ตอนที่ 10 คุยกับพี่พี่เรื่อง.. พี่กร ผม ก็ไม่ได้โดนพี่กรทำอะไรมากไปกว่าจูบ แล้วปลอบโยนอย่างสบายจนเคลิ้ม หลับไป...
ถึงจะจูบกันแล้ว แต่ผมก็ยังไม่เชื่อใจหรอกครับ ยังไม่ได้รับว่าพี่กรเป็นแฟนจริงๆ ซึ่งพี่กรก็รู้ว่าผมยังนับพี่เค้าแค่ขั้นจีบ เพราะหลังจากนั้นไม่ว่าใครจะมาถามว่าพวกผมสองคนเป็นอะไรกัน ผมก็จะตอบไปว่าพี่กรเป็นเพื่อน และพี่กรก็จะตอบไปว่าผมเป็นว่าที่แฟน ซึ่งผมก็ชินที่พี่เค้าจะพูดอย่างนั้นแล้ว
แต่ชีวิตผม ก็ค่อยๆ มีพี่กรเข้ามาเรื่อยๆ
ทุกเช้า ผมจะตื่นมาในกอดของพี่กร เพราะไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะมานอนอะไรเป็นเพื่อนผมนักหนา แรกๆ ผมก็ทั้งด่า ทั้งบอกว่าไม่ต้อง แต่ผมก็ทนความกะล่อนของไอ้หมอมันไม่ไหว หลังๆ มาก็ค่อยๆ ยอมเรื่อยๆ จนชินครับ.. แต่พี่เค้าก็ไม่ทำอะไรผมนะครับ แค่นอน นอนกอดผมอยู่ข้างๆ เท่านั้น
หลังจากที่ตื่นนอน ผมจะเข้าห้องน้ำทำธุระคนเดียว แต่บางวันก็ทนความประหลาดของไอ้หมอไม่ไหว เข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟันด้วยกันก็มี.. แล้วถ้าวันไหนผมมีโปรแกรมไปไหนและพี่กรก็ว่าง เช่น ไปซ้อมกับพี่พี่ ไปซื้อของ ไปทำงาน หรืออยากไปเที่ยวข้างนอก อยากไปร้านการ์ตูน ร้านกาแฟ ร้านหนังสือ ร้านวิดีโอ พี่กรก็จะอาสาเป็นคนพาไปรับ ไปส่ง พาไปเที่ยว ไปทำงาน บางทีมีไปเฝ้าก็มี.. ชีวิตและสถาณที่ส่วนตัวของผมโดนไอ้หมอรู้เรื่องหมดเลย
แต่ถ้าวันไหนที่ผมมีโปรแกรมและไอ้หมอก็มีเรียน เพราะมันอยู่คณะแพทย์ ปิดเทอมหกเดือนของมหาลัย คณะแพทย์เค้าไม่ปิดแบบนั้นด้วยหรอกครับ ยิ่งเป็นแพทย์ปีสามขึ้นปีสี่ด้วยนี่ บางวันไอ้หมอมีเรียนทั้งวันก็มี ผมก็ต้องยอมลูกอ้อนของมันขับรถไปส่งที่หน้าคณะ พอผมจะออกไปไหนก็ต้องโทรรายงานพี่กรตลอดเพราะไม่งั้นจะเป็นห่วง งอแงเหมือนเด็ก
ตกเย็น ผมต้องมีนัดกับใครสักคนก่อนให้ได้ ไม่อย่างนั้นไอ้หมอจะเอะอะชวนเที่ยวตลอด ทั้งไปกินข้าว ไปดูหนัง เดินตลาด หรือเลือกซื้อของกินกันแค่สองคน ผมถึงต้องหานัดใครให้ได้ก่อนเย็น ไม่อย่างงั้นล่ะมันหลายเรื่อง.. แต่ก็มีบางวันที่พี่กร WANT จริงๆ และผมก็มีนัดไปเที่ยวข้างนอกกับพี่พี่แล้ว ก็ยังกล้าออกมากับผมเที่ยวกับพวกพี่พี่ด้วยนะ เชื่อเขาเลย
ยิ่งเป็นวันที่น้องทำงานตอนกลางคืนร้องเพลงที่ร้านเหล้ากับพี่พี่ หรือออกงานอีเว้นท์ตามที่ต่างๆ เช่น ไปเปิดบูท เปิดงาน หรือไปประสานเสียงในโบสถ์คริสตจักรบางโอกาสที่เค้าต้องการ พี่กรน่ะ ตามตลอด ไม่ว่าจะเปิดโต๊ะกินเหล้ากินเบียร์รอให้ผมร้องเพลงที่ร้านจนเสร็จ หรือจะเข้าไปนั่งในโบสถ์ดูพวกผมกับพี่พี่ร้องประสานเสียงไปเรื่อยๆ ไม่สนใจคริสตชนคนอื่นๆ เลย ว่าเค้าจะมองยังไง... แรกๆ ก็รำคาญนะครับ.. หลังๆ มาก็เริ่มชิน ปล่อยให้พี่เค้าทำไปเหอะ ดีซะอีก ร้องเพลงเสร็จตีหนึ่งตีสองก็จะได้ให้พี่กรพากลับเลย
หลังจากที่เสร็จภารกิจในแต่ละวัน มันจะมีโมเม้นท์ที่ห้องผมไม่ก็ห้องไอ้หมอที่พี่เค้าจะจับผมนั่งตัก แล้วกอดเอาไว้ ถามว่าพรุ่งนี้ทำอะไรครับ พี่ไปด้วยได้มั๊ย ถึงจะบอกว่าไปไม่ได้ แต่ถ้าพี่เค้ารู้ว่ามันไม่ได้ซีเรียสอะไรที่จะพาคนนอกเข้าก็จะงอแงอยากไปให้ได้ แต่ก็มีบางงานนะครับที่ผมบอกว่าไปไม่ได้จริงๆ เพราะเค้าซีเรียสเรื่องนั้น พี่เค้าก็ไม่ไป
แล้วสุดท้าย ก็แยกย้ายกันทำภารกิจส่วนตัว จนเสร็จ พี่กรก็จะมึนๆ ตีเนียนเข้ามานอนในห้องผม แรกๆ ผมก็ปฏิเสธบอกว่าเข้ามาทำไม นอนใครนอนมัน! แต่หลังๆ ก็เริ่มชิน พอเข้ามาในห้องก็กอดผมหนับ รอให้ผมทำงาน อ่านการ์ตูน หรือดูหนังให้เสร็จก่อน แล้วค่อยพาผมเข้านอน ปิดไฟให้ นอนกอดผมหลับไปด้วยกัน จนถึงเช้า
กิจวัตรประจำวันของผมหลังจากวันที่พี่กรจูบผมไปแล้ว ก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ล่ะครับ
จนครบ....... หนึ่งเดือน
ช่วงใกล้สงกรานต์แล้ว ผมกับพี่พี่มีงานอีเว้นท์เยอะมากที่ต้องสรุป เช้าวันนี้ผมเลยตื่นขึ้นมาบอกพี่กรว่าต้องไปคุยงานกับพี่พี่ที่ร้านกาแฟ ไอ้หมอก็มาส่งแต่ติดธุระ เลยทิ้งผมไว้ที่ร้านบอกว่าเสร็จธุระแล้วจะมารับ แต่ผมก็บอกไปว่าไม่เป็นไร เพราะไม่รู้ว่าจะเลิกตอนไหน แถมเผื่อมีธุระไปต่ออะไรอีก ให้พี่พี่ไปส่งดีกว่า พี่กรเลยไว้ใจ ไม่ว่าอะไรแล้วจากไปทำธุระดีดี
ตอนนี้ ผมก็เลยนั่งล้อมวงกับพี่พี่อยู่บนโต๊ะกาแฟในมุมส่วนตัวของร้าน คุยเรื่องสงกรานต์นี้กันอย่างเคร่งเครียด
“โอเค งั้นตกลงตามนี้ สรุปก็คือ ก่อนสงกรานต์นี้ ใครมีงานอะไร ก็ทางใครทางมัน” (พี่ฟ่าง)
“โอเค แล้วเจอกันวันที่ 14 ไปออกคอนเสิร์ตที่ศาลากลางจังหวัดใช่มะ” (พี่อ้อย)
“ไม่ใช่ไปเป็นพริตตี้เหมือนปีที่แล้วใช่ป่ะ ยืนถือปืนฉีดน้ำตั้งนานกว่าจะได้ตังค์ โครตเหนื่อย” (พี่อิ๋งๆ)
“ไม่ไม่ เค้าติดต่อมาแล้วว่าให้เราขึ้นเป็นนักร้องเลย ไม่ต้องห่วง เงินดีกว่าปีที่แล้วแน่นอน” (พี่ฟ่าง)
“งั้นน้องไปด้วยได้ใช่มั๊ยครับ ปีนี้” (ผมเอง)
“ได้สิแก๊ง พี่ติดต่อล็อกงานนี้เพื่อให้เราออกงานกับพวกพี่ได้โดยเฉพาะเลยนะ” (พี่ฟ่าง)
“โอเคครับ” (ผมเอง)
“งั้นเป็นอันตกลง จบการประชุม เย้!!...” (พี่เฟิน)
ดีใจ ปีนี้ผมไม่ต้องหม้ายสงกรานต์เหงาตายอยู่ที่ห้องเพราะไม่เพื่อนแล้ว พี่พี่ล็อกงานให้ผมไปทำงานด้วยวันที่ 14 ยาวไปจนถึง 17 เลย อีกสามวันก็สงกรานต์ล่ะ...
เดี๋ยวนะ!? อีกสามวัน...
แย่ล่ะสิ!!.. ลืมเรื่องนี้ไปได้ไงว่ะ
“ตกลง! เรื่องเธอกับกร เป็นยังไง” (พี่เฟิน)
“ห๊ะ! ครับ?”
ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ พี่เฟินก็ขัดขึ้นมาพอดี
“พี่ดูแล้วนะแก๊ง มันไม่ใช่อารมณ์คนกำลังจีบกันอ่ะ” (พี่เฟิน)
“อือ พวกเธอเป็นแฟนกันแล้วใช่ป่ะ” (พี่เอิน)
“ไม่ใช่นะครับ พี่กรตอนนี้กับน้องยังแค่จีบกันอยู่ น้องยังนับพี่กรแค่เพื่อนนะครับ” (ผมเอง)
“เพื่อนบ้าอะไร มารับ มาส่ง แถมทั้งห่วงทั้งหวง ตามติดชีวิตขนาดนั้นค่ะน้อง” (พี่อ้อย)
“แก๊ง ตั้งแต่ตอนเธอป่วยแล้วนะ เธอมีอะไรปิดบังพวกพี่รึปล่าว??” (พี่ฟ่าง)
ผมก็ มองหน้าพี่พี่สิครับ.. ทั้งพี่ฟ่าง พี่เฟิน พี่เอิน พี่อ้อย พี่อิ๋งๆ สายตาทุกคนจ้องมาที่ผมและบ่งบอกว่า
‘ปิดบังอะไรอยู่ บอกมาให้หมดเดี๋ยวนี้’ เฮ้ออ... เล่าตอนนี้คงไม่เป็นไรแล้วล่ะ
“คือ.. ไอ้เรื่องที่ปิดน่ะมันก็มีอยู่หรอกครับ ก็ตั้งแต่ที่ป่วยนั่นล่ะ พอดีพี่ก้อยบอกว่าอย่าบอกพวกพี่ เดี๋ยวพวกพี่ จะเข้าใจผิดกันไปยกใหญ่ เพราะพวกพี่ เข้าใจผิดกันง่ายมากๆ” (ผมเอง)
“อะไรกัน!!???” (พี่อิ๋งๆ พี่อ้อย พี่เอิน พร้อมกันเลย)
“นี่แกเห็นพี่เป็นอย่างนั้นด้วยเหรอแก๊ง” (พี่เฟิน)
“คือ!! น้องก็ไม่ได้อยากจะปิดหรอกนะครับ แต่มันเป็นเรื่องวุ่นวายจริงๆ ถ้าตอนนั้นพวกพี่รู้เข้าล่ะก็ น้องว่า.. คงไม่จบแค่น้องหายป่วยหรอกครับ” (ผมเอง)
“แล้วมันเรื่องอะไรล่ะแก๊ง” (พี่ฟ่าง)
“เกี่ยวกับกร เหรอ!??” (พี่อ้อย)
ผมก็พยักหน้าหงึกๆ ปากพลางดูดโกโก้ที่สั่งเอาไว้บนโต๊ะด้วยอาการ... เจี๋ยมเจี๊ยมกับเหล่าสายตาของพวกพี่พี่
“งั้นก็เล่ามาเลย อย่าหมกเม็ด อย่ากั๊ก และอย่าปิดบังอะไรอีก” (พี่อ้อย)
“ใช่!! ถ้ายังเห็นว่าพวกพี่เป็นพี่เธออยู่ล่ะก็...” (พี่เฟิน)
เอาสิผม!! ว่าจะเล่าไม่หมดก็คงไม่ได้.. แต่ไม่เป็นไรหรอก ตรงนี้มันมุมส่วนตัวในร้าน ไม่ค่อยมีคน
ก็เลยเริ่มต้นเล่าตั้งแต่วันสอบวันสุดท้าย โดยละเอียดเป็นฉากๆ ต่อไปเรื่อยๆ
จนจบเรื่องเล่าทั้งหมด ณ ตรงที่ พี่กร..มาส่ง..วันนี้
“เรื่องทั้งหมด ก็.. อย่างนี้ล่ะครับ”
จ้องหน้าพี่พี่ที่ยังอยู่ในท่าตั้งใจฟังตั้งแต่ต้น ท่าเดิม คือ..ทนได้ไงว่ะ ตั้งเกือบสองชั่วโมง
“สรุป!! คือเธอนับว่าพี่กรยังเป็นเพื่อนเธอ” (พี่อ้อย)
ผมก็พยักหน้า
“แต่!! เธอกับพี่กรก็ทั้งจูบกันแล้ว กอดกันแล้ว และยังนอนด้วยกันอีก ถึงจะยังไม่มีอะไรกันก็เหอะ” (พี่อิ๋งๆ)
ผมก็...พยักหน้า
“ซึ่ง.. พี่กรก็ยังเข้าใจว่า เธอ!! นับพี่เค้าเป็นแค่เพื่อน และเธอ!! ก็ยังไม่เคยบอกชอบพี่เค้าตรงๆ” (พี่เอิน)
ผมก็...พยักหน้า พร้อมกับโกโก้ที่ละลายจนไม่เหลืออะไรแล้ว
“เฮ้อออออออออออ หมดคำจะพูดดดดดดดด” (ทุกคนเลย ทำไมพร้อมกันจังว่ะ)
“อ้าว! ทำไมพี่พี่พูดอย่างนั้นล่ะครับ” (ผมเอง)
“คือ... มันก็ดีนะแก๊งที่เธอคิดอย่างนั้น แต่.. เธอก็ยอมพี่กรเกินไปนะบางที” (พี่เฟิน)
“จนตอนนี้พี่ว่ามันเกินเพื่อนอ่ะ” (พี่เอิน)
“ไม่หรอกเอิน เฟิน น้องเราเป็นคนยังไงเราเองก็รู้ ไม่แปลกที่ไอ้กรมันจะทำแบบนั้น” (พี่ฟ่าง)
แล้วทุกคนก็มองมาที่ผมด้วยสายตา... เอิ่ม.. คือ... ทำไมมันดูกินเลือดกินเนื้อจังวะ
“คือ.. พี่พี่ น้องเป็นคนยังไงเหรอ??”
“แก๊ง แกไม่รู้ตัวเลยใช่มั๊ยว่าตัวเองน่ารักแค่ไหน” (พี่อ้อย)
“พี่จะบอกให้เลย.. เธอน่ะน่ารักมาก ทั้งขาว ทั้งหน้าหล่อ ยิ้มแล้วดูสวย เสียงก็เพราะ พูดจาก็ดี นิสัยก็ดี ชอบถ่อมตัวเพราะที่บ้านมีพ่อเป็นครู เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน พอมาอยู่กับพวกพี่บ่อยๆ ตั้งแต่ ม.5 แก๊งเลยติดที่จะใช้สรรพนามแทนตัวเองส่วนใหญ่ว่า “น้อง” กับคนที่เป็นรุ่นพี่ตัวเองมาตลอด” (พี่เฟิน)
“แต่เธอไม่รู้ตัว พวกพี่น่ะรู้นิสัยเธอดี จริงๆ มันจะมีมุมที่ดื้อ ซน แต่พอเธอจะมีความคิดแบบนั้นยังไงตามสไตล์ของตัวเอง การพูดของเธอจะทำให้เธอดูน่ารักขึ้นมาตลอด พอมันรวมๆ กันแล้ว เธอเลยดูน่ารักมากกกกก” (พี่เอิน)
“และอย่างที่แกเล่า ที่พี่กรพูดว่าชอบเธอมาตั้งแต่อยู่ปีหนึ่งเพราะเรื่องอะไร แต่แกก็ การ์ดหนา และถูกบอกว่าไม่รู้ตัวเองว่าเป็นคนยังไง พี่เลยเข้าใจว่าทำไมไอ้กรมันรุกเธอหนักขนาดนี้” (พี่ฟ่าง)
“แถมแกก็ใจอ่อน ไม่ก็ปล่อยมันไปทั้งอย่างนั้น การป้องกันตัวก็ไม่มี ไม่รัดกุม เปิดช่องให้ไอ้กรได้ง่ายๆ” (พี่อิ๋งๆ)
“พอมันรวมกันอย่างนั้น ก็ไม่แปลกที่ไอ้กรจะยอมถึงแม้แกจะนับว่ามันเป็นแค่เพื่อนก็ตาม” (พี่อ้อย)
“เพราะเธอมันแอบซื่อบื้อเรื่องแบบนี้ แก๊ง เธอชอบคิดว่าตัวเองไม่มีเสน่ห์กับคนอื่นๆ” (พี่เอิน)
“ฟังแต่คนอื่น กลัวว่าตัวเองจะไม่เจอรักแท้ แต่มันก็ดีที่เธอคิดป้องกันตัวแบบนั้น แต่เธอก็ไม่มั่นใจในตัวเองเกินไปนะบางที ทั้งที่เต็มไปด้วยรูปสมบัติและความสามารถ บวกกับที่เธอเรียนเภสัชอีก” (พี่เฟิน)
“ไม่แปลกที่จะมีใครเข้าหาเธอบ้าง อย่างไอ้กร ถึงมันจะเข้ามาแบบนั้นก็เหอะ” (พี่อิ๋งๆ)
“แถมภายนอกแกที่ดูเรียบร้อย แต่ข้างในจริงๆ มันมีอะไรให้รู้อีกเยอะ แก๊ง แกไม่รู้ตัวหรอก ว่าตัวเองเป็นคนน่าค้นหาแค่ไหน มันทำให้ดูมีเสน่ห์ขึ้นเป็นกองเลยล่ะ” (พี่ฟ่าง)
“ใช่!.. ขนาดพวกพี่เองอยู่กับเธอมาสี่ปี ยังคิดกันเลยว่าเธอมันน่ารัก น่าค้นหา มีเสน่ห์สุดๆ” (พี่เอิน)
“ใช่ๆ.. ไม่ใช่แค่เรื่องความสามารถนะ ทั้งบุคลิก ความคิด การตัดสินใจ มันมีอะไรให้ประหลาดใจอยู่ตลอด” (พี่อ้อย)
“แต่บางทีมันก็น่าเป็นห่วง พี่เชื่อว่าเธอดูแลตัวเองได้ แก๊ง แต่บางครั้งก็อดห่วงในบางเรื่องไม่ได้” (พี่เฟิน)
“จริง..มันเลยทำให้เธอดูเด็ก ต้องดูแล.. คือเธอดูแลตัวเองได้ก็จริง แต่ก็ยังมีโมเม้นต์ที่ต้องให้ห่วงนิดๆ อยู่” (พี่เอิน)
“เช่นเรื่องความคิด เรื่องการใช้ชีวิต ไม่ก็การตัดสินใจ่ในบางเรื่อง แกน่ะ ยังคิดไม่เป็นก็มี” (พี่อ้อย)
“ไม่งั้นพวกพี่จะห่วงแก๊งเรื่องนี้ขนาดนี้เลยเหรอ เพราะแก๊งน่ะ ยังไม่เคย...” (พี่เฟิน)
“เอิ่ม... คือ....”
คือเหมือนเด็ก งั้นเหรอ...ทำไมฟังๆ ไปแรกๆ เหมือนถูกชมนะ แต่หลังๆ เหมือนถูกด่านิดๆ อ่ะ
“แล้วว..นี่ที่แกยังนับพี่กรแค่เพื่อน เพราะยังห่วงเรื่องความจริงใจใช่มะ!??” (พี่ฟ่าง)
“เอ่อ.. ครับ เพราะพี่กรเข้ามาแบบนั้น แถมยังเล่าว่าเคยเจ้าชู้อีก น้องเลยย ยังไม่แน่ใจว่าพี่เค้าจะจริงจัง”
“อืมมมมมมมมม” (ห้าสาวคิดหนัก)
“เฮ้อออ ก็รอดูล่ะกัน” (พี่เอิน)
“เข้าใจไอ้กรมันเลยล่ะว่าทำไมตามติดชีวิตแกขนาดนี้ แกคิดมั๊ยว่าจุดนี้มันทำให้ดูว่ามันจริงจังเรื่องแกอยู่บ้าง” (พี่อ้อย)
“ก็.. คิดนะครับ แต่น้องก็กลัว ว่าบางที มันจะมีช่วงหมดโปรเหมือนกัน”
“อืมมมมมมมมม” (ห้าสาวคิดหนักรอบที่สอง)
“ก็!! เอาเป็นว่าแกคิดยังไง ตัดสินใจยังไงต่อไป ก็บอกพวกพี่ล่ะกัน อย่าปิดบัง” (พี่ฟ่าง)
“ใช่! พวกพี่ไม่ชอบ มัน.. ดูไม่เป็นความเชื่อใจ ดูไม่เป็นทีมเดียวกัน” (พี่อ้อย)
“จริง ทั้งที่เราก็คบกันมาตั้งสี่ปี พี่เข้าใจนะ ว่าแก๊งก็เจออะไรมาเยอะ เป็นผู้ใหญ่บ้างแล้ว แต่บางเรื่องแก๊งก็ยังไม่ค่อยคิดหน้าคิดหลัง ยังไงก็ให้พวกพี่เป็นที่ปรึกษาได้นะแก๊ง” (พี่ฟ่าง)
“เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ และเป็นเรื่องที่แกต้องคิดเองด้วย แกต้องคิดดีๆ นะแก๊ง! ก่อนจะตัดสินใจอะไร” (พี่อิ๋งๆ)
“ถ้างั้น พวกแก ที่ตอนนี้น้องแก๊งมันไม่ยอมคบ มันดีแล้วเหรอ?” (พี่เฟิน)
“มันก็ดี แต่มันไม่ดีก็ตรงที่ กิจวัตรประจำวันของน้องมันกลายเป็นแบบนั้นไปแล้วน่ะสิ” (พี่เอิน)
“แต่แบบนั้น มันผิดที่ใครล่ะ ผิดที่น้อง หรือผิดที่ไอ้กรมัน” (พี่เฟิน)
“อืมมมมมมมมม” (ห้าสาวคิดหนักรอบที่สาม)
เอาแล้วๆ เริ่ม DISCUSSION กันล่ะ คงต้อง.. พอแค่นี้ล่ะนะ เดี๋ยวมันจะเลยเถิดไปกันใหญ่
“โอเคครับพี่พี่!! ต่อไปนี้น้องจะไม่ปิดบังพวกพี่อีกล่ะ ถ้าน้องคิดอะไร ตัดสินใจอะไร จะบอกพี่พี่ ไม่ก็ปรึกษาพี่พี่ก่อนล่ะกันนะครับ”
“คิดให้มันดีดีนะแก๊ง” (พี่เฟิน)
“พี่ขอเตือนเลยนะ ถ้าแกตัดสินใจลงไปแล้ว มันเอาคืนไม่ได้นะแก๊ง ยิ่งเป็นเรื่องแบบนี้” (พี่อิ๋งๆ)
“ถ้าอะไรที่มันไม่แน่ใจ ปรึกษาพวกพี่ก่อนเลยนะ” (พี่ฟ่าง)
“คร้าบๆๆ ครับผม ขอบคุณมากนะครับพี่พี่ แต่ก่อนหน้านั้น พรุ่งนี้วันอะไร ลืมหรือยัง”
ผมตัดบทด้วยประโยคเดียวเลย.. รอคอยสีหน้าพี่พี่ให้คิด.. ให้ออก
“พรุ่งนี้..” (พี่อ้อย สีหน้าครุ่นคิดหนัก)
ผมก็พยักหน้า
“วันที่ 11 เมษายน..” (พี่เอิน สีหน้าเริ่มจะปากหวอๆ กับอะไรบางอย่าง)
ผมก็พยักหน้าอีกสองรอบ
“แย่แล้ว!! ลืมไปได้ไงเนี่ยยย” (พี่ฟ่าง พี่เฟิน พร้อมกันเลยครับ)
อ่ะโห.. เรื่องสำคัญแบบนี้ ลืมกันทั้งกลุ่มเลยครับ แต่อย่าว่าแต่พี่เค้าเหอะ ตะกี๊เราเองก็เพิ่งนึกได้เหมือนกัน
“ตายแก๊งตาย จะเอากูตายมั๊ยว่ะ” (พี่อิ๋งๆ)
“แต่พวกเราก็ติดธุระกันตั้งแต่เย็นนี้เลยนะ ทำไงดี ลืมไปได้ไงเนี่ย สำคัญขนาดนี้” (พี่เฟิน)
“แต่น้องไม่ติดนะ..”
สิ้นประโยคนั้น..พวกพี่ก็มองมาที่... ผม
“เอ้ออ!!! แก๊งมันยังว่างนี่หว่า ให้แก๊งไปแทนให้มั๊ยปีนี้” (พี่อ้อย)
“ได้นะครับ”
“โอเคเลย งั้นรีบไปซื้อของกันเลย ซื้อแยกหรือรวมดี” (พี่ฟ่าง)
“แยกดีกว่ามั๊ยแก!?? แสดงถึงความจริงใจ” (พี่อิ๋งๆ)
“ขอร้องเหอะครับ รวมเหอะ น้องตั้งใจจะไปคนเดียว”
“หา!???” (พี่ๆ ทั้งห้าคน)
“เธอจะไปคนเดียว.. แล้วพี่กรล่ะแก๊ง เธอก็บอกเรื่องนี้ไปแล้วไม่ใช่เหรอ” (พี่เฟิน)
“โธ่พี่เฟิน ก็น้องบอกแล้วว่าพี่กรน่ะแค่เพื่อน แถมเอาจริงๆ ให้พี่กรไปด้วย น้องคง....”
หลังจากนั้น ผมกลับมาที่หอพร้อมของพะรุงพะรังมาเต็มสองมือ หนักมาก!! นี่ขนาดบอกให้พี่พี่ซื้อรวมกันแล้วนะ เล่นซื้อพวกของยิบย่อยกระจุกกระจิกเต็มไปหมด ก็บอกอยู่นะเว้ยว่ากูไปคนเดียว... แต่ก็ไม่ถึงกับขนขึ้นหอไม่ได้นะครับ ถึงหน้าห้อง แล้วรีบไข เปิดเข้าไปแล้วทุ่มของเข้าห้อง ค่อยปิดประตู ลากของพวกนั้นไปที่ข้างชั้นหนังสือทันที เฮ้อออ...หนัก
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก.. น้องแก๊งครับ พี่กรเอง กลับมาแล้วใช่มั๊ยครับ ตะกี๊พี่ได้ยินเสียงเปิดเข้าห้อง”
อ้าว พี่กร... ก็กำลังจะเดินไปเปิดประตูให้... แต่...ผมมองกลับหลังหันมาดูของที่ซื้อกับพี่พี่... แล้วนึกถึง... เรื่องที่ผมตัดสินใจ..แล้วมองไปที่ประตูหน้าห้อง..ยังไงไอ้หมอมันก็ฉลาด มันคงนึกออกแน่ๆ ถ้าเห็นของพวกนี้
เลยดันของพวกนี้ไปแอบแถวริมๆ ห้อง แล้วเอาผ้ามาคลุมไว้ จากนั้นก็คว้ากุญแจห้อง แล้ว...
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก.. คร้าบๆ...แกร๊กก!!”
ก็เปิดประตูออกไป เจอกับไอ้หน้าหล่อหุ่นดีที่กำลัง...
“ยิ้มหน้าบานเชียวนะพี่กร มีอะไรรึไง”
“กลับมาแล้วเหรอครับที่รัก (ก็เข้ามากอดผมเหมือนเดิม) แต่ตะกี๊ ทำอะไรอยู่ครับ ทำไมเปิดประตูให้พี่ช้าจัง”
พี่กรก็พยายามมองผ่านหลังผมไป... คิดล่ะว่าต้องผิดสังเกตุไอ้หมอ แต่ก็เตรียมไว้ล่ะ
“เอ่อ.. พี่กรๆ วันนี้น้องนอนห้องพี่นะ.....ปึ้ง!! แกร๊ก!!”
รีบดันพี่กรออกไปนอกห้อง ปิดประตูลงกลอนอย่างไว.. ค่อยหันหลังกลับมายิ้มใส่ไอ้หมอคืนเหมือนกัน
“แก๊งจะนอนห้องพี่!?? วันนี้แก๊งเป็นอะไรครับ ปกติเห็นแต่นอนห้องตัวเอง”
“เอ่อคืออ (คิดสิแก๊ง คิดดด!!!) คือพี่กรมานอนห้องน้องจนค่าไฟบานแล้วอ่ะ น้องนอนห้องพี่บ้างสิ”
“หืมม มันก็ได้อยู่หรอก แต่แก๊ง พี่ว่ามันแปลกๆ นะ”
“ไม่อยากให้น้องอยู่ข้างๆ เหรอ (จ้องหน้าพี่หมอกับเสียงเศร้าๆ ทำหน้าน้อยใจ)”
มุขนี้ค่อนข้างได้ผลเกือบทุกงาน ไอ้หมอมันก็เข้ามากอดแล้วหอมแก้มผมใหญ่ แล้วค่อยกอดคอผมไปที่ห้องพี่แก ก่อนที่ผมจะหัน
หลังกลับไปมองห้องตัวเอง พลางคิดไปว่า.....
แค่พรุ่งนี้เท่านั้น
ที่ไม่อยากให้พี่กรรู้
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////