ตอนที่ 6 หมอนข้างคุณหมอ [+ บทพิเศษ] (ยังไม่ตรวจทาน) PART 1 ถึงหอ...ผมไม่เปิดช่องว่างให้ไอ้หมอมันเค้นความจริงอะไรอย่างที่มันพูด
“พี่กร น้องขึ้นห้องก่อนนะครับ พอดีคิดได้ว่ามีธุระ ขอบคุณนะครับที่วันนี้ไปด้วยกัน บายยยย”
“เดี๋ยวแก๊ง!! เดี๋ยวว!!!”
จะอีกกี่เดี๋ยวแก๊งก็ขึ้นห้องไปอย่างไว ใครมันจะเสี่ยงกับคำพูดไอ้หมอจอมกวนอย่างมึงกันห่ะ
อาบน้ำ แต่งตัว เอาผ้าขนหนูมายีผมที่สระเสร็จแล้วให้หมาดๆ ก็ว่าจะเช็คเฟสบุ๊คซะหน่อย
หืมม โทรศัพท์ ไอโฟนผมไปไหน ทำไมในกระเป๋าสะพายมันไม่มี
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก... น้องแก๊ง อาบน้ำเสร็จแล้วใช่มั๊ยครับ”
“คะ... ครับ”
“โทรศัพท์เราอยู่กับพี่ ตะกี๊พี่บอกว่าเดี๋ยวเราก็ไม่ฟัง เปิดประตูให้หน่อยครับ”
อ้าว เหรอ อยู่กับพี่กรตอนไหนว่ะ.. ก็เปิดประตูขอโทรศัพท์คืน
“แกร๊ก... ครับผม... ขอบคุณครับพี่กอ...”
เปิดประตู...ยังไม่ทันได้เงยหน้ามอง
“เฮ้ย!!!....... ปึ้ง!! แกร๊กก!! ครึก!!!”
ไอ้พี่กร ไอ้หมอเลว มัน.... มันกอดผมไว้ แล้วดันตัวเองเข้ามาในห้อง ปิดประตูลงกลอน ใส่สายยูเฉยเลย
“พี่กร! พี่กรๆๆ จะทำอะไร ปล่อยยยย........อุ๊บ!!!”
แล้วก็ถอยรวดดดดดดดดดดดด จนเซ ล้มใส่เตียงในท่า....ไอ้หมอคร่อมอยู่ข้างบน ส่วนผม ก็ข้างล่าง
“พี่กร... น้องบอกแล้วไงว่า ไม่เอา”
หน้าไอ้หมอ ยิ้มมมมมมม จนแก้มจะปริเลย
“ก็คนดื้อ.. ไม่ยอมบอกที่ถาม มีความลับกับพี่ ต้องดัดนิสัยซักหน่อย ก่อนจะเป็นแฟนกัน”
“เฮอะ... นี่พี่... ยังติดใจเรื่องน้องเข้าวงได้ยังไง กับเรื่องทำไมน้องร้องเพลงสองเสียง จนต้องทำอย่างนี้เลยเหรอ”
“ก็ป่าว... แต่พี่ไม่ชอบ ไม่อยากให้แก๊งมีความลับเดี๋ยวมันจะติดนิสัย”
“พี่กร.. น้องบอกแล้วไงว่าน้องพูดไม่ได้จริงๆ”
“ไม่เอา!! พี่ไม่ชอบคำนี้ จะพูดไม่พูด!!”
“เฮ้ยเดี๋ยว! เดี๋ยวๆ พี่กร ทำอะไร??”
มือ มือไอ้หมอกร มือมัน มือมันจับเอวผม
“จะบอกไม่บอก”
“พี่กรอย่า!! อย่า!! ฮ่า ฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า พี่ก๊อนนน น้องบ้าจี๊ อ๊ากกก อย่า ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...!!”
“ถ้ายังไม่บอกพี่ก็จะทำอยู่อย่างนี้ล่ะ จะบอกไม่บอก”
“พี่กร น้องบอกไม่ได้ อ๊า!! ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อย่า ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
“จะบอกไม่บอกครับที่รัก”
“พี่กร ขอ..อ๊า ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ พี่กร อ๊า ฮ่าๆๆๆๆๆๆ พอครับพอ พอๆ น้องบอกแล้ว ยอมแล้ววว”
มันก็ค่อยหยุดไต่มือไปมาตามจุดบ้าจี๊ผม สภาพผมตอนนี้ แทบหายใจโรยริน ไม่มีแรงสู้
“ตาลอยเชียว.. แห๊ม น่าขย้ำจริงๆ”
“เฮ้อ เฮอ เฮอ... ไอ้หมอบ้า!!”
“ว่าอีกเดี๋ยวพี่จูบปากเลย จะว่าไปแก๊งไม่มีแรงแบบนี้ก็ดีนะ จะทำอะไรก็ได้ ไหน ดูสิ”
ได้ทีไอ้หมอมันก็จะถกเสื้อกูขึ้นเลย... พยายามเอาแรงน้อยๆ ดันเอาไว้ก่อน
“โอเคครับพี่กร ยอมล่ะ ยอมจริงๆ จะเล่าให้ฟังแล้ว ขอพักหายใจก่อน เฮอ เฮอ เฮอ...”
“คร้าบบๆ ไม่เล่นล่ะ”
“แล้ววว จะให้น้องเล่าท่านี้เหรอครับ”
คือ ยังคร่อมทับผมอยู่เลยไอ้พี่กร.. ถามมันไปก็ไม่ตอบได้แต่ยิ้ม แล้ว... ล้มไปนอนกอดผมอยู่ข้างๆ
“เปลี่ยนท่าก็ได้ครับ เอาท่านี้ล่ะ เห็นหน้าแก๊งใกล้ดี แถมแก๊งจะได้ไม่หนีพี่ด้วย”
เฮ้ออออ... หมดคำจะพูด
ผมก็เงยหน้ามองเพดานสีขาวสักนิด นึกเรียบเรียงเรื่องราวทั้งหมด.. ก่อนจะเริ่มคำพูดว่า
“พี่กร... เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องเมื่อห้าปีก่อน ตั้งแต่ตอนที่น้องยังอยู่ ม.4 เองครับ จริงๆ แล้ว ครอบครัวน้องไม่ได้มีแค่ตัวน้องคนเดียวหรอกครับ น้องยังไงพี่สาวกับน้องชายอยู่...”
**__เนื้อเรื่องพิเศษที่ 2 :: อดีตอันขมขื่น กับรอยยิ้มเมื่อร้องเพลง__**
บ้านผมเค้ามีลูกสามคนครับ คนโตเป็นผู้หญิง เกิดก่อนผมหนึ่งปี ชื่อพี่กิ๊ง ส่วนคนเล็กเป็นผู้ชาย เกิดทีหลังผมสามปี ชื่อน้องก๊อง พวกผมสามคนเกิดมาในครอบครัวฐานะปานกลางอันแสนอบอุ่น มีพ่อเป็นครู มีแม่ทำงานเปิดร้านขายอาหารอยู่ในเมือง ชีวิตในตอนแรกถึงจะมีหนี้สินติดตัวอยู่บ้าง แต่ก็อยู่กินกับแบบสบายๆ ครับ
แล้วครอบครัวผม เค้าก็มีงานอดิเรกอย่างนึงที่เหมือนกันครับ คือ “ร้องเพลง”
ซึ่งตั้งแต่เด็กๆ ผมก็ได้ฟังพี่กิ๊งร้องเพลงอะนิเมะการ์ตูนต่างๆ ได้อย่างไพเราะมาก แถมน้องก๊องก็เป็นคนมีลูกคอ ร้องเพลงบัลลาดทรงพลังได้อย่างน่าขนลุกตั้งแต่ยังไม่เข้าประถม ซึ่งตอนนั้นผมก็ยังแค่ ป.1 ร้องเพลงได้ห่วยแตกสุดๆ เพราะยังไม่รู้ว่าต้องร้องยังไง
แต่ด้วยความทะเยอทะยานที่มีพี่สาวร้องเสียงผู้หญิงก็เพราะ มีน้องชายที่ร้องเสียงผู้ชายได้อย่างทรงพลัง น่าขนลุก มันทำให้ผมพยายามฝึกและฝืนให้ตัวเองทำทั้งสองเสียงได้มาตั้งแต่เด็ก จนมันกลายเป็นการบังคับกล้ามเนื้อตรงลูกกระเดือกได้ ทำให้ผมสามารถร้องเพลงสองเสียงได้ในปัจจุบัน
เมื่อพี่กิ๊งขึ้น ม.4 มา พี่กิ๊งสอบเข้าโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเดียวกันกับผมได้ และด้วยความที่ร้องเพลงเพราะ พี่กิ๊งเลยได้เจอกับ พี่ฟ่าง พี่เฟิน พี่เอิน พี่อิ๋งๆ ที่เรียนอยู่สาธิตที่เดียวกัน เลยรวมตัวกันทำวงดนตรีขึ้น เรื่องทั้งหมดเลยเริ่มจากจุดนั้น
จนเมื่อผมขึ้น ม.4 มาเหมือนกัน แต่สอบเข้าโรงเรียนสาธิตของพี่กิ๊งไม่ได้ ก็ไม่เสียใจ ยังตั้งใจเรียนที่โรงเรียนประจำจังหวัดให้ได้เกรดดีๆ ไม่ทำให้พี่กิ๊งและพ่อแม่ลำบากใจ
จนเมื่อปิดเทอมหน้าร้อนปีนั้นเริ่มขึ้น......................คือวันที่ทั้งพี่สาว และน้องชายผม เค้าถูกฆ่าตาย
เพราะพ่อแม่ผม ก่อนที่จะคบกัน แม่ผมเค้าไม่ใช่ลูกชาวบ้านคนธรรมดา บ้านแม่ผมเป็นถึงเจ้าของกิจการที่มีเงินทุนระดับใหญ่โตของประเทศ มีทรัพย์สินและที่ดินประเมินเป็นตัวเลขเก้าขึ้นไป แต่ในขณะที่พ่อผมเค้าเป็นแค่ลูกชาวนาธรรมดา ตอนแรกก็ยากจน พอได้มาพบรักกับแม่ ความรักเป็นไปไม่ได้จึงเกิดขึ้น พ่อกับแม่ผม เลยหนีตามกันมาสร้างครอบครัวใหม่
แต่จะไปว่าแม่ผมไม่ดีก็ไม่ได้ เพราะทางบ้านฝั่งคุณตาคุณยาย ท่านมีลูกสี่คนต่างก็ทำแบบนี้ทั้งหมดหมด เพราะคุณตาคุณยายเป็นพวกหัวโบราณ เข้มงวด และตีกรอบลูกมากเกินไป ทำให้ลูกตัวเองต้องทำแบบนี้เมื่ออยากจะสมหวังในรัก นั่นรวมไปถึงแม่ผมด้วย เมื่อหนีตามกันไป และความกลัวในนิสัยของคุณตาคุณยาย จึงไม่มีใครกลับมาเหลียวมองพ่อแม่ตัวเองเมื่อเริ่มแก่เฒ่าและดูแลตัวเองไม่ได้ ทำให้คุณตาคุณยายท่านเสียใจ และคับแค้นใจทุกคนมาก.... ยกเว้น ครอบครัวผม
ถึงแม้แม่ผมจะหนีตามพ่อผมมาเหมือนพี่น้องคนอื่นๆ แต่แม่ผมเป็นคนเดียวในบ้านที่หิ้วหลานๆ ทั้งสามคนกลับมาเล่นกับคุณตาคุณยายทุกปี แถมตอนนั้นผมยังเด็ก ไม่รู้ประสีประสาอะไร รู้แต่ว่าตอนนั้นคุณตาคุณยายใจดีมาก ทำให้พวกผมอยากไปบ้านคุณตาคุณยายทุกวัน แต่แม่ก็บอกว่าพวกเราไปได้แค่ปีละสองสามครั้งเท่านั้น เพราะตอนนั้น แม่ผมยังรู้ว่ายังไงคุณตาคุณยายก็คงไม่ให้อภัย ถึงแม้จะหอบหลานไปเล่นทุกวันก็ตาม
จนเมื่อคุณตาคุณยายท่านเสียด้วยโรงมะเร็งทั้งคู่ พวกผมก็ไม่ได้ไปงานศพ
คุณแม่บอกว่างานศพของพวกท่านมีแต่พี่น้องคุณแม่ที่มีนิสัยหน้าเลือดทั้งนั้น ต่างพากันรอมรดกของคุณตาคุณยายที่เขียนเอาไว้ในพินัยกรรม ว่าอย่างน้องน่าจะตกถึงพวกตัวเองสักเจ็ดหลักแปดหลัก ซึ่งคุณแม่ไม่อยากให้พวกผมสามคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรต้องไปอะไรเจอแบบนั้น เลยตั้งใจไปงานศพ และฟังพินัยกรรมเพียงคนเดียวโดยไม่เอาพวกผมและคุณพ่อไปด้วย
เมื่อคุณแม่กลับมา ท่านก็หน้าเสีย และเล่าให้คุณพ่อฟังอย่างเดียว ไม่บอกพวกผมว่า
คุณตาคุณยาย ท่านยกพินัยกรรมให้พวกผมสามคนทั้งหมด!
เพราะแค้น เพราะเสียใจ และเพราะรักพวกผมที่มาใหม่ ทำให้คุณตาคุณยายตัดสินใจเปลี่ยนพินัยกรรม ยกมรดกทั้งหมดเกือบสิบหลักให้พวกผมถือครองโดยพ่อและแม่พวกผมจะเข้ามาจัดการแทนไม่ได้ เรื่องวุ่นวายทั้งหมด จึงเกิดขึ้น
วันนั้น เพราะพ่อติดสอน แม่จึงพาพวกผมสามคนไปรับพินัยกรรม เพราะวันนั้นแม่ผมเค้าอยากได้มรดกบางส่วนมาใช้หนี้ที่บ้าน แต่มรดกมันตกเป็นของพวกผมสามคน โดยที่พ่อกับแม่ก็จัดการอะไรไม่ได้ตามคำสั่งในพินัยกรรม ผู้จัดการมรดกแทนจึงตกเป็นของทนาย แม่จึงไม่ปรึกษาพ่อและใช้โอกาสที่พ่อติดสอน แอบพาพวกผมสามคนไปรับมรดกกับคุณลุงทนายเพื่อมาใช้หนี้ ทั้งที่พ่อก็บอกแม่ไปแล้วว่า อย่าไปยุ่งอะไรเลย
แต่แม่ผมเค้าก็ไม่ฟัง และไม่คิดว่าพี่น้องในไส้ของตัวเองจะวางแผนตลบหลัง
ในเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำ ระหว่างทางที่สองข้างทางเป็นป่ารก ไร้ผู้คน รถพวกผมก็ถูกเจาะยางที่นั่น
พวกผมถูกพวกพี่น้องคุณแม่ที่ปลอมตัวมาเป็นโจรเข้ามาดักทำร้าย แม่กับพี่กิ๊งพยายามช่วยผมและน้องก๊องให้หนีสุดชีวิต พวกผมเลยหนีไปได้ โดยที่ไม่รู้เลยว่า นั่นคือการแลกชีวิตของพี่กิ๊งไปแล้ว ซึ่งพวกโจรก็พยายามจะไว้ชีวิตแม่ผมไว้เพราะพวกพี่น้องยังคิดว่ามีประโยชน์
แต่ผู้ร้าย มันก็เร็วของมัน มันไล่ล่าพวกผมทันจนคว้าตัวผมไว้ได้ แต่น้องก๊องก็พยายามให้พวกมันปล่อยผมจน
น้องก๊อง ถูกยิงตาย ต่อหน้าต่อตาผม
จังหวะที่คนร้ายคิดว่าอะไรอะไรมันก็เป็นไปแล้ว เมื่อทายาทมรดกสองคนตายไป ถ้าอีกคนตายมรดกก็ต้องตกไปตามลำดับของผู้ถือครอง นั่นก็คือพ่อกับแม่ผม โดยที่ไม่มีข้อความว่าเข้ามาจัดการแทนไม่ได้เหมือนในพินัยกรรมที่เขียนเอาไว้ พวกมันจึงคิดว่าง่ายขึ้น เลยเล็งปืนขึ้นมากำลังจะยิงผม
แต่โชคดี ที่พ่อของผม เค้าพกคุณลุงที่เป็นตำรวจตามมาทันเวลา และช่วยชีวิตผมไว้ได้
แต่ผลลัพธ์สุดท้าย มันก็สายไปแล้ว ทั้งพี่กิ๊ง และน้องก๊อง
ไม่เหลือใครอีกแล้ว
ผมกลายเป็นเด็กซึมเศร้า พูดอะไรไม่ออก พ่อกับแม่ก็ทะเลาะกัน เพราะเรื่องที่พ่อผมพยายามไม่ให้แม่ไปยุ่งเกี่ยวกับพินัยกรรม แต่แม่ดื้อเพราะเรื่องหนี้สินทำให้ต้องเสียพี่กิ๊งกับน้องก๊องไป สุดท้ายแม่จึงตัดสินใจรับผิดชอบทุกอย่าง ด้วยการหย่าร้างกับคุณพ่อ และติดต่อกับคุณลุงทนายเพื่อขอยืมบางส่วนให้พ่อพาผมหนีไปที่ไหนก็ได้ที่ไกลที่สุด เพื่อที่จะได้ปกป้องชีวิตสุดท้ายของผม
แต่ผมก็ไม่ไป.. ผมดื้อ และไม่อยากไปไหน
ผมไม่รับรู้อะไรเลย ไม่รับรู้ว่าตัวเองตกอยู่ในอันตรายแค่ไหน ผมรู้แค่ว่าที่นี่คือบ้านของผม มีพี่กิ๊ง มีน้องก๊อง มีเสียงเพลงที่พวกผมสามคนร้องด้วยกัน มันเป็นเพลงที่ไม่รู้ความหมาย แต่เป็นเพลงที่เพราะที่สุดเท่าที่ผมเคยร้องในสมัยนั้น
เพลง TsuKiAKaRi Ochitekuru YoRu จากเรื่อง Crayon Shinchan
(เนื่องจากเพลงนี้โดนล้างเหี้ยนออกไปจากยูทูปแล้ว แต่คนอัพมีคลิปเพลงเต็มอยู่นะครับ ถ้าใครอยากได้ จะคงให้นะครับ) “แก๊ง พี่อยากให้แก๊งร้องเพลงนี้แบบเสียงผู้หญิงทั้งเพลงนะ แถมจะดีด้วยนะถ้าจะเต้น พี่เองก็อยากเต้น อะชึบๆ!”
“พี่แก๊ง แก๊งชอบเสียงผู้หญิงพี่แก๊งนะ แต่เสียงผู้ชายพี่เพราะกว่าอ่ะ เพลงนี้ร้องผู้ชายเหอะ ไม่ต้องเต้นด้วย”
“ใครว่าล่ะก๊อง เพลงนี้ต้องเสียงผู้หญิงสิ แถมถ้าเต้นนะ มันจะสวยมาก”
“ผู้ชาย!! ไม่เต้น เต้นทำไมจังหวะช้าๆ แต๋วแตกพอดี”
“ผู้หญิง!! เต้น จะทำไม”
“ผู้ชาย!! ไม่เต้น”
ประโยคที่ทะเลาะกันทุกครั้งเมื่อผมร้องเพลงนี้ มันยังจำในหัวผมไม่ลืม เมื่อผมเปิดเพลงนี้ และร้องไปตามท่อนของตัวเอง ตาก็จะมองไปที่เฉลียงนอกบ้าน เห็นภาพพี่กิ๊งกับน้องก๊องร้องเพลงนี้ไปด้วยกัน
แต่มัน.... ไม่มีแล้วว ภาพของทั้งสองคนที่กำลังยิ้ม ค่อยๆ หายไป กลายเป็นภาพสีขาวดำที่เขียนว่าชาตะ...กับมรณะ
“ฮืออออออออออ”
ผมได้แต่ร้องไห้ ไม่มีแม้แต่จะเปล่งคำแรกออกมาเป็นโน๊ตตัวได้เลย
เมื่อผมดื้อไม่ออกจากบ้าน แม่ผมจึงตัดสินใจที่จะกลับไปที่บ้านใหญ่เพื่อเผชิญหน้ากับพี่น้องของตัวเอง ดึงความสนใจและถ่วงเวลาให้ผมได้มีโอกาสรักษาตัวกับจิตแพทย์เนื่องจากโรคซึมเศร้า จนให้ปากคำกับตำรวจไม่ได้ ต้องรักษาจิตใจให้หายก่อนจนกว่าตำรวจจะยอมรับว่า พร้อมต่อการให้ปากคำแล้ว ดังนั้นแม่ผมจึงพยายามยืดคดีนี้ให้นานที่สุด ถึงแม้จะต้องขายพี่น้องกันเองก็ไม่ยอมให้คนชั่วลอยนวล แต่จนแล้วจนรอด สองเดือน ผมก็ยังไม่ดีขึ้น
และคนที่มาเปิดใจผมคนแรก คือพี่ก้อย พี่สาวข้างบ้าน
พี่เค้าค่อยๆ เปิดใจผมทีละนิดๆ จนเข้าสู่เดือนที่สาม ผมเริ่มมองเห็นสิ่งที่เรียกว่า พระธรรม
พี่ก้อยใช้พระธรรมค่อยๆ พาผมออกมาจากโลกแห่งความฝันที่ผมสร้างเอาไว้เพื่อป้องกันตัวเอง พี่ก้อยเตือนสติให้ผมกลับมาจากจุดนั้นเพื่อปกป้องคนที่ตัวเองรัก และสิ่งแรกที่ผมควรจะทำนั่นก็คือ
การให้ปากคำกับตำรวจ
แต่ตำรวจที่รับผิดชอบคดีนี้ ผมคงบอกได้เต็มปากเลยว่า ฝ่ายพี่น้องของแม่ผมเค้าใต้โต๊ะไปเรียบร้อยแล้ว
ผมคงช้าไป และหนทางที่จะสู้เพื่อพี่น้องของตัวเอง ก็คงเหลือแต่ทางสุดท้าย
วันนั้น ผมปรึกษากับพ่อ เพื่อแผนการทั้งหมด เรียกญาติพี่น้องฝ่ายแม่ที่เกี่ยวข้องมาที่บ้านสวนริมแม่น้ำ พร้อมกับติดตั้งอุปกรณ์อัดวิดีโอและอัดไฟล์เสียงไว้เรียบร้อย จึงเหลือขั้นตอนแค่ผม ใช้มรดกมากองตรงหน้าพวกนั้น แล้วพยายามคุยเพื่อเค้นความจริงและผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดออกมา
เมื่อเงินตรงหน้าทำให้คนหน้ามืดฆ่าคนตายได้ นับประสาอะไรกับการจะพูดความจริง แผนการนี้สำเร็จด้วยดีเพราะพ่อผมก็ช่วยมาคิดให้มันรัดกุมยิ่งขึ้น แถมมันทำให้ผมกับพ่อสนิทกันมากขึ้นอีกด้วย เมื่อคนร้ายทุกคนจับได้โดยละม่อมพร้อมหลักฐานที่ดิ้นไม่หลุด ภาพที่ผมเห็นน้องก๊องยิงตายต่อหน้าต่อตา ก็ค่อยๆ เลือนหายไป
จนมันกลายเป็นแค่ความทรงจำ.... เมื่อในกฏหมายลงโทษญาติพี่น้องของแม่ที่เกี่ยวข้องกับคดีทั้งหมด ว่า ประหารชีวิต และไม่มีการอุทรณ์หรือฏีกาใดๆ ทั้งสิ้น
เหมือนจิตใจของผม ได้เริ่มต้นใหม่ อีกครั้ง..
ผมเหมือนได้เกิดใหม่ เมื่อหลับตาลงไปก็ไม่มีภาพน้องก๊องถูกฆ่า หรือภาพศพพี่กิ๊ง แต่ผม.. ผมได้ยินเสียง..
“แก๊งรู้มั๊ย พี่ไปเรียนที่สาธิต เจอเพื่อนห้าคนที่สวยมาก ร้องเพลงเก่งเหมือนกันเลย แถมตั้งวงดนตรีแล้วนะ”
“จริงเหรอพี่กิ๊ง ดีจังเลย แก๊งอยากทำแบบนั้นบ้างจัง”
ประโยคที่แว่บเข้ามาในหัวผม ทำให้ผมรีบค้นในของใช้ส่วนตัวของพี่กิ๊ง จึงเห็นรูปถ่ายหกคนที่เขียนไว้ข้างหลังภาพว่า “วงดนตรีในฝัน” ผมรู้ทันทีเลยว่า นี่คือโอกาสอันเดียวของผม ที่จะทำให้ผมกลับมาร้องเพลงได้อีกครั้ง ผมเลยไปขอพ่อว่าอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ อยากเดินตามรอยเท้าพี่กิ๊งที่ทิ้งไว้ ไม่อยากให้มันหายไป พ่อผมจึงใช้เงินที่เหลือจากการทำงานเป็นครูช่วยสนับสนุนให้ผมสอบเข้า ม.5 ที่โรงเรียนสาธิตมหาลัยของผมในปัจจุบันด้วยวิธีการพิเศษ
และมันก็เข้าได้ มันทำให้ผมได้พบกับพี่เฟิน พี่ฟ่าง พี่เอิน พี่ออย พี่อิ๋งๆ
ผมจำได้เลยว่า วันแรก ที่ผมเข้าไป.. ผมกำลังเห็นพี่พี่ทั้งห้าคนที่พี่กิ๊งเคยเล่าให้ผมฟังและอยู่ในรูปถ่ายของพี่กิ๊ง กำลังเดินผ่านผมไปโดยไม่สนใจว่าผมจะหน้าตาเหมือนใคร ผมจึงร้องเพลง TsuKiAKaRi Ochitekuru YoRu จากเรื่อง Crayon Shinchan ออกไปตามสไตล์พี่กิ๊ง แต่ใช้ทั้งเสียงผู้ชาย และเสียงผู้หญิง
ซึ่งพวกพี่เค้าก็สะดุด หันกลับมาฟัง และจำได้ทันที ว่าสไตล์การร้องแบบนี้ คือใคร พวกพี่เค้าถึงได้นึกออก ว่าผมคือน้องชายที่รอดชีวิตจากโศกนาฏกรรมครั้งนั้นของครอบครัวผม เริ่มสนิทสนม เริ่มยอมรับในตัวผม และรับผมเข้าไปอยู่ในวงที่พี่กิ๊งภูมิใจ ถึงแม้จะเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวในวงก็ตาม
จนสี่ปีผ่านไป ผมเข้าเภสัชได้ พี่อิ๋งๆ เรียนทันตะ พี่ฟ่างเรียนวิทยาการจัดการกับพี่อ้อย พี่เฟินเรียนศิลปกรรม และพี่เอินเรียนมนุษย์ภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยเดียวกันทั้งหมด ซึ่งพวกเราทุกคนต่างมีกันและกันตลอดสี่ปีที่ผ่านมา
มันคือความสุขเดียวที่ทำให้ผมได้นึกถึงรอยยิ้มของพี่กิ๊ง เมื่อผมร้องเพลงเสียงผู้หญิง
มันคือความเข้มแข็งเพียงหนึ่งเดียว ที่ทำให้ผมได้นึกถึงความน่ารักของน้องก๊อง เมื่อผมร้องเพลงเสียงผู้ชาย
และเมื่อผมได้เต้น มันคือการปลดปล่อยให้ตัวเองได้ลืมเรื่องทั้งหมด ให้พี่กิ๊งที่ชอบการเต้นแต่เต้นไม่ค่อยเก่ง กับน้องก๊องที่ไม่ชอบการเต้นเท่าไหร่แต่ถ้าให้เต้นก็ได้ ได้มาเต้นอยู่ข้างๆ ผม
เหมือนผม ต้องมีความสุขให้ได้ เพื่อคนที่เสียไปแล้ว
เพื่อพี่กิ๊ง เพื่อน้องก๊อง ที่ถูกจบชีวิตไปด้วยมรดกเลือดกองนั้น ผมจึงซ่อนมัน ซ่อนมรดกมันเอาไว้ในมุมที่ไม่ให้ใครเห็นอีก ไม่ให้ใครรับรู้ได้อีกว่า มรดกพันล้าน มันเป็นของผม
ทุกวันนี้ หลังจากที่พ่อผมเลิกกับแม่ ชีวิตพ่อผมก็ดีขึ้น เมื่อผมตัดสินใจมาเรียนที่นี่ พ่อผมจึงเริ่มเข้างานเครือข่ายบีเอ็นจนปัจจุบันนี้ พ่อผมก็กลายเป็นเศรษฐีเงินล้านมีความสุขไปแล้ว
ส่วนแม่ผม หลังจากที่คดีทั้งหมดจบลง ก็แต่งงานทางธุรกิจเพื่อวงศ์ตระกูลของตัวเอง เนื่องจากไม่มีพี่น้องที่สืบเชื้อสายจากคุณตาคุณยายโดยตรงและใช้นามสกุลเดิมของตระกูลแล้ว คุณแม่จึงไม่มีที่ไป และก็ไม่คิดจะกลับมาคืนดีกับพ่อ ตัดสินใจต่อสู้กับความลำบากนั้นต่อไปโดยไม่มีเวลาให้ผมเลย แต่ผม ก็ไม่เป็นไร
เพราะตอนนี้ ผมมีความสุขดี
ถึงแม้ทุกครั้งที่ผมนึกถึงเรื่องนี้.. มันจะทำให้ผม
ร้องไห้ เพราะคิดถึงพี่กิ๊ง
ร้องไห้ เพราะผมปกป้องน้องก๊องไม่ได้เลยในตอนนั้น
ร้องไห้ ไปกับเพลง TsuKiAKaRi Ochitekuru YoRu
แต่ผมก็จะ ปาดน้ำตาด้วยความเข้มแข็งให้ได้ทุกครั้ง แล้วร้องเพลงออกมาทั้งเสียงผู้ชายและเสียงผู้หญิง เพื่อที่จะส่งเพลงนั้นด้วยรอยยิ้ม ไปให้ทั้งสองคนบนสวรรค์ว่า
แก๊งมีความสุขดี
**__จบเนื้อเรื่องพิเศษที่ 2__**
น้องเล่าจนจบ น้ำตาน้องมันก็ไหลออกมา ถึงจะพยายามใช้มือและแขนปาดออกไปเท่าไหร่ก็ไม่หมดสักที จนพี่กรก็เอานิ้วมาเช็ดให้
“นี่ล่ะครับ พี่กร.. คือเหตุผลทั้งหมดว่าทำไม น้องถึงร้องเพลงสองเสียงได้ น้องถึงอยู่กับพี่พี่ในวงดนตรีได้ ทั้งหมด มันเกี่ยวกับ พี่สาวและน้องชายน้องเอง....”
“พี่ขอโทษนะแก๊ง พี่ไม่น่าถามเราเลย”
“ไม่เป็นไรครับพี่กร”
ผมมองหน้าพี่กรแล้ว... แล้วมัน...อย่าทำหน้า...
“อย่าทำหน้าอย่างนี้สิพี่กร.. น้องไม่เป็นไรจริงๆ ถึงเห็นอย่างนี้ น้อง!... น้องก็ฝันถึงพี่กิ๊งกับน้องก๊องบ่อยอยู่นะ อึ๊ก!!.. ฮึก!!.. แง๊!!!!!!!!!........”
ไอ้หมอบ้า ทำหน้าสงสารกูทำไม เอาหน้าตัวเองเข้าไปซุกที่อกเลย ฮืออออออ ลูบหัวกูอีก!! ฮือออออ
“โอ๋ๆ อย่าร้องนะคนดี พี่ขอโทษครับแก๊ง พี่ขอโทษ.. ต่อไปพี่จะไม่เค้นเราล่ะถ้าเราบอกว่ามันลำบากใจที่จะเล่า”
“ฮืออออ... น้อง! น้องคิดว่าน้องจะไม่ร้องแล้ว! ฮือออออ... เพราะมันก็ตั้งสี่ปีมาแล้วอ่ะ! ฮึก ฮือออออ... แต่!.. แต่มันทำไมยังร้องก็ไม่รู้!!! ฮือออออ.....”
“ร้องออกมาเลยคับน้องแก๊ง ร้องให้พอเลยครับ พี่จะอยู่ตรงนี้เอง ไม่ไปไหนแล้ว”
“แง๊!!!!!!!!!!!”
ผมร้องไห้อยู่ในอกพี่กรไม่รู้นานเท่าไหร่ รู้แค่ว่า ผมหลับไป
/////////////////////////////////////////////////////PART 1///////////////////////////////////////////////////