องศาเดือด
บทที่ 6
ความรู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยอยู่ในบรรยากาศที่แสนมืดมิด เปลือกตาพยายามขยับเพื่อตามหาแสงสว่าง
ในขณะที่แขนขาก็ค่อยๆขยับให้พ้นจากอาการเมื่อยล้า สติของฮวางจื่อเทากำลังจะกลับคืนมา
ดวงตาคู่สวยกะพริบถี่หัวคิ้วย่นเมื่อต้องหลับตาหนีแสงสว่างอีกครั้ง ก่อนจะลืมตาเต็มที่เพื่อพบกับฝ้าเพดาน
สีขาว และสภาพที่เห็นจนเจนตาของห้องส่วนตัวในบ้านหลังใหญ่ของตัวเอง
ร่างเพรียวผวาลุกขึ้นนั่ง มือบางยกขึ้นบีบที่ขมับเบาๆ เพื่อคลายความปวดและมึนงง เมื่อก้มไปมองร่างกาย
ตัวเองจึงได้เห็นว่าสวมใส่เสื้อผ้าอยู่ในชุดของวันที่ถูกจับตัวไป
เกิดอะไรขึ้น! นี่เขากลับมาที่บ้านของตัวเองได้อย่างไรก็ในเมื่อยังจำได้ว่านอนกอดก่ายอยู่กับนายใน
เคบินไม้อย่างสุขสม ก่อนที่จะ…
นาย…นี่นายทำอะไรกับจื่อเทา!
หัวใจหล่นวูบ จื่อเทากระโดดลงจากเตียงกว้างโผไปที่ประตู ซมซานด้วยหัวใจที่แตกช้ำลงไปที่ชั้นล่างของ
ตัวบ้าน มองเห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคยของฮวางเล่ยผู้เป็นบิดานั่งละเลียดน้ำเหล้าเข้าปากอยู่ที่มุมบาร์ คนเป็น
ลูกชายผวาเข้าหาอย่างรวดเร็ว
“เตี่ย ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
ฮวางเล่ยมองบุตรชายอย่างสงสาร มือหนายกขึ้นลูบหน้าบุตรชายด้วยดวงตาแดงก่ำ
“เมื่อสองวันก่อนมีรถยนต์คันใหญ่พาลูกมาส่งที่หน้าประตูบ้าน ลูกสลบไสลไม่ได้สติจนกระทั่งวันนี้
เทา…บอกเตี่ยมาทีว่ามันทำอะไรลูกบ้าง มันทำร้ายให้ลูกเจ็บปวดใช่ไหม บอกเตี่ยมา”
ความเจ็บปวดนั้น..ใช่ แต่การที่ต้องอยู่โดยไม่มีคนๆนั้น ช่างเจ็บปวดยิ่งกว่า
จื่อเทากัดริมฝีปากแทบแตก เขาโผออกจากอ้อมกอดผู้เป็นบิดา ตรงลิ่วไปที่โรงรถที่ตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่คัน
ก่อนที่จะขับเคลื่อนรถเก๋งคันหนึ่งออกไปจากบ้านอย่างรวดเร็ว
“คุณครับ เข้าไม่ได้จริงๆ บาร์ยังไม่เปิดนี่มันยังตอนบ่ายอยู่เลย ถ้าคุณอยากเที่ยวก็มาตอนหัวค่ำสิครับ”
“กูไม่ได้มาเที่ยว กูมาหาเจ้าของบาร์ มึงไปตามเขามาหากูเดี๋ยวนี้”
ฮวางจื่อเทาตวาดโต้ตอบชายร่างสูงที่กำลังขัดขวางไม่ให้เขาเข้าไปในบาร์ที่เคยพบกับอี้ฝานครั้งแรก
เขาพยายามดันร่างเข้าไปในทางเข้าทั้งที่อีกฝ่ายก็ยังยกแขนกางกั้นเต็มที่ ในขณะที่มีเสียงดังมาจากด้านใน
“เกิดอะไรขึ้น”
ชายวัยกลางคนร่างอวบอ้วนเดินตรงลิ่วมา เขาส่งสายตารำคาญมองมาทางฮวางจื่อเทา
“คุณเป็นใคร มาทำอะไรที่บาร์ของผมตอนนี้”
ดวงตาเรียวเบิกกว้าง
“บาร์ของคุณ ผิดล่ะ นี่มันบาร์ของนาย เอ่อ…พี่อี้ฝานต่างหาก”
“จะบ้าหรือไง ผมเป็นเจ้าของบาร์นี้มาตั้งนานแล้ว คุณนี่หน้าตาก็ดี แต่พูดอะไรเหมือนคนบ้า อี้ฝงอี้ฝานที่
ไหนวะ ไม่เห็นจะรู้จัก”
ดวงตาชั้นเดียวลีบเล็กเขม้นมองจื่อเทาอย่างหงุดหงิด
“อาลิ่ว ลื้อกันไอ้หมอนี่ไว้ให้ดี อย่าให้เข้ามายุ่มย่ามในบาร์ของอั้วะ”
พูดจบก็ส่ายหัวแล้วเดินกลับเข้าไปด้านใน ทิ้งให้จื่อเทามองตามหลังอย่างงงงัน
เป็นไปไม่ได้…
เขามาไม่ผิดแน่ ใครจะลืมสถานที่ ที่ยังจารึกอยู่ในหัวใจได้
เหลือบตามองร่างหนาของคนที่ยืนกันทางเข้าอย่างขึงขัง ร่างสูงถึงกับคอตก เขากล้ำกลืนน้ำตาพาตัวเอง
ขับรถเก๋งกลับมาถึงบ้านได้อย่างไรก็ยังไม่รู้ จนเมื่อเดินอย่างโผลเผลเข้ามาถึงห้องโถงกว้างของตัวบ้าน
ฮวางจื่อเทาก็ถึงกับเข่าทรุดลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้นพลางก้มหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป
“เทา”
ฮวางเล่ยมองอย่างตกใจเมื่อเห็นสภาพบุตรชาย เขาตรงลิ่วมาคว้าร่างของจื่อเทาไว้ คนเป็นลูกก็ผวาเข้า
กอดบิดาเหมือนเมื่อครั้งยังเป็นเด็กเล็กๆ
“เตี่ย ผมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา ผมรักเขา รักมาก นาย… นายอย่าทิ้งอาเทาไป นายต้องอยู่กับอาเทา นาย..”
จื่อเทาคร่ำครวญอยู่กับอกของบิดาจนหมดแรง ฮวางเล่ยตะโกนลั่นเรียกคนรับใช้ให้รีบพาบุตรชายขึ้นไป
นอนหมดสภาพอยู่บนเตียง อกของคนเป็นพ่อแทบขาดใจเมื่อเห็นลูกร้องไห้ตัวโยนจนกระทั่งหลับใหลไปทั้ง
คราบน้ำตา
“เทาเอ๋ย นอกจากเขาจะพรากร่างกายของลูกไปแล้ว เขายังนำหัวใจของลูกไปจากเตี่ยอีกด้วย”
ฮวางเล่ยมองร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงอย่างทดท้อ มือใหญ่เอื้อมไปลูบศีรษะของจื่อเทาเบาๆ เขามอง
ใบหน้าของบุตรชายอย่างห่วงใย ก่อนที่สายตาจะชะงักเมื่อเลื่อนลงไปเห็นรอยจางๆบนแผ่นอกที่พ้น
สาบเสื้อขึ้นมา
อดีตหัวหน้าแก๊งไวท์สวอนปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตแล้วกางออกอย่างรวดเร็ว เขาก้มหน้าอ่านรอยแผลเป็นที่จาง
จนเกือบจะมองไม่ชัดนัก แต่มันก็ยังพออ่านได้และทำให้ฮวางเล่ยอ้าปากค้าง
“สมบัติของอี้ฝาน”
อี้ฝาน….เขาเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนกันนะ
ภาพเด็กชายวัยรุ่นร่างสูงโปร่งเนื้อตัวมอมแมมจากงานหนักผุดขึ้นมาในความทรงจำ สมองหมุนติ้ว
ประมวลเหตุการณ์ มือใหญ่คว้าผ้าปูที่นอนมากำไว้ในมือแล้วขยำจนแทบขาด
แก้แค้น มันคือการแก้แค้นของเด็กหนุ่มคนนั้น เด็กหนุ่มที่เขาเกือบจะลืมไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาจะไม่มีวันลืม
ได้ลงกับสิ่งที่เด็กหนุ่มในอดีตได้กระทำต่อเขาโดยมีบุตรชายเป็นเครื่องมือ
บุตรชายของเขา มีสภาพเหมือนอี้ชิงไม่มีผิดเพี้ยน
ฮวางเล่ยยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไปบุตรชายของเขาก็เหมือนคนที่ไร้
วิญญาณเข้าไปทุกวัน
หนุ่มน้อยที่เคยร่าเริงบัดนี้หมกตัวอยู่แต่ในห้อง นั่งเหม่ออยู่ที่เก้าอี้ริมหน้าต่าง สายตาคู่สวยตอนนี้แห้งผาก
ไร้น้ำหล่อเลี้ยงทอดสายตาออกไปภายนอกอย่างไร้ซึ่งจุดหมาย ร่างกายยิ่งผ่ายผอมลงไปเรื่อยๆ
ฮวางเล่ยยอมแพ้…
เขาพยายามติดต่อคนในแก๊งแบล็คดราก้อนเพื่อขอพบ “คริส” ผู้เป็นประมุข แต่ก็ไม่ได้ผลเมื่อคนที่เขารู้จัก
บอกว่า ไม่เคยมีใครในแก๊งติดต่อคริสได้ ทุกคนต้องรอเพื่อให้คริสเป็นคนติดต่อกลับมาเอง มันทำให้
ฮวางเล่ยยิ่งว้าวุ่น เขาพยายามไปตามหาในแหล่งที่คิดว่าจะหาตัวต้นเหตุพบแต่ก็คว้าน้ำเหลวอีกหลายครั้ง
จนแทบถอดใจ
เหลือที่สุดท้าย …สถานที่ที่เขาจำได้ แต่ก็ไม่เคยคิดจะกลับไปเหยียบที่นั่นอีก
เพราะเขากลัวความทรงจำจากที่นั่น
ฮวางเล่ยหมุนพวงมาลัยรถให้เคลื่อนไปอย่างคุ้นชิน แม้จะไม่อยากมาแต่กลับไม่เคยลืม เขาถอนหายใจ
หนักหน่วงเมื่อรถเก๋งเลี้ยวเข้าไปในซอยเล็ก ก่อนที่จะไปหยุดนิ่งสนิทอยู่ที่ริมรั้วที่คุ้นเคย
เมื่อก้าวลงจากรถ ฮวางเล่ยก็ต้องมองอย่างแปลกใจกับสิ่งที่ปรากฎกับสายตา บ้านหลังเก่าที่เขาเคยต่อเติม
ให้หายไปแล้ว ในตอนนี้มีแต่บ้านชั้นเดียวที่ถูกสร้างขึ้นใหม่จนเต็มพื้นที่
มีแต่รั้วที่เหมือนเดิม ฮวางเล่ยก้าวไปหยุดอยู่ที่ประตูเล็กด้านข้าง เขาจำได้ว่ากลอนมันเสียจึงลองผลักเบาๆ
เสียงเอี้ยดของสนิมดังขึ้นก่อนที่ประตูจะเปิดกว้าง เขาจึงได้ก้าวเข้าไปด้านในช้าๆ
ลมหายใจสะดุดเมื่อเห็นร่างสูงสมส่วนยืนนิ่งสองมือล้วงกระเป๋ากางเกงหมิ่นๆ ทอดสายตาเฉยชามาทางเขา
จากเทอเรซเล็กๆก่อนเข้าไปสู่ตัวบ้าน
สายตาที่ทำให้ฮวางเล่ยร้อนสลับหนาวจนแทบก้าวขาไม่ออกอีกต่อไป
“คริส เอ่อ..ไม่สิ อี้ฝาน”
ฮวางเล่ยกัดฟันทัก แต่อี้ฝานกลับก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเองเหมือนมันน่าสนใจกว่าเขาเสียเต็มประดา
ความน่าอึดอัดลอยกรุ่นอยู่ในบรรยากาศ ก่อนที่เจ้าของบ้านจะกล่าวตอบเสียงเรียบ
“ไม่นึกว่าคุณชายฮวางจะจำทางมาบ้านหลังนี้ได้”
“ฉันยังจำได้เสมอ”
ฮวางเล่ยกล่าวตอบพลางสืบเท้าขึ้นไปบันไดไม่กี่ขั้นพาตัวเองไปยืนอยู่ระดับเดียวกับเจ้าของบ้าน
อา…เด็กชายในวันวานบัดนี้โตขึ้นมาก มากจนสูงกว่าเขา สูงกว่าจนเขาต้องเงยหน้ามอง
หน้าตาในอดีตที่ว่าดี ตอนนี้ยิ่งจัดว่าดีมาก ใบหน้ายิ่งเฉยชายิ่งทำให้เสน่ห์เพิ่มพูนจนล้นปรี่
เขาไม่แปลกใจที่บุตรชายของเขาติดอยู่ในบ่วงเสน่หาของผู้ชายที่ยืนเชิดหน้าปรายตามองเขา
“เพียงแต่ไม่อยากมาเพื่อรื้อฟื้นความทรงจำที่เจ็บปวด”
“เจ็บ?”
ดวงตาคมดุของอี้ฝานเบิกกว้างพร้อมคิ้วเข้มที่เลิกสูง มุมปากแค่นยิ้ม
“คุณชายฮวางรู้จักความเจ็บปวดด้วยหรือ”
“ฝาน”
ฮวางเล่ยเรียกชื่อเสียงหนัก เรียกชื่อเหมือนที่เขาเคยเรียกยามอดีต
“ใช่ว่าฉันจะไม่รู้สึกอะไร ฉันเองก็เจ็บนะ นายเองก็อย่าลืมว่านายก็มีส่วนผิด ถ้านายเห็นคนของนาย
กำลังทำอะไรเกินเลยกับคนอื่น นายจะอยู่นิ่งได้ไหม”
ฮวางเล่ยยืดอกสบตากับดวงตากร้าวที่จ้องมองตน
“ฉันเองก็ยอมรับผิดที่หุนหันพลันแล่นเรื่องแต่งงาน เป็นเพราะเตี่ยของฉันอยากจะให้มีทายาทสืบตระกูล
ท่านหาสะใภ้ไว้ให้นานแล้ว ฉันเองเป็นฝ่ายผัดผ่อนเพราะรู้ว่าถึงแต่งงานไปก็ไม่มีความสุข แต่เมื่อเห็นในสิ่ง
ที่นายทำกับชิงฉันจึงโกรธมาก และกลับไปตอบตกลงกับเตี่ยเรื่องแต่งงานทันที”
ฮวางเล่ยทอดถอนใจ
“แต่ฉันก็ไม่ได้มีความสุขกับชีวิตแต่งงาน และยิ่งเมื่อสูญเสียคนที่ฉันรักไปในวันแต่งงานใครจะไปทนได้”
ดวงตาคาไหววูบ
“คุณรักเฮีย?”
“แล้วคิดว่าฉันไม่รู้สึกอะไรกับชิงเลยหรือ ทั้งหมดที่ฉันทำให้ครอบครัวนายไม่ได้ทำให้นายรู้เลยหรือว่าฉันรัก
ชิงแค่ไหน เอาเถอะ อาจจะเป็นเพราะฉันแสดงออกไม่เก่ง”
อี้ฝานยังคงนิ่งเงียบ เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของฮวางเล่ยที่ก็ยืนจ้องตอบไม่ยอมหลบ
แล้วจู่ๆ เจ้าของบ้านก็หมุนตัวกลับผลักประตูก้าวเข้าไปในตัวบ้าน จนฮวางเล่ยขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
“เฮ้ อย่าเดินหนีนะฝาน กลับมาคุยกันให้จบ อ๊ะ!”
อาคันตุกะที่ก้าวตามเข้ามาในตัวบ้านชะงักงันเมื่อเห็นภาพตรงหน้า
บ้านออกแบบให้มีหน้าต่างอยู่ตรงตำแหน่งเดิมที่เขาคุ้นตา แต่ที่ทำให้ฮวางเล่ยตัวแข็งทื่ออยู่กับที่คือ
นอกจากหน้าต่างแล้ว ยังมีเก้าอี้โยกตัวเดิมตั้งอยู่ในที่เดิม พร้อมทั้งร่างบางของคนเป็นเจ้าของดั้งเดิมยัง
ทอดกายนิ่งอยู่บนนั้น
“มะ ไม่จริง นี่มันอี้ชิง เขาตายไปแล้ว”
ฮวางเล่ยริมฝีปากสั่นยามเอ่ยอย่างตกใจ ในขณะที่อี้ฝานเดินเข้าไปยืนอยู่เบื้องหลังเก้าอี้ไม้ วางมือไปบน
บ่าเล็กแล้วบีบเบาๆ
“เฮียรอคุณอยู่ที่นี่ รอมาตลอด เพียงแค่คุณจะหันกลับมา กลับมาตรงที่เดิมที่เคยจากเฮียไป แต่คุณก็ไม่เคย
กลับมา”
ใบหน้าหวานทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ร่างกายบางผิวขาวซีดดูบอบบางเหมือนแก้วใส ผมดำ
สลวยยาวถึงกลางหลังในขณะที่กลางลำคอถูกเจาะลงไปแล้วมีท่อเหล็กใส่อยู่เพื่อให้เจ้าของร่างหายใจ
(ท่อเหล็กในคอ Tracheostomy Tube จะใส่คาไว้ในคอสำหรับผู้ป่วยที่เคยใส่ท่อช่วยหายใจและไม่สามารถ
หายใจเองได้ :ผู้เขียน)
“ทำไมนายไม่ไปบอกฉันว่าชิงยังไม่ตาย”
“คุณเห็นบ้านเราจัดงานศพหรือเปล่า”
“ก็…ฉันได้ยินว่าชิงผู้คอเพื่อฆ่าตัวตาย”
“แต่ผมช่วยชีวิตเฮียไว้ได้ แม้ว่าเฮียจะขาดอากาศหายใจจนกระทั่งเนื้อสมองตาย”
อี้ฝานพูดเสียงขม น้ำเสียงสั่นพร่า ฮวางเล่ยมองภาพตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาในขณะที่สืบเท้ามาใกล้
และคุกเข่าลงเบื้องหน้าร่างบางที่นอนนิ่งเคลื่อนไหวเพียงเปลือกตาที่ไหวระริก เขาคว้าข้อมือบางขึ้นมาไว้ใน
อุ้งมือ น้ำตารื้นเมื่อยกมือของอี้ชิงขึ้นมาแนบแก้ม
“ชิงชิง นายไม่รู้เลยว่าชิงชิงยังมีลมหายใจ”
ฮวางเล่ยคร่ำครวญ
“ถ้านายรู้สักนิด …ถ้านายรู้…”
มือบางสั่นน้อยๆ ในขณะที่ดวงตาที่เหม่อลอยแดงก่ำ อี้ฝานมองคนทั้งคู่อย่างสะท้อนใจ เขาเห็นพยาบาล
ที่จ้างมาเพื่อดูแลพี่ชายก้าวมาพร้อมอาหารและยา เขาจึงยกมือห้ามไว้ แล้วก้าวออกไปสู่ภายนอกบ้านอีก
ครั้งเพื่อเปิดโอกาสให้ฮวางเล่ยได้อยู่กับอี้ชิง
ยืนนิ่งอยู่พักใหญ่กว่าที่ฮวางเล่ยจะตามออกมาหยุดอยู่เบื้องหลัง
“ฉันจะแก้ตัว ฉันจะขอดูแลชิง ทดแทนกับที่ฉันไม่เคยได้ดูแลเขา”
มีต่ออีกนิด