(ต่อ)
“ขับรถดีๆ นะ ถึงแล้วโทรบอกด้วย”
ผ่านมาจนถึงวันที่ 2 ของ พ.ศ.ใหม่ ถึงกำหนดที่ครอบครัวผมต้องเก็บกระเป๋ากลับกรุงเทพฯ รักกับพ่อของเขามาส่งพวกเราที่หน้าบ้านพัก ระหว่างที่พวกผู้ใหญ่คุยกัน รักก็เดินมาสั่งเสียผมซะน่ารักเชียว
“คร้าบ” ผมอมยิ้มรับคำ
“อย่าลืม” แน่ะ มีย้ำอีก
“ไม่ลืมครับผม” ผมเห็นพี่น้องทยอยเดินไปที่รถแล้ว เลยต้องบอกลา “งั้นกลับก่อนนะ เจอกันที่มหา’ลัย”
“เออ”
ครอบครัวรักจะกลับกันวันพรุ่งนี้ ส่วนครอบครัวเมโล่และไอกลับกันไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
“ไปลูก” แม่มาขึ้นรถเป็นคนสุดท้าย ขณะบอกให้ผมออกรถก็หันไปโบกมือบ๊ายบายให้เจ้าของไร่ที่ยืนยิ้มอาลัยอาวรณ์ส่งลา ..ลูกเจ้าของไร่ก็ดูไม่ต่างกันเท่าไหร่ ฮ่ะๆๆ
“พ่อลูกคู่นั้นเขาเหมือนกันจังเลยเนอะ” น้องกวางหัวเราะคิกคักตอนที่รถเคลื่อนตัวออกมาแล้ว
“แต่พี่ว่าไม่ค่อยเหมือนนะ พี่ภาคกับพี่ภูมิดูเหมือนพ่อเขามากกว่าน้องชายอีก” พี่หงษ์ออกความเห็นแบบพาซื่อ
“เหมือนกันสิ” น้องแย้งพร้อมส่งสายตาเจ้าเล่ห์มาทางผมผ่านกระจกมองหลัง “เหมือนตรงที่หลงคนบ้านนี้ทั้งคู่ไงล่ะ คิกคิก”
“คนบ้านนี้..” พี่หงษ์ดูเหมือนยังจับคีย์เวิร์ดไม่ได้ ส่วนแม่หันไปบิดขาน้องแล้ว
“พูดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะเรา” แม่ดุ แต่ไม่ได้ซีเรียสอะไรนัก
“แม่อ่ะ!” น้องทำหน้ายู่ไม่พอใจ แต่แป๊บเดียวก็กลับมาเจื้อยแจ้วต่อจนถึงกรุงเทพฯ...
“รถใครมาจอดหน้าบ้านเราอ่ะแม่?”
พอขับรถเข้ามาในซอยก็เห็นรถสปอร์ตหรูคันหนึ่งจอดขวางหน้าประตูบ้านเราอยู่แต่ไกลเลย
“แม่ก็เพิ่งมาถึงพร้อมน้องกวางเนี่ย” แม่พูดยิ้มๆ ทำเอาน้องควับไปสองวงซ้อน
แต่ผมรู้ เพราะผมจำรถคันนี้ได้ฝังใจ และมันไม่ใส่สิ่งที่ผมอยากจะเห็นเป็นอันดับแรกๆ ในปีใหม่นี้ด้วย
“เดี๋ยวพี่ลงไปบอกให้เขาขยับรถหนีให้”
“เดี๋ยวต่ายไปเอง” ผมหันไปห้ามพี่สาวแล้วลงจากรถมาเอง
พอเดินมาใกล้รถเจ้าปัญหาก็เห็นว่าคนขับกำลังนั่งเอนหลังอยู่ในรถนิ่ง ไม่รู้หลับหรืออะไร ผมเลยเคาะกระจกรถเพื่อเรียกความสนใจ พอคนข้างในหันมาเห็นผม เขาก็เลื่อนกระจกไฟฟาลง
“Where'd you go?” คนถามชะโงกหน้าออกมามองรถของครอบครัวผมที่ถอดจ่อท้ายอยู่ไม่ห่าง
“มาทำอะไรที่นี่?” ผมถามสวนไป
“I asked you first.”
“Yeah, but I asked you first after you asked me first, so you must answer me first.” ผมพูดหน้าตาเฉย
“Kidding me?” คนถามยิ้มมุมปาก พ่นลมออกทางจมูกแบบขำๆ ที่เห็นผมเป็นฝ่ายเริ่มกวนเขาก่อน
ผมหัวเราะลงคอ ก็นะ ไม่อยากเริ่มต้นปีด้วยความหงุดหงิดหรอก แค่การปรากฏตัวของคนที่ไม่ได้อยากเจอแค่คนเดียวเลยไม่เห็นต้องเก็บมาเป็นอารมณ์เลย
“I miss you.” คนพูดเว้นวรรคไปเล็กน้อยเหมือนรอดูปฏิกิยาผมก่อน “อยากให้ไอตอบแบบนั้นหรือเปล่าล่ะ?”
“ช่วยขยับรถนายให้พ้นประตูหน่อยสิ รถเราเข้าบ้านไม่ได้” ผมส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนเดินไปเปิดประตูบ้าน
เจ้าของรถสปอร์ตยอมเคลื่อนรถหลีกทางให้แม่ผมขับรถเข้าไปจอดในบ้าน ผมเดินไปไขกุญแจบ้าน เสร็จแล้วก็ไปขนกระเป๋าสัมภาระของทุกคนเข้าบ้านโดยไม่สนใจหมอนั่นอีก ปล่อยให้หน้าที่รับแขกที่ไม่ได้เชิญเป็นของแม่ไป
“อ้าว แกรี่? ไม่เจอกันนานเลย กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เดือนก่อนโน้น.. ไอผ่านมาแถวนี้เลยแวะเข้ามาทักทายปีใหม่ นี่ไปเที่ยวกันมาเหรอ?”
ทักทายปีใหม่เนี่ยนะ? ..ผมนึกขำกับเหตุผลนั่นในใจ
“จ้ะ ไปไร่องุ่นแถววังน้ำเขียวน่ะ เข้ามาคุยกันในบ้านสิ”
ผมขนกระเป๋าทั้งหมดขึ้นมาไว้ข้างบน แล้วก็เดินเข้าห้องตัวเองเลย ทิ้งตัวนอนแผ่บนที่นอนได้สักพักก็นึกได้ว่าต้องโทรรายงานรักว่ามาถึงบ้านแล้ว ทางนั้นจะได้ไม่เป็นห่วง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมายังไม่ทันได้กดโทรออก ก็มีข้อความแทรกเข้ามาก่อน
‘ถึงยัง?’ จากคนที่ผมกำลังคิดจะโทรไปหาเลย
ผมยิ้มกว้าง แล้วกดส่งสติกเกอร์รูปหัวใจกลับไป ก่อนจะกดโทรออก และทางนั้นก็กดรับทันที
“ถึงแล้วครับ ที่รัก” หยอดนำไปเลยผม ฮ่ะๆๆ คิดแล้วก็อยากเห็นหน้าคนฟัง
“เออ ดี” ตอบมาสั้นๆ แต่คิดว่าคงจะกำลังยิ้มอยู่แน่ๆ
“แล้วรักล่ะ ทำอะไรอยู่?”
“ช่วยอาตรวจบัญชีรีสอร์ท”
“หือ รู้เรื่องบัญชีด้วย เก่งจัง”
“คนมันฉลาดก็เงี้ย”
“ไม่ค่อยเลย” ผมหัวเราะ ทางนั้นก็หัวเราะเหมือนกัน
“งั้นกูทำงานต่อแล้ว”
“ครับผม ตั้งใจทำงานนะ”
“อือ”
“บายครับ”
“บาย”
ผมกดวางสายจังหวะเดียวกับที่มีคนเปิดประตูห้องเข้ามาพอดี
“เข้าห้องคนอื่นทำไมไม่เคาะประตูก่อน?” ผมตำหนิพลางดีดตัวลุกขึ้นนั่ง
“Are you a girl?” ทางนั้นถามกลับมายิ้มๆ
“จะห้องใครก็ควรมีมารยาททั้งนั้นแหล่ะ” ผมลุกเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า ตั้งใจจะหาเสื้อที่มันบางกว่าที่ใส่อยู่นี้มาเปลี่ยนสักหน่อย ที่วังน้ำเขียวมันหนาว แต่พอกลับถึงบ้านแล้วร้อนเลย “แล้วเข้ามานี่มีธุระอะไร?”
“ก็แค่มาเยี่ยมชม” คนพูดเหลียวมองไปรอบห้องผม
“ขอร้องเลย ที่นี่ไม่ใช่พิพิธภัณฑ์ที่เปิดให้คนทั่วไปเข้ามาเยี่ยมชมหรอกนะ” ผมได้เสื้อตัวใหม่แล้วก็เลยถอดเสื้อตัวเก่าออก
“ไอก็ไม่ใช่คนทั่วไปสักหน่อย..”
ผมรู้สึกว่าเสียงมันอยู่ใกล้หูเกินไป เลยหันกลับไปมอง แล้วก็ต้องผงะถอยหลังชนตู้เพราะอีกฝ่ายมายืนเสียชิดเลย
“Kiss marks?”
ก่อนที่ผมจะได้ต่อว่า หมอนั่นก็สังเกตเห็นรอยจ้ำประปรายตามไหล่และอกผมที่รักทำเอาไว้ตั้งแต่คืนที่ผมไปค้างที่บ้านหลังน้อยของเขา แต่มันก็จางลงไปเยอะแล้วนะ
“Who done it?”
“ถอยไปน่ะ” ผมไม่สนใจคำถามนั่น แต่ใช้แขนดันอีกฝ่ายให้พ้นทางเพื่อที่จะได้ออกไปจากตรงนี้ รู้สึกไม่ค่อยดีที่ต้องเผชิญหน้ากับแกรี่ในที่แคบ
แต่หมอนั่นกลับใช้มือยันประตูตู้ กันทางออกของผมไว้ พอผมจะหนีไปอีกทาง มันก็ใช้มือมือมากันไว้อีก ตอนนี้ผมเลยถูกสองแขนนั่นกักขังไว้โดยสิ้นเชิง
“แกรี่..” ผมใช้น้ำเสียงอ่อนใจ ยังไม่ทันเอ่ยจบ อีกฝ่ายก็กดเสียงต่ำพูดแทรก
“Answer me! …who?”ผมไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องตอบ จึงถอนหายใจหนักๆ บอกให้รู้ว่ารำคาญแล้วตั้งใจจะผลักอีกคนให้พ้นทาง
“ไม่เกี่ยวกับ.. โอ๊ยย!” ผมถึงกับเสียงหลงเมื่อถูกกัดเข้าที่บ่าจุดใกล้กับคอแบบเกือบจมเขี้ยว ก่อนจะรีบผลักอกคนทำออกเต็มแรง
“หึ” แกรี่เซถอยหลังไปหลายก้าว แต่มุมปากกลับยกยิ้มพึงพอใจที่ดูกวนประสาทสิ้นดี!
“เป็นหมาหรือไง?” ผมถามเคืองๆ มือกุมไหล่ข้างที่ถูกกัดเอาไว้ แต่ทางนั้นนอกจากจะไม่ตอบโต้แล้วยังยิ้มเหมือนขบขันอะไรนักหนา พาลพาให้ผมหงุดหงิดเข้าไปใหญ่
“ไอว่า.. ไอกลับล่ะ” หมอนั่นพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี แล้วก็เดินออกจากห้องไป
ทิ้งให้ผมยืนงงว่าต้องลงมันเข้ามาทำบ้าอะไรกันแน่? ..แต่พอนึกได้ว่าคิดไปก็เท่านั้น อารมณ์เสียเปล่าๆ เลยเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อส่องกระจกดูร่องรอยที่ถูกกัด
“บ้าเอ๊ย!” ผมสบถอย่างหงุดหงิด หมอนั่นเล่นกัดกันซะเลือดซึมเลย เห็นเป็นรอยฟันขึ้นชัดเจนด้วย แถมยังกัดทับรอยที่รักทำเอาไว้อีก ..บ้าชัดๆ ไม่เข้าใจมันเลยว่าคิดอะไรอยู่ในหัว
ผมสำรวจใบหน้าตัวเองเล็กน้อย มันไม่เหลือร่องรอยฟกช้ำจากหมัดของรักแล้ว รวมทั้งรอยช้ำที่ท้องจากหมัดของเมโล่ด้วย ทั้งนี้คงต้องขอบคุณยาสมุนไพรที่ญาติของรักเอามาให้ทา แค่ 2 วันรอยช้ำก็หายสนิท ของเขาดีจริงๆ แต่พอเลื่อนสายตาไปที่รอยกัดของแกรี่ก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ ผมวักน้ำลูบรอยแผล คิดว่าไปหาแอลกอฮอล์มาเช็ดอีกทีท่าจะดี เลยรีบใส่เสื้อแล้วเดินลงมาข้างล่าง
“แกรี่เขากลับไปแล้วแน่ะลูก” แม่บอกทั้งที่ผมไม่ได้อยากจะรู้สักนิด
“ดีแล้วครับ” ผมพึมพำตอนที่เดินผ่านแม่ไปหาตู้ยา
“ฮึ ว่าไงนะ?”
“เปล่าครับ” ผมเปิดตู้ยาหาขวดแอลกอฮอล์ล้างแผล แต่ไม่เห็นมีเลยแฮะ
“เห็นว่าคุณตาเขาเพิ่งเสีย เขาเลยกลับมาช่วยคุณแม่ทำงาน.. เป็นเด็กเอาการเอางานดีเหมือนกันนะ” แม่พูดไปเรื่อยระหว่างรื้อของสดของแห้งที่ซื้อมาจากโคราชจัดเก็บเข้าที่
ผมชะงักมือที่กำลังค้นของเพราะข้อมูลที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน “เหรอครับ..”
ผมเคยรู้จากปารีสว่าครอบครัวของแกรี่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสถานเริงรมย์ โดยเฉพาะตาของแกรี่นี่เรียกได้ว่าเป็นระดับเจ้าพ่อของธุรกิจชนิดนี้เลยก็ว่าได้ ได้ยินว่าเขาเป็นฝรั่งที่มาลงทุนในไทย มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพวกผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็เคยมีพ่อของผมรวมอยู่ด้วย แล้วนี่..เขาเสียชีวิตแล้วเหรอ?
เอ้อ ที่ต้องรู้จากปารีสก็เพราะผมกับแกรี่ไม่เคยคุยกันแบบเป็นกิจลักษณะเลยสักครั้ง(แหงล่ะ หมอนั่นถ้าไม่โผล่มาแกล้งผม ก็มากวนประสาทผม เราไม่เคยมีช่วงเวลาดีๆ ร่วมกันหรอก) แต่ผมสนิทกับปารีสที่เคยคลั้งไคล้แกรี่อย่างหนัก ผมเลยได้ยินเรื่องของหมอนั่นมาพอสมควร ..แม้จะไม่ได้อยากได้ยินเลยก็ตาม
“อ้าว เขาไม่ได้บอกพี่ต่ายเหรอ?” แม่แปลกใจ ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ
“แล้วตาเขาเป็นอะไรเสียเหรอครับ?”
“หลายโรคน่ะ เห็นว่าป่วยมาพักใหญ่แล้วก่อนจะเสีย”
“อ่อ..” ผมพยักหน้า แล้วกลับมามองตู้ยานิ่ง “แม่ครับ แอลกอฮอล์ล้างแผลหมดแล้วเหรอ?”
“ตายจริง เพิ่งนึกขึ้นได้ หมดตั้งแต่เดือนที่แล้วแล้วล่ะ ว่าจะซื้อทีไรก็ลืมทุกที” แม่หันมามองสำรวจผม “พี่ต่ายเป็นแผลเหรอ?”
“เอ้อ.. ก็นิดหน่อยครับ ต่ายซุ่มซ่ามเอง” ผมหยุดคิดเล็กน้อย “งั้นเดี๋ยวต่ายออกไปซื้อที่ร้านยาหน้าปากซอย.. แม่จะเอาอะไรไหมครับ?”
“งั้นฝากเอาขยะไปทิ้งที” แม่ชี้ไปทางถังขยะ
ผมเดินไปมัดปากถุงขยะในถัง แล้วหิ้วออกมาจากครัว เห็นพี่สาวกับน้องสาวกำลังนั่งเมาท์นั่งกินเค้กช็อคโกแลตปอนด์ใหญ่อยู่หน้าทีวีอย่างสนุก
“อ้าว ต่าย มากินเค้กด้วยกินสิ”
“พี่แกรี่เขาเอามาฝากอ่ะ”
“ตามสบาย ไม่อยากอ้วนเป็นเพื่อนใครหรอก”
“หยาบคาย!” สองสาวแหวพร้อมกัน ส่วนผมหัวเราะชอบใจ
“จะเอาไรเปล่า? จะออกไปหน้าปากซอยน่ะ”
ทั้งคู่ปฏิเสธ ผมเลยเดินออกจากบ้านมา ทิ้งขยะเสร็จก็กลับมาเอาจักรยานข้างบ้านปั่นออกไป..
ซื้อแอลกอฮอล์ล้างแผลกับพลาสเตอร์ยาแบบแผ่นใหญ่ที่ร้านขายยาเสร็จ ก็เดินเข้าร้านเซเว่นฯที่อยู่ข้างกันเพื่อหาใบมีดโกนโกนหนวดที่จำได้ว่ามีเหลืออยู่ที่บ้านแค่ใบเดียว พอได้ของที่ต้องการก็จะเดินไปจ่ายเงิน ระหว่างเห็นเด็กผู้ชายคุ้นหน้าคุ้นตานั่งขมวดคิ้วอยู่ตรงชั้นขายพวกลูกอมกับขนมแบบเด็กๆ
“ปูเป้” ผมเข้าไปสะกิดแล้วยิ้มกว้างให้
เจ้าของชื่อสะดุ้งสุดตัว ก่อนรีบยืนขึ้น “ต่าย! กลับมาเมื่อไหร่?”
“เมื่อกี๊เอง ปูล่ะ ไปเที่ยวปรายสนุกไหม?”
“ไม่เห็นสนุกเลย มีแต่ถ่ายรูปๆ ..อ้อ แต่ปลากับแม่คงสนุกอยู่หรอก” ปูเป้บ่นกระปอดกระปอด “รู้งี้ชวนพ่อไปวังน้ำเขียวกับต่ายก็ดี.. แล้วที่ไร่องุ่นสนุกไหม?”
“สนุกสิ” ผมพยักหน้า แล้วหันไปมองที่ชั้นวางของ “แล้วนี่กำลังซื้ออะไรเหรอ? ลูกอม? ขนม?”
“ไม่ซื้อหรอก ขนมเด็กๆ” แล้วคนพูดก็เดินออกไปจากตรงนั้นเฉยเลย “ไปรอข้างนอกนะ”
ผมมองตามแผ่นหลังเล็กๆ นั่นไปแบบงงๆ แล้วหันกลับมามองที่ชั้นขนม ก้มลงไปหยิบขนมที่แน่ใจว่าปูเป้นั่งดูอยู่เมื่อขึ้นมาพลิกดู มันเป็นเยลลี่คลุกน้ำตาลแผ่นยาวๆ ที่เขียนบอกว่า ‘รสสตรอว์เบอร์รี่’ ผมตัดสินใจเอามันไปจ่ายเงินด้วย..
“เอาไหม?” ผมยื่นขนมเจลลี่คลุกน้ำตาลแบ่งให้คนที่ยืนรออยู่หน้าร้านครึ่งหนึ่ง
อีกครึ่งที่เหลือก็เอามากัดกินเอง มันเหนียวๆ หนึบๆ เปรี้ยวๆ หวานๆ แต่ก็อร่อยดี ผมหันไปยิ้มให้คนที่ยืนมองผมคล้ายอึ้งเล็กน้อย
“อร่อยดีนะ” ผมพูดแล้วกินเข้าไปอีกคำ ปูเป้จึงยอมรับส่วนที่ผมแบ่งให้ไปกินบ้าง
“ต่ายชอบเหรอ?” คนถามแหงนมองหน้าผม
“อือฮึ ผู้ใหญ่ก็ชอบอะไรแบบนี้เหมือนกันนะ ไม่เฉพาะกับเด็กหรอก” ผมยักคิ้ว แล้วดันหลังอีกคนไปทางจักรยานที่จอดไว้ “ป่ะ พี่เอาจักรยานมา”
ผมพ่วงปูเป้กลับมาจนเกือบจะถึงบ้าน แต่แลเห็นพี่หงษ์ยืนคุยกับผู้ชายคนหนึ่งอยู่หน้าบ้านโดยมีประตูรั้วกั้นตรงกลางซะก่อน ก็เลยชะลอรถแล้วจอดแอบข้างทางเพื่อสังเกตการอยู่ห่างๆ
“นั่นใช่แฟนพี่หงษ์หรือเปล่า?” คนที่ซ้อนข้างหลังถาม ผมตอบอือออในลำคอ
นั่นใช่ ‘พี่แดน’ แฟนตัวร้ายของพี่สาวผมจริงๆ นั่นล่ะ ผมขมวดคิ้วดูอยู่สักพักก็เห็นพี่แดนเตะประตูรั้วดังโครม แล้วกลับไปขึ้นรถตัวเองขับออกไปด้วยท่าทางหัวเสียพอดู ..เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ?
ปกติถ้าทะเลาะกัน แล้วพี่หงษ์หลบมาที่บ้านนี้ ไม่เกิน 1 คืน พี่แดนจะต้องมาง้อมาตามกลับ แล้วพี่หงษ์ก็ไม่เคยใจแข็งได้สักครั้ง ไม่ว่าก่อนมาจะทะเลาะกันรุนแรงยังไง แต่ก็เห็นยอมใจอ่อนตามเขากลับไปทุกที แต่ครั้งนี้มาแปลกแฮะ นอกจากจะไปค้างอ้างแรมที่อื่นมาตั้ง 3 คืนแล้ว วันนี้ก็ยังไม่ยอมตามแฟนกลับไปอีก ..แปลกจริงๆ
“เดี๋ยวเอาเห็ดมาให้นะ” ผมบอกตอนส่งปูเป้ลงหน้าบ้านของเขา
“เห็ดเหรอ?”
“ใช่ ซื้อเห็ดมาเยอะแยะเลย” ผมบอกกลั้วหัวเราะ อีกฝ่ายก็หัวเราะแล้วเข้าบ้านไป
ผมจูงจักรยานมาบ้านตัวเอง กำลังจะเลื่อนประตูเปิด ก็หันไปเห็นเวสป้าคันจ้อยกับมนุษย์แมวยักษ์ขับมาจอดเทียบพอดี..
วันนี้มันวันอะไรเนี่ย? รู้สึกว่าหัวกระไดบ้านไม่แห้งเลยจริงๆ
“ว่าไง เมโล่?” ผมทักคนที่กำลังถอดหมวกกันน็อคหูแมว ข้างหลังมีกระเป๋าเป้พิมพ์ลายเส้นรูปหน้าแมวสีขาวดำ
“เค้าหนีออกจากบ้าน”“ห๊ะ?”
“ขออยู่ที่นี่สักพักนะ”เฮ้ย?!!
TBC.เมโหล่ววววววว