณฑ์ไดโนเสาร์ที่อำเภอภูเวียง เพราะเป็นอีกทีที่ควรมาเวลามาขอนแก่น
“เอาไว้วันเที่ยวน่ามาบ้านกรู เดี๋ยวกรูพามาอีกรอบก็ได้” ไอ้เคนเสนอไอเดีย
“เออ มรึงรับปากแล้วนะ” ไอ้เกมส์หันไปย้ำแล้วมันก็เดินไปเกี่ยวก้อยสัญญากับไอ้เคน
Crรูปภาพจาก ทริปพาลูกเที่ยวอำเภอภูเวียง
เลยจากทางแยกรูปปั้นใดโนเสาร์มาไม่นานพวกเราก็มาถึงอำเภอชุมแพ รถบัสเราก็ผ่าเข้าไปกลางอำเภอชุมแพซึ่งเป็นอำเภอใหญ่อำเภอหนึ่ง เพราะอำเภอชุมแพเป็นชุมทางทางทิศตะวันตกของจังหวัดขอนแก่น แล้วรถบัสก็เลี้ยวขวาขึ้นทางหลวงหมายเลข 201 มุ่งหน้าเข้าสู่จังหวัดเลย
พอเลี้ยวมาไม่นาน ผ่านอุทยานแห่งชาติภูกระดึง เป็นอีกทีท่องเที่ยวยอดนิยม แต่เที่ยวนี้เราไม่มีเวลาที่จะปีนขึ้นไป
“หนาวหน้าใครจะมาปีนภูกระดึงกับกรูบ้าง” ไอ้เบสต์ตะโกนถามพวกเรา
“กรูก็อยากนะ แต่ไม่รู้สังขารจะไหวป่าว” ไอ้วินตะโกนคุยกับไอ้เบสต์
“ไหวดิวะ แค่ไอ้บัดมาด้วยมรึงก็มีแรงแล้ว” ไอ้เบสต์ตอบกลับมาทำเอาไอ้วินถึงกับอ้าปากหว่อ
“วี๊ดดดวิ่ววว” เสียงเป่าปากดังไปทั่วรถ
“ครับ ถ้าวินเดินไม่ไหวเดี๋ยวผมแบกวินเองนะครับ” ไอ้บัดผู้ไม่รู้จักคำว่าเขินกล่าวไว้
“เอาไว้หนาวหน้ามาเที่ยวกันอีก” ผมเลยตะโกนบอกพวกมัน
“งั้นหนาวหน้าต้องมีอีกทริปนะไอ้โบ้ท” ไอบิวหันมาบอกพวกเรา
ผ่านอุทยานแห่งชาติภูกระดึงมาไม่นาน รถบัสก็เลี้ยวซ้ายพาเราเข้าสู่อำเภอหนองหิน เพื่อไปจุดหมายเลขในทริปของพวกเรา คุนหมิงเมืองเลย
“ที่แรกที่เราจะไปคือ ภูป่าเปาะ นะ” ผมถือไมค์อธิบายที่ๆเราจะแวะที่แรก
“เดี่ยวเราต้องลงจากรถบัส แล้วใช้บริการรถสาธารณะของที่นี่” ผมอธิบายกับพวกเรา
“รถอะไรวะ ในป่าในเขาแบบนี้ มีรถสาธารณะด้วย” ไอ้บูมถามผม
“มีดิวะ มาอยู่กับชาวบ้านก็ต้องใช้รถชาวบ้านหว่ะ” ไอ้บลูอธิบายแทนผม
“แล้วรถชาวบ้านนั้นมันรถอะไรวะ” ไอ้บาสยังคงสงสัย
“นั่นไงมรึง อีแต๊ก” ไอ้บลูชี้ไปที่รถบริการสาธารณธที่จอดเรียงกันอยู่เพื่อรอรับพวกเรา
“เหยดด” ไอ้บาสถึงกับอุทาน
แล้วรถก็มาถึงจุดแรกที่เราแวะคือ ภูป่าเปาะ พอก้าวลงจากรถ ความเย็นยะเยือกปะทะเข้าหน้าพวกเรา หายใจออกมาเป็นไอน้ำกันหมดทุกคน ดีที่เตรียมเสื้อกันหนาวมากันแล้ว
“หนาวไหม” ไอ้บอสถามผม
“อืมม หนาวอ่ะ” ขนาดผมมีทั้งเสื้อกันหนาวและผ้าพันคอ
“ยืนมือมา” ไอ้บอสบอกผม ผมส่งมือไปไอ้บอสเอามือทั้งสองข้างมาจับมือผมแล้วถูกไปมา ผมมองหน้ามันแล้วก็ยิ้มอย่างสุขใจกับความเอาใจใส่ที่บอสมีให้กับผมเสมอ
รถอีแต๊กของชาวบ้านให้บริการอยู่ ขึ้นได้คันละ 10 คนราคาคนละ 60 บาท เท่านั้นพวกเรานั่งรถอีแต็กมาไม่นานก็ถึงจุดชมวิวแรก ภาพที่อยู่ตรงหน้าเราตอนนี้ก็คือ ฟูจิเมืองเลย เป็นภูเขาที่มีชื่อจริงๆว่าภูหอ มีรูปร่างคล้ายๆกับภูเขาไฟฟูจิที่ปรเทศญี่ปุ่น ตอนนี้ยังไม่สายมากยังมีทะเลหมอกลอยตัวอยู่ด้านล่างแล้วมองเห็นภูหอเป็นยอดทะลุทะเลหมอกขึ้นมา ตรงด้านหน้ามีระเบียงที่ทำไว้ยืนไปบนยอดผาเพื่อให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกัน
ตอนนี้มหกรรมถ่ายรูปแบบรัวๆ ก็เกิดขึ้น ที่หนักที่สุดก็คงเป็นไอ้เบลกับไอ้เคน ช่างถ่ายภาพประจำกลุ่มที่คอยสั่งให้พวกเราขยับซ้ายบ้างขวาบ้าง เพื่อให้รูปออกมาสวยตามประสาคนเล่นกล้อง สุดท้ายก็เป็นรูปหมูทั้ง 31 คน ที่ไอ้เบลกับไอ้เคนใช้ขาตั้งกล้องแล้วตั้งเวลาให้กล้องทำงานอัตโนมัติ เก็บเป็นภาพประทับใจที่แรกที่พวกเราแวะกัน
นั่งอีกแต๊กมาอีกไม่นานก็จะเป็นจุดชมวิวที่สอง ที่นี่มีเอกลักษณ์ตรงที่มีชิงช้าไม้อันใหญ่ ไว้ให้เราถ่ายรูปถ้าลมหนาวกัน ไอ้เบลกับไอ้เคน จัดให้พวกเราถ่ายรูปเป็นคู่ๆ แล้วถึงมาถ่ายแบบมวลหมู่กันปิดท้าย จนได้รูปสวยสมใจไอ้เบลกับไอ้เคน
พอถ่ายรูปกันจนหนำใจแล้วพวกเรานั่งอีแต็กกลับลงมาจากภูป่าเปาะ ที่นี่เปรียบเสมือนเป็นออเดิร์ฟจานแรกในทริปนี้ พวกเราก็กลับมาขึ้นรถบัสแล้วเดินทางไปเป้าหมายหลักของพวกเราในวันนี้ สวนหินผางาม หรือ คุนหมิงเมืองเลย
Cr รูปภาพจาก wwwtaklong-com,เว็ปไซด์เที่ยวเมืองเลย, ไอ้คล้าวผจัญภัย @พันทิป
Cr.รูปภาพจากคุณphupapoa-002 @ พันทิป,
www.thairath.com...........
รถบัสเลี้ยวเข้ามาจอดตรงศุนย์บริการนักท่องเที่ยว พวกเราทยอยลงจากรถมาก็เจอภาพที่ประทับใจ เห็นภูเขาหน้าผ้าหินปูนขนาดใหญ่ตั้งตะหง่านอยู่ทามกลางต้นไม้ใหญ่น้อย มีป้ายใหญ่ทำจากหินอ่อนสีดำเขียนว่า สวนหินผางาม ตั้งเด่นอยู่ทามกลางสวนย่อมที่จัดไว้อย่างสวยงาม
“สวัสดีครับ” พี่ไกด์ที่เป็นเจ้าหน้าที่ของอุทยานทักทายพวกเรา
“วันนี้มากันกี่ท่านครับ” พี่เจ้าหน้าที่ถามพวกเรากลับมา
“33 คนครับ” บอสตอบพี่กลับไปแทนพวกเรา
“คุนหมิงเมืองเลยหรือสวนหินผางาม เป็นกลุ่มภูเขาหินปูนขนาดใหญ่กระจายอยู่ทั่วบริเวณ บนเขาเต็มไปด้วยโขดหินและหน้าผารุปร่างแปลกตา มีต้นไม้แคระขึ้นอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะต้นจันทน์ผา” พี่เจ้าหน้าที่เริ่มอธิบายถึงที่นี่
“ภูเขาบางลูกสามารถเดินทะลุผ่านได้ บางลูกก็เป็นซอกหินสลับซับซ้อน เหมือนเขาวงกต มีเส้นทางชมธรรมชาติและสวนหิน เป็นระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 1 ชั่วโมงนะครับ” พี่เจ้าหน้าที่อธิบายคร่าวๆถึงที่ๆพวกเราจะเดินชมกันและนี่เป็นจุดแรกที่พวกเราจะได้ advanture กัน
ผมกับเพื่อนๆเดินมากันไม่นาน ก็เริ่มเห็นก้อนหินรูปร่างต่างๆ ตามที่พี่เจ้าหน้าที่อธิบายไว้ หินบางก้อนมีรูปทรงคล้ายๆหน้าคน อันนี้ออกแนวหลอนๆ บางก้อนเป็นรูปเต่า สุนัขหมอบ นี่พวกเรายังไม่ได้เข้าเขาวงกตเลยนะครับ
ทางขึ้นเขาวงกตเป็นทางเดินขึ้นสู่ภูเขาที่เหมือนกำแพงหินใหญ่ ระหว่างทางตามโดหินมีพืชพรรณแปลกขึ้นให้เห็นเช่น เมื่อถึงกำแพงหินแล้วต้องเดินขึ้นบันใด เดินลัดเลาะต่อไปตามซอกหิน บางที่ต้องมุดลอดกันไป มีโพรงถ้ำให้เห็นตามลักษณ์ของเขาหินปูน แล้วพวกเราเดินลงมาที่สะพานเหล็กที่พาดผ่านไปตามป่าที่มีไม้เลื้อยคลุมโขดหิน พวกเราเดินมาเรื่อยๆ เราก็จะมาถึงหุบเขาที่ล้อมรอบด้วยเพิงผาหินปูน
“โห สวยมากเลยพี่” ไอ้บัดถึงกับอุทาน เมื่อพวกเราเดินมาถึง
“ถ่ายรูปกัน” ไอ้เบลบอกให้พวกเรายืนรวมกลุม
“ไอ้ไปป์เข้ามาอีกนิด” ไอ้เบลบอกให้ไอ้ไปป์ขยับเข้ามาเพราะตกเฟรมไปแล้ว
“ที่ที่พวกเรากำลังยืนกันอยู่คือ แดนมหัศจรรย์ที่ 1 ที่เป็นเพิงพาหินขนานกันสองด้าน และจะเข้าสู่ชอ่งแคบที่เรียกกันว่าช่องอิสระนะครับ” พี่เจ้าหน้าที่อธิบายตอนที่พวกเรากำลังถ่ายรูปไปด้วย วิญญาณไกด์พี่เขาเข้มข้นมากครับ
พอถ่ายรูปกันเสร็จพวกเราก็เดินไปตามทางกันต่อทางเดินพาเข้าสู่ผาวงกตที่เป็นทางคดเคี้ยววกวนไปตามซอกผา มีโพร่งหินรูปร่างประหลาดมากมาย บางช่วงมีเถาวัลย์ห้อยลงมา ตรงนี้มีหินรูปร่างคล้าย หัวใจ คล้ายมงกุฎ พอเดินผ่านมาเรื่อยๆก็จะมาสู่จุดชมทิวทัศน์ที่เรียกกันว่าหอดูดาว เป็นจุดที่มองเห็นเทือกเขาหินปูนเป็นกำแพงล้อมรอบผืนป่าเบื้องล่างได้รอบทิศ จุดนี้ไอ้เบลกับไอ้เคน ก็จัดการเก็บรูปให้พวกเราทั้งเดี่ยว ทั้งคู่ และหมู่ พอเดินจากหอดูดาวจะตัดลงเขากลับลงมาที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เป็นอันว่าเสร็จจากคุนหมิงเมืองเลย
พวกเราขอบคุณพี่เจ้าหน้าที่ที่ช่วยแนะนำพวกเรา จริงๆแล้วเดินมาเกือบชั่วโมงก็เล่นเอาหอบอยู่เหมือนกันเพราะต้องมุดต้องปีนกัน แต่ก็ได้ดูหินรูปร่างประหลาดเห็นบรรยากาศที่เรายืนอยู่ตรงกลางแล้วมีภูเขาล้อมรอบ แถมอากาศหนาวทำให้เดินกันอย่างสบายตัว
ไอ้บรูคกับไอ้พลัส ไอ้เบรฟกับไอ้พาย อาสาไปสั่งกาแฟที่ร้านกาแฟสดให้พวกเราหลังจากหากาแฟหาชาดื่มกันแก้กระหายเรียบร้อยก็ได้เวลาออกเดินทางกันต่อ
Cr.รูปภาพจากคุณ sayan022 @ พันทิป, รักจังเลย @ พันทิปwww.taklong.com
Cr.รูปภาพจาก คุณ yong_pop @พันทิป, pgha @ พันทิป, wanshalala @ พันทิป,
www.taklong.com.............
รถบัสมุ่งหน้าย้อนกลับออกมาทางเส้นทางเดิมก่อนจะเลี้ยวซ้ายึ้นทางหลวงหมายเลข 201 อีกครั้ง ไม่นานก็ผ่านแยกอำเภอวังสะพุง ถ้าเราเลี้ยวซ้ายก็จะไปเขตอนุรักษ์พันสัตว์ป่าภูหลวง เลี้ยวขวาก็จะไปจังหวัดหนองบัวลำภูและจังหวัดอุดรธานีรถบัสวิ่งมาไม่นานก็ถึงจังหวัดเลย พวกเราแวะทานมื้อกลางวันกันใกล้ๆตัวเมืองเลยพวกเราแวะร้านข้าวมันไก่ อาหารจานด่วนของคนไทย
“กรูเอาไก่ต้ม ของกรูไก่ทอด ไก่ต้มด้วย กรูไก่เอาไก่ทอด” พวกมันกำลังสั่งกันแบบไม่ลืมหูลืมตาเพราะหิวจัด
“เด่วพวกมรึง เอางี้ ใครเอาไก่ต้มบ้าง ยกมือ” ไอ้เบนซ์กำลังจัดการความเรียบร้อยโดยที่ไอ้เบียร์กำลังนับ
“ใครเอาไก่ทอด ยกมือครับ” ไอ้เบียร์นับและจดตัวเลข ก่อนจะถือกระดาษไปสั่งที่หน้าร้าน
พออิ่มท้องกันแล้วก็ขึ้นรถมุ่งหน้าสู่อำเภอเชียงคาน ที่เราจะพักและเที่ยวกันในคืนนี้ รถมาติดไฟแดงที่สามแยกจุดสิ้นสุดทางหลวงหมายเลข 201 เราเลี้ยวขาเข้าสู่อำเภอเชียงคาน แล้วก็เลี้ยวซ้ายอีกทีเข้าสู่ถนนที่อยู่เกือบติดกับแม่น้ำโขง บรรยากาศบ้านไม้สองชั้นแบบเก่าที่เรียงลายอยู่เต็มสองฝากถนน ให้ภาพที่แปลกตาและน่าตื่นเต้นกับพวกเราไม่น้อย
สุดท้ายรถก็จอดให้พวกเราขนของลงที่พัก ที่พักเป็นบ้านไม้สองชั้นจำนวน 3 คูหาเรียงติดกัน อยู่ติดริมแม่น้ำโขง ซึ่งปกติแล้วพ่อกับแม่เคน จะเปิดเป็น โฮมเสตย์ให้นักท่องเที่ยวแวะพัก แต่เพราะพวกเราจะมา ท่านก็เลยปิดให้พวกเราพักแทน พวกเราล่ะอดเกรงใจพวกท่านไม่ได้เพราะช่วงนี้เป็น Hi season ซะด้วย
พวกเราขนของลงกันเรียบร้อย รถบัสก็เข้าไปจอดในวัดเพราะตอนกลางคืนถนนเส้นนี้จะกลายเป็นถนนคนเดิน ปกติโฮมสเตย์หลังนี้มีห้องพักอยู่ประมาณ 18 ห้อง ใกล้เคียงกับจำนวนคนของพวกเรา ห้องไม่ได้ใหญ่มากแต่จัดตกแต่งไว้สวยงาม สิ่งอำนวยความสะดวกมีเท่าที่จำเป็น ห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวมมีจำนวนอยู่หลายห้องเรียงติดกันที่ชั้นล่างของบ้าน
ที่น่าตื่นเต้นคือมีระเบียงใหญ่ที่เป็นลานกว้างมีหลังคาอยู่ด้านหลังบ้านยื่นออกมารับวิวแม่น้ำโขง แม่น้ำสายใหญ่แบบเต็มตา ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำก็เป็นประเทศเพื่อนบ้านเราแล้ว บรรยากาศยามบ่ายกับวิวแบบนี้ประทับใจผมมาก
ผมชะโงกมองลงไปใต้เท้าเราเป็นถนนที่ใช้ได้แค่เดินกับจักรยานเท่านั้น ทอดยาวไปตลอดแนวแม่น้ำ น่าลงไปเดินกินลมชมวิวยามเย็นอย่างมาก
“แยกย้ายกันพักผ่อนใครอยากเดินเที่ยวตรงไหนอย่างไรก็ตามสบายเลยนะเพื่อนๆ” ผมบอกพวกมันที่รวมตัวกันครบที่ระเบียงหลังบ้าน
“แล้วเดี่ยว 18.00 น. ไปทานข้าวกัน”
“ไปป์มรึงไปกับพวกกรูป่าว” ผมเอ่ยปากชวนมันไปเดินเล่น
“ไม่เป็นไรมรึง มรึงไปกันสองคนเหอะ อุตส่าห์มาเที่ยวทั้งที” ไอ้ไปป์ปฏิเสธเราด้วยความเกรงใจ
“ไปเดินกับพวกกรูได้จริงๆนะ” ไอ้บอสย้ำกับไอ้ไปป์อีกที
“ไม่ต้องห่วงกรู กรูโอเค “มันหันมายิ้มกับพวกเรา
“เพราะไอ้เบิร์ดอยู่กับกรูทุกที” มันเอามือชี้ไปที่หัวใจมัน ผมกับบอสค่อยใจชื้นขึ้นมา เพราะก็อดห่วงมันไม่ได้ มันเป็นคนเดียวที่มาคนเดียว
ผมกับไอ้บอสเดินเลาะริมแม่น้ำโขงมาเรื่อย ถ่ายรูปเก็บเอาไว้กัน เซลฟี่กันซะส่วนมาก พอเดินสวนกับไอ้บูมกับไอ้นัทพวกเราทีก็ผลัดกันถ่ายรูปให้กัน เดินชมบรรยากาศเรือนแถวไม้ที่ทอดยาวสุดตา เป็นบรรยากาศที่หาดูได้ยากแล้วสำหรับบ้านเรา โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ผมประทับใจกับรูปแบบเรียบง่ายของที่นี่มากๆ
“เหนื่อยไหม” บอสหันมาถามผมหลังจากกลับมาพักเอาแรงที่ห้อง
“ไม่อ่ะ” ผมตอบมันตอนแผ่อยู่บนเตียง
“มีความสุขไหม” บอสถามผม แล้วก็เอามือชันหัวตัวเองขึ้นมานอนตะแคงข้างๆผม
“โคตรสุขเลยล่ะ ยิ่งอยู่กับบอสโบ้ทก็ยิ่งมีความสุข” ผมยิ้มตาหยีตอบมันไป
“บอสก็มีความสุขที่ได้อยู่กับโบ้ทนะครับ” มันมือมาลูบหน้าแก้มผมอย่างเบามือ
“โบ้ทก็เหมือนกัน” ผมทำปากขยับจุ๊บๆ อ้อนให้บอสจูบ บอสค่อยๆกดหน้าลงมาจูบที่ริมฝีปากผมเบาๆ
“อ้อนจัง แค่นี้ก็หลงจะตายอยู่แล้ว” ไอ้บอสพูดจบก็หอมมาที่แก้มผมอีกฟอดใหญ่
ตกเย็นได้เวลานัดทานข้าวกัน พวกเราก็ค่อยๆเดินออกมาตามถนนที่ตอนนี้แปลสภาพเป็นถนนคนเดิน ร้านขายของต่างเปิดไฟกันสว่าง สีส้มสว่างไปตลอดถนน ไอ้บีมกับไอ้โอมตื่นเต้นกับถนนคนเดินมาก และแน่นอนที่เป็นช่วงเทศกาลวันหยุดยาว ผู้คนมากมายเดินกันเต็มถนน
เด็กหนุ่มหน้าตาดีทั้ง 31 คนเดินมากันเป็นกลุ่มการแต่งตัวก็ดูดีแต่และคนก็มีสไตล์ของแต่ละคนชัดเจน “แล้วจะเป็นจุดสนใจของผู้คนแถวนั้นไหม” “ตอบเลยว่า มากครับ” พวกเราเดินมากันไม่นานก็มาถึงร้านอาหารชื่อดังของอำเภอเชียงคาน ที่ใครมาก็ต้องมาทาน แน่นอนรวมถึงพวกเราด้วย แล้วมหกรรมการสั่งกับข้าวก็เริ่มต้นขึ้น
หลังจากทานกันอิ่มก็ได้เวลาเดินดูของกัน มีของขายมากมายโดยเฉพาะของที่ระลึก ผมยังอดซื้อฝากพ่อกับแม่ไม่ได้เลย ไอ้บอสก็ได้ของฝากที่บ้านมันด้วยเช่นกัน
“โอมๆลายนี้สวยไหมนะ” เสียงไอ้บีทหันไปถามไอ้โอมให้ช่วยเลือกเสื้อยืดที่ระลึก
“ตามใจบีมเลย” เสียงไอ้เกมส์ตอบกลับไป
“โอมชอบหรือเปล่าอ่ะ” ไอ้บีมยังคงย้ำถามเกมส์อีกครั้ง
“ทำไมอ่ะ ถ้าโอมไม่ชอบบีมจะไม่ใส่เหรอ” ไอ้โอมถามกลับ
“จิ๊” เสียงไอ้บีมจิปากใส่
“มึงนี่ก็ซื่อเนอะไอ้โอม” ไอ้บอสหันไปบ่นไอ้โอม
“ทำไมวะ” ไอ้โอมอดสงสัยไม่ได้
“ก็ไอ้บีมมันจะซื้อเสื้อคู่” ผมเอามือตบหลังไอ้โอมไล่ความซื่อบื้อของมันออกไปบ้าง
“อ๋อ” ไอ้โอมลากเสียงยาว
“ชอบครับ บีมเลือกตัวไหนมาโอมก็ชอบทั้งนั้นแหละ” ไอ้โอมหันไปง้อไอ้บีมแบบรัวๆ
“จริงเหรอมรึง” ผมแซวมันกลับ
“เออดิ ก็เมียกรูเลือกนี่” เจอคำนี้เข้าไปไม่เพียงแต่ไอ้บีมจะอ่อนระทวย แต่มันทำให้พวกเราตายกันยกกลุ่ม
กว่าจะกลับมาถึงที่พักก็เกือบ 3 ทุ่มแล้ว ไอ้บีมกับไอ้โอมแล้วก็ไอ้บลูกับไอ้บอมบ์กำลังจะไปซื้อเบียร์ที่ร้านมินิมาร์ทใกล้ๆ พวกมันตกลงกันไว้ที่ 3 ลัง กินกันให้พอหายเปรี้ยวปาก เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นมาใส่บาตรกันแต่เช้า พวกเราตั้งวงที่ตั้งที่ระเบียงใหญ่หลังบ้านที่ได้รับวิวแม่น้ำโขง ที่ตอนนี้มืดสนิท (แหม่ๆก็ต้องจินตนาการให้ได้บรรยากาศกันนิดนึงสิครับ)
Cr.รูปภาพจาก blog คุณ iRoeng, FB คุณaranbris,
www.painaima.comGame
See you Next Game
...........................................
-----------------------------------------------
ตอบคอมเมนท์ครับ^^ตอบคอมเมนท์คุณ
Spelling_Bขอบคุณสำหรับคำขอบคุณนะครับ ขอบคุณที่ติดตามด้วยนะครับ^^
ตอบคอมเมนท์คุณ
kasarusขอบคุณสำหรับการติดตามนะครับ เรื่องในอดีตมีเฉลยแน่นอนครับ ขอบคุณสำหรับคำติชม ด้วยนะครับ ผมจะนำไปปรับปรุงแก้ไขครับ ขอบคุณสำหรับกำลังใจแล้วก็คอมเมนท์ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ^^