(ต่อ)
วันนี้นอกจากจะไม่ใช่วันของผมแล้ว ผมยังได้เรียนรู้อีกอย่างเกี่ยวกับรัก นั่นคือ ถ้าเขาโมโห อารมณ์ไม่ดี เขาจะวีน จะหวี่ยง ซึ่งผมเจอมาแล้วเกือบทุกรูปแบบ แต่ถ้าหากว่าเขานิ่ง เขาไม่พูด ไม่โวยวาย และทำเสมือนคุณไม่มีตัวตน เหมือนที่ผมกำลังประสบอยู่ตอนนี้ นั่นแปลว่าเขากำลังโกรธคุณจริงๆ
และ.. ใช่ ผมกำลังถูกโกรธอยู่
แถมยังไม่รู้ว่าจะง้อยังไงด้วย!
ก็เลยได้แต่นั่งกุมขมับ ทำตัวลีบๆ เล็กๆ เอาไว้ กลัวว่าถ้าพูดมากไป แทนที่จะเข้าใจ ดันกลายเป็นเติมเชื้อไฟให้อีกฝ่ายไปน่ะสิ ยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับไอด้วยแล้ว... ยิ่งอันตราย
ความจริงอีกข้อก็คือ มันเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างผมกับไอ แม้แต่ตัวผมเองก็ยังไม่แน่ใจเลย
“เดี๋ยวเราลงไปเอาขนมกับน้ำมาเพิ่มนะ” ผมบอกทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายก็คงทำเป็นไม่เห็นไม่ได้ยินผมเหมือนเดิม ก่อนถือถาดขนมและเหยือกน้ำหวานเปล่าลงมาชั้นล่าง เข้ามาในครัวเห็นพี่แจ๋มกับพโยเพิ่งจะกินข้าวเย็นกัน
ผมรู้ว่าที่บ้านรักไม่มีใครอยู่ ก็เลยอาสามากินข้าวเย็นเป็นเพื่อนรักตั้งแต่ยังไม่เกิดเหตุการณ์ที่คอฟฟี่ช็อปนั่น พอเลิกเรียนผมก็รีบไปรอรักที่รถเพราะรู้ดีว่ามีคดีติดตัว กลัวว่ารักจะไม่รอ เลยต้องมารอก่อน และจะได้หาโอกาสเคลียร์กันด้วย แต่ตลอดเส้นทาง ความพยายามที่จะเปิดบทสนทนาของผมก็ยังไม่เป็นผล จนกินข้าวเย็นเสร็จ นั่งดูรักทำรายงานพลางฟังเทปที่อัดจากชั่วโมงเรียนวันนี้ไปด้วย จนล่วงเลยมาเกือบสองทุ่ม ใกล้จะได้เวลากลับบ้านแล้ว รักก็ยังไม่ยอมเอ่ยปากกับผมเลยสักคำ
“ยังไม่ดีกันอีกเหรอคะ?” คำถามของพี่แจ๋มทำให้ผมดึงสติกลับมาที่ปัจจุบัน
ผมยิ้มแห้งๆ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ที่ยังว่างอยู่ พโยลุกไปเอาน้ำกับขนมมาเติมให้อย่างรู้งาน
“พวกคูดูเหมือแฟที่งอกาอยู่เลอค่ะ”
ผมต้องใช้สกิลด้านภาษาเล็กน้อยเพื่อทำความเข้าใจคำพูดของพโย แต่พี่แจ๋มใช้มือตีแขนพโยจนสะดุ้งและกระโดดหนีไปแล้ว
“อาราาา ก็พี่แจ๋เปโคเร่อพู่ก่อ”
“เงียบไปเลย” พี่แจ๋มชี้หน้าดุ พโยเลยต้องปิดปาก ขณะที่ผมยังไม่ค่อยแตกฉานทางภาษาดีนัก
“แล้วคุณจะค้างที่นี่ไหมคะ?”
“ไม่ล่ะครับ ผมบอกที่บ้านไว้แค่จะกลับดึก”
“งั้นเหรอคะ.. คืนนี้คุณภาคก็บอกจะกลับดึกเหมือนกัน”
“เฮียภาคอยู่บ้านเหรอครับ?” ผมแปลกใจ ไม่เห็นรักพูดอะไรเลย
ปกติเวลาพี่ชายกลับมาทีไร รักต้องมีเรื่องมาบ่นให้ฟังทุกที ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่กินเส้นหรือไม่ลงรอยกัน แต่ดูเหมือนรักจะเป็นที่เอ็นดูของพี่ชายทั้งสองมากจนเกินไปเท่านั้นเอง เจ้าตัวก็เลยออกอาการรำคาญน่ะ
“ค่ะ เพิ่งกลับมาเมื่อสายๆ แล้วก็ออกไปก่อนพวกคุณจะเข้ามานิดเดียวเอง”
“เสียโระคูหนูนี่”
เสียงเครื่องยนต์รถที่ดังกระหึ่มขึ้นทำให้เราทั้งสามคนตื่นตัว มันไม่ใช่รถที่รักใช้ตามปกติ แต่เป็นรถแต่งที่รักมักเอาไปวิ่งแข่งต่างหาก
ผมรีบวิ่งออกจากห้องครัวมายังโรงรถ ‘คริสติน่า’ รถสุดรักสุดหวงที่เจ้าของถึงกับตั้งชื่อให้กำลังเคลื่อนตัวออกมาพอดี ผมเอาตัวเข้าไปขวาง รักชะโงกหัวออกมาทางหน้าต่าง
“จะไปไหน?” ผมยิงคำถามก่อน “พ่อรักสั่งห้ามไม่ให้เอารถคันนี้ไปขับแข่งตอนกลางคืนแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“กูแค่จะไปหาเพื่อน” ผมยืนนิ่ง รักถอนหายใจ แล้วพูดด้วยเสียงที่อ่อนลง “มันมีเรื่องนิดหน่อย”
“จำเป็นต้องเอารถคันนี้ไปด้วยเหรอ?”
“มันจำเป็นต้องใช้..” รักพูดไม่เต็มเสียงนัก และผมเดาได้เลยว่ามันจะต้องมีการแข่งขันในคืนนี้แน่ๆ
“เราไปด้วย” ผมตัดสินใจเดินไปเปิดประตูรถอีกฝั่ง แล้วขึ้นไปนั่ง
“เฮ้ย..” รักจะท้วง แต่ผมรีบพูดแทรกก่อน
“เราไม่สบายใจ ยิ่งรักหุนหันออกไปแบบนี้เรายิ่งเป็นห่วง”
ผมมองอีกฝ่ายด้วยสายตาจริงจัง
“ให้เราไปด้วยเถอะ สัญญาว่าจะไม่ทำตัวเกะกะ”
เป็นอย่างที่ผมคิดไว้ไม่ผิด รักพาผมมาที่สนามแข่งรถ...เอ่อ อันที่จริงก็ไม่เชิงว่าเป็นสนามหรอก แต่พวกเขาปิดมอเตอร์เวย์แข่งรถกันเลยต่างหาก ทั้งรถเครื่องเสียง ทั้งโคโยตี้ งานนี้ตัดมาเต็ม
ผมเคยได้ยินแต่เขาปิดถนนแข่งกันช่วงดึกๆ ตี 2-3 เป็นต้นไป เพิ่งเคยเห็นกลุ่มที่กล้าปิดตั้งแต่หัวค่ำแบบนี้แหล่ะ สงสัยจะมีแต่พวกลูกท่านหลานเธอทั้งนั้นล่ะมั้ง ..อ้อ ใช่สิ อย่างคนที่นั่งอยู่ข้างผมนี่ก็อยู่ในข่ายเหมือนกัน รถที่จอดเรียงกันอยู่นี่หลายคันก็เป็นระดับซุปเปอร์คาร์ รวมทั้ง ‘คริสติน่า’ คันนี้ด้วย
“มันอยู่ไหน?”
พอลงจากรถ เพื่อน 4-5 คน ของรักที่มีทั้งคุ้นหน้าและไม่คุ้นหน้าผมก็กรูเข้ามาหา พวกนั้นดูอึ้งไปเมื่อเห็นผม แต่ก็เลือกที่จะละความสงสัยเอาไว้ แล้วทุ่มความสนใจไปที่ปัญหาเฉพาะหน้าก่อน
“ทางนี้เลย” เพื่อนคนหนึ่งของรักเป็นคนนำทาง
พวกเราเดินตามไปไม่กี่เมตรก็เจอกับคนกลุ่มหนึ่งทั้งชายและหญิงกำลังหยอกล้อเฮฮากันอยู่ พอเห็นเราพวกนั้นก็หยุด มองมาอย่างคุมเชิง ส่วนพวกผู้หญิงก็พุ่งความสนใจมาที่ผมอย่างเปิดเผย ก่อนจะมีผู้ชายคนหนึ่งที่ท่าทางจะคุ้นเคยกับกลุ่มของรักก้าวออกมาข้างหน้า
“ว่าไง คุณหนูรักชาติ ไม่ค่อยได้เจอกันเลยนะช่วงนี้ คิดถึงจังเลยว่ะ” หมอนั่นกางแขนสองข้างออกเหมือนรอให้รักเข้าไปกอด แต่อีกฝ่ายไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะล้อเล่นด้วยนัก
“เพื่อนกูล่ะ?” รักเข้าประเด็น
“นั่นไง” คนพูดเอี้ยวตัวชี้ไปทางกลุ่มคนเล็กๆ พอคนที่ยืนอยู่เปิดทางออก ก็เห็นเพื่อนคนหนึ่งของรักนั่งอยู่กลางวงล้อม หน้าตามีรอยฟกช้ำให้เห็นประปราย
นั่นมันแฟน ‘ก้อย’ เด็กอุสาหการที่เคยมีข่าวลือกับผมเมื่อเทอมที่แล้วนี่นา
“แล้วผู้หญิงล่ะ?” รักถามอีก
“โน่น” คนเดิมชี้ไปอีกทาง เป็นอย่างที่ผมนึกกลัว ผู้หญิงคนที่ยืนตัวลีบ ขอบตาแดงก่ำ สองมือกอดตัวเองเอาไว้แน่นก็คือ ‘ก้อย’
“พวกนายทำอะไรเธอ?” ผมเผลอถามออกไปโดยไม่ทันคิด
“โอ้ อย่าคิดว่าพวกเราเป็นคนเลว ฉุดคร่าผู้หญิงอะไรแบบนั้นนะ” ผมหันมองคนพูดอย่างประหลาดใจ หมอนั่นผายมือ ยกไล่ “ก็หน้านายมันฟ้อง เจนเทิลแมน.. ยังไม่มีใครไปทำอะไรเธอเลย แม้แต่ปลายเล็บก็ไม่ได้แตะ แต่ดูเหมือนเธอจะเป็นเด็กขี้กลัวด้วยตัวของเธอเองอยู่แล้วน่ะ” หมอนั่นหันกลับไปถามรัก มือชี้มาทางผม “หน้าใหม่? ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลยนี่”
“กูได้ยินว่าไอ้ตั้มมันไม่ได้ตั้งใจจะแข่ง แล้วอีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนในคลับด้วย” รักไม่สนใจจะตอบคำถามของหมอนั่น แต่มุ่งมั่นเข้าประเด็นตัวเอง
“ตั้งใจแข่งหรือเปล่ากูไม่รู้นะ แต่มันก็แข่งไปแล้ว แพ้ไปแล้วด้วย ส่วนเฮียเขาน่ะ..” คนพูดชี้นิ้วโป้งไปทางคนที่กำลังนั่งนัวเนียอยู่กับสาวในชุดเซ็กซี่สองคนบนกระโปรงรถสปอร์ตด้านหลัง “อยู่ในคลับนี้มาตั้งแต่มึงยังขับรถไม่เป็นด้วยซ้ำ เขาเป็น 1 ใน 5 คนที่ตั้งคลับนี้ขึ้นมาพร้อมกับเฮียเล่อ แบบนี้จะบอกว่าไม่ใช่คนในก็คงไม่ได้ล่ะนะ”
รักขมวดคิ้ว ผมรู้สึกว่าเขากำลังเจอปัญหาแล้วจริงๆ แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นนักก็เถอะ
“งั้นกูขอท้ามัน” รักพูดหลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“เอาจริงดิ?” อีกคนแสร้งทำหน้าแปลกใจ แต่ผมค่อนข้างแน่ใจว่าคงไม่ได้เกินคาดหมายตามที่แสดงออกมาหรอก
“ถ้ากูชนะ ปล่อยเพื่อนกู แล้วก็ผู้หญิงของมันด้วย”
“เดี๋ยวก่อนนะๆ” หมอนั่นยกมือเบรก “พวกกูไม่ได้จับเพื่อนมึงไว้นะ แต่มันไม่ยอมไปเอง อย่าเข้าใจผิดสิ”
ผมหันไปมอง ‘ตั้ม’ ที่นั่งอยู่บนพื้น ดูจากท่าทางแล้วคงจะเรื่องจริง ตั้งคงจะเป็นห่วงก้อยที่ถูกทางนั้นกักตัวไว้ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ถึงยังไม่ยอมไปไหน
“แล้วถ้ายูแพ้ล่ะ?” คนที่เมื่อครู่เห็นนั่งนัวเนียกับผู้หญิงอยู่เดินมาร่วมวงด้วย หมอนั่นเกาะไหล่เพื่อนตัวเอง ยกยิ้มมุมปากให้รัก เผื่อแผ่มาทางผมด้วย พอได้เห็นหน้าสไตล์ลูกครึ่งกับตาสีเทาเข้มของเขาชัดๆ.. ผมก็ยิ่งมั่นใจว่ารักกำลังเจอตัวปัญหาจริงๆ
แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ
“Can I take your girl?”
รักนิ่งไปเมื่อเจอคำถามนั้น เพื่อนๆ ก็ลุ้นว่าเขาจะตอบกลับไปยังไง
“ไม่.. กูไม่มีผู้หญิงมาด้วย แต่ถ้ามึงจะเอาเป็นเงิน..”
“No, no, no. เอาเป็น ‘เขา’ ก็ได้” คนพูดชี้มาทางผม ยิ้มมีเลศนัย “The gentleman.”
“นี่ล้อกันเล่นหรือไง?” รักชักเก็บอารมณ์ไม่อยู่ คนอื่นๆ ก็ดูตกใจไปด้วย แต่ฝ่ายตรงข้ามเหมือนกำลังสนุก
“Absolutely not. จะไม่รับคำท้าก็ได้นะ ไอก็แค่พา Lovely girl นั่นกลับไปด้วยคืนนี้” เขาชี้ไปทางก้อย “ถึงจะไม่อยากนักก็เถอะ ทำไงได้ It's a golden rule.”
“กู..” รักเหมือนไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง เขามองไปทางก้อยที่เริ่มสะอื้น มองไปทางตั้มที่มีท่าทางสิ้นหวัง แล้วก็หันมามองผมอย่างจนใจ
ผมเข้าใจ ถ้าใครตกอยู่ในสถานการณ์อย่างรักก็คงลำบากใจทั้งนั้น ถ้ารักและเพื่อนเลือกที่จะโยนกฎทิ้ง แล้วชิงตัวก้อยกลับมาดื้อๆ พวกเขาก็คงจะมีศัตรูเป็นคนทั้งคลับ ..มันไม่มีทางเลือกที่ดีกว่าให้เลือกเลย
“กูตกลง”“Brilliant!”
“ไอ้ตั้มมันเจอไอ้เหี้ยนั่นแถวรามอินทรา ตอนติดไฟแดง มันมาจอดเทียบแล้วเร่งเครื่องใส่เหมือนอยากจะวัดด้วย ทั้งรถทั้งคนขับไอ้ตั้มมันไม่คุ้นหน้า เลยไม่คิดว่าจะเป็นคนในคลับ มันก็เลยจัดไป แล้วเสือกแพ้ เรื่องมันก็เลยเลยเถิดกลายเป็นแบบนี้” ‘ปิง’ เพื่อนรักที่ผมขอติดรถมาด้วยเป็นคนเล่าให้ฟัง เขาเองก็เพิ่งถูกโทรตามมาเหมือนกัน ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่แรกหรอก
ความจริงแล้วคลับนี้ก็เหมือนๆ กับคลับคนรักความเร็วทั่วไป แต่จะมีกฎอยู่ข้อหนึ่งที่ทุกคนยอมรับโดยทั่วกัน นั่นคือหากมีการท้าและรับคำถ้าเกิดขึ้น ถ้าไม่ได้พนันกันไว้ก่อนว่าจะเอาเงิน รถ หรืออย่างอื่น ฝ่ายที่แพ้จะต้องยอมยกผู้หญิงของตัวเองให้ผู้ชนะ และก้อยก็คือเหยื่อรายล่าสุด ซึ่งผมกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่ามันเป็นเกมที่งี่เง่ามาก พวกเขาทำอย่างกับผู้หญิงเป็นแค่ตุ๊กตาประดับรถงั้นแหล่ะ
แต่ถ้า ‘หมอนั่น’ เป็นคนร่วมก่อตั้งคลับนี้ขึ้นมาจริง ผมก็ไม่สงสัยเลยว่าใครเป็นคนตั้งกฎบ้าๆ นี่ขึ้นมา
แล้วที่เห็นตั้มมีรอยฟกช้ำดำเขียวนั่นเพราะหลังจากรู้ว่าตัวเองจะต้องเสียแฟนให้ผู้ชายคนอื่นก็สติแตก พยายามจะแย่งตัวก้อยกลับมา ก็เลยโดนพรรคพวกของทางนั้นปรามเอา แต่ถ้าให้พูดจากใจ ผมเองก็อยากจะเข้าไปซ้ำอีกสักหมัดเหมือนกัน งี่เง่าจริงๆ งี่เง่าทุกคนในนี้แหล่ะ
รวมถึงคนที่เพิ่งเหยียบคันเร่งออกไปจากจุดสตาร์ทเมื่อกี๊ด้วย!
“ในกลุ่มเราก็มีแค่รถไอ้ตั้มกับไอ้ชาตินี่แหล่ะ ที่ความแรงพอสูสีรถไอ้เหี้ยนั่น ไม่งั้นเราคงไม่โทรตามมันมาหรอก” ปิงพูดเหมือนกับเกรงใจผม “แต่ไม่ต้องห่วงนะ ไอ้ชาติชนะแน่ นายไม่ต้องไปกับไอ้เหี้ยนั่นหรอก”
รักก็พูดแบบนี้เหมือนกัน ก่อนขับรถไปที่จุดสตาร์ท
‘กูไม่แพ้หรอก’ ทั้งที่แววตาเต็มไปด้วยความกังวล
“ไอ้แด้โทรมารายงานผลแล้ว” ปิงหยิบโทรศัพท์ที่สั่นขึ้นมา พวกเรากำลังขับตามรถรักไปที่จุดเส้นชัย ส่วนเพื่อที่ชื่อ ‘แด้’ คนนั้นไปรอดูผลอยู่ที่นั่นก่อนหน้าแล้ว
ปิงกดรับ ยังไม่ทันจะกรอกเสียงลงไป อีกฟากสายก็ตะโดนผ่านลำโพงมาเสียงดังจนแม้แต่ผมยังได้ยิน
“เชี่ยปิง รถไอ้ชาติชน!”พอถึงที่หมาย ผมรีบเปิดประตูแล้ววิ่งข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามที่เห็นรถของรักจอดอยู่ข้างทาง กระโปรงหน้ามีรอบบุบเล็กน้อย แต่ข้างตัวถังรถมีรอยถูกครูดเป็นแนวยาวตลอดทั้งคัน พูดให้ถูกน่าจะเป็นการเฉี่ยวกับขอบที่กั้นทางมากกว่า ยังไม่ถึงกับชน
“รัก!” ผมตรงไปหาคนที่ยืนเท้ารถอย่างหัวเสียอยู่
จากที่มองด้วยตาเปล่าก็เหมือนว่ารักจะไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน ซึ่งมันก็ทำให้ผมเบาใจไปได้เปราะหนึ่ง แต่ปัญหาที่เหลือต่อจากนี้น่ะสิ..
“ต่าย กู..” รักเหมือนอยากจะพูดอะไรกับผม แต่คู่แข่งหมาดๆ ของเขาที่กำลังเดินยิ้มเพล่มาทางนี้ก็ทำให้เขาต้องพักเรื่องที่อยากพูดไว้ก่อน
“เสียใจเรื่องรถยูด้วยนะ But I’m the winner.” หมอนั่นเดินมากอดคอผมอย่างถือวิสาสะ “แล้วก็นี่...ของรางวัล”
“มึงเล่นสกปรก! ทั้งเบียดทั้งกระแทก ขับรถเหี้ยอะไรของมึง?”
“กระทบกระทั่งกันบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดาในสนามแข่งอยู่แล้วน่า อย่าโวยวายไปหน่อยเลย คุณหนู” ใครสักคนพูดขึ้น แล้วก็มีอีกหลายคนที่ส่งเสียงเชียร์
คู่แข่งหันไปยิ้มให้คนสนับสนุน แล้วหันกลับมามองรัก แบมือ ยกไหล่ทั้งสองข้างเป็นเชิงบอกว่ามันช่วยไม่ได้
“Something like that.”
รักมองผม คิ้วขมวดแทบเป็นปม ในตาคู่นั้นมันมีทั้งความเสียใจ สำนึกผิด และอีกหลายอย่างที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ รักจะเอื้อมมือมาจับผม แต่ผมก็ถูกดึงให้เดินห่างออกมาก่อนแล้ว
“Anyway” คนพูดชะงัก แล้วหันไปชี้ก้อย “ยูพาเธอกลับไปได้ I want nothing to do with her.” จากนั้นก็หันกลับมายิ้มให้ผม “But for you. มีเรื่องเป็นตันที่ไออยากจะทำด้วย”
“Let’s go.” มือที่โอบไหล่ผมกระชับแน่นขึ้น แล้วออกแรงรั้งให้เดินไปด้วยกัน
“ใครจะยอมยกให้มึงง่ายๆ วะ!!”เสียงตะโกนตามหลังมา ผมหันกลับไปทันคว้าข้อมือของรักที่กำลังจะปล่อยหมัดใส่หน้าคนที่เพิ่งชนะเขาพอดี
“มึง..?!” รักดูทั้งตกใจทั้งไม่เข้าใจและไม่พอใจที่ผมทำแบบนั้น ผมปล่อยข้อมือเขาอย่างช้าๆ โดยไม่ได้ละสายตาไปจากใบหน้าของอีกฝ่าย
“อย่าทำให้มันเป็นเรื่องไปมากกว่านี้เลย”ผมตัดใจหันหลังให้สายตาเจ็บปวดและผิดหวังที่กำลังมองมา รักอาจเข้าใจผมผิดในตอนนี้ แต่มันก็ดีกว่าปล่อยให้เรื่องบานปลายจนกลายเป็นการทะเลาะวิวาท คนของรักน้อยกว่า ดูยังไงก็เสียเปรียบเห็นๆ แถมยังมีผู้หญิงที่ท่าทางขวัญเสียอยู่แล้วอีกคน ผมไม่อยากให้ใครต้องเจ็บตัว ยิ่งกว่านั้นคือไม่อยากเห็นรักต้องเจ็บตัว ขอให้เรื่องคืนนี้มันจบแค่ตรงนี้เถอะ ส่วนตัวผมน่ะไม่มีปัญหาอะไรหรอก
ก็หวังว่างั้นนะ
“Poor boy.” คนข้างๆ หัวเราะลงคอ
TBC.ยังอีรุงตุงนังได้อีก
ตอนหน้า!! กัปปิตันภาค ชน แบดบอยแกรี่ !!
ใครจิอยู่ ใครจิไป ใครจิได้ตัวอิคุณชายไปเชยชมในคืนนี้...เฮ้ย!!?
ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวนาน แล้วความรักของน้องรักจิเป็นเยี่ยงไรต่อไป
โปรดติดตาม..
ปล. เปิดโหวตแล้ว แต่ยังไม่ต้องรีบโหวตก็ได้นะ รอดูเฮียภาคกับแกรี่เต็มๆ ตอนหน้าก่อน พ่วงกับเฮียภูมิอีกนิดหน่อย แล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สายแจ้