นี่มันเป็นวันที่เท่าไหร่แล้วนะที่กว่าจะได้คลานขึ้นเตียงก็คือเช้าเข้าไปแล้ว แต่มันแปลกไปกว่าทุกครั้ง ในเมื่อคืนนี้ผมฝันดีชะมัด ในฝันมีเรื่องราว ความทรงจำเก่าๆเต็มไปหมด มันลอยละล่อง นุ่มนวล อ่อนหวานเหมือนกับปุยเมฆหรือสายไหม ผมลืมตาตื่นขึ้นมากับความอบอุ่นของอะไรบางอย่าง ผมกอดวัตถุข้างกายนิ่ง ปรือตาขึ้นอย่างยากลำบากเพราะอากาศเช้านี้มันดีเหลือเกิน บรรยากาศอุ่นๆรอบตัวทำเอาอยากจะมุดตัวกลับเข้าไปในฝันอีกครั้ง...แม้ว่ามันจะไม่เป็นจริง...
“...ชา...น้ำชา...”
“ชา...โทรศัพท์"
ผมพลิกกายหนีเสียงเรียกอย่างนึกหงุดหงิดในใจ ฝ่ามือที่เอื้อมมาเขย่าทำให้ผมพลิกตัวมุดเข้าหาตุ๊กตาหมีตัวโต เสียงจิ๊จ๊ะปากดังขึ้นทำเอาผมนึกรำคาญใจกว่าเดิม ผมเอื้อมมือปัดมือมันทิ้ง
“ฮื้ออออ...จะนอน"
“กูบอกว่าโทรศัพท์"
“อือออ"
“...น้ำชา"
“อย่าน่าโฟล์ค"
ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อสติสตังค์กลับคืนมาหลังจากคำสุดท้ายที่เปล่งออกไป ตุ๊กตาหมีตัวโตนอนแอ้งแม้งอยู่ข้างๆกัน ผมลืมตาโพลงท่ามกลางแสงแดดที่ส่องจ้าเข้ามาในห้อง เสียงนาฬิกาที่หัวเตียงร้องติ๊กๆๆๆ ในขณะที่โทรศัพท์เงียบเสียงลงไปแล้ว เป๊กยืนคร่อมหัวผมอยู่ที่หัวเตียง ผมอยู่ในห้องนอนของผม...เวลาบ่ายสองกว่าเข้าไปแล้ว ผมมองหน้าเป๊กสลับกับมือถือที่ถูกโยนเข้ามาให้อย่างงงๆ ก่อนยิ้มเจื่อนๆไปให้เพื่อนสนิทที่จ้องมองมาไม่วางตา
“คือ...”
“กฤษฎ์โทรมา" เป๊กว่า มันเกาหัวแกรกๆ ก่อนทรุดตัวลงนอนที่พื้นข้างเตียงอีกหน ข้างๆกันมีกายที่นอนหลับเป็นตายอยู่อีกฟากหนึ่งของฟูกนอน เมื่อคืนผมบอกว่าจะกลับมานอนที่บ้านเพราะชุดที่คอนโดเป๊กหมดแล้ว แต่เพราะกว่าที่เป๊กจะขับย้อนกลับไปที่คอนโดมัน คงตายเพราะหลับในไปก่อน ผมเลยบอกให้มันมาค้างด้วยกัน ต่อจากนั้นก็เป็นไอ้กายที่โทรมาตอนหกโมงกว่าว่าขอนอนด้วย มันขับรถกลับบ้านไม่ไหวแล้วจริงๆ
“อ่า เออ...ช่างแม่งเหอะ ขี้เกียจคุย"
“น้ำชา" เป๊กเรียกชื่อผม มันนอนก่ายหน้าผากอยู่ข้างๆกัน "เมื่อกี้มึงละเมอ"
“......”
“......”
“เปล่าละเมอ"
“ละเมอชัดๆ"
“...ละเมอที่ไหน" ผมพึมพำ "กูจำได้หรอก"
“เหอะ" เป๊กหลุดขำพรืด ผมซุกตัวกลับเข้าใต้ผ้าห่มแทบจะทันที "ประสาทเหี้ยๆเลยมึงอ่ะ"
ผมไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืดกับเพื่อนหน้าหล่อที่นอนเหยียดยิ้มอยู่ข้างๆกัน ผมเอื้อมมือกระตุกม่านให้ปิดสนิทกว่าเดิมแล้วมุดหัวซุกท้องคุ๊กกี้ต่อ ผมไม่รู้ตัวจริงๆว่าควรจะทำอะไรต่อไปหลังจากที่ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว แต่ความแย่ก็คือ หลังจากที่ลืมตาขึ้นมา ผมหลับไม่ลงอีกต่อไป...ทั้งๆที่เมื่อกี้...ยังง่วงอยู่แท้ๆ
ผมเปิดแอพลิเคชั่นเฟสบุ้คขึ้นมา ก่อนไล่สายตามองดูไทม์ไลน์ มีเรื่องราวของหลายๆคนอัพเดทอยู่ในนั้น แต่ผมเบลอจนกว่าที่จะทำความสนใจ จึงได้แต่เลื่อนๆมันลงให้ผ่านตาไป ก่อนจะสะดุดกับการแจ้งเตือนอันหนึ่ง
Guy Sutthachananun is going to ปาร์ตี้ปิดกองคะนองรักผู้กำกับอกหักเราต้องฉลอง ที่ ลำพัง Bar.
วันนี้, / 8.30 pm.
งานของโฟล์ค...กายไปหรอ ไอ้ห่า แม่งไม่เห็นบอกอะไรสักคำ แต่คิดๆดู มันไม่บอกก็คงถูกแล้ว เดี๋ยวผมสติแตกใส่มัน มันก็ซวยอีกไม่ใช่หรือไง...
รูปโปรไฟล์ของกิจกรรมเป็นภาพโฟล์คชูนิ้วกลางให้กับกล้อง ผมหลุดหัวเราะพรืดออกมากับตัวเอง แล้วเลื่อนไล่ดูไปเรื่อยๆ
มีคนจะร่วมงานสามสิบกว่าคน เหล้าเบียร์ไม่อั้นด้วยนะไม่ใช่เล่นๆเลยคุณเมืองไทย มีอัพเดทตลกโปกฮาจากผู้จัดกิจกรรม ลีลาการพิมพ์แบบนี้ไม่น่าจะใช่โฟล์ค คงเป็นเพื่อนมันสักคนช่วยดูแลเรื่องนี้ให้ ท่าทางชีวิตมันก็ยังสนุกสนานอยู่ โฟล์คมีความสุขกับคนรอบๆตัวแบบนี้ ผมได้รู้เพียงเท่านี้ ก็ดีใจมากแล้ว...
“กูขี้เกียจทำโมฯว่ะวันนี้ เย็นนี้ไปหาไรดีๆแดกหน่อยเหอะ พรุ่งนี้ค่อยไปลุยต่อ" เสียงงึมงำจากเป๊กดังขึ้น ผมกดปิดหน้าจอลง แล้วหันไปมองมันในความมืด
“เอาดิ กูก็เหนื่อยมากหลายวันแล้ว"
“เดี๋ยวโทรหาไอ้ปอม ชวนมันไปแดกด้วย รอไอ้กายตื่นก่อน ท่าจะอีกนาน" เป๊กว่า
“อืม" ผมรับคำเบาๆ "เอ้อ แต่กาย...”
“อะไร?”
“ไม่มีอะไรหรอก" ผมปฏิเสธ นึกๆไปแล้วกว่าจะไอ้เวลางานปาร์ตี้ของโฟล์คก็ค่ำมืืด กายคงเสร็จมื้อเย็นได้ก่อนหน้านั้นนั่นแหละ ถ้ามันไม่ตื่นมาตอนค่ำมืดอีกหนล่ะก็นะ...
กายกับเป๊กตื่นตอนสี่โมงสี่สิบพอดีเป๊ะ กลับกัน ผมที่นอนไม่หลับนับตั้งแต่ลืมตาขึ้นมานั้น ก็ได้แต่มานั่งดูนั่งเคเบิลเปื่อยๆอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นพร้อมกับซัดข้าวกล่องอีซี่โกที่ออกไปซื้อมาด้วยตัวเอง เป๊กตื่นก่อนกาย มันเดินเกาท้องหัวยุ่งออกมาจากห้องนอนพร้อมกับเสียงท้องร้องโครกคราก จากนั้นหลังจากที่ผู้ชายตัวสูงจัดการข้าวกล่องหมดไปสองกล่อง กายก็เดินตาปรือตามออกมาอีกคน
ผมจัดการส่งข้าวกล่องให้กายไปเวฟเอาเอง ก่อนขอตัวไปอาบน้ำ ซักแห้งมากว่ายี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว เริ่มรู้สึกขยะแขยงตัวเองเบาๆ หลังจากอาบน้ำอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง รวมทั้งสระผม แปรงฟัน โกนหนวดโกนเครา พอออกมาที่ห้องนั่งอีกรอบ ก็เห็นไอ้กายกับเป๊กต่อเอ็กซ์บ็อกซ์ของน้ำมนต์เล่นเสียแล้ว
“เสียดายสัด น้ำมนต์มีเรียนกีตาร์เย็นนี้ ไม่งั้นคงดีใจแย่ที่พวกมึงมา"
“ตัดพ้อกูไปได้ เดี๋ยวกูแวะมาเล่นโดยเฉพาะก็ได้ครับแหม" ไอ้กายเลิกคิ้วกวน
ผมส่ายหัวยิ้มๆก่อนโยนผ้าขนหนูผืนใหม่ให้พวกมัน แล้วลากโมเดลออกไปนั่งทำที่พื้นติดกระจกอีกหน กายละสายตาออกจากหน้าจอก่อนมองหน้าผมแล้วถาม
“นี่มึงไม่พักหน่อยเหรอ จะเอาเต็มหรอครับน้ำชา"
“เต็มพ่องสิ เหลืออีกตั้งเยอะ" ผมแย้ง
“ปะๆ เดี๋ยวรอกูอาบน้ำเดี๋ยวพาไปที่เด็ดๆ"
“ไปไหน?”
“เออน่า ไปหาไรแดก ชิลๆ เก๋ๆ แดกฟรีด้วยนะ" กายทำหน้าใหญ่
“ไม่ต้องมาปากดีเลยสัด"
“โถ่ ของฟรีก็ไม่เอาอีก ให้จ่ายแล้วจะหนาว"
“พูดมากมึง แล้วจะไปกี่โมง มึงอิ่มกันอยู่ไม่ใช่เหรอวะ เพิ่งกินข้าวกันไปเอง" ผมถาม ไอ้กายไหวไหล่
“ออกดึกๆก็ได้ ท่านปอมของกูยังไม่ตื่นเลยครัชเพื่อน เดี๋ยวรอมันโทรมาก่อนก็ได้"
“เออๆ เรียกกูแล้วกัน"
กว่าที่ท่านปอมของพวกมันจะโทรมาก็เกือบๆสองทุ่ม แล้วกว่าที่ท่านปอมจะเสด็จมาถึงคอนโดผมก็เกือบสามทุ่ม น้ำมนต์กลับมาแล้ว ได้พบพี่กายพี่เป๊กสมใจอยากก่อนดวลเกมส์กันไปยกใหญ่ แม่กับจอห์นเองก็ดูดีอกดีใจที่เพื่อนผมมาเยี่ยมบ้าน ต้อนรับด้วยของกินมากมาย คงปลื้มใจที่ลูกชายคนโตกลับมามีชีวิตเป็นผู้เป็นคนแบบปกติได้เสียที
ผมบอกแม่ว่าจะออกไปหาอะไรกินกับเพื่อนๆ แม่ไม่ว่าอะไร เพราะคงเข้าใจว่าช่วงนี้ผมทำงานหนัก ใช้ชีวิตกลับวันกลับคืนไม่ค่อยมีเวลาส่วนตัวเท่าไหร่นัก ผมบอกว่าจะกลับดึกหน่อย จากนั้นก็ออกมาพร้อมกับเพื่อนๆอีกสามคน
ปอมเป็นคนขับรถ มันได้รับหน้าที่นี้ไปเพราะมันได้รับการนอนหลับพักผ่อนที่เยอะที่สุดในบรรดาคนทั้งสี่ เป๊กนั่งหน้าคู่กับปอม ส่วนกายนั่งโหยหวนเพลงมารูนไฟว์อยู่ข้างๆผม รถค่อนข้างโล่ง สลับหยุดนิ่งเล็กน้อยเพราะเป็นคืนวันศุกร์ ปอมขับรถไปผิวปากหวือไป บทสนทนาเราก็เดิมๆไม่ได้มีอะไรมาก โมเดล ปิดเทอม สอบ ฝึกงาน บ่นอาจารย์ และเรื่องอื่นๆอย่างละเล็กอย่างละน้อย เอาเข้าจริง ตั้งแต่ผมเสียศูนย์ไปนี่ สามคนนี้ผลัดกันมาอยู่เป็นเพื่อนจนผมแทบไม่เคยต้องอยู่คนเดียวให้ฟุ้งซ่านเลย
ปอมขับรถไปเรื่อยๆ มันหันมาถามผมตอนแรกว่าอยากกินอะไร ผมตอบไปอย่างสิ้นคิดว่าอะไรก็ได้ ปอมไม่ตอบอะไร มันหันไปคุยอะไรกับเป๊กสองสามคำก่อนจะเงียบไปพักใหญ่
“เออ เป๊ก ที่ฝึกงานมึงตอบรับมายังวะ" กายถามขึ้น "ของกูแม่งยังไม่ตอบมาเลย"
“ตอบแล้ว" เป๊กว่า "แต่กูอาจจะเข้าฝึกช้ากว่าคนอื่นสัปดาห์หนึ่งว่ะ"
“ทำไมวะ"
“กูจะไปค่ายอาสาสิบวัน"
“ค่ายมหา'ลัยอ่ะนะ" กายขมวดคิ้ว "ร้อยวันพันปีไม่เห็นจะเคยไป อะไรดลใจวะ"
“เสือก" เป๊กสวน ทำเอาผมกับปอมหัวเราะร่วน ส่วนกายหน้าจ๋อยไปตามระเบียบ แล้วโอดครวญทันที
“มันติดสาว ไม่รู้เหรอ" ผมแหย่ เป๊กตีหน้าเรียบทันที
“มึงนี่ก็เสือกน้ำชา"
“วุ้ย ไม่คุยกะมึงแล้วไอ้เหี้ย" ผมบ่นกระปอดกระแปด
ปอมเลี้ยวรถก่อนตบไปเลี้ยวเข้าข้างทาง เพราะเราคุยกันมาเกือบจะตลอดทาง ทำให้ผมไม่ทันสังเกตรอบๆตัว พอเงยหน้าขึ้นมาอีกที เส้นทางคุ้นๆก็ทำเอาผมต้องขมวดคิ้วมุ่น ผมหันไปหากาย มันก็กดมือถือทำไม่รู้ไม่ชี้ พอหันไปมองสองคนข้างหน้า พวกมันก็ตีหน้ามึนด้วยการแสร้งตั้งอกตั้งใจจอดรถ คนหนึ่งดูขอบฟุตบาท คนหนึ่งชะโงกดูกระจกข้างแบบปลอมสุดๆ ผมเม้มปากแน่น ความรู้สึกไม่พอใจก่อตัวขึ้นทันที
“พวกมึงกำลังจะทำอะไร" ผมถาม มองหน้าเพื่อนทั้งสามกันคนละที
“พาไปหาไรกินไง" ปอมตอบแบบไม่ยี่หระ
“แล้วทำไมต้องมาที่นี่" ผมถามอย่างอดกลั้น "ไปที่อื่นได้ไหม"
“ที่นี่แหละมึง" เป็นเป๊กที่เอี้ยวตัวมามองหน้าผมแล้วตอบด้วยโทนเสียงเรียบๆของมัน ผมจ้องหน้าเพื่อน รู้สึกร้อนๆที่หัวตา
“มึงก็รู้ว่ากูไม่โอเค"
“น้ำชาใจเย็นๆก่อน" เป็นกายที่เห็นท่าจะไม่ดี รีบเอื้อมมือวางแตะบนไหล่ผม ผมมองหน้ามัน ด้านหลังเป็นร้านเหล้าลำพัง ร้านที่โฟล์คนัดมาจัดปาร์ตี้กันคืนนี้
“กูไม่---”
“ที่ว่าไม่โอเค มึงคิดไปเองหรือเปล่า" เป๊กสวน ผมนิ่ง ขึงตาจ้องมองมันนิ่ง
“มึงจะไปรู้อะไร"
“กูรู้สิ มีแต่มึงนั่นแหละที่ไม่รู้" เป๊กตอบ "ตอนแรกกูก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรแบบนี้"
“แล้วมึงทำทำไมเป๊ก"
“เมื่อเช้ามึงเรียกชื่อโฟล์ค" เป๊กตอบ แล้วจ้องหน้าผมนิ่ง ผมนั่งตัวแข็งอยู่กับเบาะ เบือนหน้าหนี เหมือนน้ำตาพาลจะไหล ไม่ใช่จะปฏิเสธ ผมจำได้จริงๆว่าผมเรียกชื่อโฟล์คออกไป
“มันก็แค่---”
“น้ำชา กูว่ามันไม่ไหวหรอกนะที่จะมาใช้ชีวิตจนตรอกกับความรู้สึกของตัวเองแบบนี้น่ะ เผชิญหน้ากับมันสักที มึงก็รู้อยู่เต็มอกว่ารู้สึกยังไงกับมัน แล้วถ้ามันไม่ไหว มึงจะทำยังไงก็แล้วแต่มึง"
“......”
“แต่อย่ามาโกหกโง่ๆ มึงแค่เจอมันเมื่อวาน มึงก็คิดถึงมันจะเป็นจะตายแล้วน้ำชา"
“......”
ผมหมดคำพูดอยู่กับตัวเองอยู่นาน ในห้องโดยสารเงียบไปหมด ได้แต่มองหน้าเป๊ก สลับกับปอม และกาย อย่างไร้สุ้มเสียง จนกระทั่งใครบางคนถอนหายใจออกมา ไม่รู้จริงๆว่าเหนื่อยใจจนถอดไปกับผมไปแล้วหรือยัง...
“เชื่อกูเหอะนะน้ำชา เข้าไปเหอะ ถ้าไม่คิดว่าทำเพื่อตัวเอง ก็คิดว่าทำเพื่อโฟล์คมันบ้าง" เป็นปอมที่เอ่ยบอกผมหลังจากที่เงียบมานาน
“ลองก้าวข้ามมันบ้างเถอะ ไอ้ความกลัวของมึงน่ะ พวกกูรู้ไม่ใช่ไม่รู้นะน้ำชา ว่ามึงกลัวอะไรอยู่" ผมมองหน้าเป๊กเงียบๆ มันดูโง่จริงๆกับการที่ผมกลัวอะไรแบบนี้ กลัวจะต้องเจ็บปวดอีกครั้งหนึ่ง... “ถ้ามึงเสียโฟล์คไปอีกรอบ มึงอาจจะไม่ได้มันกลับคืนมาเลยนะเว้ย"
“โอ้ย นี่พวกกูอุตส่าห์พามาถึงที่นี่เลยนะเว้ยน้ำชา มึงแค่เดินเข้าไป ไปคุยกับโฟล์ค ง้อแม่งบ้าง ลืมๆเรื่องเหี้ยๆไปเหอะ แค่เข้าไปคุย เดี๋ยวมึงก็ทำต่อไปได้เองแหละ อย่าไปคิดอะไรให้มันมากมายก่อนดิวะ ยังไม่เห็นมีอะไรที่มึงกลัวเกิดขึ้นเลยสักนิด" กายฟึดฟัดหัวเสีย "ตอนแรกกูก็ว่าจะมาคนเดียว แต่กูเสียดาย คิดดูสิ...ขนาดกูยังเสียดายแทนมึงเลยนะเว้ยน้ำชา"
“มั่นใจหน่อยดิวะ จะเกิดอะไรแค่ไหนกันเชียววะ พวกกูก็อยู่ด้วย...คืนนี้มึงไม่เจ็บไปมากไปกว่าที่เป็นอยู่หรอกน้ำชา" กายจ้องหน้าผม แล้วถอนหายใจออกมายาวเหยียด "พวกกูจะปกป้องมึงเอง"
เสียงดนตรีสดยังดังไม่เท่าหัวใจของผมที่เต้นรัวอยู่ในอกด้านซ้าย สุดท้ายผมก็ตัดสินใจลงจากรถแล้วเข้ามาในร้านจนได้ เราเดินลัดเลาะตามโต๊ะเข้าไปด้านในหลังจากที่กายถามเจ้าภาพงานจนได้พิกัดที่ตั้งงานมาแล้ว ในความรู้สึกมันทั้งกังวล ทั้งกลัว ทั้งทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะทำหน้ายังไง หรือปฏิบัติตัวยังไงเพื่อให้มันไม่ประกัดประเดิดไปกับคนเหล่านั้นดี ผมพยายามบีบตัวเองให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วเดินตามหลังปอมไปเงียบๆด้วยความรู้สึกประหม่าสุดๆ เสียงหัวเราะ เฮฮา พูดคุยดังขึ้นเรื่อยๆเมื่อเราเดินลึกเข้าไป ก่อนพบว่าคนกลุ่มใหญ่ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มของโฟล์ค กินพื้นที่ตรงระเบียง ชิดเวทีทางด้านซ้ายไปทั้งแถบ
ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆลงในคออย่างยากลำบาก ในสมองคิดวุ่นวายถึงคำพูดแรกหากมันมองเห็นผม แต่คำไหนๆก็ไม่เข้าท่าเลยสักนิด ยิ่งพอเห็นคนคุ้นหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ ความกล้าที่เคยมีมาในตอนแรกก็ลดน้อยลงไปเรื่อยๆจนน่าหวั่นใจ ผมกระตุกชายเสื้อปอม แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหัวให้ผมเบาๆ
ตอนนี้สามทุ่มครึ่งแล้ว เรามาสาย และเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงก็ดูเพียงพอที่จะทำให้ใครหลายๆคนกึ่มแอลกอฮอล์ไปแล้วเรียบร้อย กายยิ้มแป้นเมื่อเห็นเพื่อนมัน แยมรีบลุกขึ้นมาหาทันทีหลังจากนั่งจิ้มแกล้มกินอยู่นานสองนาน ผมยังแทรกตัวอยู่หลังเป๊กกับปอม ห่างไปกว่าห้าก้าว ไม่มีความกล้าจริงๆที่จะเดินเข้าไปใกล้มากกว่านั้น
“กาย! สัด ไม่มาพรุ่งนี้เลยล่ะ" เสียงแยมดังขึ้นแล้วยิ้มแบบที่ยิ้มเป็นประจำ มันน่ารักและดูจริงใจอย่างบอกไม่ถูก
“โถ่มึง ให้กูได้นอนพักผ่อนกันบ้างเถ้อะ!” กายว่า "เมายัง"
“ยัง ก็บอกจะมา กูเลยยังไม่กินเนี่ย เดี๋ยวเมาก่อนเจอมึง"
“ฮ่าๆๆ ไอ้คออ่อน"
“เออ มากันครบทีมเลยนะ แล้ว...น้ำชา!!!” เสียงเรียกของแยมทำให้ผมต้องแย้มหน้าออกมาจากหลังปอมจนได้ น่าสมเพชชะมัด ผมยิ้มแหยๆให้แยม แต่แยมกับสาวเท้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว "นึกว่าไม่มาเสียแล้ว!”
“ก็...อืม...กายบอกให้มาน่ะ"
“ดีแล้ว ต้องมีคนดีใจมากแน่ๆเลย" แยมยิ้มหวาน ก่อนเดินไปจัดแจงที่นั่ง บนโต๊ะไม้ตัวเตี้ยที่ต่อยาวออกไปกว่าห้าโต๊ะเต็มไปด้วยอาหาร กับแกล้ม แอลกอฮอล์ และน้ำอัดลมเต็มพื้นทีไปหมด "กินอะไรมายัง"
“เออ จะสั่งข้าวด้วยก็ดี" ปอมบอกแล้วหันไปขอเมนู ผมกำลังจะหย่อนตัวนั่ง แต่เสียงเรียกของใครบางคนทำให้ผมต้องหันไปมอง
“น้ำชา!!!”
เป็นไอที่รีบวิ่งเข้ามาสวมกอดแทบจะทันที ไอเดินมากับเตที่ยิ้มมุมปากส่งมาให้ ผมยิ้มทักทายกลับเจื่อนๆ
“น้ำชามาด้วยอ่ะ ดีใจจัง" ไอว่าก่อนฉีกยิ้มกว้าง "สั่งอะไรหรือยังอ่ะ"
“อ่า...กำลังจะสั่งเลย"
“น้ำชามาแบบนี้ต้องเซอร์ไพรส์โฟล์คมากแน่ๆเลยอ่ะ ไม่รู้หายไปไหนเนี่ย" ไอบอก ผมอ้าปากจะพูด แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไร คนที่กำลังพูดถึงก็เดินเข้ามาในร้าน มันคงเซอร์ไพรส์มากเลยแหละ เพราะทันทีที่โฟล์คทักทายคนมาใหม่อื่นๆเสร็จ แล้วหันมาเจอผมยืนอยู่ตรงนี้ มันก็ยืนนิ่งแล้วจ้องมองผมแทบไม่ละสายตา เช่นเดียวกับผม ที่ละสายตาไปไม่ได้เช่นกัน
เป๊ก กาย ปอม และแยม หันขวับมามองผมแทบจะทันที เช่นเดียวกับไอที่เกาะแขนผมแน่นขึ้น ผมยืนนิ่งค้างอยู่แบบนั้นด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก สุดท้ายก็ได้แต่ฉีกยิ้มเฝื่อนๆออกไปให้คนตรงหน้า ให้กับโฟล์คที่ยืนห่างกันออกไปในระยะห้าโต๊ะกั้น กับเด็กผู้ชายตัวเล็กหน้าหวานคนหนึ่งที่เกาะแขนของมันเอาไว้ ตัวเล็กๆกับรอยยิ้มหวานๆ ท่าทางว่าง่าย คนที่ไม่มีอะไรเหมือนกับผม...
ผมบอกไม่ถูก ไม่รู้ควรจะรู้สึกอย่างไร หัวใจจากที่ตอนแรกมันยังมีกำลังใจ กลับฝ่อลงไปหมด ผมยิ้มค้างไว้แบบนั้น จนกระทั่งโฟล์คเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับเด็กคนนั้น เรามองหน้ากันเงียบๆ ผมยังคงยิ้มให้มัน ในขณะที่มันก็ยิ้มเจื่อนๆให้ผม เป็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัดเหลือเกิน
“หวัดดี ไม่คิดว่าจะมาน่ะ"
โฟล์คเปิดบทสนทนาด้วยคำพูดฝาดเฝื่อน ผมยิ้มแห้งๆก่อนพยักหน้าน้อยๆ ในใจมันบอกไม่ถูก จริงๆแล้ว...
“...อืม หวัดดี ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะมาเหมือนกัน...”
เจ็บชะมัด
tbc.
ตอนจบคือตอนหน้าแล้วจ้ะ เจอกันนะคะ
ไม่ได้ตรวจคำผิดนะคะ ไว้จะกลับมาตรวจค่า