บทที่ ๑๓เพราะไม่ได้เอาตะกร้ามาใส่อย่างคราวที่แล้ว ฟีเรียสจึงต้องยอมให้เจ้าชายรามิเรสทรงช่วยถือถุงส้ม
ส่วนตัวเขาเองถือถุงเสื้อผ้ามือหนึ่ง ถือถุงองุ่นอีกมือหนึ่ง เมื่อไปถึงที่ที่ผูกม้าเอาไว้
นักเรียนองครักษ์หนุ่มก็โล่งใจว่าม้ายังอยู่ทั้งสองตัว แม้จะแปลกใจอยู่บ้าง
ที่เจ้าของร้านขายเนื้อที่เขาฝากม้าเอาไว้มีรอยช้ำจ้ำใหญ่ที่ใบหน้า
ซ้ำยังกุลีกุจอแก้เชือกที่ผูกม้าเอาไว้กับต้นไม้ให้ด้วยสีหน้าประจบประแจงเป็นพิเศษ
แต่ฟีเรียสก็ไม่ได้ใส่ใจสงสัยอยู่นานนัก ไม่ได้สังเกตว่าเจ้าชายหนุ่มทรงหันพระพักตร์ไปทางหนึ่ง
และได้เห็นองครักษ์ประจำพระองค์ผิวเข้มร่างสูงใหญ่ซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลค้อมศีรษะถวาย
ดวงอาทิตย์ลับฟ้าไปก่อนที่หนึ่งเจ้าชาย หนึ่งนักเรียนองครักษ์จะกลับถึงบ้าน
แต่แสงจันทร์เต็มดวงก็ส่องสว่างเป็นทางให้ม้าสองตัวก้าวย่างไปตามทางอย่างไม่เร่งร้อนนักโดยไม่ลำบาก
อากาศยามย่ำค่ำค่อนข้างเย็น สายลมฤดูหนาวพัดผ่านมา ทะลุเสื้อผ้าเข้าไปจนถึงผิวกาย
“หนาวรึเปล่า”
“ไม่หนาวพระเจ้าค่ะ”
ถ้าหนาวแล้วจะทำไม พระองค์จะทรงทำอะไรให้เขาได้
“เดินทางเร็วกว่านี้เถอะ เข้าบ้านแล้วเดี๋ยวก็อุ่น”
ฟีเรียสกำสายบังเหียนแน่นขึ้น ก่อนจะกระตุ้นม้าตามเจ้าของม้าทรงสีขาวไป
เจ็บใจ... ที่ไม่ว่าพระองค์จะทรงทราบว่าเขาหนาวหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ทรงทำให้ความหนาวนั้นสั้นลง
เบาบางลงได้จริงๆ ที่ร้ายกว่านั้น คือแม้แต่พระสุรเสียงของพระองค์ก็... อุ่น
บ้านมืด เพราะไม่ได้เปิดไฟเอาไว้ก่อน แต่ก็ทำให้ฟีเรียสหายแคลงใจไปได้ว่าบางที
อาจจะมีใครขึ้นมาทำอะไรเกี่ยวกับบ้านหลังนี้เพื่ออำนวยความสะดวกเรื่องต่างๆ ถวาย
การที่คนที่เป็นถึงจะเจ้าชายจะเสด็จมาทำอะไรคนเดียวถึงที่นี่โดยไม่มีใครตามมาอารักขาดูจะเป็นเรื่องแปลก
แต่บางที... อาจจะเสด็จมาองค์เดียวตามลำพังจริงๆ ก็ได้
ในเมื่อฝีพระหัตถ์เชิงกระบี่ชวนให้ไว้ใจได้ถึงเพียงนั้น
เจ้าชายรามิเรสเป็นฝ่ายเปิดไฟให้สว่างทั่วบ้านเพราะพระองค์ทรงรู้จักบ้านหลังนี้ดีกว่าฟีเรียส
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เข้าไปในห้องครัว ฟีเรียสรับถุงส้มจากพระหัตถ์ไปจัดการเทใส่ตะกร้าผลไม้
จัดองุ่นไว้ในอีกตะกร้าหนึ่ง ตั้งใจว่าจะล้างพรุ่งนี้ หลังจากรินน้ำมาถวายแก้วหนึ่งแล้วจึงยืนนิ่งอยู่
ตามองเพียงถุงกระดาษใส่เสื้อผ้าเจ้าปัญหาที่วางอยู่บนโต๊ะวางอาหารที่ตอนนี้กลายเป็นโต๊ะกินข้าว
เจ้าชายรามิเรสแทบจะทรงทอดถอนพระทัยออกมาดังๆ อีกเฮือก แต่แล้วก็เพียงแค่รับสั่งเรียบๆ
“รินน้ำอีกแก้วหนึ่งให้ตัวเอง แล้วก็นั่งสิ”
ฟีเรียสชะงัก เขาลืมไปแล้วจริงๆ เรื่องแก้วน้ำที่ทำให้อีกฝ่ายกริ้วเมื่อตอนบ่าย แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้กริ้วอีก
กังวลใจไปแล้วก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ ว่าเขาเองต่างหากที่ต้องโกรธ
หลายเรื่องที่ตลาดทำให้เขาหงุดหงิดมาก แต่เมื่อนั่งลงแล้วและนึกถึงเรื่องผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาได้
ก็แทบจะลุกพรวดแล้วขอตัวขึ้นไปข้างบน ต่างคนต่างนอนทันที
“เสื้อผ้าพวกนี้ ข้าซื้อให้เจ้าเป็นของรับน้อง”
นักเรียนองครักษ์หนุ่มนิ่วหน้า
“มันเป็นของจำเป็น ข้าเป็นคนชวนให้เจ้าอยู่ซ้อมกระบี่ด้วยกันที่นี่เอง ก็ต้องรับผิดชอบเรื่องการกินการอยู่ของเจ้าด้วย”
“...”
“ถ้าเจ้าไม่ชอบ คราวหน้าก็เอาเสื้อผ้าของเจ้ามาด้วยก็ได้ แต่คราวนี้ไม่ได้เตรียมมา
ก็ขอให้ใส่เสื้อผ้าพวกนี้ไปก่อน ใส่แล้วก็ไม่ต้องเอากลับไปก็ได้ ทิ้งไว้ที่นี่
เผื่อคราวหน้าถ้าเจ้าไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาก็ยังมีเสื้อผ้าใส่”
คราวหน้า... คราวหน้าอะไรกัน ยังจะมีคราวหน้าอยู่อีกหรือ แค่คำนี้คำเดียวก็ทำเอาคนฟังหัวหมุน
คิดหาคำพูดมาเถียงไม่ออก ทั้งที่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะค้านหัวชนฝา
“เรื่องค่าอาหารก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าข้าดูถูกเจ้า แต่ข้าเป็นทั้งเพื่อนเจ้าของบ้าน เป็นคนชวนเจ้าอยู่
แล้วยังเป็นรุ่นพี่ อายุมากกว่าเจ้าหลายปี พิจารณาจากเรื่องพวกนี้แล้วคงพอเป็นเหตุผลให้ข้าเป็นคนจ่ายได้”
ฟีเรียสอ้าปาก
“ส่วนที่ข้าไม่ได้ถามความสมัครใจของเจ้าก่อน ก็เพราะเวลามันกระชั้น
ถ้าถามแล้วเจ้าไม่ยอมก็คงต้องพูดกันยาว มันจะไม่ทันการณ์ ถ้าเจ้าเคืองใจว่าข้าเผด็จการ บังคับใจเจ้า ข้าก็ขอโทษ”
นักเรียนองครักษ์หนุ่มคุ้นๆ ว่าเหตุการณ์อย่างนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน คือเขาโมโหแทบตาย ตั้งใจว่าพอเจอหน้า
พอมีโอกาสก็จะกราบทูลด้วยถ้อยคำแรงๆ ด้วยสีหน้าเย็นชาให้เด็ดขาดไปสักคำ ไม่ว่าจะทำให้กริ้ว
หรืออาจจะต้องโดนพระอาญาก็ไม่กลัวทั้งนั้น ขอเพียงให้พระองค์ทรงเลิกทำสิ่งที่เขาไม่ชอบได้
แต่พอเจอเข้าจริงๆ แค่พระองค์รับสั่งว่า ‘ขอโทษ’ ออกมาคำเดียวเขาก็พูดอะไรไม่ออก
เขารู้สึกอย่างนั้นเลยล่ะ แต่คราวนี้เขาไม่ยอมแล้ว จะไม่ยอมอีกต่อไป
“อย่าทรงทำอย่างนี้อีกได้ไหมพระเจ้าค่ะ” เขาทนไม่ได้ “อย่าทรงซื้ออะไรประทานให้กระหม่อมอีก”
แม้อยากจะพูดอะไรมากมาย แต่สุดท้ายเขาก็สรุปได้สั้นๆ แค่นี้ และทั้งที่แค่รับปากเขามาก็สิ้นเรื่อง
อีกฝ่ายกลับทรงทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก
“ข้าทำลายศักดิ์ศรีของเจ้าหรือ”
แทงเข้ามาแล้ว กระบี่ที่เอาแต่ต้านรับ แต่ไม่เคยแทงมาที่เขาเลยเมื่อตอนบ่าย ตอนนี้แทงเข้ามาแล้ว แรง ลึก
และพุ่งตรงถึงกลางใจโดยที่เขาไม่อาจจะหลบเลี่ยงได้เลย
ตอนที่พระองค์ยังไม่พูด เขายังไม่รู้สึกเสียศักดิ์ศรีมากถึงขนาดนี้เลยแท้ๆ
จะพูดทำไม
“ขอโทษ ฟีเรียส” พระองค์ทรงทราบว่ารับสั่งตรงไปตรงมาเกินไป ระหว่างพระองค์กับเขา
ยังไม่สมควรจะรับสั่งอย่างเปิดเผยถึงขนาดนี้ได้ เรื่องนี้พระองค์ทรงผิดอย่างไม่อาจแก้ตัว
“กระหม่อมไม่ใช่ผู้หญิง” ชายหนุ่มตัดสินใจกราบทูล
“ข้าก็ไม่ได้คิด...”
“แต่กระหม่อมก็รู้ตัวว่าคิดมาก หากฝ่าบาทไม่ทรงทราบ กระหม่อมก็ขอกราบทูลว่ากระหม่อมจริงจังกับเรื่อง... การให้ มาก
หากไม่ได้เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน กระหม่อมก็ไม่อยากให้ใครมาจ่ายเงินเพื่อซื้ออะไรให้ แม้แต่กับเพื่อนสนิท
กระหม่อมก็ยอมรับได้แค่เป็นบางครั้ง ถ้าเป็นของที่ไม่มีราคามาก แต่สำหรับฝ่าบาท
กระหม่อมไม่ได้มีความดีความชอบอะไร ซ้ำยังเป็นแค่ลูกหนี้ ไม่ควรรับอะไรจากฝ่าบาทเลย
เท่าที่ประทานพระกรุณาสอนวิชากระบี่ให้โดยไม่ทรงเรียกอะไรตอบแทน กระหม่อมก็ซาบซึ้งในพระกรุณามากพระเจ้าค่ะ”
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ก่อนที่เจ้าชายรามิเรสจะตรัสถามพระสุรเสียงเบา
“ที่เจ้าว่าเจ้าไม่ใช่ผู้หญิง ข้าทำอะไรให้เจ้าคิดอย่างนั้น แค่ซื้อของให้เท่านั้นหรือ”
ฟีเรียสอึกอัก สำนึกเสียใจที่พูดออกไปเช่นนั้น ชายหนุ่มอ้ำอึ้งอยู่พักใหญ่ ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะพูดออกไปส่งๆ
ว่าแค่เรื่องซื้อของเรื่องเดียว หรือจะพูดออกไปให้หมดเปลือกดี ถ้าเป็นอย่างแรก
คนฉลาดอย่างเจ้าชายรามิเรสอาจจะไม่ทรงเชื่อ แต่ถ้าเป็นอย่างหลัง มีหวังคงจะมองหน้ากันไม่ติดอีกต่อไป
“พูดมาเถอะ ข้าให้สัญญากับเจ้า ว่าจะรับฟังอย่างมีเหตุผล” หยุดไปครู่จึงรับสั่งเพิ่ม “และไม่โกรธ”
นักเรียนองครักษ์หนุ่มมองสบสายพระเนตร สะท้านใจขึ้นวูบหนึ่งเมื่ออีกฝ่ายแย้มพระสรวลปรานี
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเปิดเผยความรู้สึกจนหมดเปลือก
“กระหม่อมไม่ทราบว่าฝ่าบาททรง... มีเมตตาอย่างนี้เป็นปกติอยู่แล้วหรือไม่
แต่กระหม่อมรู้สึกว่าไม่ปกติพระเจ้าค่ะ นอกจากเรื่องซื้อของให้ ฝ่าบาทยังทรงทำเหมือน”
คนฟังคงไม่ทรงทราบว่าเขาต้องใช้แรงใจมากมายเพียงใด กว่าจะเอ่ยคำนั้นออกมาได้ “เหมือนหึงหวงกระหม่อม”
ไม่ต้องมีคำอธิบาย คนฟังก็ทรงทราบว่าพระองค์ทรงทำตอนไหน
“แล้วยังเรื่อง ผ้าเช็ดหน้า” คำราชาศัพท์ว่ายังไงเขาไม่รู้ “กระหม่อมตกใจมาก”
ฟีเรียสไม่รู้ตัว ว่าถึงเขาจะไม่ใช่คนผิวขาวจนหน้าแดงเมื่อรู้สึกเขินอาย แต่สีหน้าเก้อกระดาก
แบบยังไม่หายจากอาการ ‘ตกใจมาก’ ทั้งยังเบือนสายตาหลบสายพระเนตรแบบนี้กลับทำให้
คนทอดพระเนตรมองอยู่ทรงรู้สึกว่า ‘น่ารัก’ และแย้มพระสรวลอย่างพึงพระทัยออกมาได้
ทั้งที่อีกฝ่ายกำลังพูดเรื่องเครียด และพระองค์ก็ทรงรับฟังอย่างจริงจังแลหนักพระทัยไม่แพ้กัน
“ฝ่าบาททรงทำเหมือนกระหม่อม... เป็นผู้หญิง”
ที่จริงแล้วยังมีเรื่องยิบย่อยอื่นอีก แต่หลักๆ ก็มีแค่สองเรื่องนี้ คือตอนที่ตรัสถามเขาเรื่องผู้หญิง
กับตอนที่ทรงเช็ดคราบเหนียวๆ ประทานให้
ความเงียบอันน่าอึดอัดเข้ามาเยือนอีกแล้ว ฟีเรียสไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเขาอายุยังน้อยรึเปล่า
ถึงได้มีความอดทนต่ำกว่าอีกฝ่ายอยู่เสมอ แต่เขาทนความเงียบแบบนี้ต่อไปไม่ได้
นักเรียนองครักษ์หนุ่มเลื่อนเก้าอี้ ลุกขึ้นยืน แล้วคุกเข่าลงทั้งสองข้าง
ต่อหน้าเจ้าชายหนุ่มซึ่งประทับอยู่บนเก้าอี้ถัดออกไปสามตัว
“กระหม่อมคงจะพูดตรงเกินไป หากทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัย ขอโปรดทรงลงพระอาญาพระเจ้าค่ะ”
เจ้าชายหกแห่งไมซีนแย้มพระสรวล
“อยู่กันสองคน ข้าจะสั่งใครได้”
“โปรดให้กระหม่อมลงโทษตัวเองก็ได้”
จริงจัง ฟีเรียสจริงจังเกินไป ทั้งสีหน้า สายตา น้ำเสียง ไปจนกระทั่งความคิด จิตใจ
เจ้าชายรามิเรสทอดพระเนตรเห็นแล้วก็ตัดสินพระทัยว่าจะไม่ทรงล้อเล่นกับเขาอีก โดยเฉพาะในเวลาอย่างนี้
คนอายุน้อยกว่ากระถดเข่าถอยเมื่อเจ้าชายหนุ่มทรงลุกจากเก้าอี้มาตรงหน้า แล้วก้มองค์ลงหมายจะประคอง
ต่างฝ่ายต่างชะงักไป ฟีเรียสรู้ว่าเป็นความผิดของเขาเองที่ไม่ได้กราบทูลว่า
ทุกครั้งที่พระองค์ทรงแตะตัวเขาโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว
เขาจะใจเต้นแรงมากจนน่ากลัว แต่จะให้กราบทูลตอนนี้มันก็...
“ลุกขึ้นเถอะ”
ฟีเรียสแค่เงยหน้า
“เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ทุกอย่างเป็นความผิดของข้าเอง”
นักเรียนองครักษ์หนุ่มกัดฟัน เขาไม่ได้คิดจะปัดความผิดไปให้ และถ้าไม่ได้ทรงรู้สึกว่าพระองค์ผิดจริง ก็ไม่ควรจะรับสั่ง
“ฝ่าบาททรงทำอะไรผิดหรือพระเจ้าค่ะ”
เขาเกลียดที่สุด คนที่สักแต่ว่าขอโทษ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองผิดอะไร
“ผิดที่บีบบังคับให้เจ้าต้องมาคุกเข่าอยู่อย่างนี้ ผิดที่ทำตามใจตัวเอง ทำให้เจ้าคิดมากและรู้สึกไม่ดี”
ฟีเรียสอยากรู้เหลือเกิน อยากได้คำขยายความ ว่าทรงหมายความว่ายังไงที่ว่า ‘ทำตามใจตัวเอง’
แม้แต่เรื่องเช็ดมือให้เขานั่นก็ด้วยหรือ เคยทำอย่างนี้ให้ใครมาก่อนรึเปล่า
หรือเขาแสดงออกตอนไหนว่ารู้สึกพิเศษกับพระองค์ จึงได้ทรงกลั่นแกล้ง ทำกับเขาเหมือนผู้หญิง
“ไม่เป็นไรพระเจ้าค่ะ” เขาไม่ได้หมายความตามที่พูด แต่วันนี้เขาเหนื่อยแล้ว ไม่อยากจะพูดอะไรอีก
ไม่อยากจะอยู่ในห้องเดียวกับเจ้าชายหกแห่งไมซีนให้หัวใจว้าวุ่นสับสนยิ่งกว่านี้
“ขอเพียงฝ่าบาทประทานอภัยให้ที่กระหม่อมบังอาจกราบทูลอย่างตรงไปตรงมา
และทรงยอมรับปากกระหม่อมว่าจะไม่ทรงซื้ออะไรให้กระหม่อมอีก
แล้วก็... รับสั่งให้กระหม่อมสบายใจสักนิดว่าฝ่าบาทเพียงแต่เมตตากระหม่อม
เหมือนอย่างที่เมตตาคนอื่น กระหม่อมคิดมากไปเองทุกเรื่อง ก็จะเป็นพระกรุณาแก่กระหม่อมมากพระเจ้าค่ะ”
“ทุกอย่างที่ข้าทำกับเจ้า ข้าไม่ได้คิดอะไรพิเศษเลย”
ฟีเรียสใจหาย
“ถ้าข้าบอกเจ้าอย่างนั้น เจ้าจะเชื่อข้าหรือ”
คนฟังใช้สมองส่วนที่ยังพอมีสติคิดอย่างจริงจัง แล้วทูลตอบหนักแน่น
“เชื่อพระเจ้าค่ะ” เขาจะเชื่อจริงๆ
เจ้าชายรามิเรสแย้มพระสรวลฝืด “ขอโทษ” ไม่รู้ว่าวันนี้พระองค์รับสั่งคำนี้มากี่ครั้งแล้ว กับคนคนเดิม
ทั้งที่ปกติแทบจะไม่เคยรับสั่งกับใคร “ถึงเจ้าจะเชื่อข้า แต่ข้าคงเชื่อคำพูดตัวเองไม่ลง”
ฟีเรียสนิ่วหน้า ทั้งที่ยังไม่ทันเข้าใจความหมายดี หัวใจไม่รักดีก็ชิงเต้นแรงไปก่อนแล้ว
“ข้ารับปาก ว่าจะไม่ยัดเยียดอะไรให้เจ้าอีกถ้าเจ้าไม่เต็มใจ แต่เรื่องเสื้อผ้านี่ขอให้รับไว้
ไปพักผ่อนเถอะ พักห้องที่อยู่ใกล้ๆ กับห้องที่เจ้าพักคราวก่อน”
ฟีเรียสลุกขึ้นยืน ทั้งที่เขาได้พูดอะไรออกไปมากมาย แต่แทนที่จะเข้าใจอะไรมากขึ้น สบายใจยิ่งกว่าเดิม
กลับมีเรื่องไม่เข้าใจมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก แทนที่คืนนี้จะนอนหลับ แต่แค่ยังไม่ทันได้นอนก็เดาได้เลย
ว่าเขาคงหลับไม่ลงทั้งคืน ถึงกระนั้นปากก็ยังพูดออกไปเอง
“ฝ่าบาทเล่าพระเจ้าค่ะ”
“ข้าจะออกไปเดินเล่นสักพัก”
“กระหม่อมจะตามไปถวายอารักขา”
เจ้าชายหนุ่มแย้มพระสรวล มองสีหน้าที่เห็นชัดว่าทั้งสับสนและอ่อนเพลียนั้นแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า
เพราะอย่างนี้ไงล่ะ พระองค์ถึงได้... ลืมไม่ลง
“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว จะนั่งอยู่นี่ เจ้าขึ้นไปก่อนเถอะ”
“... กระหม่อมจะต้มน้ำร้อนถวาย”
“ขอบใจ แต่คืนนี้ข้าอยากจะอาบน้ำเย็น”
ฟีเรียสเข้าใจ เขาคิดว่าสำหรับคืนนี้ น้ำเย็นคงจะดีกว่าจริงๆ เรื่องสุดท้ายก็คือ
“กระหม่อมคิดว่าจะซักเสื้อผ้า” ชายหนุ่มเว้นวรรคไปนาน และเจ้าชายรามิเรสก็ทรงรอคอยอย่างอดทน
“ขอผ้าเช็ดหน้าของฝ่าบาทด้วยพระเจ้าค่ะ”
เจ้าชายหนุ่มทรงนิ่งไปครู่ ก่อนจะทรงหยิบซับพระพักตร์เปื้อนๆ ผืนนั้นออกมายื่นประทานให้คนที่ยืนทำหน้าเคร่งอยู่
ฟีเรียสไม่รู้ ว่าเจ้าชายหกแห่งไมซีนทรงทราบความลับของเขาเสียแล้ว
หน้าตึง มองตรง แต่หลบตาแบบนี้แหละ... อาการเขิน
ฟีเรียสที่เพิ่งได้หลับไปไม่ถึงสองชั่วโมงก่อนรุ่งสางตื่นแต่เช้าเพื่อขี่ม้าลงไปซื้อของที่ตลาด เมื่อกลับมาถึง
เขาก็เห็นเจ้าของวรองค์สูงโปร่งในฉลองพระองค์สีฟ้ายืนรออยู่ตรงลานหน้ามุขรูปครึ่งวงกลม
แสงแดดอ่อนยามเช้าจับพระพักตร์ขาวสะอาดให้แลดูชวนมองจนเขาใจเต้นได้เช่นเคย
นักเรียนองครักษ์หนุ่มนำม้าไปเก็บที่คอก ก่อนจะถือตะกร้าที่เต็มไปด้วยผักและเนื้อไปเผชิญหน้ากับคนที่ยืนรออยู่
“เจ้าจะทำอาหารหรือ”
แม้จะดูไม่ค่อยออก แต่ฟีเรียสก็อุตส่าห์มองเห็นว่าสีพระพักตร์ของเจ้าชายหกแห่งไมซีนก็ดูคล้าย
คนพักผ่อนไม่เพียงพออยู่เหมือนกัน นั่นทำให้เขารู้สึกดี คำคำหนึ่งผุดขึ้นมาในความคิด... เสมอกัน
“พระเจ้าค่ะ”
หลังจากนอนคิดมาทั้งคืน ฟีเรียสก็ตัดสินใจได้ ว่าสองวันนี้เขาจะตั้งใจ ‘เรียน’
และตักตวงวิชาความรู้จาก ‘รุ่นพี่’ ให้ได้มากที่สุด
เขาชอบเจ้าชายหก ถึงตอนนี้ก็ยังชอบอยู่ แต่เขาจะไม่ชอบมากไปกว่านี้อีกแล้ว
ไม่ว่าพระองค์จะเคยทรงทำอะไรให้เขาหวั่นไหว เขาจะพยายามลืมมันไปเสีย
จะไม่เก็บเอามาคิดอีก แม้มันจะยาก แต่เขาจะพยายาม จะไม่ห้ามตัวเองไม่ให้ชอบ แต่ก็จะไม่ชอบมากขึ้น
แบบนี้แหละดีแล้ว
เมื่อคืน เจ้าชายรามิเรสไม่ได้ทรงตอบคำถามเขา สุดท้ายเขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่า
พระองค์ทรงคิดอะไรกับเขาเป็นพิเศษหรือไม่ รู้สึกยังไงกับเขา
แม้ฟีเรียสจะห้ามความอยากรู้ของตัวเองไม่ได้ แต่เขาบังคับการกระทำของตัวเองได้
พ้นจากสองวันนี้ไป เขาจะไม่มาเหยียบที่นี่อีก หรือหากรู้ว่าเจ้าชายรามิเรสประทับอยู่ที่ไหน
หลีกได้เขาก็จะหลีก เลี่ยงได้เขาก็จะเลี่ยง
เจอกันแค่ตอนที่เขาเก็บเงินได้มากพอจะเอามาทยอยใช้คืนโดยไม่ต้องอายว่ามันเป็นจำนวนที่น้อยเกินไป
จนอาจทำให้เจ้าชายหกทรงดูถูกเขาได้ก็พอ
สองวันที่เหลือนั้นหนึ่งเจ้าชายกับหนึ่งนักเรียนองครักษ์อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข ฟีเรียสทำอาหาร ต้มน้ำร้อน
ผสมน้ำอุ่นถวาย ตอบแทนที่เจ้าชายหนุ่มทรงสอนวิชาให้ ส่วนเจ้าชายรามิเรสก็
ไม่ได้ทรงทำหรือพูดอะไรให้ ‘รุ่นน้อง’ ต้องหวั่นไหวอีก
คนอายุน้อยกว่าขอทูลลากลับในตอนบ่ายของวันหยุดวันสุดท้าย
ฟีเรียสใส่เสื้อผ้าชุดเดิมที่เขาใส่มาวันแรกและไม่ได้เอาเสื้อผ้าที่เจ้าชายรามิเรสทรงซื้อประทานให้
กลับไปแม้แต่ชุดเดียวแม้ว่าจะซักเรียบร้อยแล้วทุกชุดก็ตาม
“ซ้อมกับข้าสักรอบก่อนแล้วค่อยไปเถอะ”
ฟีเรียสไม่เกี่ยงอยู่แล้ว เขายินดีทีเดียว และยิ่งตื่นเต้นเมื่อเจ้าชายหกทรง ‘รุก’ เป็นครั้งแรก
ที่ผ่านมาทรงสอนเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้เขาเป็นฝ่ายรุกที่ดีขึ้น โดยพระองค์ทรงเป็นฝ่ายรับตลอด
ฟีเรียสจึงเพิ่งประจักษ์ว่าฝีมือในการรุกของพระองค์ยังยอดเยี่ยมกว่าการรับเสียอีก
เจ้าชายรามิเรสไม่ได้ทรงสอนอะไรเขาเลย แต่ฟีเรียสก็ยินดีจะเรียนรู้เอาเอง
ชายหนุ่มมีเวลาเรียนรู้เพียงไม่นาน เพราะอีกฝ่ายทรงทำให้เขาแพ้หลุดลุ่ยภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที
ซ้อมจบยังรับสั่งเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับกระบี่
“ถ้าข้าบอกเจ้าว่า ข้ารู้สึก... พิเศษ กับเจ้า เจ้าจะว่ายังไง”
คนที่ยังก่นด่าฝีมืออันย่ำแย่ของตัวเองไม่เลิกถึงกับงุนงงไปชั่วขณะ
และคนตรัสถามก็ทรงรออย่างใจเย็นได้จนกระทั่งเขาหายงง
“กระหม่อมจะขอให้ฝ่าบาททรงลืมพระเจ้าค่ะ แล้วก็ทรงคิดถึงพระคู่หมั้นให้มากๆ”
ฟีเรียสรู้ว่าเขาบังอาจสั่งสอนเจ้าชายอีกแล้ว แต่เขาไม่ลืมว่านี่คือ ‘ถ้า’ เพราะฉะนั้น
ความรู้สึกพิเศษของเจ้าชายรามิเรสไม่มีอยู่จริง
แม้ว่าสิ่งสมมตินั้นจะทำให้เขาใจเต้นแรงขนาดต้องก่นด่าตัวเองอย่างดุเดือดว่าไม่รักดีไปอีกรอบก็ตาม
เจ้าชายหกแห่งไมซีนทรงนิ่งเงียบไปนานอย่างที่ฟีเรียสคิดไว้ไม่มีผิด แต่ไม่เป็นไร เขารอได้
เพราะต่อไปคงจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว
“วันหยุดคราวหน้า ข้าจะมารอเจ้าที่นี่”
สีหน้าของนักเรียนองครักษ์หนุ่มขรึมขึ้น รอจังหวะที่จะได้กราบทูลว่า กระหม่อมจะไม่มาอีก แต่เขาไม่มีโอกาสได้พูด
“ข้าไม่ได้บังคับ แต่ถ้าเจ้าอยากจะรู้วิธีเอาชนะข้าให้ได้ และอยากจะรู้คำตอบว่าข้ารู้สึกยังไงกับเจ้า ก็ขอให้มา แล้วข้าจะบอก”
ฟีเรียสนิ่งอึ้ง ไม่มีใครบอกเขา เขารู้ได้เองว่าเจ้ากรมสรรพาวุธทหารบกทรงเป็นเจ้าชายที่พระทัยดี
แต่เขาเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมา เขาคิดเองเออเอง
เบื้องหลังรอยยิ้มปรานีที่เห็นอยู่ตรงหน้า ช่างเลวร้ายสิ้นดี!
tbc.
*************************************************
เคลียร์กันเข้าใจแล้ว (?) ในระดับนึง... เนอะ (รึจะไม่เข้าใจยิ่งกว่าเดิมหว่า)
แต่ก็มีัพัฒนาการเพิ่มขึ้นละหน่า...
ส่วนตัวคิดว่าถ้าเทียบความ 'เยอะ' เนี่ย ฟีเรียสน่าจะเยอะกว่าเยอะนะคะ 555
พบกันตอนหน้านะคะ
ขอบคุณทุกกำลังใจและความคิดเห็นค่ะ