(ต่อ)
เฮียภาคมาส่งผมที่เรือนพักตอนครอบครัวผมกำลังจะไปทานมื้อเช้าที่ห้องอาหารของรีสอร์ทกันพอดี รักตามพวกเรามาถึงติดๆ แม่เลยชวนสองพี่น้องไปทานอาหารกับเรา ทั้งคู่ไม่ปฏิเสธ พวกเราไปเจอครอบครัวของเมโล่ที่ห้องอาหาร เลยตกลงเลือกโต๊ะสำหรับครอบครัวใหญ่เพื่อที่จะได้นั่งทานด้วยกันทั้งหมด
“มอร์นิ่ง คุณชาย” ไอเดินมากอดคอแล้วทักทายผม หน้าตาดูสดใสขึ้นมาก แม้ตาจะยังบวมช้ำเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักอยู่นิดหน่อย
“มอร์นิ่ง ไอ” ผมทักตอบไป
ไอยิ้มเต็มหน้า ก่อนหันไปพูดขอบคุณรักที่ช่วยเลื่อนเก้าอี้ตัวข้างผมให้นั่ง “ขอบใจ”
รักอึ้งไป เพราะความจริงแล้วเขาไม่ได้เลื่อนเก้าอี้ตัวนี้ให้ไอ รักตั้งใจจะนั่งเอง แต่กลับถูกไอนั่งตัดหน้าซะก่อน เขาจึงดูทำอะไรไม่ถูกในตอนแรก ก่อนจะรู้สึกตัวแล้วขยับไปดึงเก้าอี้ตัวถัดจากไอแทน
“ของเค้า” แต่ก็ไม่ทันเมโล่อีก..
สุดท้ายรักเลยต้องย้ายฝั่งไปนั่งข้างเฮียภาคแทน
“เมื่อคืนกลับไปตอนไหนน่ะ?” เสียงชวนคุยของไอทำให้ผมต้องละสายตาจากรักเพื่อมามองคู่สนทนา
แต่ใจก็ยังอดห่วงอีกคนไม่ได้.. วันนี้รักดูยอมถอยง่ายเกินไปหรือเปล่า? เขาไม่แม้แต่จะแสดงออกให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่าได้แย่งที่ของเขาไปด้วยซ้ำ ..แปลกจริงๆ
“หลังไอหลับไปสักพัก”
“ทิ้งกันเฉยเลย” เดาไม่ออกเหมือนกันว่าไอพูดจริงหรือเล่นกับประโยคนี้
“เราแค่กลับมานอน”
“แล้วไปนอนไหนล่ะ ไม่ได้นอนที่บ้านพักด้วยนี่”
“ไอ..”
“แซวเล่นน่า ทำหน้าอย่างกับถูกกิ๊กจับได้ว่ามีแฟนแล้วงั้นแหล่ะ” ไอพูดกลั้วหัวเราะ ไม่รู้ตลกจริงหรือกลบเกลื่อน แต่มันเริ่มทำให้ผมไม่สบายใจแล้วสิ
“ไอคือ..” แค่เพราะอีกฝ่ายจ้องตากลับมาตรงๆ คำพูดที่ผมตั้งใจจะบอกก็ถูกลืมไปดื้อๆ ซะอย่างนั้น
“หือ?” ไอเลิกคิ้วเมื่อเห็นผมไม่พูดต่อ “อะไร?”
“ไม่มีอะไร” ผมหันกลับมาจานอาหารตรงหน้า
“เอ๊า อะไรเนี่ย?” ไอหัวเราะ แล้วเอาส้อมมาจิ้มไข่ดาวในจานผม “ไม่กินขอนะ”
“ได้ไง?” ผมใช้ช้อนกดไข่ดาวไว้ ไม่ยอมให้ไอยกไปง่ายๆ
“ก็เห็นไม่กิน”
“ยังไม่ทันกิน ไม่ใช่ไม่กิน ไออยากกินทำไมเมื่อกี๊ไม่ตักมาด้วยล่ะ”
อาหารเช้าของที่นี่จะเป็นแบบบุพเฟ่ต์ที่แขกสามารถเลือกตักได้เองตามใจ มีทั้งแบบไทยและอเมริกันเลย
“แค่นี้หวงเหรอ?” ไอทำเสียงเหวี่ยง แต่หน้ากลั้นยิ้มจนแก้มเป็นก้อน “กับเพื่อนกับฝูงอ่ะ”
คำว่า ‘เพื่อน’ ทำให้ผมเผลอยกช้อนขึ้น ไอก็เลยยกไข่ดาวไปกินได้สมใจด้วยท่าทางเบิกบาน
“เมื่อคืนเราไปค้างกับรักมา”ช้อนส้อมที่กำลังช่วยกันแบ่งไข่ให้พอดีคำชะงักค้างไปอึดใจ ก่อนจะทำหน้าที่ของมันต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมเหลือบมองรักที่กำลังมองมาทางผมอยู่เช่นกัน ไม่แน่ใจว่ารักได้ยินที่ผมคุยกับไอหรือเปล่า(เราคุยกันเบาๆ) แต่ถึงไม่ได้ยินรักก็อาจจะพอจับความรู้สึกได้ว่าผมกำลังพูดเรื่องของ ‘เรา’ อยู่ (ส่วนคนอื่นบนโต๊ะกำลังสนใจเรื่องไวน์ของเฮียภาคกัน)
ผมหันมามองไออีกครั้ง แต่ตอนนี้เจ้าตัวกำลังสนใจของกินในจานตรงหน้ามากกว่า
“พวกเรา...กำลังคบกันอยู่ คิดว่าไอคงพอรู้อยู่บ้างแล้ว”
“เหรอ.. เพิ่งรู้เนี่ยแหล่ะ” ไอพูดโดยไม่มองหน้าผม
ผมนั่งมองอีกฝ่ายอย่างลังเลว่าควรจะพูดอะไรต่ออีกไหม แต่ไหนๆ ก็พูดแล้ว ก็น่าจะพูดให้เคลียร์กันไปเลย
“ไอ..รับได้ใช่ไหม?”
“ถามทำไม?” ไอเหลือบมองผมนิดหนึ่ง แล้วกลับไปสนใจอาหารต่อ
“ก็เราเป็นเพื่อนกัน.. ไอจะไม่รังเกียจใช่ไหมที่เราเป็นแบบนี้?”
“เห็นเรางี่เง่าขนาดนั้นเลย?”
“ก็เปล่า.. เราแคร์ความรู้สึกไอไง”
“เราอิ่มแล้ว” ไอลุกขึ้นทั้งที่ยังกินไปไม่ถึงครึ่งจาน “ที่เหลือฝากจัดการต่อด้วยนะเมโล่”
“โอเค~” เมโล่เอาจานของไอไปกินต่อเหมือนเป็นเรื่องปกติ
“ไอ?” ผมมองตามหลังคนที่จู่ๆ ก็ลุกออกจากโต๊ะไป หันไปทางรัก ก็เห็นว่าทางนั้นมองมาทางผมเช่นกัน เฮียภาคเหลือบมองพวกเราเล็กน้อยแล้วกลับไปพูดเรื่องไวน์ต่อ
ผมหันกลับไปมองทางที่ไอเพิ่งเดินออกไปอีกครั้ง สองจิตสองใจว่าควรจะตามออกไปหรือเปล่า เหมือนไอจะลุกออกไปก็เพราะผม แต่รักจะคิดยังไงถ้าผมตามไอออกไปอีกคน ครั้นจะปล่อยไอไปเฉยๆ ก็รู้สึกผิดอีก..
“อ้าว พี่ต่ายอิ่มแล้วเหรอ?”
สุดท้ายผมก็เลือกลุกตามไอออกมา โดยส่งสายตากึ่งขอโทษกึ่งขอร้องให้รักด้วยหวังว่าเขาจะเข้าใจผม
“ไอ! ไอ รอเราด้วยสิ” ผมตามมาทันตอนที่ไอเดินมาได้ครึ่งทางระหว่างห้องอาหารกับบ้านพักแล้ว
ไอหันมองผม เลิกคิ้วน้อยๆ คล้ายแปลกใจ แต่ก็ยังเดินต่อเหมือนไม่มีอะไร
“แฟนไปไหนล่ะ? ทิ้งไว้แล้วตามเราออกมาแบบนี้จะไม่ถูกโกรธเอาเหรอ?”
“รักเข้าใจ” ยอมรับว่าอันนี้คิดเองเออเอง แต่ก็หวังว่ามันจะเป็นเรื่องจริง
“ดีเนาะ” ไอพูดแค่นั้นแล้วไม่ว่าอะไรต่อ
“ไอโกรธเราเหรอ?”
“อะไรทำให้คิดแบบนั้น?”
“จู่ๆ ไอก็ลุกออกมา”
“เราอิ่ม เราก็ลุกออกมา”
“ไอ..”
“โอเค!”
ผมเบิกตากว้างที่จู่ๆ ไอก็ผลักผมไปกระแทกกับต้นไม้ที่เราเดินผ่านพอดี ก่อนจะหลับตาปี๋เมื่อเห็นหมัดไอพุ่งตามมา
ปึ้ก!มีเสียงปะทะ แต่ผมไม่ได้รู้สึกเจ็บส่วนไหนของใบหน้าแม้แต่น้อย เลยค่อยๆ ลืมตาขึ้น แขนไอคือสิ่งแรกที่ผมเห็น หมัดของไอยันต้นไม้ห่างจากหน้าผมไปเล็กน้อยเท่านั้น ผมเหลือบมองหน้าเจ้าตัว เห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้วแน่น
“เราโกรธตัวเอง..” ไอพูดออกมาช้าๆ เหมือนกำลังเรียบเรียงคำพูดไปด้วย “..ว่าทำไมถึงไม่กล้ายอมรับความรู้สึกของนายในตอนแรก”
ไอรู้เหรอว่าผมเคยชอบเขา..
“แปลกใจเหรอ?” คนพูดหัวเราะเครียด “ก็นายแสดงออกชัดเจนขนาดนั้น ใครๆ เขาก็ดูออกทั้งนั้นแหล่ะ”
“ใครๆ ที่ว่านี่..?”
“พวกเพื่อนกลุ่มเรา”
กลุ่มไอก็ไม่ใช่เล็กๆ นะ
“น่าอายจัง..” ผมยกมือลูบหน้าตัวเอง นี่ผมไปทำอะไรเรี่ยราดกับไอขนาดนั้นเลยเหรอ คนเขาถึงได้ดูออกหมด
แต่ไม่เคยได้ยินใครพูดอะไรเลย ..ไม่สิ ปกติใครเขาจะมานินทาให้เจ้าตัวได้ยินกัน ยิ่งเป็นคนที่ไม่มีใครกล้าล้อกล้าแซวอย่างผมด้วย ก็คงจะถูกพูดถึงแค่ตอนลับหลังเท่านั้นแหล่ะ
“เรามันขี้ขลาดเองแหล่ะ.. ทั้งยังถือทิฐิ ตอนนั้นคิดด้วยซ้ำว่าให้นายได้รับรู้ความรู้สึกของคนที่ถูกเมินบ้างก็ดี”
“ไอ..”
“วันที่เราเลิกกับกี๋ คนแรกที่เรานึกถึงก็คือนาย เรากลับไปหานาย และสายตาที่นายมองเราก็ยังเหมือนเดิม มันเลยตลกมากตอนที่นายบอกว่าเราไม่สำคัญสำหรับนายสักหน่อย ..นึกถึงหมาจิ้งจอกตัวที่บอกว่าองุ่นเปรี้ยวขึ้นมาเลย”
ผมรู้สึกเหมือนเสียความรู้สึกกับคำพูดของไอยังไงบอกไม่ถูก
“โกรธเหรอ?” ไอยกยิ้มเครียด คงเพราะเขาเห็นสีหน้าที่แข็งขึ้นของผม “เราก็เหี้ยแบบนี้แหล่ะ ..ผิดหวังไหม? ดีได้ไม่เท่าคนที่นายเคยจินตนาการถึงเลยใช่หรือเปล่า?”
“ไม่จริงหรอก” ผมโพล่งออกไปตามความรู้สึก ไออาจไม่ใช่คนอย่างที่ผมเคยคิดไว้ทั้งหมด แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าเขาตั้งใจพูดให้ตัวเองดูแย่กว่าความเป็นจริง ..ผมยังเชื่อแบบนั้น
“ถ้างั้น..” รอยยิ้มหายไป เหลือเพียงดวงตาเศร้าๆ ไอเข้ามากอดผมไว้ เกยคางไว้กับไหล่ผมของผม
“กลับมาชอบเราเหมือนเดิมได้หรือเปล่า?”ผมเบิกตากว้างกับการกระทำและคำพูดที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน
“เมื่อคืนนายบอกว่าจะไม่ทิ้งเรา.. งั้นก็ช่วยทิ้งหมอนั่นไปได้หรือเปล่า?”!!
ร่างของไอถูกกระชากออกไป ก่อนที่รักจะประเคนหมัดใส่บนหน้าขาวๆ นั่นเต็มแรง ไอเซล้มลงไปบนพื้นหญ้า แต่ก็รีบลุกขึ้นมาแล้วสวนเข้าหน้ารักแบบเต็มหมัดเช่นกัน
“เหี้ย!” รักสบถพลางเช็ดเลือดมุมปาก แววตาของเขาวาวโรจน์อย่างคนโกรธจัด
ทั้งหมดมันเกิดขึ้นเร็วมากจริงๆ กว่าผมจะตั้งสติได้ก็วิ่งเข้าไปแทรกตอนที่รักง้างหมัดเข้าหาไออีกรอบ คราวนี้หมัดรักเลยจบที่หน้าผมแทนหน้าไอแบบตกใจกันหมดทุกฝ่าย
“ซี้ดด..” ผมร้องเบาๆ ‘เลือดกบปาก’ เป็นยังไง เข้าใจเอานาทีนี้เอง
“เฮ้ย กู.. มึง!” รักถึงกับทำอะไรไม่ถูก เจ้าตัวดูทั้งช็อคทั้งหัวเสียอยู่ไม่น้อย
“โอเคไหม?” ไอที่ช่วยรับผมไว้ก่อนล้มถามอาการ
“มึงอยากได้ของคนอื่นเขาขนาดนั้นเลยหรือไง?” รักถามไอ พลางเข้ามากระชากผมไปหาตัวเอง
ไอไม่ตอบ เพียงแค่จ้องกลับมาด้วยสายตาที่ผมอ่านไม่ออกจริงๆ เดาไม่ได้เลยว่าไอกำลังคิดอะไรอยู่ในหัว
“อย่า! รัก!” ผมห้ามรักที่เริ่มอารมณ์ขึ้นอีกรอบเพราะความนิ่งของไอ
“.........” ไอเบนสายตาจากรักมาที่ผม มันยังอ่านยากเช่นเดิม และผมเลือกที่จะหลุบตาลงต่ำแทนการตอบคำถามทุกข้อของไอ
เสียงสูดหายใจเข้าลึกจากอีกฝ่ายทำให้ผมอดเหลือบมองเขาอีกครั้งไม่ได้ แต่ไอก็หันหลังเดินจากไปก่อนที่ผมจะได้เห็นความรู้สึกที่แท้จริงของเขาผ่านแววตาอ่านยากคู่นั้น
“เจ็บมากไหม?” มือเย็นที่แตะเบาๆ ลงบนรอยช้ำบนหน้าทำให้ผมหันกลับไปมองอีกคนที่กำลังดูแผลผมด้วยความเป็นห่วงอยู่
ผมมองรักอย่างซาบซึ้ง ก่อนจะสวมกอดเขา ซบหน้าเอาไว้กับไหล่ “ขอโทษนะ”
“มึงแย่งกูพูดทำไม? กูสิต้องพูดคำนั้น” รักยกแขนขึ้นโอบตอบผม “ดีไม่โดนดั้งหักกรามยุบ”
“เจ็บเหมือนกรามโยกเลย” ผมโอดครวญเรียกความสงสาร
“สมน้ำหน้า” แต่ดันให้ผลตรงข้ามซะนี่
“มาได้ยินตั้งแต่ตอนไหนเหรอ?” ผมถามพลางลูบหลังรักเล่นเบาๆ
“มันบอกว่ามึงสัญญาว่าจะไม่ทิ้งมัน..”
“อื้อ ในฐานะเพื่อน” ผมยอมรับตามจริง แต่ก็แสดงจุดยืนของผมชัดเจน
“แล้วที่มัน.. บอกให้มึงทิ้งกูล่ะ?” รักกำเสื้อผมแน่นตอนถามแบบนั้น เขากดจูบหนักๆ บนคอผมเหมือนต้องการแน่ใจว่าผมยังอยู่ในอ้อมกอดเขา
“เราจะทิ้งแฟนเราได้ไง”
“และมึงก็จะไม่ทิ้งมัน?”
“เราต้องทิ้งใครสักคนด้วยเหรอ?” ผมกอดรักแน่นกว่าเดิม “เราต้องเลือกด้วยเหรอ? มีใครต้องเลือกระหว่างเพื่อนกับแฟนด้วยเหรอ?”
“กูไม่แน่ใจ..” เสียงรักดูไม่มีความมั่นใจเช่นเดียวกับคำพูด “มันเหมือนไม่ได้อยากเป็นแค่เพื่อนมึง.. ห่า! แม่งเอ๊ย กูอุตส่าห์พยายามทำใจกว้างไม่หึงมึงกับมันแล้วนะ!”
รักผละออกจากผมไปยืนทึ้งหัวตัวเองอย่างคนคิดไม่ตก ปากก็สบถด่าลมด่าฟ้าไปเรื่อย
“.........”
แล้วผมควรทำยังไง?
ทำไมไอถึงมาพูดอะไรแบบนั้นเอาป่านนี้นะ..
หลังแยกย้ายกับรักเพราะเจ้าตัวบอกพี่ให้ไปช่วยงาน ผมก็กลับไปรวมตัวกับครอบครัวเพื่อเตรียมไปทัวร์ไวน์ตามที่ได้ลงชื่อไว้ก่อนทานข้าว ตอนที่โผล่ไปทุกคนก็ดูตกใจกับรอยช้ำบนหน้าผมมากเหมือนกัน แต่พอเห็นไอที่ปรากฏตัวตามมาติดๆ มีรอยช้ำบนหน้าไม่แตกต่างกัน(แค่คนละตำแหน่ง) ก็เลยไม่มีใครกล้าถามสักคนว่าผมไปโดนอะไรมา
ทัวร์รอบนี้เฮียภาครับอาสาขับรถกอล์ฟแบบ 15 ที่นั่งพาคณะเราชมไร่องุ่นและโรงงานผลิตไวน์ด้วยตัวเอง ปกติแล้วที่นี่จะมีทั้งนักท่องเที่ยวที่เข้าพักในรีสอร์ทและนักท่องเที่ยวขาจรที่เข้ามาชมทัวร์ไวน์กับถ่ายรูปกับสวนสวยของรีสอร์ท ทัวร์ไวน์จะเปิดให้บริการวันละ 2 รอบ คือเช้ากับบ่าย มีวิทยากรซึ่งเป็นพนักงานของรีสอร์ทคอยให้ความรู้เกี่ยวกับไร่องุ่นและไวน์ไปจนจบกระบวนการผลิตเลย
ตลอดทางไอก็นั่งคู่ไปกับผมนั่นแหล่ะ แต่เราไม่ได้พูดกันสักคำ ผมเองก็ไม่รู้จะเริ่มยังไง ไอก็แค่นั่งเงียบๆ ไป ซ้ำร้ายกว่านั้น รถคันที่ผมนั่งนอกจากมีครอบครัวผมกับครอบครัวเมโล่แล้ว ยังมีครอบครัวของกี๋กับแฟนนั่งมาด้วย คิดดูแล้วกันว่ามันชวนกระอักกระอ่วนใจขนาดไหน กี๋ก็ทำหน้าเหมือนพร้อมจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลาที่ผมบังเอิญเผลอไปสบตากับเธอ เธอคงรู้ตัวว่าถูกไอจงใจเมิน เลยพยายามส่งสายตาอ้อนวอนขอความช่วยเหลือมาที่ผม แต่จะให้ผมทำอะไรได้ล่ะ ในเมื่อตามหลังกี๋มาก็คือสายตาเขียวปั้ดของแม่เธออีกที ..ให้ตายสิ เรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมเลยนะเนี่ย ลำพังแค่เรื่องของตัวเองก็แทบจะกระอักเป็นเลือดอยู่แล้ว
หลังจบทัวร์ไวน์ที่จุดชิมไวน์ในร้านขายผลิตภัณฑ์ของไร่ ที่มีทั้งไวน์ องุ่นกวน ลูกเกด ฯลฯ เฮียภาคก็เข้ามาชวนพวกเราว่ามีใครสนใจอยากไปเล่นเกมในไร่ด้วยกันไหม อันที่จริงแล้วมันเป็นเกมที่เล่นกันเฉพาะคนงานและครอบครัวของเจ้าของไร่ ที่จัดขึ้นทุกปีจนเหมือนกับเป็นประเพณีในช่วงต้นฤดูเก็บเกี่ยว แต่ครั้งนี้เสธ.เจ้าของไร่เห็นว่ามีคนคุ้นเคยมาหลายคน(รู้สึกเขาจะรู้จักกับพ่อของพี่น็อตแฟนกี๋ด้วย) เลยอยากจะชวนไปร่วมเล่นสนุกด้วยกัน สรุปทุกคนที่นั่งมาบนรถเฮียภาคก็ไปต่อกันที่แปลงทดลองที่เฮียเขาบอกเลย
เสธ.ดี้ เฮียภูมิ รัก ญาติของพวกเขาอีกไม่กี่คน แล้วก็พวกคนงานของไร่ไปรวมตัวกันอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว ทุกคนดูจะแอบอึ้งไปเมื่อเห็นทั้งผม รัก และไอ มีแผลบนหน้ากันหมด โดยเฉพาะไอที่ขาวกว่าใครเพื่อน รอยก็เลยเด่นชัดกว่าใครเพื่อนไปด้วย เฮียภูมิมองพวกเราแล้วยิ้มกรุ้มกริ่มปนขำเหมือนเขาเห็นว่ามันเป็นเรื่องสนุก ส่วนคนอื่นก็มีเพียงสายตาสงสัยใคร่รู้ที่ส่งมาเป็นระยะ แต่ไม่มีใครกล้าถามอะไรอยู่ดี
ก่อนเริ่มเล่นเกมมีการจับฉลากตัวเลข ใครที่เลขเหมือนกันก็จะได้คู่กัน และผมก็ได้คู่กับเมโล่ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะออกหัวหรือออกก้อย ส่วนคู่อื่นก็มี เฮียภาคกับพี่ป่าน เฮียภูมิกับลุงหมี เฮียภูมิตะล่อมมาแซะเฮียภาคจะขอแลกเบอร์ด้วย แต่เฮียภาคทำเฉย พี่ป่านได้ทีเลยขอแลกกับเฮียภูมิเองซะเลย แบบขอเอง ตกลงเอง แล้วก็วิ่งไปหาลุงหมีอย่างร่าเริง ทิ้งเฮียแฝดให้ยืนทำหน้าเมื่อยคู่กัน
“ทำไมต้องมาคู่กับเฮียด้วยวะเนี่ย?” เฮียภูมิบ่น
“เออ แล้วแกเสือกมาขอเปลี่ยนทำไมล่ะ?” เฮียภาคย้อน
“ก็ไม่อยากคู่กับหมีนี่หว่า ได้คู่กับคุณป่านคนสวยยังไงก็ดีกว่าเห็นๆ แต่ตอนนี้ดันมาคู่กับเฮียแทน มันดีกว่าหมีตรงไหนวะ?” เฮียภูมิบ่นพึมพำ เลยถูกเฮียผู้พี่หมั่นไส้แล้วเอาเท้ายันจนเซมาทางผม แกก็เลยได้เนียนมายื่นข้อเสนอให้ผมต่อ
“น้องต่ายสนใจแลกที่กับไอ้เฮียของพี่ไหม?” คนพูดผายมือไปทางเฮียภาคที่ยืนทำหน้าดุอยู่
“ไม่ดีกว่าครับ” ผมปฏิเสธกลั้วหัวเราะ เฮียแกเลยแกล้งเดินคอตกกลับไปที่เดิม
พี่หงษ์จับได้คู่กับน้องกวาง พี่น็อตก็ดีใจใหญ่ที่จับได้เบอร์เดียวกับกี๋แฟนตัว โดยไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าไร้อารมณ์ของแฟนแม้แต่น้อย แต่คู่ที่น่าเป็นห่วงที่สุดเห็นจะเป็นคู่ไอกับรัก ไม่รู้นรกชังหรือสวรรค์แกล้งที่ทำให้คนที่เพิ่งแลกกันไปคนละหมัดต้องมาจับคู่กันเองแบบนี้ เห็นบรรยากาศรอบตัวทั้งคู่แล้วผมอึดอัดแทน
“เมโล่ แลกกัน” ไอเดินมายื่นฉลากเลข 4 ที่จับได้ให้เมโล่
เมโล่ก้มมองฉลากในมือไอและของตัวเองเหมือนกำลังตัดสินใจ
“ไม่ต้องเลยมึง” แต่ยังไม่ทันเสร็จรักก็เดินมาคว้าคอเสื้อด้านหลังของไอแล้วลากกลับไปที่เดิม ..ด้วยความไม่เต็มใจของทั้งคนลากและคนถูกลากนั่นล่ะ ยิ่งเห็นก็ยิ่งห่วงว่ามันจะไปรอดกันไหมล่ะนั่น
“คุณกุ๊กไก่ให้เกียรติเล่นเกมคู่กับผมนะครับ” เสธ.ดี้ลุกขึ้นโค้งให้แม่ผมราวกับจะชวนเต้นรำมากกว่าเล่นเกมอีกนะนั่น ฮ่ะๆๆ และแม่ผมก็คงไม่กล้าปฏิเสธน้ำใจเขาอยู่แล้วล่ะ จากตอนแรกที่คิดจะนั่งดูเฉยๆ ก็เลยต้องลุกมาเล่นกับเขาด้วย
“อ้าว ไหงพ่อเลือกคู่เองได้ แต่คนอื่นต้องจับฉลากชิงโชคร้ายเอาล่ะ? สองมาตรฐานนี่หว่า” เฮียภูมิประท้วง
“ไว้แกมีชื่อเป็นเจ้าของไร่เมื่อไหร่ แกก็ตั้งกติกาใหม่เอาเองแล้วกัน” คนเป็นพ่อตอกกลับซะลูกคนรองหน้าหงิก แต่คนอื่นๆ พากันหัวเราะชอบใจ
นอกนั้นก็มีญาติเจ้าของไร่อีก 3 คู่ รวมเป็น 10 คู่พอดีที่เข้าร่วมแข่งขันในรอบนี้
เกมแรกคือ ‘เก็บองุ่น 3 แขน 3 ขา’ กติกาก็ไม่ยุ่งยาก แค่ให้แต่ละคู่ผูกขาและแขนติดกันคนละข้าง แล้วถือตะกร้าเข้าไปเลือกเก็บองุ่นที่แก่ได้ที่ตามที่ผู้จัดการไร่แนะนำออกมาคู่ละ 3 กิโลฯเป็นอย่างน้อย คู่ที่ทำได้ตามเป้าเร็วที่สุดเป็นผู้ชนะ มีของรางวัลเป็นไวน์ยี่ห้อ ‘ภักดี’ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ยี่ห้อของทางไร่ที่กวาดรางวัลการันตรีมาแล้วมากมายหลายสถาบันทั้งไทยทั้งเทศให้ 1 กระเช้า (มีอยู่ 2 ขวด)
ปี๊ดดดดดดด!
สิ้นเสียงนกหวีดจากผู้จัดการไร่ ผู้เข้าแข่งขันทุกคู่ก็วิ่งเข้าไปในแปลงองุ่นแบบร่องใครร่องมันตามที่ถูกกำหนดไว้ให้ ก่อนเข้ามาเขาบอกว่าแปลงนี้เป็นแปลทดลอง ไม่ใช่องุ่นไวน์ แต่เป็นองุ่นกินผล และปลูกแบบปลอดสารพิษ สามารถเก็บกินจากต้นได้เลยโดยไม่เป็นอันตราย ดังนั้นเมื่อผมเริ่มเก็บ เมโล่คู่หูผมก็เริ่มกินทันทีแบบไม่มีห่วง
“เมโล่..”
“อะรายยย”
“กินองุ่นทำไม?”
“ก็เขาบอกว่ากินได้ หายห่วง” คนพูดมองผมตาปริบๆ แล้วยังหยิบองุ่นแดงลูกโตใส่ปากไม่หยุด
“งั้นก็เก็บกินเองสิ มาเอาในตะกร้าทำไม? เรากำลังแข่งขันกับคนอื่นอยู่นะ” นี่แหล่ะที่ผมอยากจะพูด จะกินไม่ว่า จะไม่ช่วยเก็บก็ไม่ว่า แต่อย่ามากินที่คนอื่นเขาเก็บใส่ตะกร้าไว้สิครับคุณ
“จะแก่งแย่งแข่งขันกันไปทำไม? เอาชนะคะคานกันไปเพื่ออะไร ชีวิตมีอะไรมากมายกว่าการแพ้ชนะนะ”
ผมถึงกับสตั๊นไปหลายวิฯกับประโยคปลงสังขารของเมโล่
“สาบานสิว่าคิดแบบนี้จริงๆ”
“จำมาจากหนังช่องเคเบิ้ลที่ดูเมื่อวาน ว่าแต่ ‘คะคาน’ คืออะไรเหรอ?” มันถามซื่อๆ แบบไม่มีละอายแก่ใจด้วย แถมยังหยิบองุ่นในตะกร้าไปกินอีก ..ผมล่ะยอมแพ้เลย
“คือการคัดค้าน การตกลงกันไม่ได้” ผมก็ยังอุตส่าห์ตอบอีกเนาะ อ่อนใจตัวเองเหมือนกัน
“อ๋อ เข้าใจล่ะ” มันพยักหน้า แต่ยังไม่หยุดกินองุ่นของผมอีก เดี๋ยวเถอะ!
“เมโล่ เก็บกินเองจากต้น” ผมสั่ง
“เก็บเองมันเปรี้ยวอ่ะ” ดูมันแถ
“องุ่นที่ไหนมันเปรี้ยวกัน?”
“ที่บันนี่เก็บหว๊านนหวาน” ขี้เกียจเก็บเองก็บอกมาตรงๆ
ตกลงผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้ไอ้แมวยักษ์จอมตะกละแถมยังขี้เกียจจนสันหลังยาวโย่งนี่ใช่ไหม? แค่คู่ตัวเองผมยังเอาชนะไม่ได้ แล้วจะเอาอะไรไปสู้คู่อื่นเขาล่ะเนี่ย ..ก็มีแต่ต้องทำใจยอมรับความบ่ายแพ้แล้วสินะ
“บันนี่” เก็บองุ่นกันไปสักพัก ปากเมโล่ที่ว่างเว้นจากองุ่นได้สักทีก็เอ่ยเรียกชื่อผมออกมา
“ว่าไง?” ผมขานรับทั้งที่ยังสนใจองุ่นมากกว่าคน
“เค้ายังไม่ได้ถามว่าใครทำรอยบนหน้าไอเลย”ผมเผลอกลืนน้ำลายโดยไม่ทราบสาเหตุ ก่อนหันมามองคนพูดอย่างไม่ค่อยแน่ใจในอารมณ์ของอีกฝ่ายนัก
“ถ้ารู้แล้วจะทำไมเหรอ?”
เมโล่กำหมัดแล้วชกเข้าที่มืออีกข้างที่ถูกมัดติดกับผมเบาๆ “พอจะเดาออกมะ?”
“อื้อ” ผมพอจะเดาออกอย่างไม่มีทางเลือก “เราเองแหล่ะ.. เป็นเพราะเราเอง”
“งั้นไม่เกรงใจนะ” เมโล่ว่า
ผมยืนหลับตาเตรียมรับชะตากรรมเลย คิดว่ามาแน่ ไงก็โดนแน่ๆ แต่ไม่นึกว่ามันจะเข้ามาทางท้องนี่สิ
“อุก..” ผมจุกจนด้านแรงโน้มถ่วงไม่ไหว ต้องลงไปนั่งตัวงอบนพื้น สักพักลมตีขึ้น แล้วก็อ้วกออกมาเลย เรียกว่ากินอะไรเข้าไปตอนเช้าก็กลับออกมาหมดในตอนนั้นเลย ...โอยยย เจ็บเอี้ยยย กะฆ่ากันในหมัดเดียวเลยหรือไง ไอ้บ้าาา
ผมใช้แขนเสื้อเช็ดปาก เหลือบมองคนที่ก้มลงมาดู แล้วกลั้นใจฝืนความจุกความเจ็บถามออกไป
“จบไหม?”
ที่ต้องถามแบบนั้นก็เพื่อให้แน่ใจว่าเมโล่จะจบเรื่องนี้แค่ที่ผม ผมคนเดียวพอ ไม่ต้องลามไปถึงรัก
“จบ” เมโล่พยักหน้า แล้วยื่นมือมาให้ “ลุกไหวไหม?”
“คิดว่า..” ผมคว้ามือใหญ่นั้นไว้แล้วให้เขาช่วยดึงขึ้น
ปี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด!!
เสียงนกหวีดยาวของผู้จัดการไร่ดังขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่าได้ผู้ชนะสำหรับเกมนี้แล้ว ทำผมเผลอถอนหายใจเฮือกใหญ่
เฮ้ออออ จบสักที..
“ว้า~ จบแล้วเหรอ?” เมโล่บ่นเสียดายเหมือนยังกินไม่อิ่ม
ผมเลิกเสื้อดูจุดเกิดเหตุบนพุงของตัวเอง มันเริ่มแดง และอีกไม่กี่ชั่วโมงมันก็คงจะกลายเป็นรอยช้ำไม่ต่างจากบนหน้าผม ..อ่า ให้ตายสิ หมัดหนักชะมัด
TBC.ตอนหน้าเหมียวเมโล่ขอเด่น ใครเป็นคู่กับใคร เดี๋ยวรู้เลย ..อะไรนะ? แค่ตอนนี้ก็รู้กันแล้วเหรอ? ...ไม่จริงน่า บ้าที่สุด! #โดนงานอัดจนเพี้ยนไปแล้ว
ปล. มีใครแอบเชียร์อิเหมียวให้แถมอิคุณชายอีกสักหมัดสองหมัดไหม? (ฮา..)