ยากนัก... รักนี้ ♥ ตอนที่ 4ชื่อ – สกุล : วรา เมตตวรา (ต่าย)
วันเกิด : 19 ตุลาคม
ส่วนสูง : 182
น้ำหนัก : 70
งานอดิเรก : เกี่ยวกับน้องสาว
สิ่งที่ชื่นชอบ : น้องสาว
“เดี๋ยวสิชายต่าย คำตอบนี่มันอะไรกันน่ะ? งานอดิเรกเกี่ยวกับน้องสาว? สิ่งที่ชื่นชอบ ก็น้องสาว?” นิ่มเงยหน้าจากนิยสารวัยรุ่นหัวหนึ่งที่ผมบังเอิญไปให้สัมภาษณ์ไว้ตั้งแต่หลายสัปดาห์ก่อน
จำได้ว่าวันนั้นไปทำธุระเป็นเพื่อนแม่แถวสยามฯ แล้วก็มีผู้หญิงสองคนเข้ามาทัก เธอแนะนำตัวว่ามาจากนิตยสารรายเดือนหัวนี้ แล้วก็ขอถ่ายรูปกับสัมภาษณ์นิดๆ หน่อยๆ เพื่อไปลงคอลัมน์เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์วัยุร่นหรืออะไรประมาณนี้แหล่ะ
“กีฬา เทนนิส ว่ายน้ำ ศิลปินที่ชอบ จอห์น เลเจนด์ สเป็คผู้หญิง แบบน้องสาว..” สจีอ่านถึงตรงนี้ก็เงยหน้าขึ้นมองผมเหมือนมีอะไรอยากจะพูด แต่ก็ไม่พูดออกมา
“ไม่คิดว่าจะหมกมุ่นกับคุณน้องสาวมากไปหน่อยเหรอคะ คุณชาย!?” นิ่มขมวดคิ้ว
“เหรอ?”
“ถ้าฉันเป็นน้องแก ฉันคงผวาอ่ะ” สจีว่า
“น้องเราก็ผวาเหมือนกัน”
“จริงดิ!?” ทั้งสองคนถามพร้อมกัน
“ล้อเล่นครับ” ผมหัวเราะหน้าตาตลกๆ ของเพื่อน “ก็แค่ไม่รู้จะตอบอะไรน่ะ บางคำถามก็กว้างเกิน แล้วตอนนั้นแม่เราก็รีบกลับบ้านด้วย เลยตอบส่งๆ ไป จะได้จบ”
“เชื่อเขาเลย” นิ่มถอนหายใจ “ป่านนี้คนที่ได้อ่านคอลัมน์นี้คงเข้าใจไปแล้วล่ะว่าชายต่ายน่ะโรคจิตซิสค่อน”
“ฮ่ะๆๆ” ผมไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นอยู่แล้วล่ะ
“แล้วจริงๆ สเป็คชายต่ายเป็นยังไงเหรอ?”
“อืมม ไม่รู้สิ ไม่เคยคิดว่าจะต้องเป็นยังงั้นยังงี้ถึงจะชอบอะไรแบบนั้นหรอก”
“ฮื้มฮืมม” นิ่มครางฮึมฮัมในคอ “จริงๆ แล้วชอบผู้หญิงหรือเปล่าเนี่ย?”
“ชอบสิ พวกผู้หญิงน่ารักออก”
“ไม่ใช่แบบน้าน.. เอ้อ ช่างเหอะ” เพื่อนยังดูเหมือนมีเรื่องที่อยากจะพูด แต่ก็เปลี่ยนใจไปดื้อๆ
อยากรู้ว่าไลฟ์สไตล์วันๆ ทำอะไรบ้างต่าย - วันธรรมดาก็เรียน นอกเหนือจากนั้นก็อยู่บ้านดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมส์ เล่นกับน้องสาว หรือไม่ก็ออกไปทำกิจกรรมอื่นๆ ข้างนอก ก็เหมือนวัยรุ่นทั่วๆ ไปแหล่ะครับ
ดูเป็นคนรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณดี ไม่ทราบว่ามีวิธีดูแลตัวเองยังไงต่าย – ก็ปกตินะครับ รักษาความสะอาด กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ พักผ่อนเพียงพอ แล้วก็ออกกำลังกายบ้าง
สไตล์การแต่งตัวเป็นยังไงต่าย – ส่วนใหญ่ก็จะเรียบๆ ครับ ไม่ค่อยชอบอะไรที่มันหวือหวาอยู่แล้ว
ลุคดูคุณชายแบบนี้ ไม่ทราบว่าคิดยังไงกับประโยคที่ว่า “ผู้หญิงสมัยนี้ชอบ Bad Boy”
ต่าย – คงเพราะแบดบอยมักเป็นคนน่าสนใจมั้งครับ แต่ก็คงไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนหรอกที่จะชอบแบดบอย
“ถ้าไม่นับเรื่องคลั่งน้องสาว ก็อย่างหล่ออ่ะ.. แต่ชายต่ายนี่ดูธรรมดากว่าที่คิดนะเนี่ย นึกว่าจะมีอะไรที่พิเศษๆ กว่าคนทั่วไปซะอีก” นิ่มวิจารณ์
“ก็คนธรรมดานี่ครับ” ผมหัวเราะ
“อ๊าา อยากให้เขาสัมภาษณ์ไอบ้างจัง อยากรู้ไลฟ์สไตล์ของไอบ้างอ่ะ จะเป็นยังไงน้า?” นิ่มเริ่มทำหน้าฝัน
“ไอศูรย์ วงศ์ฐิติ วันเกิด 20 กันยายน ส่วนสูง 180 หรือ 182 หรือ 183 นี่แหล่ะ น้ำหนักประมาณ 70 งานอดิเรก เล่นเกมส์ เล่นกีตาร์ สิ่งที่ชื่นชอบ คำถามนี้กว้างจัง กีฬา ยูโด ฟุตบอล ศิลปินที่ชอบ ช่วงนี้เห็นฟัง อิมเมจิ้น ดราก้อน บ่อยๆ สเป็คผู้หญิง ขาวๆ หมวยๆ ไลฟ์สไตล์ช่วงนี้ก็เรียน ทำงานพาร์ทไทม์ กลับบ้านเล่นเกมส์ ดูแลตัวเองแบบทั่วๆ ไป สไตล์การแต่งตัว ง่ายๆ” คนพูดวางนิตยสารที่ถือวิสาสะหยิบไปอ่านโดยไม่ขออนุญาตลง
“เมโล่?”
ไม่รู้เหมือนกันว่ามาแถวนี้ได้ไง พวกผมก็นั่งที่ม้านั่งหน้าตึกภาคตัวเองตามปกติ ส่วนหมอนั่นมาเกาะขอบโต๊ะ เกยคางเอาไว้บนหลังมือ ส่วนตัวนั่งยองบนส้นเท้าตัวเอง สายตาจดจ้องกล่องเค้กบนโต๊ะราวกับจะมองให้เห็นทะลุไปถึงข้างใน
“บอกเรื่องไอให้แล้ว รางวัลล่ะ?” มันหันไปถามนิ่ม
“เอ๊ะ เอ้อ” นิ่มเหมือนคนเพิ่งตื่นจากภวังค์ แล้วกระวีกระวาดหยิบสมุดปากกาออกมาจากกระเป๋า “ช่วยบอกอีกทีได้ไหม เมื่อกี๊ฟังไม่ทันอ่ะ”
“รางวัลล่ะ” หมอนั่นพูดซ้ำราวกับตั้งโปรแกรมไว้ แล้วมองไปที่กล่องเค้กอีก
“อ๋อ เค้กนี่น่ะเหรอ เอ้ย นี่ไม่ใช่ของเรา ของชายต่ายเขาน่ะ” นิ่มทำหน้าแหยๆ เมื่อรู้ตัวว่าถูกผมกับสจีจ้องอยู่
“ของบันนี่เหรอ?” ไอ้แมวยักษ์เปลี่ยนเป้าหมายมาที่ผมโดยสมบูรณ์
เค้กนี้ผมได้มาพร้อมกับนิตยสารที่กำลังอ่านกันอยู่นี่ล่ะ จากพี่สาวคนที่มาขอสัมภาษณ์ไปคราวก่อน เธออุตส่าห์มาตามหาผมถึงคณะเพื่อที่จะเอาทั้งสองอย่างนี้มาให้ บอกว่าเป็นสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่ยอมให้สัมภาษณ์ ก็ไม่รู้ว่าใจดีแบบนี้กับทุกคนที่เธอไปขอสัมภาษณ์ด้วยหรือเปล่า
“เดี๋ยวนี้เอาเพื่อนมาขายกินแล้วหรือไง?” ผมแกล้งขยับกล่องเค้กให้ห่างออกมา พอเห็นหมอนั่นมองตามตาละห้อยแล้วก็อดขำไม่ได้
แต่จะให้ยกให้มันง่ายๆ น่ะฝันไปเหอะ คราวก่อนเพิ่งขู่เข็ญให้ผมไปเหมาซาลาเปาไส้ถั่วแดงที่โรงอาหารรัฐศาสตร์มาหมดตู้เอง กว่ามันจะยอมปิดปากเงียบอย่างที่ผมต้องการ ..ที่ต้องทำขนาดนั้นไม่ใช่เพราะผมเป็นห่วงภาพลักษณ์ของตัวเองหรอก ไม่ใช่ดาราถึงจะต้องมารักษาภาพพจน์อะไร ผมไม่กลัวอยู่แล้วถ้ามันเป็นความจริง แต่ผมค่อนข้างเหนื่อยหน่ายกับพวกข่าวลือมากกว่า เลยคิดว่าตัดปัญหาโดยการทำให้มันเงียบๆ ไปน่าจะดีที่สุด
“เดี๋ยวบอกของเมโล่ด้วยก็ได้ ถือว่าหายกัน”
หายกันอะไรของมัน?
“คาร์เมโล เดนธ์ วันเกิด 25 ธันวาคม ส่วนสูง 206 น้ำหนัก 92 เอ.. 93 มั้ง งานอดิเรก กินขนม สิ่งที่ชื่นชอบ ขนมกับไอ กีฬา หลายอย่าง แต่ไม่ชอบสักอย่าง ศิลปินที่ชอบ ไม่มี สเป็คผู้หญิง ผู้หญิงที่น่ากินเหมือนขนม แล้วก็ใจดีเหมือนไอ ไลฟ์สไตล์ เรียน กิน เล่นกับไอ สไตล์การแต่งตัว อะไรก็ได้ที่มีไซส์ใหญ่ ใส่สบาย แล้วไอก็บอกว่าดูดี”
“ใครอยากรู้ล่ะนั่น” พูดแล้วก็เพิ่งหันไปเห็นเพื่อนสาวร่างท้วมของตัวเองกำลังจดยิกๆ เลย เอากับเธอสิ ฮ่ะๆๆ
“หรือว่าอยากรู้ความลับของบันนี่ล่ะ?” มันหันไปเจ๋อกับเพื่อนผม ก็เลยโดนผมดีดหน้าผากไปที “เจ็บนะ”
“แกมีความลับด้วยเหรอ?” สจีเอียงตัวมากระซิบถาม
“ไม่มี” ผมกระซิบกลับ
“โกหกเห็นๆ”
“เป็นงั้นไป”
“เมโล่ท่าทางจะชอบไอมากเลยนะเนี่ย” นิ่มนั่งเท้าคางชวนหมอนั่นคุย
“อื้อ ชอบมากรองจากขนมเลยแหล่ะ”
“แล้วก็ท่าทางจะชอบขนมมากจริงๆ ฮ่ะๆๆ”
“อื้อ ชอบที่สุดเลยแหล่ะ แล้ว..” มันหันกับมาหาผมอีก “รางวัลอ่ะ?”
“ทำไมถึงชอบไอขนาดนั้นล่ะ?” ผมชักสนใจ
ว่าแต่หมอนี่เป็นเด็กหรือหมาหรืออะไร? ทำตัวดีเพราะหวังรางวัลเป็นของกินแบบนี้ เชื่อเขาเลย
“เพราะไอใจดี” คนพูดเอียงแก้มแนบหลังมือตัวเอง “ตอนย้ายมาใหม่ๆ ไม่มีใครคุยด้วยเลย ไอเป็นคนแรกที่เข้ามาทัก แถมยังช่วยถอนฟันผุที่ปวดออกให้ด้วย”
“ถอนฟัน?!” สจีกับนิ่มอุทาน
“ถอนยังไง?” ผมถาม
“ก็
ต่อยเปรี้ยงเข้านี่เลย” คนพูดจิ้มแก้มซ้ายของตัวเอง
“ห๊ะ?!”
“โอ้ แล้วฟันผุก็หลุดออกมาเลย” จู่ๆ หมอนั่นก็ดูกระตือรือร้นอยากจะเล่าขึ้นมา “ไออย่างเท่ห์อ่ะ”
“เอ่อ..”
“ตั้งแต่ตอนนั้นก็ตัดสินใจเลยว่าจะขอติดตามไอไปตลอดชีวิตล่ะ”“.........” โนคอมเม้นท์เถอะ
ผมกับสจีมองหน้ากัน แล้วก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายสีหน้าที่ต่างฝ่ายต่างเห็นของอีกฝ่ายว่าอะไรดี
“เอ้อ เมโล่ย้ายมาจากที่ไหนเหรอ? แล้วมาตั้งแต่เมื่อไหร่อ่ะ?” แต่นิ่มยังไม่ละความพยายามที่จะคุยกับหมอนั่น
“จากฟรายเดย์ ฮาร์เบอร์ มาเข้า ป.4 ที่กรุงเทพฯ”
“ที่ไหนวะ?” นิ่มกระซิบกับสจี รายนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา จิ้มๆ ครู่เดียวก็ได้คำตอบ
“วอชิงตัน อเมริกา”
“อ๋อ เมโล่เป็นลูกครึ่งอเมริกันสินะ” นิ่มหันไปจ้อต่อ
“เปล่า เป็นมนุษย์ต่างดาวแท้ๆ เลยต่างหาก” “ห๊ะ?”
“รางวัลอ่ะ” เหมือนหมอนั่นเบื่อจะตอบคำถามแล้วล่ะ
ถ้าจะอยากกินขนาดนั้นล่ะก็นะ.. ผมเลื่อนกล่องเค้กไปให้ตรงหน้า หมอนั่นหยิบกล่องที่ดูเล็กจิ๋วไปเลยเมื่อเทียบกับตัวมัน แล้วลุกยืนเต็มความสูง 206 ที่มันบอก
“ขอบใจนะ~” มันหันมาบอก แล้วก็จากไปท่ามกลางความงงงวยของพวกเราไม่ต่างจากขามา
“ตกลงเขามาเพื่อเค้กเลยใช่ไหมเนี่ย?” สจีถามในสิ่งที่ผมกำลังคิดอยู่พอดี
“น่ารักอ่ะ!” แต่นิ่มดูเหมือนจะคิดต่าง
“ต่าย!”
ตอนผมกำลังจะกลับบ้าน ก็มีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งตามมา พร้อมกับเอกสารบางอย่างในมือ เขาเป็นหัวหน้าเสคผมเอง รู้สึกจะชื่อ ‘ต้อม’ ผมหยุดยืนรอ ต้อมหยุดหอบเล็กน้อยเมื่อมาถึง ก่อนจะยื่นปึกกระดาษในมือให้
“ชี้สฟิสิกส์ที่ฝากก๊อปปี้น่ะ”
“อ๋อ ขอบใจนะ” ผมยื่นมือไปรับ เตรียมควักเงินจ่าย “เท่าไหร่อ่ะ?”
“ไม่ต้องๆ เขาให้เกินมาชุดหนึ่งพอดี”
“เหรอ.. งั้นขอบใจอีกทีแล้วกัน อุตส่าห์วิ่งตามมาให้” ผมยิ้มให้
“ฮ่ะๆๆ พอดีเหลียวเห็นหลังไวๆ ..กำลังจะกลับบ้านเหรอ?”
“อื้อ แล้วต้อมยังไม่กลับเหรอ?”
“ว่าจะอยู่ต่ออีกสักหน่อยน่ะ งั้นเราไปนะ” ต้อมหันหลังเตรียมวิ่งกลับทางเก่า “กลับดีๆ ล่ะ”
“อื้อ” ผมยืนมองอีกฝ่ายจนลับตา ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ กับตัวเอง
‘เพื่อนผู้ชาย’ ..สินะ ผ่านมาเกือบเดือนแล้ว ตั้งแต่เปิดเทอมจนถึงตอนนี้ผมก็ยังหาใครที่จะเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่า ‘เพื่อน’ ไม่เจอเลยสักคน(หมายถึงผู้ชายนะ) ไม่ว่าเพื่อนร่วมคณะหรือเพื่อนร่วมเสค ทุกคนก็พอใจที่จะอยู่แค่ในระดับ ‘คนรู้จัก’ ของผมเท่านั้น พวกเขาจะทักผมก็ต่อเมื่อหันมาสบตากับผมแล้ว(ประมาณว่าเลี่ยงไม่ได้แล้ว) จะคุยกับผมก็ต่อเมื่อมีธุระ ช่วยเหลือผมก็ต่อเมื่อผมเอ่ยปาก ถึงพวกเขาจะดูเป็นมิตรกับผม แต่มันก็แค่ในระดับที่เรียกกันว่า ‘ทำตามมารยาท’ เท่านั้นแหล่ะ
แล้วก็ไม่ใช่ว่าผมไม่พยายามจะเข้าหาพวกเขาก่อนนะ ผมเคยพยายามแล้ว หลายครั้งด้วย แต่มันก็เหลวทุกครั้ง พวกเขามักจะดูไม่เป็นธรรมชาติเมื่อมีผมไปอยู่ใกล้ๆ ดูไม่เป็นตัวของตัวเอง ผมคิดว่าผมทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัด และผมเองก็รู้สึกอึดอัดเช่นเดียวกัน ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะผมไม่รู้ว่าควรจะคุยจะเล่นระดับไหนถึงจะเรียกว่าพอดีสำหรับเพื่อนผู้ชายด้วยกัน มันก็เลยพลอยทำให้รู้สึกเก้กังกันไปหมด และสุดท้ายก็จบลงด้วยการที่ผมต้องถอยห่างออกมาเหมือนทุกที
ถึงมันจะเป็นสถานการณ์เดียวกับที่ผมต้องเผชิญมาตลอดอยู่แล้วก็เถอะ แต่ไอ้จะให้ทำใจยอมรับแล้วก็ยอมแพ้ไปซะ มันก็ไม่ใช่อะไรที่ทำกันได้ง่ายนี่นา พอคิดว่าช่วงชีวิตคนเรามีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 60 ปี ตอนนี้ผมก็แค่เกือบๆ 20 เท่านั้น แค่คิดว่าต้องอยู่แบบไร้เพื่อนไปอีกตั้ง 40 ปี ผมก็อยากจะร้องไห้แล้ว
ให้ตายสิ ทำไมชีวิตของคนดีๆ อย่างชายต่ายถึงได้เศร้าขนาดนี้ล่ะ..
“ระวัง!!”วินาทีที่ได้ยินเสียงร้องเตือน แทบจะเป็นวินาทีเดียวกับที่ลูกบอลหนังไซส์มาตรฐานฟีฟ่าลอยมากระแทกหัวผมอย่างจัง ทำเอามึนจนยืนไม่อยู่ ต้องทรุดลงไปนั่งกุมหัวอยู่บนฟุตบาท
“นั่นน้องต่ายนี่นา! เป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ?” พวกผู้หญิงที่นั่งเล่นอยู่แถวนั้นเป็นกลุ่มแรกที่เข้ามาถึงตัวผม
“นาย! เป็นอะไรมากไหม?” ส่วนนี่น่าจะเป็นพวกของเจ้าของบอลลูกเมื่อกี๊
“อ้าว นึกว่าใครซะอีก? ฮ่าๆๆ” ส่วนเสียงหัวเราะสบายใจนี่ฟังคุ้นๆ อยู่นะ
เจ็บก็เจ็บ มึนก็มึน แถมผู้คนยังมารุมล้อมถามนั่นนี่อยู่ได้ ไม่รู้จะมาสนใจอะไรกันนักหนา โดนแค่นี้ไม่ถึงกับตายหรอกน่า ก็แค่เพื่อนไม่มี ก็แค่ดวงไม่ดี แค่นี้ไม่ตายสักหน่อย ไม่ต้องห่วง ไม่เป็นไร ต่ายๆๆๆ ก็เลิกเรียกกันได้แล้ว น่ารำคาญ! หนวกหู!
หงุดหงิด!
“ช่วยไม่ได้นะ ดันเดินเหม่อไม่ดูตาม้าตาเรือเอง ลูกบอลมันก็ดันหลบใครไม่เป็นด้วยดิ..อั้ก!!”
ผมหันไปคว้าคอเสื้อเจ้าของประโยคล่าสุดและอยู่ใกล้มือที่สุดอย่างหมดความอดทน สติที่พยายามประคองมาจนถึงเมื่อครู่ปลิวหายไปกับสายลม
“เดี๋ยวก็ฆ่าทิ้งซะหรอก”ดวงตาคู่ตรงข้ามเบิกกว้างอย่างตกใจ ทุกสรรพเสียงรอบตัวพร้อมใจกันเงียบสงัด เหลือไว้เพียงความวังเวง และตอนนั้นเองที่ผมเริ่มรู้สึกตัวอีกครั้ง
“ล้อเล่นน่ะ”ผมปล่อยมือจากคอเสื้อรักชาติ.. ช่ายยย รักชาติคนนั้นเอง มินาล่ะ เสียงถึงได้คุ้นหูนัก ผมจัดปกเสื้อให้คนที่เหมือนจะยังช็อคไม่หายแบบลวกๆ ตบอกมันสองทีเบาๆ แล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตรที่สุด
“ไม่เป็นไรนะ?” เสียงของพวกผู้หญิงกลับมาอีกครั้งเมื่อผมลุกขึ้นยืน
“ไม่เป็นไรครับ” ผมยิ้มให้ทุกคนอย่างทั่วถึง
“โทษทีนะเพื่อน” คนในกลุ่มรักชาติขอโทษขอโพย
“อือ ไม่เป็นไร” ผมยังยิ้มอยู่ เผื่อแผ่ไปถึงคนที่ยังนั่งไม่ยอมลุกอยู่บนฟุตบาทด้วย
รักชาติขมวดคิ้วมองตอบผมอย่างไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ข้างหลังมีเพื่อนที่ผมจำได้ว่าเป็นแฟนของ ‘ก้อย’ ช่วยประคอง หมอนั่นยิ้มแห้งๆ ตอบผม ดูเหมือนว่าเรื่องคราวก่อนจะทำให้เขากับก้อยกลายเป็นคู่รักหวานจ๋อยจนคนในคณะพากันอิจฉาตาร้อนเลยล่ะ
“แน่ใจว่าไหวนะ ให้พวกพี่เดินไปส่งหรือเปล่า”
“พี่มีรถนะ ให้พี่ไปส่งไหมล่ะ? กำลังจะกลับบ้านใช่ไหม?”
น้ำใจจากรุ่นพี่ผู้หญิงยังมีมาแบบไม่ขาดสาย ผมปฏิเสธอย่างสุภาพ ก่อนบอกขอบคุณในทุกความหวังดี แล้วขอตัวแยกจากมา..
ให้ตายสิ
ทำไมต้องเป็น ‘หมอนั่น’ ทุกทีที่ได้เห็นด้านแปลกๆ ของผม
“อือ...อยู่ข้างในใช่ไหม? ..เรามาถึงหน้าร้านแล้วล่ะ...อื้อ..กำลังจะเข้าไป ..โอเค เจอกัน”
ผมกดวางสายจากลูกปลา ชะเง้อมองผ่านกระจกเข้าไปข้างในร้านคอฟฟี่ช็อปเปิดใหม่ข้างมหา’ลัย เพื่อหาโต๊ะที่เธอนั่ง ก่อนจะผลักประตูเข้าไปเมื่อแน่ใจทิศทาง
วันนี้ลูกปลาชวนผมไปร้านหนังสือก่อนกลับบ้าน เห็นว่าอยากไปหานิยายออกใหม่อ่าน แต่เวลามันคลาดเคลื่อนจากที่ตกลงกันไว้นิดหน่อยเพราะลูกปลามีงานที่ยังทำไม่เสร็จ เธอกับเพื่อนนั่งกันอยู่ที่ร้านนี้ ก็เลยโทรเรียกให้ผมมานั่งรอที่ร้านนี้ด้วย
“ชายต่าย ทางนี้จ้าาา”จากที่ตกเป็นเป้าสายตาอยู่แล้ว ก็ยิ่งตกเป็นเป้าสายตาเข้าไปใหญ่เมื่อเสียงของลูกปลาดังขึ้น พร้อมท่าโบกไม้โบกมือของเจ้าตัว คนทั้งร้านก็พร้อมใจกันหันมามองผมอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
“ไปทางไหนก็มักจะกลายเป็นจุดเด่นเสมอเลยเนอะ คุณชายเนี่ย”
หือ?
ผมหันไปมองพนักงานเสิร์ฟตัวสูงที่เข้ามายืนข้างๆ
“ไอ?”
ผมกวาดตามองไอในชุดนักศึกษาที่มีผ้ากันเปื้อนสีดำผูกไว้ที่เอว มือถือถาดกับสมุดจดออเดอร์ รอยยิ้มเจิดจ้าประดับอยู่เต็มใบหน้า
“ยินดีต้อนรับครับ คุณลูกค้า” หลังจากเพิ่งเจอเรื่องหงุดหงิดชวนห่อเหี่ยวใจมา จู่ๆ ผมก็รู้สึกราวกับว่าได้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง
นี่ผมแปลกหรือเปล่านะ?
ที่ดันคิดว่ารอยยิ้มของหมอนี่อย่างกับโอเอซิสกลางทะเลทรายสำหรับผมงั้นแหล่ะ
TBC.
ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตาม
ยังไงก็ไปทักทายกันได้ที่แฟนเพจนะแจ้