ยากนัก... รักนี้ ♥
ตอนที่ 13“ลงมาจากประตูบ้านกูเดี๋ยวนี้เลย ไอ้หัวขโมย” ผมนิ่งค้างไปชั่วอึดใจกับเหตุสุดวิสัยที่ไม่คาดคิด..
ก็นะ ใครจะไปคิดล่ะว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้มาปีนรั้วบ้านคนอื่น มีโอกาสได้ถูกคนอื่นเอาปืนจ่อหลัง แล้วก็ยังได้รับโอกาสให้เล่นบทบาทหัวขโมยอีกด้วย เป็นประสบการณ์เลอค่าที่หาไม่ได้ง่ายๆ เลยล่ะ แต่ถ้าเลือกได้นะ ผมขอไม่รับมันทั้งหมดนั่นแหล่ะ
“คือ..ผม..ไม่ใช่” ผมพยายามจะอธิบาย แต่อีกฝ่ายไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะรับฟังนัก
“จะลงมาดีๆ หรือจะให้กูสอยลง?”
“ครับ..”
แน่นอนว่าผมต้องยอมลงไปดีๆ อยู่แล้ว เพราะขึ้นมายังไม่สูงมาก ผมเลยกระโดดลงพื้นรวดเดียวถึงเลย แต่พอจะเงยหน้ามองหน้าคู่กรณีให้ชัดสักหน่อย อาการหน้ามืดก็เข้าจู่โจม
“เฮ้ย!” แม้จะตกใจ แต่เขาคนนั้นก็อุตส่าห์เข้ามาช่วยรับผมเอาไว้ “ทำไมตัวร้อนแบบนี้?”
“ต่าย!!”ภาพสุดท้ายที่ผมเห็น คือ ‘รักชาติ’ กำลังวิ่งหน้าตาตื่นมาทางนี้ รีบร้อนซะจนไม่ได้ใส่รองเท้าด้วยซ้ำ..
“นึกว่านั่นจะเป็นภาพสุดท้ายในชีวิตซะแล้ว”ผมฟื้นขึ้นมาอีกทีก็อยู่บนเตียงคนไข้ของโรงพยาบาล หลังผ่านเหตุการณ์นั้นไปแล้ว 1 วันเต็ม หมอบอกว่าผมเป็นไข้หวัดใหญ่ โชคดีที่ไม่เกิดอาการช็อคทั้งที่ตอนมานั้นไข้ขึ้นสูงถึง 40 องศาเลยทีเดียว แต่ด้วยความที่เป็นวัยรุ่นแข็งแรง พรุ่งนี้ผมก็เก็บของออกจากโรงพยาบาลได้แล้วล่ะ ฮ่ะๆๆ
“ยังจะหัวเราะได้อีก” คนที่นั่งหน้าบูดปลอกเปือกแอปเปิ้ลอยู่ข้างเตียงพูดแขวะเข้าให้
มาลองคิดดู ถึงจะน่าอายที่ดันเป็นลมล้มพับหมดสภาพต่อหน้าคนอื่น แต่ป่วยแบบนี้ก็ใช่จะแย่ซะทีเดียวนะ เพราะอย่างน้อยมันก็ช่วยให้คนแสนงอนแถวนี้เห็นใจผมมากขึ้นล่ะ
“หรือต่อให้เป็นภาพสุดท้ายจริงๆ ก็ไม่เสียใจแล้วล่ะ” ผมเหลือบมองอีกคนที่ทำเป็นไม่สนใจ แต่รู้น่ะว่าตั้งใจฟังอยู่ “อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าคนแถวนี้ห่วงเรามากขนาดไหน”
ฉึก!
มีดปอกผลไม้เสียบลงบนชิ้นแอปเปิ้ลที่ปอกและหั่นจัดใส่จานไว้สวยงามอย่างแรง ตาขวางๆ ตวัดมองผมเป็นเชิงเตือนให้หุบปากซะถ้าไม่อยากตาย(?) ไม่อยู่ในอารมณ์ให้ใครมาหยอด(??) เมื่อวางใจว่าผมจะไม่ก่อมลพิษทางเสียงให้เป็นที่รำคาญแล้ว แอปเปิ้ลที่ติดปลายมีดก็ถูกส่งเข้าปากเจ้าตัวเอง เคี้ยวตุ้ยๆ พลางมือก็ตั้งอกตั้งใจปอกแอปเปิ้ลที่ทำค้างไว้ต่อจนเสร็จ
“กินดิ”
ผมล่ะไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะก่อนดีกับ ‘ก้อนประหลาด’ ที่รักชาติยื่นมาให้ผม ‘กิน’
“จะให้กินจริงดิ?” ผมมองอย่างไม่แน่ใจ
มันเป็นแอปเปิ้ลที่ปอกเปือกแล้วน่ากินน้อยที่สุดเท่าที่ผมเลยเห็นมาเลย ทั้งบิดเบี้ยว แถมยังลูกเหลือเล็กกว่าตอนก่อนปอกแทบจะครึ่งต่อครึ่งเลยล่ะมั้ง ไม่รู้ทำได้ยังไงสิน่า แบบนี้ล่ะมั้งที่เขาเรียกกันว่า ‘ความสามารถพิเศษ’ ?
“ทำไม?”
“ก็มัน...”
อา ผมจะกล้าพูดอย่างที่คิดออกไปเหรอ? ถ้าพูดไปแล้วจะมีอะไรมารับประกันว่าปลายมีดที่กำลังใช้จิ้มแอปเปิ้ลในจานใส่ปากนั่นจะไม่มาจิ้มที่อกผมแทน?
“ไม่หั่นเป็นชิ้นก่อนเหรอ?” เมื่อไม่กล้าค้าน ก็เลยแนะออกไปเพื่อยื้อเวลาแทน(..ขอทำใจหน่อยน่า)
“เออจริง” คนถูกทักก็เพิ่งนึกได้ เลยเอากลับไปหั่นให้แบบไม่มีบ่น
เห็นความตั้งใจแบบนั้นแล้วผมก็อดยิ้มไม่ได้.. อย่างนี้ใครจะกล้าปฏิเสธได้ล่ะ ถึงหน้าตามันจะไม่น่ากินสุดๆ ไปเลยก็เหอะ ฮ่ะๆๆ
“ทำไมมันถึงดูไม่ค่อยเหมือนลูกแรกเท่าไหร่เลยล่ะ?” ผมพยักพเยิดไปทางจานแอปเปิ้ล อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมฝีมือการปอกระหว่างลูกแรกกับลูกที่สองมันถึงได้ดูห่างชั้นกันขนาดนั้น?
“ก็ลูกนั้นไอ้ไอมันปอกไว้”“ไอมาที่นี่เหรอ?”
“ไม่ต้องออกนอกหน้าขนาดนั้นก็ได้” อีกคนพูดเหน็บ แต่ไม่ได้แสดงสีหน้าโกรธขึ้งอย่างที่คิด
“เราก็แค่แปลกใจ.. ว่าทำไมไอถึงมา?” ผมลดเสียงลงอย่างรู้สึกผิด
“ก็มันเป็นเพื่อนมึงไม่ใช่หรือไง?”
รักชาติเอาแอปเปิ้ลผลงานตัวเองใส่รวมไปในจานเดียวกับผลงานของไอ ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่นและจดจ้องจานใบนั้นอยู่หลายอึดใจ ผมว่าเขาคงเห็นถึงความแตกต่างระหว่างแอปเปิ้ลทั้งสองลูกแหล่ะ
“ก็ใช่..”
“มันโทรหามึง กูเห็นมึงหลับก็เลยรับแทน พอมันรู้ว่ามึงอยู่โรงพยาบาล มันก็รีบแจ้นมาเลย”
คนเล่าเบ้ปาก แล้วเริ่มหยิบแอปเปิ้ลผลงานของไอกินทีละชิ้น ทีละชิ้น ทีละชิ้น จนผมคิดว่าเขาคงจะกินมันจนหมดล่ะมั้ง ..แต่แล้วเขาก็หยุด ด้วยสีหน้าที่ดูลังเล เขาส่งจานใบนั้นให้ผม ข้างในยังเหลือแอปเปิ้ลของไออยู่ 2-3 ชิ้น
“มานั่งอยู่พักนึง เห็นมึงไม่ตื่นมันก็เลยกลับ บอกว่าเย็นๆ จะมาใหม่”
ผมรับจานที่ถูกส่งมา แม้จะดูไม่ค่อยใส่ใจนัก แต่ผมก็รู้ว่าอีกคนกำลังจับตาดูทุกการเคลื่อนไหว
“วันนั้นเราขอโทษนะ” ผมถือโอกาสนั้นพูดสิ่งที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่เมื่อวาน แล้วเริ่มหยิบแอปเปิ้ลกินทีละชิ้น
อีกฝ่ายรับฟังอย่างเงียบเชียบ ไม่แสดงอาการโกรธ แต่ก็ไม่มีท่าทางว่าจะยกโทษให้
“แต่ถึงจะย้อนเวลากลับไปได้ เราก็คงเลือกเหมือนเดิม.. ไม่ใช่เพราะเป็น ‘ไอ’ แต่เพราะเป็น ‘เพื่อน’ ”มันไม่ใช่เหตุผลซับซ้อนหรือแอบแฝงอะไรเลย ตอนนั้นผมก็แค่คิดว่าไอที่สภาพจิตใจไม่ปกติ ดูน่าเป็นห่วงกว่ารักชาติที่ปกติดีทุกอย่าง ในเมื่อผมโทรบอกเขาแล้วว่าไปตามนัดไม่ได้ รักชาติก็มีสิทธิ์เลือกที่จะไม่รอ เลือกที่จะหาที่หลบฝน ..แต่ไอเลือกที่จะไม่เสียใจไม่ได้
ผมยอมรับผิดเรื่องที่ผิดนัด ผมไม่โทษที่รักชาติจะโกรธ แต่นอกเหนือจากนั้นผมคิดว่าผมได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว.. เพราะคิดแบบนั้น ผมก็เลยเลือกแบบนั้น แต่ในสถานการณ์เดียวกัน ผมไม่มีทางรู้หรอกว่าคนอื่นจะคิดยังไง ผมก็แค่ใช้ตรรกะในแบบของผม ซึ่งมันอาจไม่ใช่ตรรกะที่ถูกต้องในสายตาคนอื่นก็ได้ อันนั้นผมไม่รู้จริงๆ
“พูดไปก็เหมือนแก้ตัวเนอะ..”
“เออ” ในที่สุดอีกคนก็ยอมส่งเสียง
รักชาติคงรู้อยู่แล้วว่าผมเคยรู้สึกยังไงกับไอ เพราะงั้นเขาถึงไม่เคยถามถึงความรู้สึกที่ผมมีต่อตัวเขาเลยสักครั้ง เขาก็แค่แสดงความรู้สึกของตัวเองออกมา แล้วในเมื่อผมตอบรับมัน ทุกอย่างก็เลยเป็นอันตกลง
บางทีพวกเราคงคิดง่ายเกินไป..
“กูก็รู้นะว่าตัวเองตะแบง” คนพูดนั่งเท้าคาง เสมองไปทางอื่นที่ไม่ใช่หน้าผม นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เขาจะยอมพูดอะไรออกมาตรงๆ แม้จะพูดออกมาด้วยเสียงอันเบาแสนเบาก็เถอะ
“แต่พอได้ยินชื่อไอ้ไอ.. กูก็รู้สึกว่าไม่อยากจะแพ้มัน”ผมยิ้มด้วยรู้อยู่แล้ว เพราะงั้นจึงไม่เคยถือโกรธไม่ว่าเขาจะแสดงความเอาแต่ใจกับผมมากแค่ไหน
“นี่.. กูมีโอกาสที่จะชนะมันบ้างไหม?”คนพูดหันมามองสบตาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวั่นไหว ..ผมยิ้ม แล้วจึงยื่นจานแอปเปิ้ลคืนให้ รักชาติก้มมองในจาน ก่อนเบิกตาประหลาดใจเมื่อเห็นแต่แอปเปิ้ลของไอที่เหลืออยู่ในจาน
“ทั้งไม่น่ากิน ทั้งเค็ม ทั้งเอาแต่ใจ..”
“แอปเปิ้ลพ่องดิเอาแต่ใจได้!” อีกคนด่าแทรกขึ้นมาทั้งที่แก้มเริ่มมีริ้วแดงเจือจาง
“เราไม่รู้ว่าแบบไหนถึงจะพูดได้ว่ารักชนะไอแล้ว ..แต่เราอ่ะแพ้ใจรักแล้ว” เรื่องของใจ ใช่ว่าตัดแล้วจะขาดได้ทันที ใช่ว่าระหว่างที่ยังมีเยื่อใย จะรู้สึกชอบใครอีกคนขึ้นมาไม่ได้ มันอาจฟังดูสับสน แต่ทั้งหมดก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมจริงๆ ถ้าไม่ได้เกิดขึ้นกับตัว บางทีผมอาจไม่มีวันเข้าใจสถานการณ์แบบนี้เลยก็ได้
“รักไม่ใช่คนที่ชอบฝ่ายเดียวหรอกนะ”
“แล้วกูบอกเมื่อไหร่ว่าชอบ? เคยพูดสักคำเหรอ?” น้ำเสียงเอาเรื่องกับสายตาที่หลบเป็นพัลวัลนั่นทำผมแทบกลั้นยิ้มไม่ไหว
“โอเค งั้นเราก็ชอบรักข้างเดียว” ผมแสร้งทำหน้าสลด “น่าสงสารเนอะ”
“งั้น..” คนพูดเชิดหน้าขึ้นนิดๆ แต่ยังไม่ยอมสบตา “กูจะชอบมึงสักนิดก็ได้”
“จริงน่ะ?”
“แบบว่า.. สงสารน่ะ” คนพูดไหวไหล่อย่างไม่แคร์ แต่ผมอดไม่หัวเราะไม่ได้แล้ว ก็เลยถูกตวาดเข้าให้ “มีอะไรน่าขำ?!”
“ไม่มี.. ไม่มีอะไรน่าขำเลย” ผมยิ้มกริ่ม หลิ่วตามองอีกคน “มีแต่น่ารัก น่ารัก...น่ารักเกินไป”
“อ่ะ..” อีกฝ่ายเลิกคิดตอบโต้ แล้วคว้าแอปเปิ้ลที่เหลือในจานใส่ปากเคี้ยวกล้วมๆ แก้เก้อแทน
น่ารักซะไม่มี ฮ่ะๆๆ
“ปวดหัวเหรอ?”
รักชาติเอามือมาอังหน้าผากผมที่ทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาทันทีที่เข้ามาในบ้านได้
“เปล่าหรอก” ผมจับมืออีกฝ่ายลง แล้วพูดยิ้มๆ “แค่คิดถึงบ้านน่ะ”
“เว่อร์ละ”
“ฮ่ะๆๆ” ผมเลื่อนมือข้างนั้นมาวางไว้บนอก ให้ใช้สองมือของตัวเองกุมทับอีกที ก่อนหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน
ถึงหมอจะอนุญาตให้กลับบ้านได้ แต่ผมคิดว่าคงต้องใช้เวลาพักฟื้นอีกสองหรือสองวันนั่นล่ะ กว่าจะแข็งแรงเหมือนเดิม
“ไปนอนบนห้องดีๆ ดิ” คนพูดฉุดผมให้ลุกขึ้น แล้วจูงขึ้นไปบนชั้นสอง ไปที่ห้องนอนของผมเอง
“นอนด้วยกันไหม?” ผมพูดหยอก หลังขึ้นไปตอนบนเตียงเรียบร้อยแล้ว
“อย่าปากดี” อีกฝ่ายเบ้ปากไม่รับมุก แล้วหันไปเปิดคอมฯผมเล่นแก้ว่างแทน
ผมผล็อยหลับไปนานไม่เท่าไหร่ไม่แน่ใจ รู้สึกตัวตื่นอีกทีก็เพราะสัมผัสคลอเคลียแถวหน้า พอลืมตาก็เห็นใบหน้าของใครอีกคนอยู่ใกล้จนแทบจับโฟกัสไม่ได้
“ก็นึกว่าแมวที่ไหน” ผมยิ้มเซียวเพราะยังรู้สึกอ่อนเพลียอยู่
“ไม่ใช่แมวสักหน่อย” รักชาติใช้ปลายจมูกตัวเองเขี่ยปลายจมูกผมเล่น
“จะรังแกคนป่วยเหรอ?”
“ได้ไหม?” ดวงตาคู่ตรงข้ามฉายแววออดอ้อน
“จะกล้าปฏิเสธได้ไง?” ผมหัวเราะ ขณะเงยหน้าขึ้นให้อีกฝ่ายซุกไซร้ซอกคอได้ถนัด
“พูดเหมือนโดนบังคับ”
“อยากลองเล่นบทนั้นอยู่เหมือนกัน”
“โรคจิต”
ปลายลิ้นชื้นลากไล้จากลูกกระเดือก ขึ้นมาปลายคาง บรรจบที่ริมฝีปาก แล้วปลายลิ้นของเราก็ได้เจอกัน
“อืมม..”
หลายนาทีผ่านพ้นไปโดยมีเพียงเสียงจูบและเสียงหอบหายใจดังสลับกัน มือซุกซนของอีกฝ่ายเริ่มปาดป่ายไปตามตัวผม เสื้อเชิ้ตถูกปลดกระดุมออกทีละเม็ด ทีละเม็ด ขณะที่ปากร้อนก็ไล่พรมจูบลงมาตามไหปลาร้า..
“เสียงอะไร?”
ทุกกิจกรรมบนเตียงต้องชะงักงันเพราะเสียงบางอย่างที่ดังมาจากชั้นล่าง ผมลองเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ก่อนจะสรุปได้ว่ามีคนกำลังไขกุญแจบ้านเข้ามา
“สงสัยแม่จะกลับมาแล้ว..” ผมเหลือบมองปฏิทิน แล้วมองนาฬิกา.. คงใช่แหล่ะ ต้องเป็นแม่แน่ๆ
“แม่เหรอ?!” คนฟังทำหน้าตื่น รีบผุดลุกขึ้นแล้วช่วยติดกระดุมเสื้อผมให้เหมือนเดิมอย่างร้นรน
“ไม่ต้องรนขนาดนั้นก็ได้” ผมโน้มคออีกฝ่ายลงมาจุ๊บหน้าผาก “แม่เราใจดี”
“กูไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไงต่อหน้าคนเป็น ‘แม่’ ” รักชาติดูหงอยลงอย่างเห็นได้ชัด ผมยิ้มให้อย่างเข้าใจ
“ทำอย่างที่เคยทำนั่นแหล่ะ ไม่ต้องฝืนอะไรหรอก” ผมลุกขึ้น แล้วจูงแขนอีกคนลงไปชั้นล่างด้วยกัน..
“พี่ต่ายยย” คนที่มาเป็นแม่อย่างที่คิดไว้ แต่ที่ชวนให้ประหลาดใจก็คือมี ‘ไอ’ ที่อยู่กับแม่ด้วย
“ไอ!” ผมกับรักชาติอุทานผมพร้อมกัน
“ไง?” ไอยิ้มทักทายเราทั้งคู่
“น้องไอเขาไปรับคุณศรันย์ที่สนามบินน่ะ ก็เลยอุตส่าห์มาส่งแม่ด้วย แล้วก็มาเยี่ยมไข้พี่ต่ายด้วย” แม่มองผมกับไอสลับกัน “ไม่เห็นเคยบอกเลยว่าทั้งคู่สนิทกัน? นี่ถ้าน้องไอไม่เล่าให้แม่ฟัง พี่ต่ายจะเล่าให้แม่ฟังหรือเปล่าฮึ?”
แม่? คุณศรันย์ เจ้านายแม่? ไอ? ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกันยังไง? ผมยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
“แล้วนั่น..” แม่มองมาทางรักชาติ
“อ้อ นี่รักชาติ เพื่อนต่าย” ผมแนะนำ เจ้าของชื่อยกมือไหว้ แม่รับไหว้พลางทำหน้าสงสัยบางอย่าง
“รักชาติ..”
“ลูกชายคนเล็กของเสธ.ดี้ไงครับ” ผมช่วยไขข้อข้องใจ
“ตายจริง” แม่ยกมือปิดปากตัวเองอย่างตกใจ
รักชาติที่เริ่มใจเสียกับท่าทางของแม่ขยับเข้ามาเบียดผมอย้างไม่มั่นใจ ผมเลยดันกลับไปเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร
“อะไรกัน มีแต่คนกันเองทั้งนั้นเลยนี่นา” แล้วแม่ก็หัวเราะชอบใจโดยไม่ได้สังเกตเห็นความมึนตึ้บของลูกชายเลย
สรุปแล้วไอก็คือหลานเจ้าสัวสันต์คนนั้น คนที่ผมเคยเจอเมื่อตอนเด็กๆ หลายครั้ง ทฤษฎีโลกกลมและแคบของผมเริ่มน่าเชื่อถือมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมไอถึงไม่ยอมปริปากพูดอะไรก่อนหน้านี้เลย..
“ถ้าอยากช่วยก็ลงไปช่วยสิ” ผมอดปากพูดไม่ได้กับอาการกระวนกระวายของอีกคน
หลังพูดคุยถามไถ่กันอยู่พักใหญ่ แม่ก็ออกปากชวนทั้งไอทั้งรักชาติอยู่กินข้าวเย็นด้วยกัน จากนั้นก็เข้าครัวไปเตรียมมื้อเย็น โดยมีไออาสาตามเข้าไปเป็นลูกมือด้วย โชคดีที่ผมกับรักแวะซื้อของสดก่อนกลับมาบ้าน ก็เลยมีวัตถุดิบมากพอให้แม่คิดสร้างสรรค์เมนูสำหรับคน 4 คน
ผมกับรักที่ว่างงานก็กลับขึ้นมารอเวลาอาหารอยู่บนห้องก่อน เพราะผมอยากมาค้นรูปไอสมัยเด็กๆ ดูด้วย แม้ไม่แน่ใจว่าจะมีให้ดูหรือเปล่าก็เหอะ ขณะที่อีกคนก็เอาแต่เดินวนไปวนมาอย่างที่เห็นนี่ล่ะ ตั้งแต่กลับขึ้นมาเลย
“กลัวว่าแทนที่จะถูกใจ จะกลายเป็นถูกไล่ออกมาน่ะสิ” รักหันมาพูดหน้าซื่อ “กูทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ขนาดปอกแอปเปิ้ลยังดูน่าแหวะมากกว่าน่ากินเลย มึงก็เห็นมาแล้ว”
“ช่ายยย กินมาแล้วด้วย” ผมพูดพลางพลิกเปิดอัลบัมรูปหน้าถัดไป
“แต่ไอ้ไอมันก็ไปช่วย..” เสียงบ่นพึมพำ นิ้วโป้งถูกยกขึ้นกัดอย่างคนคิดไม่ตก
ผมเห็นแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ นี่โรคไม่อยากแพ้คงกำเริบอีกแล้วสินะ ฮ่ะๆๆ
“พยายามน่าดูเลยนะ” ผมพูดลอยๆ อีกฝ่ายหันมาเลิกคิ้วมอง “กลัวแม่เราไม่รับเป็นลูกสะใภ้หรือไง?”
“ลูกเขยต่างหาก” คนพูดถลึงตาใส่
“โอ๊ะ โอเค” ผมเลิกคิ้วบ้าง ก่อนพยักหน้ารับ “ลูกเขยนะ”
อย่างน้อยก็ยอมรับเรื่องที่พยายามจะเอาใจแม่ผมแฮะ ฮ่ะๆๆ
“แล้วทำไมมึงต้องยิ้มแบบนั้นด้วย?”
“ไม่ได้เหรอ?” ผมไม่รู้หรอกนะว่าอีกคนเห็นผมยิ้มเป็นแบบไหน แต่ผมก็กำลังยิ้มอยู่จริงๆ นั่นแหล่ะ
“ไม่สบอารมณ์”
“โอเค ก็ได้” ผมพยักหน้าอีก แต่ครั้งนี้เลิกยิ้ม ก้มหน้าก้มตาดูรูปต่อไป
รักดูพอใจในคราแรก แต่สักพักเริ่มไม่สบอารมณ์อีก
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น?”
“แบบไหน?”
“ก็แบบ.. เฉยๆ”
“ก็นายไม่ชอบที่เรายิ้ม” ผมพูดด้วยหน้า ‘เฉยๆ’ อย่างที่เขาว่า
“แบบนี้ก็ไม่ชอบ” ความมั่นใจของคนพูดดูเหมือนจะลดลงเรื่อยๆ “มันเหมือนมึง.. กำลังโกรธ”
“แล้วแบบไหนรักถึงจะชอบล่ะครับ? ต่ายเอาใจไม่ถูกแล้วนะ” ผมถามยิ้มๆ อีกคนหน้าม้านไป
“ก็.. เออ! ช่างเหอะ ..แล้วมึงกำลังดูอะไรอยู่อ่ะ?” เมื่อเห็นว่าคุยเรื่องเดิมท่าจะไม่ดีแล้ว รักก็เปลี่ยนเรื่องแล้วปีนขึ้นมานั่งข้างผมบนเตียง “หนูน้อยกระโปรงฟูฟ่องเหรอ?”
“ไม่ต้องมาแซวเลย” ผมดันคนที่มาแซะกลับไป อัลบัมนี้ไม่มีรูปกระโปรงฟูฟ้องหรอก เพราะตั้งแต่เข้าอนุบาลผมก็ไม่ยอมให้แม่จับใส่กระโปรงอีกแล้ว
“นั่น!” รักจิ้มไปที่รูปเด็กหญิงในชุดกระโปรง
“น้องสาวเรา” ผมเฉลย รักดูผิดหวังหน่อยๆ ที่แกล้งผมไม่สำเร็จ แล้วในที่สุดผมก็หาเจอ “นี่ไง!”
“อะไร?” อีกคนชะโงกหน้าเข้ามาดู
“ไอ..” ผมชี้ไปที่เด็กตัวอ้วนกลมที่ยืนถ่ายรูปคู่กับผมในวัยอนุบาล
พวกเรายืนอยู่หน้ารถคันหนึ่ง ซึ่งถ้าจำไม่ผิด..มันน่าจะเป็นรถคันเก่าของแม่ ผมกำลังยิ้มพร้อมชูสองนิ้วให้รูป ขณะที่ไอในวัยเด็กหันหน้าหนีไปทางอื่นเหมือนกำลังงอนอะไรสักอย่าง เห็นแล้วก็ชวนให้ยิ้ม ผมเคยเห็นแต่ไอที่ยิ้ม ไอที่ร้องไห้ หรือไอที่ประหลาดใจ แต่ไอที่ทำหน้างอนตุ๊บป่อง ดูเอาแต่ใจสุดๆ แบบนั้นผมยังไม่เคยเห็นเลย ..เอ่อ หมายถึงไอในวัยปัจจุบันอ่ะนะ ก็ไม่รู้ว่าถ้าตอนนี้ทำแล้วจะเป็นยังไงเนาะ ฮ่ะๆๆ
“ยิ้ม.. ยิ้มเข้าไป”
ผมเหลือบมองตามเสียง ก็เห็นคนข้างๆ กำลังทำหน้าหมั่นไส้สุดๆ อยู่
“โทษที ลืมไปว่าคนแถวนี้ขี้หึง”
ผมใช้ไหล่เบียดไหล่อีกฝ่ายเบาๆ แต่ทางนั้นดันกระแทกกลับมาซะแรงเลย รังแกคนป่วยเห็นๆ คราวนี้ผมเลยใช้สายตาออดอ้อน แต่ไม่ได้รับความเห็นใจ ฮ่ะๆๆ
“ดูแล้วไม่น่าโตมาเป็นไอ้ไอตอนนี้ได้เลยนะ” รักวิจารณ์หลังจดจ้องเด็กในรูปอยู่ครู่หนึ่ง “อย่างกับลูกหมูแน่ะ”
“แล้วเราล่ะ?”
“มึงเหรอ?”
“อือฮึ เป็นไง?”
“ก็ดูขี้หม้อมาตั้งแต่ตอนนั้นเลย”“เจ็บปวด..”
ที่โต๊ะอาหาร ดูเหมือนสปอร์ตไลท์จะฉายไปที่ไอมากกว่ารัก ไอทำได้ดีกว่า(มาก)ในเรื่องการเข้าหาและวางตัวต่อหน้าผู้ใหญ่ ขณะที่รักทำได้เพียงถามคำตอบคำ นิ่งเงียบซะจนแม่ผมเข้าใจไปว่าตัวเองทำอาหารได้ไม่ถูกปากคุณหนูลูกนายพลไปซะได้(จริงๆ แล้วเกร็งเกินไปต่างหาก) ต้องหาข้อแก้ตัวกันวุ่นวาย สุดท้ายก็จบลงตรงที่ท้องไส้ไม่ค่อยดี ฮ่ะๆๆ
สองวันหลังจากนั้น ผมไปหารักที่บ้านตอนเช้า เรานัดกันว่าจะไปร้านเจาะหูที่ยังไม่ได้ไปคราวก่อน พอเข้าไปในบ้านผมก็เจอะกับ ‘เฮียภาค’ กัปตันหนุ่มจากกองทัพอากาศเป็นด่านแรกก่อน เขาคือคนที่เอาปืนมาจี้เอวผมเมื่อวันนั้น แต่ก็เป็นคนเดียวกับที่ช่วยพาผมไปโรงพยาบาลเช่นกัน(ตามที่รักบอกผม) และผมก็ยังไม่ได้ขอบคุณเขาเลย
“เฮียภาค สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้นำเข้าไป
อีกฝ่ายหันมามองงงๆ เขาพับหนังสือพิมพ์ในมือเก็บ แล้วยกมือขึ้นรับไหว้
“สวัสดีครับ” เขายิ้มให้ สายตากรุ้มกริ่มกวาดมองผมหัวจรดเท้าอย่างสนใจ บุคคลิกดูค่อนข้างต่างไปจากตอนที่เจอครั้งแรกพอผมสวร ..หรือบางทีอาจเพราะตอนนั้นผมไข้ขึ้น ก็เลยจำสับสนก็เป็นได้
“นั่งก่อนสิ” เขาเชื้อเชิญให้นั่งบนโซฟายาวตัวเดียวกันอย่างมีไมตรี
แต่พอผมนั่ง เขาก็ขยับตัวเองเข้ามาใกล้จนน่าแปลกใจ
“เอ่อ ผมขอบคุณมากนะครับที่ช่วยพาไปโรงพยาบาลเมื่อวันนั้น” ผมขยับตัวออกห่างอย่างไม่ให้ดูน่าเกลียด แต่อีกฝ่ายก็ขยับตามมาเสียใกล้ชิดกว่าเดิม แถมยังยกแขนพาดพนักพิงเป็นการโอบผมไว้กลายๆ ด้วย “เอ่อ แล้วก็ต้องขอโทษมากๆ ด้วย ที่เสียมารยาทในตอนแรก”
“ไม่เป็นไรครับ แล้ว..โรงพยาบาล...อ้อ อาการเป็นยังไงบ้าง? พี่เป็นห่วงเรามากเลยนะรู้ไหม?”
หืออออ?
“เอ้อ ก็ หายดีแล้วครับ”
“งั้นเหรอ”
ยิ่งพูดคุยเขาก็ยิ่งเบียดเข้ามาเรื่อยๆ แถมมือไม้ก็เริ่มเลื้อยไปตามที่ที่ไม่ควร อย่างไหล่ผม เอวผม.. อ้าว เฮ้ย! เขากอดผมเฉยเลยอ่ะ?
“ผมว่า..” ผมดันอีกฝ่ายออกอย่างรักษามารยาท “ต้องมีการเข้าใจอะไร..ผิดไปแน่ๆ”
“หืม? พี่เหรอ?” เขาชี้หน้าตัวเอง แต่อีกมือก็ยังไม่ยอมปล่อยจากไหล่ผม
“ครับ” ผมพยักหน้า สองมือยังยันอกอีกฝ่ายไว้ เพราะสังหรณ์ว่าถ้าปล่อยเมื่อไหร่ เขาจะต้องพุ่งกลับมาแนบชิดสนิทจนแทบเป็นเนื้อเดียวกันแน่ๆ
“แล้วเราไม่ใช่แฟนพี่เหรอ?”“ห๊ะ?”
“เฮียภูมิ!!”“เอ๊ะ?”
"จ๋าาา" เจ้าของชื่อขานรับเสียงหวาน
ผมหันไปมองหาต้นเสียงผู้มาใหม่ แล้วก็ได้เห็นรักชาติยืนเท้าเอว หน้าถมึงทึงเหมือนพร้อมจะหักคอใครก็ได้อยู่ตรงทางเข้าห้องรับแขก เบื้องหลังมีผู้ชายอีกคนที่หน้าเหมือนกับคนที่กำลังกอดผมเป๊ะยืนทำหน้าระอาใจอยู่
อ้อ.. แฝดสินะ
คนหนึ่งก็โหด อีกคนก็มั่ว พี่ชายของรักชาตินี่เปิดตัวได้น่าตกใจทุกคนสิน่า..
TBC.เมโล่ค่าตัวแพงจริงๆ ค่ะ พูดเลย สงสัยต้องระดมทุนกันจ่ายแล้วล่ะ