(ต่อ)
“เมื่อคืนก็กลับดึก วันนี้ยังออกแต่เช้าอีกเหรอ พี่ต่าย?”
แม่ถือแซนด์วิชกับโอวัลตินเดินตามมาท้วงขณะผมนั่งใส่ร้องเท้าหน้าบ้าน
“ต่ายต้องแวะไปที่หนึ่งก่อนน่ะแม่”
“แล้วจะไม่กินอะไรสักหน่อยเหรอ?”
“เดี๋ยวไปกินที่มหา’ลัย”
“งั้นก็โชคดีจ้ะ”
“ไปแล้วครับ” ผมหันกลับไปไหว้แม่ แล้วออกจากบ้านมา ได้ยินเสียงแม่โหวกเหวกเร่งน้องให้รีบแต่งตัวดังไล่หลังมาด้วย
ความจริงวันนี้ผมมีเรียนบ่าย แต่ความตั้งใจที่จะต้องไปขอโทษเฮียภาคเพราะเมื่อคืนทำให้ผมรีบออกแต่เช้า ระหว่างทางผมแวะเข้าร้านขายของที่รู้จักกันร้านหนึ่ง ซื้อลูกประคบสมุนไพรมา ผมรู้ว่ามันใช้ดีเพราะเคยใช้ประจำเวลาพลาดท่าบาดเจ็บตอนเล่นยูโด ผมจะเอาไปให้เฮียภาคนั่นแหล่ะ หมัดของแกรี่น่าจะสร้างปัญาหาให้เขาในเช้านี้พอสมควร
“มาแต่เช้าเลยนะคะคุณต่าย คุณหนูยังไม่ตื่นหรอกค่ะ เธอเพิ่งจะขึ้นไปนอนเมื่อเช้านี้เอง” พี่แจ๋มรายงานทันทีที่เห็นหน้าผม
“ทำไมล่ะครับ?” ผมแปลกใจ ก็น่าจะกลับมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนี่นา
“ไม่ทราบค่ะ เห็นนั่งมืดๆ ซึมๆ อยู่ในห้องรับแขกเหมือนคนมีอะไรในใจ พี่น่ะเกือบจะหัวใจวายตอนลงมาหุงข้าวแล้วเจอเธออยู่ตรงนั้น เอ่อ..พวกคุณยังไม่คืนดีกันอีกเหรอคะ?”
ผมยิ้มจืดๆ ให้โดยไม่ตอบอะไร
“แล้วเฮียภาคล่ะครับ?”
พี่แจ๋มดูแปลกใจเมื่อได้ยินคำถาม แต่เธอก็ตอบอย่างเต็มใจ
“นอนอ่านหนังสืออยู่บนห้องแน่ะค่ะ พี่เพิ่งเอาแกฟาขึ้นไปเสิร์ฟให้เมื่อกี๊นี้เอง” แล้วเธอก็ลดเสียงลง ขยับเข้ามาพูดใกล้ๆ “แต่แถวใกล้ๆ ดั้งจมูกเธอมีรอยช้ำน่ากลัวเชียว ไม่รู้ไปทำอะไรมา”
ผมยิ้มจืดๆ ให้เธออีกครั้ง ก่อนบอกว่ามีเรื่องอยากจะคุยกับเฮียภาคสักหน่อย
“ต่ายครับ.. ขอเข้าไปได้หรือเปล่าครับ?”
ผมได้เสียงอนุญาตเบาๆ จากคนเข้าใน จึงผลักประตูเข้าไป เห็นเจ้าของห้องยังอยู่ในชุดนอนแขนยาวสีเข้ม นั่งพิงหัวเตียง ในมือมีหนังสือคล้ายหนังสือนิยายต่างประเทศเปิดค้างไว้ บนหน้ามีรอยช้ำน่ากลัวอย่างที่พี่แจ๋มบอกจริงๆ
เขามองตรงมาเหมือนกับรอให้ผมพูดก่อน
“เอ่อ.. ผมมาขอโทษเรื่องเมื่อคืน ..ที่ทำให้เฮียต้องเสียเวลา แถมยังต้องเจ็บตัว ..ผมขอโทษแทนแกรี่ แล้วก็ขอโทษเรื่องดอกไม้ด้วย ขอโทษสำหรับเรื่องบ้าๆ ทั้งหมดครับ” ผมยกไหว้คนที่นั่งรับฟังด้วยอาการสงบ
“นายคงไม่ได้อยากให้มันเกิดหรอก..” เขาหยุดคิด “ฉันยอมรับคำขอโทษก็แล้วกัน.. แล้วถืออะไรมาด้วยน่ะ?”
“อ๋อ นี่ลูกประคบสมุนไพรครับ” ผมขยับเข้าไปใกล้ ยกลูกประคบที่ถือติดมือมาให้ดู “มันดีสำหรับรักษาอาการช้ำ เอ่อ..” ผมชี้หน้าตัวเองตรงบริเวณเดียวกับที่มีรอยช้ำบนหน้าเฮียภาค
“แล้วมันใช้ยังไง?”
“ก็ต้องเอาไปนึ่งก่อน สัก 10-15 นาที แล้วค่อยเอามาประคบตรงรอยช้ำครับ”
“งั้นก็ไปทำสิ” เขาพูดหน้าตาเฉย จนผมไม่ค่อยแน่ใจว่าได้ยินถูก
“ครับ”
“ไปนึ่งมาสิ จะได้เอามาลองว่าดีจริงหรือเปล่าไง”
“อ่อ..ครับ”
ผมถือลูกประคบเดินออกมาจากห้องนั้นงงๆ ลงมาถึงข้างล่างก็ยังมึนไม่หาย เหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นใครเลยเดินเข้าไปในครัว มีพโยอยู่ในนั้น ผมเลยให้เธอจัดหาที่นึ่งลูกประคบมาให้ผม ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงผมก็กลับขึ้นมาอีกทีพร้อมด้วยลูกประคบที่ร้อนกำลังได้ที่
“ได้แล้วครับ” ผมเอากะละมังใบเล็กที่ใส่ลูกประคบและปิดผ้าขนหนูไว้อีกทีไปวางไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียง
“แล้วใช้ยังไง?” คนถามนั่งมองกะลังมังเฉย
ผมขมวดกับตัวเอง รู้สึกคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินคำถามเดียวกันนี้มาแล้ว แต่ก็ยังยิ้มสู้แล้วบอกเขาอีกรอบ
“ก็เอาไปประคบตรงที่ช้ำครับ”
“ก็มาทำสิ”
ห๊ะ? ..คือผมต้องประคบให้เขาด้วยงั้นเหรอ?
ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าเฮียภาคตกลงเป็นคนยังไงกันแน่? สำหรับเฮียภูมิน่ะผมแน่ใจว่าเป็นพวกกรุ้มกริ่ม หมาหยอกไก่ ส่วนเฮียภาคที่ผมคิดไว้หลังได้รู้จักแบบเผินๆ คือดูเป็นคนนิ่งๆ จริงจัง หนักแน่นสไตล์ทหาร แล้วตกลงมันใช่หรือเปล่า? ผมว่าวันนี้เขาแลดูมึนๆ ยังไงไม่รู้นะ ..หรือจะเป็นเพราะพิษหมัดของแกรี่?
“โทษนะครับ..” ผมหยิบเอาลูกประคบไปแตะตรงรอยช้ำ เจ้าของแผลหรี่ตาลงเพราะความร้อน แต่ไม่ได้หันหนี
“แล้วจะยืนทำอยู่แบบนั้นน่ะเหรอ?” คนพูดขยับตัวให้ที่นั่ง ผมก็เลยต้องนั่งลงบนเตียงของเขาอย่างไม่มีทางเลือก
ผมพยายามจดจ่ออยู่กับรอยช้ำตรงหน้า เพราะถ้าเผลอเลื่อนสายตาขึ้นไปสูงกว่านั้นเมื่อไหร่ ผมเป็นต้องได้สบตากับเขาทุกที มันทำเอาใจคอไม่ดียังไงบอกไม่ถูก รู้ว่าเขาแค่มองหรือกำลังสแกนกรรมให้ผมกันแน่ เล่นไม่ละสายตาไปจากหน้าผมเลยแบบนี้
“ไปรู้จักกับคนแบบนั้นได้ยังไง?” บทสนทนาที่อีกฝ่ายเปิดขึ้น ทำผมลอบระบายลมหายใจโล่งอก “ไอ้แกรี่นั่น”
“ไม่รู้สิครับ มันมาของมันเอง” ผมเลี่ยงที่จะบอกว่าพวกเราเกี่ยวข้องกันยังไง เพราะไม่อยากให้ใครมาขุดคุยประวัติครอบครัวผม ..ก็ไม่ได้โกหกซะทีเดียว อย่างน้อยไอ้เรื่องที่ว่ามันมาของมันเองนั่นก็เป็นเรื่องจริง
“เพิ่งรู้จักกันเหรอ?”
“รู้จักมาตั้งแต่ ป.2 แล้ว แต่เราไม่เชิงว่าเป็นเพื่อนหรืออะไรกันหรอก”
เฮียภาคดูเหมือนมีเรื่องอยากถามเกี่ยวกับแกรี่อีก แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ แล้วก็เปลี่ยนคำถาม
“หมอนั่นใช่คนที่ทิ้งนายไว้บนทางด่วนด้วยหรือเปล่า?”
ผมพยักหน้ารับ มือยังบรรจงประคบประหงมรอยช้ำให้อีกฝ่ายไปเรื่อยๆ
“แล้วก็ไปวนรถกลับมารับ?” อันนี้เหมือนเขาพึมพำกับตัวเอง “แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”
“ก็ไปส่งผมที่บ้าน.. ชอบทำเรื่องงี่เง่าแบบนี้ประจำแหล่ะ”
“แปลว่ามีเรื่องแบบนี้บ่อย?”
“ถูกทิ้งบนทางด่วนนี่เพิ่งครั้งแรก”
ก๊อก ก๊อก ก๊อก.. ประตูถูกเคาะทั้งที่มันเปิดออกก่อนแล้ว เฮียภูมิใส่แค่กางเกงนอน ยืนกอดอกพิงขอบประตูโชว์มัดกล้ามกับซิกแพคพร้อมรอยยิ้มขี้เล่น หัวยุ่งเหยิงที่ดูก็รู้ว่าเพิ่งตื่นนอนทำร้ายความหล่อเหลาของเขาไม่ได้เลย
“หลังจากอกหัก แถมยังถูกหมาบ้าที่ไหนไม่รู้ฟัด การมีพยาบาลน่ารักๆ มาคอยดูแลแต่เช้าแบบนี้ก็ไม่ทำให้ชีวิตดูแย่ไปซะทีเดียวหรอกใช่ไหม พี่ชาย?” คนพูดเดินยิ้มเผล่เข้ามาในห้อง
ว่าแต่.. เมื่อกี๊เขาพูดว่า ‘อกหัก’ เหรอ?
“เฮียภูมิ..” ผมยกมือไหว้
“ไม่ต้องไหว้หรอก เห็นเรายกมือไหว้ทีไร พี่รู้สึกเหมือนตัวเองแก่มากทุกที” คนพูดเดินมาทิ้งตัวนั่งข้างๆ ยกขาไขว่ห้าง มือข้างหนึ่งวางแหมะบนสะโพกผมเนียนๆ “นี่ยังไม่ 30 เลยด้วยซ้ำนะ เหลืออีกตั้ง 2 ปี”
“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?” ผมแกะมือเขาออกอย่างไม่ให้น่าเกลียด
เฮียภาคจับเอาลูกประคบไปประคบให้ตัวเอง พลางส่งสายตาดุๆ มองฝาแฝดของตัวเอง
“เมื่อคืนครับ” เฮียภูมิใช้สองมือจับหน้าผมไว้ ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยๆ ใต้ตา และยื่นหน้าเข้ามาใกล้มากโดยไม่จำเป็น “หน้าตาดูเพลียๆ นะ มีปัญหากับการนอนเหรอ? ไอ้พวกเรื่องบนเตียงเนี่ยปรึกษาพี่ได้นะ ถนัด” มีขยิบตาให้ด้วย
“ขอบคุณครับ.. แต่ไม่รบกวนดีกว่า” ผมจับมือเขาออกจากแก้ม แล้วกระเถิบหนีออกมา แต่กลายเป็นว่าผมขยับเข้าไปใกล้เฮียภาคซะอย่างนั้น
“แกกำลังคุกคามทางเพศเขาอยู่นะ” เฮียภาคปรามเสียงเข้ม เขาเอามือมาโอบเอวผมแล้วดึงเข้าหาตัว เข้าใจว่าต้องการกันผมจากน้องชายของเขา แต่อีหรอบแบบนี้มันก็ไม่ต่างจากที่น้องชายเขาทำเลยสิ?
“อย่าลืมบอกตัวเองด้วยล่ะ คุณพี่” เฮียภูมิพูดยิ้มๆ สายตาล้อเลียนของเขาทำให้เฮียภาครู้ตัว แล้วปล่อยมือจากเอวผม เขากระแอมไอแก้เก้อ ขณะที่เฮียภูมินั่งหัวเราะชอบใจ
“ต่าย..”รักปรากฏตัวขึ้นหน้าประตูพร้อมสีหน้าเรียบเฉย แต่มันก็ทำให้ผมโล่ใจ อย่างน้อยก็จะได้ออกไปจากตรงนี้สักที
“ขอคุยด้วยหน่อย”ถึงจะพูดแบบนั้น..
แต่หลังจากมานั่งอยู่ในสวนด้วยกันพักใหญ่ รักก็ยังไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ ผมเลยตัดสินใจพูดก่อน
“รัก เรื่องเมื่อคืน..”
“เลิกกันเถอะ”ผมนิ่งค้าง คำพูดที่คิดเรียบเรียงเมื่อกี๊ละลายหายหมด ตอนนี้คิดอยู่อย่างเดียวว่าผมเพิ่งได้ยินอะไรมา ต้องใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะเค้นเสียงให้หลุดออกจากคอได้
“อะไรนะ?”
“เราเลิกกันเถอะ” รักพูดซ้ำ ซ่อนแววตาของตัวเองด้วยการหลุบมองต่ำ
“ทำไม?” ผมไม่เข้าใจ “เราทำอะไรผิดอีก?”
รู้สึกเหมือนมีน้ำตารื้นขึ้นมา มือสั่นจนต้องจับกันเอาไว้แน่น
“ไม่.. มึงไม่ได้ผิด กูต่างหากที่ผิด หลังจากเรื่องเมื่อคืน มึงไม่โกรธกูหรือไง? ขนาดกูยังโกรธตัวเองเลย”
“โกรธสิ มากด้วย คิดว่าถ้ามีครั้งที่สองเราจะไม่ให้อภัยรักแน่”
“มันจะไม่มีอีกแล้วล่ะ” รักยิ้ม แต่แววตาไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย “สบายใจได้ มึงไม่ต้องเจอกับเรื่องแบบเมื่อคืนอีกแล้ว แล้วก็ไม่ต้องมาทนกับนิสัยเสียๆ ของกู ปากเสียๆ ของกู ไม่ต้องคอยมาเอาอกเอาใจกูอีก กูจะไม่ยึดมึงไว้อีก มึงจะได้ไปหาคนที่มึงรักจริงๆ..”
“แต่เรารัก รัก!” ผมทั้งโกรธ เสียใจ น้อยใจ ผิดหวัง สับสนวุ่นวายอยู่ในอกจนแทบจะควบคุมมันเอาไว้ไม่ได้
“อย่าหลอกตัวเองดีกว่า.. มึงรักไอ้ไอ”
“ทำไมเราต้องรักไอ?”
“ก็มึงรักมันมาตลอด!” รักเหมือนจะเริ่มเก็บกดความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่เช่นกัน “มึงรักมันมาตั้งแต่แรก มึงห่วงมัน แคร์มัน สนใจเรื่องของมัน แล้วแบบนี้จะให้กูเข้าใจว่ายังไง?”
“การที่เราเคยชอบไอ ก่อนจะตัดใจแล้วมาคบกับรัก มันแปลว่าเราจะไม่สามารถหันกลับไปหาไอไม่ว่าจะในฐานะไหนเลยใช่ไหม? ความรักของรักมันมีอยู่แค่รูปแบบเดียวหรือไง? แล้วไอ้ที่รักกล้าเอาเราไปเป็นของเดิมพันเมื่อคืนล่ะ มันไม่ใช่เพราะว่ารักก็รักเพื่อนของตัวเองเหรอ? แล้วทำไมเราจะรู้สึกแบบนั้นกับไอบ้างไม่ได้? เราห่วงไอก็เพราะเรารู้ถึงปัญหาของเขา แคร์เขาก็ไม่ต่างจากที่รักแคร์เพื่อน! แล้วก็อย่าเข้าใจผิดว่าที่ผ่านมาเราต้องคอยทนกับรัก เราไม่เคยคิดจะทน! เรารู้ดีว่ารักเอาแต่ใจ ปากร้าย แต่ไม่ได้ใจร้าย ขี้หึง ขี้หวง เราคงต้องหมดความอดทนเข้าสักวันแน่ถ้าคิดแค่ว่าจะต้องทนกับนิสัยพวกนั้นให้ได้ แต่เพราะเราไม่เคยคิดแบบนั้นไง! เราไม่ทน แต่เปิดใจยอมรับ ในเมื่อเราเลือกที่จะรักคนคนนี้แล้ว ทุกสิ่งที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นตัวเขาเราก็ยอมรับมันได้ทั้งหมด ..แล้วรักล่ะ เคยคิดที่จะยอมรับที่เราเป็นเราแบบนี้บ้างไหม?”
คนฟังเม้มปากแน่น ผมทิ้งช่องว่างเพื่อละลายความรู้สึกที่มาจุกอยู่ตรงคอ พอมันค่อยคลายลงแล้วจึงเริ่มพูดต่อ
“ความรู้สึกเราอาจไม่ได้เริ่มจากร้อยในตอนที่ตกลงคบกัน แต่มันก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันที่เราได้อยู่ด้วยกัน เราเปิดใจให้รักเข้ามาข้างในมากขึ้นทุกทีๆ แต่รักกลับไม่ยอมเปิดใจตัวเองเลย รักคิดแต่ว่าเราไม่ได้รักรัก เรารักไอ แล้วก็เริ่มจับผิดกับทุกสิ่งที่เราทำให้ไอ โดยมองข้ามทุกอย่างที่เราตั้งใจทำให้รัก ทั้งที่มันเอามาเทียบกันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
ผมขมวดคิ้วเอาไว้แน่น กลัวว่าถ้าผ่อนลงแม้แต่น้อยแล้วน้ำตาที่กลั้นไว้มันจะไหลออกมา
“เราอยากให้รักลองทบทวนดูใหม่อีกครั้งนะ วันนี้เราจะถือว่ารัก...ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ถ้ารักกลับไปคิดทบทวนดูแล้ว.. ก็ยังรู้สึกว่าเราทำไม่แฟร์กับรักอยู่ดี ..ถึงตอนนั้นรักค่อยเดินมาบอกกับเราอีกครั้ง....แล้วเราจะไม่ดึงดันรั้งรักเอาไว้อีก” ผมสูดหายใจเข้าลึก “งั้นวันนี้เรากลับก่อนนะ”
ผมหันหลัง หลับตานิ่งเพื่อข่มอารมณ์ ก่อนจะเริ่มออกเดินทีละก้าวอย่างมั่นคง ทั้งที่ข้างในมันล้มระเนระนาดไม่เป็นท่าไปหมดแล้ว
ปี๊น ปิ๊นนน..
“แท็กซี่ไหมครับ คุณหนู?” คนที่ขับรถมาเทียบข้างๆ ลดกระจกลงถามพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่มประจำตัว
ผมเพิ่งเดินมาถึงกลางซอยบ้านรัก ที่จริงก็มีทั้งแท็กซี่ทั้งวินมอ’ไซด์ขับผ่านไปหลายคัน แต่เพราะวันนี้ผมไม่ได้รีบร้อนอยู่แล้ว เลยเลือกที่จะเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ ดีกว่า
“ผมมีแค่ค่ารถเมล์” ผมเดินต่อ รถคันนั้นก็ขยับมาตีคู่อีก
“ความจริงแล้ววันนี้เรามีโปรโมรชั่น นั่งฟรีถึงที่หมาย แถมยังได้ทิชชู่อีกกล่องหนึ่งด้วยนะ” ทิชชู่กล่องที่ว่าถูกโบกไปโบกมาอย่างกับมันน่าสนใจพอจะดึงลูกค้าได้จริงๆ งั้นแหล่ะ
ผมตัดสินใจเอื้อมมือไปดึงประตูรถเปิด ก้าวเข้าไปนั่ง แล้วรับทิชชู่กล่องนั้นมาเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเอง
“ไปมหา’ลัยนะ?”
“ครับ”
ผมเอนหัวพิงประตูรถ แล้วปิดตานิ่ง เฮียภูมิคงพอรับรู้ถึงอารมณ์ของผมได้ เลยขับรถไปเงียบๆ ไม่หยอกไม่หยอดเหมือนที่ชอบทำ มีเพียงเสียงเพลงสไตล์ Easy listening เท่านั้นที่ดังคลอไปตลอดทาง
“จอดข้างหน้าด้วยครับ” ผมชี้ให้จอดแถวสวนสาธารณะใหญ่ที่จำได้ว่านั่งรถไฟฟ้าผ่านทุกวัน ก็ได้แต่ผ่าน แต่ไม่เคยเข้าไป ไหนๆ วันนี้ก็ยังมีเวลาเหลืออีกตั้งเยอะแยะ แวะเข้าไปเอ้อระเหยหน่อยจะเป็นไรไป
“แต่ยังไม่ถึงเลยนะ” เฮียภูมิคงหมายถึงมหา’ลัย
“ไม่เป็นไรครับ วันนี้ผมมีเรียนบ่าย”
“สวนสาธารณะงั้นเหรอ” คนพูดสอดส่ายสายตาไปนอกรถ “อืมมม พี่ก็ว่าง..”
“ผมอยากอยู่คนเดียวสักพักน่ะ” ผมบอกความต้องการ เพราะพอจะเดาสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังคิดอยู่ออก
เฮียภูมิเลิกคิ้ว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มอบอุ่นให้อย่างที่ผมไม่เคยได้เห็นจากเขามาก่อน แล้วเอื้อมมือมาลูบหัวผม
“งั้นไม่กวน” เขาโน้มตัวข้ามมาเปิดประตูรถฝั่งผมให้ “เชิญครับ”
“ขอบคุณครับ”
“แล้วอย่าโดดเรียนล่ะ” เขากลับไปยิ้มกรุ้มกริ่มอีกครั้งหลังผมลงจากรถมาแล้ว
“ผมไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก”
ผมยืนรอจนรถของเฮียภูมิเคลื่อนตัวออกไป ถึงได้หันหน้าเข้าหาสวนสาธารณะ แม้จะยังไม่สายมาก แต่เพราะเป็นวันธรรมดา แถมยังเป็นชั่วโมงเร่งด่วน ผู้คนก็เลยค่อยข้างบางตา จนบางมุมออกแนววังเวงเลยล่ะ ซึ่งก็ดี ผมกำลังต้องการอะไรแบบนี้อยู่พอดี ร่มรื่น เงียบสงบ
“บันนี่จริงๆ ด้วย”ไม่รู้ว่าผมนั่งเหม่อมองแมลงที่เรียกกันว่า ‘จิงโจ้น้ำ’ เดินเล่นอยู่ในสระบัวนานแค่ไหนแล้ว รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงทักซึ่งมาพร้อมกับเงาใหญ่โตที่บดบังร่างผมจนมิดนั่นแหล่ะ
“เมโล่?”
ผมแหงนหน้าขึ้นมอง หมอนั่นก็กำลังมองผมอยู่เช่นกัน เขาอยู่ในชุดกางเกงวอร์มกับเสื้อยืด ในมือข้างหนึ่งถือถ้วยไอติมตักถ้วยใหญ่ ส่วนอีกมือมีสายจูง.. ผมไล่สายตาลงมาตามสายเรื่อยๆ ก็เจอะกับเจ้าขนปุกปุยสีขาวล้วน แต่มันไม่ใช่หมาอย่างที่ผมคิด มันคือแมว...เอ่อ..แมวนั่นแหล่ะมั้ง ผมไม่ค่อยแน่ใจ หน้าตามันแปลกๆ นิดหน่อย ดูบานๆ กลมๆ มองแล้วเหมือนของยัดนุ่นมากกว่าของจริง ตาตี่อีกต่างหาก แถมมองผ่านๆ ยังดูเหมือนมีคิ้วด้วย ตัวอ้วนกลม แขนขาหนาปึ้ก และมีสายจูงรัดไว้ที่หน้าอก ก็...ปกติเขาจูงแมวออกมาเดินเล่นกันแบบนี้ด้วยเหรอ? เพิ่งเคยเห็น..
“เพิ่งเคยเห็นอยู่แถวนี้” เมโล่ทิ้งตัวนั่งข้างผม
เจ้าตัวกลมก็มาดมๆ ถูๆ ผมอยู่สักพักก็เดินขึ้นมานอนในตักผมเลย ..อั้ก รู้แล้วว่าทำไมเมโล่ถึงเลือกที่จะจูงมันแทนที่จะอุ้ม ก็ตัวหนักซะขนาดนี้นี่นะ ที่เห็นพองๆ นี่ไม่ใช่เพราะขนเหมือนแมวบางสายพันธุ์หรอก ถ้าเป็นสำหรับเจ้าตัวนี้ล่ะก็ ไขมันล้วนๆ เลยเหอะ
“ก็เพิ่งเคยมานี่แหล่ะ พอดีว่างๆ น่ะ แล้วเมโล่กับ..” ผมก้มมองเจ้าก้อนไขมันที่หลับอุตุไปแล้ว อะไรจะง่ายปานนั้น?
“แคนดี้” เมโล่ช่วยต่อให้
“โอ้ ชื่อแคนดี้เหรอ? น่ากินจังเลยนะ” ผมลูบขนแคนดี้เบาๆ มันนุ่มมือเหมือนขน..เอ่อ ผมของเมโล่เลย
“ห้ามกินนะ!”
ผมหันไปมองเมโล่ที่ดูเชื่อจริงจัง แล้วหลุดขำออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“ถ้าบันนี่หิว เอานี่ไป” เมโล่ยัดเยียดถ้วยไอติมตักใส่มือผม
“เราพูดเล่น ไม่ได้คิดจะกินแมวนายจริงๆ สักหน่อย” ผมยื่นถ้วยไอติมคืน แต่เมโล่ผลักกลับมาอีก
“แต่บันนี่ดูท่าทางหิว”
“เราไม่ได้หิว” ผมยืนยัน ถึงจะยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าหิวเลยสักนิด
“จริงๆ นะ หน้าบันนี่เหมือนคนหิว” เมโล่ก็ยืนยันเช่นกัน
“จริงเหรอ?” ผมเริ่มสงสัยว่าตัวเองกำลังทำหน้ายังไงอยู่กันแน่
“อื้อ ดูน่าสงสารมากเลย ไม่มีใครในจักรวาลนี้ที่จะน่าสงสารไปกว่าคนหิวอีกแล้วล่ะ เค้ารู้ดี เพราะเคยหิวบ่อยๆ” คนพูดนั่งกอดเข่า ซบหัวไว้กับเข่า เอียงหน้ามาทางผม
ผมหัวเราะกับตรรกะแบบมนุษย์ต่างดาวของเมโล่ ..หิวเหรอ? หิวนี่มักจะมาคู่กับ ‘โหย’ ใช่ไหม? ผมว่าผมน่าจะกำลังโหยมากกว่าหิวนะ ..หรือเมโล่จะอ่านความรู้สึกผมออก?
“ขอบใจนะ แต่กินได้จริงๆ เหรอ?” ผมก้มมองไอติมตักในมือ มันแหว่งหายไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังเหลืออยู่อีกเยอะ
“บันนี่ไม่ชอบไอติมเหรอ?”
“เปล่า เมโล่ต่างหาก ไม่เสียดายเหรอ?” ผมถามยิ้มๆ แล้วยื่นถ้วยคืนไห้ เพราะพอจะรู้จักนิสัยของอีกฝ่ายอยู่บ้าง
เมโล่มองไอติมตักในถ้วยเหมือนถูกสะกดจิต ลูกกระเดือกที่เคลื่อนตัวทำให้รู้ว่าเจ้าของผมกลืนน้ำลาย ผมอยากจะขำ แต่ก็กลั้นเอาไว้ ท่าทางเมโล่ต้องต่อสู้ระหว่างมนุษยธรรมกับสัญชาตญาณอย่างหนักเลยล่ะ
แต่สักพักก็เหมือนจะรู้สึกตัว เลยส่ายหน้ารัวๆ
“ไม่.. ไม่ ไม่ บันนี่ดูหิวกว่า” แล้วก็พยักหน้าอย่างคนตัดใจ “บันนี่กินเถอะ”
“ขอบใจนะ..”
ผมยอมตักไอติมในถ้วยกินแต่โดยดี อีกฝ่ายอุตส่าห์ต่อสู้กับตัวเองถึงขนาดนั้นเพื่อยกมันให้ผม ถ้าไม่กินก็จะเป็นการทำลายน้ำใจของเขาเปล่าๆ แม้ว่าผมจะไม่รู้สึกหิวเลยก็ตาม
“อร่อยไหม?”
“อื้อ มากเลยล่ะ”
“เค้าก็ว่าอร่อย”
“บ้านเมโล่อยู่แถวนี้เหรอ?”
“ห่างไป 3 ป้ายรถเมล์”
“แล้วเดินมาหรือขึ้นรถเมล์มากัน?”
“เดินมา”
“มาบ่อยเหรอ?”
“อื้อ”
ผมรู้สึกถึงมือใหญ่ที่กำลังลูบหัวผมอยู่เบาๆ เลยเงยหน้าขึ้นมอง เมโล่ยังนั่งกอดเข่าแล้วซบหัวไว้กับเข่าเหมือนเดิม ที่เพิ่มเติมก็แค่มือที่เอื่อมมาลูบหัวผม
“เค้าชอบเวลาที่บันนี่ทำแบบนี้กับเค้าเหมือนกัน”
งั้นเหรอ.. ผมเองก็ชอบเหมือนกัน นอกจากแม่แล้วก็มีเมโล่นี่แหล่ะ ที่ลูบหัวผมอย่างอ่อนโยนแบบนี้ รู้สึกเหมือนกำลังถูกปลอบใจอยู่เลย ..แล้วก็รู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ไปพร้อมๆ กัน
ผมเอียงหัวเข้าหาฝ่ามือใหญ่ หลับตาลงซึมซับความอบอุ่นจากมือข้างนั้น แต่สัมผัสจากลมอุ่นๆ ที่เป่ารดลงมาบนหัว ตามด้วยริมฝีปากที่แนบลงมาบนกลุ่มผม ก็ทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นอีกครั้ง
“แต่เราไม่เคยทำแบบนี้นะ” ผมพูดกับถ้วยไอติมในมือ
“เค้าแถมให้” พูดจบก็ก้มลงมาจูบซ้ำอีกที..
TBC.