ตวัดหางลางลับดั่งฟ้าฟาด
เคลื่อนกายพาดลำน้ำแยกเป็นสอง
แหวกว่ายตัดไล่ลามตามลำคลอง
เนตรจับมองริลดพยายาม
โรมรันลั่นร่างลึกสะท้านไหว
จิกผิวใจร่ายอาคมคงผลีผลาม
ไฟความแค้นโหมกระพือฤๅลุกลาม
หมายจักตามไล่ล่าริลดแรง
ฝ่ายผู้น้อยใช่ย่อถอยมิลดละ
ด้วยเดชะวัยวุฒิจึ่งกำแหง
จึงขู่วอดพุ่งขย้ำซ้ำตะแลง
มิเคลือบแคลงหมายเด็ดใจ..จ้าวกุมภา
-๒๖-
อีกร่างหนึ่งเป็นของท่านอาพันวัง
..ถ้าให้ผมเดาล่ะก็นะ พวกเขากำลังสู้กันอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าถามหาเหตุผลในตอนนี้…มันสรุปได้ทางเดียวว่าข้อสันนิษฐานทั้งหมดที่ไอ้พี่วันได้คาดการณ์ไว้เป็นเรื่องจริง และไม่ว่าสถานการณ์จะร้ายแรงแค่ไหน แต่สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือการตั้งสติ
….จระเข้ตัวนั้นคือไอ้พี่วัน…
……..ที่ตัวใหญ่…ขนาดนั้น…….. ไม่สิ..ผมควรจะตั้งสติใช่มั้ย แล้วจะนึกถึงอ้อมแขนที่เคยกอดผมไปทำไม จะนึกถึงร่างกายของเขาที่เคยขึ้นเคล้าเคลียไปทำไม
ไม่ว่าจะในร่างมนุษย์หรือในร่างจระเข้ก็เป็นไอ้พี่วันทั้งนั้น…เพราะงั้นเลิกคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องได้แล้ว!
ผมมองออกไป แปลกใจที่ตัวเองสามารถแยกแยะระหว่างพี่วันกับท่านอาพันวังได้ถูก พวกเขารับสู้กันอย่างรวดเร็วในน้ำ..มีเพียงบางส่วนของผิวหนังเท่านั้นที่จะผลุบโผล่ขึ้นมาเป็นระยะๆ และสารภาพตรงนี้ว่าผมเพิ่งเคยเห็นการต่อสู้ของจระเข้ในระยะใกล้ขนาดนี้เป็นครั้งแรก…
สิ่งที่แทรกขึ้นมาตอนที่ผมตัดสินใจยันตัวลุกขึ้นนั้นคือ ‘ความหวาดกลัว’
แต่ไม่ใช่เพราะความมหึมานั่น…แต่แค่ผมกลัว….
……ถ้าพี่วันฆ่าท่านอาพันวังไปล่ะก็…คนที่จะเสียใจไม่ใช่ใครเลยนอกจากตัวเขาเอง… “ไอ้พี่วัน!” ผมตะโกน ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าเขาคงไม่ได้ยิน
“ไอ้พี่วัน! หยุดก่อน! พี่วัน!!” สายฝนที่พรั่งพรูลงมาก็ดูเหมือนจะไม่เป็นใจเสียเหลือเกิน ทั้งๆที่สะพานไม้ที่ผมยืนอยู่โคลงเคลงขนาดนี้แต่กลับไม่เห็นมี ‘คนธรรมดา’ คนอื่นๆให้ความสนใจเลยสักนิด
พวกเขาทั้งคู่ดูไม่เหมือนจระเข้ที่จงใจจะฆ่าแกงกันแบบเงียบๆหรือปิดบัง แม้ว่าเกือบทั้งหมดจะไม่โผล่ให้เห็นอย่างชัดเจนนักแต่ก็ไม่ยากเกินกว่าจะคาดการณ์ เพียงแค่อดคิดไม่ได้ว่า…จริงๆแล้วมนุษย์ธรรมดาแค่ไม่เคยสังเกตเรื่องแบบนี้เลย…
..เมฆหมอกบังตา..
..ปรากฏการณ์ที่ไม่มีใครคิดว่าจะเกิด…จึงไม่มีใครให้ความสนใจ.. “พี่วัน!!” ผมตะโกนเรียกอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาว่ายห่างออกไปจากจุดที่ผมอยู่มากนัก
“พี่วัน!! อย่านะ!! ห้ามฆ่านะ!! สงบสติหน่อยสิ!! ไอ้พี่วัน!!” แหกปากแข่งกับเสียงฝนจนเจ็บคอ และอาจเพราะไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหนมันก็ไม่เห็นผลกระมังทำให้น้ำตาซึมออกมาจางๆ
“ใจเย็นๆกันหน่อยได้มั้ย..ได้โปรดเถอะ!!” โครม!! อีกครั้งที่จระเข้ผู้ชราภาพกว่าถูกซัดกระเด็นมาใกล้บริเวณที่ผมอยู่จนเซล้มลง ผมกอดราวจับไว้แน่นจนปวดแขน..แรงคลื่นซัดประหนึ่งแผ่นดินไหวจนสะท้าน
‘...พี่หันหลังให้จระเข้ด้วยกัน…ไม่ได้…’ ก่อนหน้านี้คำนั้นเคยทำให้ผมเจ็บปวดมากแค่ไหน จนวันนี้คำนั้นกลับทำให้ผมเจ็บปวดมากกว่านั้น
…..พี่วันที่ถูกท่านอาพันวังหันหลังให้แบบนั้น…จะเจ็บปวดมากแค่ไหน การต่อสู้ที่เหมือนยำอยู่ฝ่ายเดียวนี่มันอะไรกัน..ทั้งพละกำลังความใหญ่โต ความปราดเปรียวความว่องไว และเรี่ยวแรงที่มากกว่าอย่างเห็นได้ชัดขนาดนั้นไม่ว่าใครก็ต้องคิดว่าเป็นมวยคนละยก หากอีกฝ่ายกลับไม่ย่อท้อและไม่คิดจะว่ายหนีด้วยซ้ำ ท่านอาพันวังยังคงหยัดยืนเพื่อโรมรันกับ ‘จ้าว’ ที่เป็นหลานของตัวเอง
…ราวกับว่าต้องการสู้จนกว่าตัวจะตาย… ใจผมเต้นแรงยามที่มองออกไป..ถึงได้รู้ว่าตัวเองตัวเล็กกระจิดแค่ไหนที่..แม้แต่จะห้ามให้ใครฆ่ากันก็ยังทำไม่ได้เลย
…ก่อนสิ่งที่ไม่คาดคิดที่สุดก็เกิดขึ้น ภายใต้หมอกทะมึนที่ปกคลุม ดวงตาสีอำพันคู่หนึ่งจ้องเขม็งตรงมาที่ผม
…และ…นั่นไม่ใช่ดวงตาของพี่วัน ผมสะดุ้งจนแทบขาดใจราวมีใครบีบคอผมเอาไว้ เผลอถอยจนหลังชนชนักกำแพงอีกฟากหนึ่ง
จระเข้ตัวนั้นแหวกว่ายเข้ามาด้วยความเร็วเพียงชั่วกระพริบตา และถึงแม้ว่าจะตัวเล็กกว่าพี่วันมาก…ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านอาพันวังเป็นจระเข้ที่ตัวเล็กอะไรเลย ดวงตาคู่นั้นจ้องเขม็งราวสะกด ก่อนจะตวัดหางใหญ่ฟาด….
พลั่กกก!!!! “ว….!!!!” พื้นที่เหยียบยืนอยู่โคลงลงจนล่ม
ผมอ้าปากแต่กลับไม่มีเสียงร้องอะไรออกมาสักนิด สองมือกอดราวไม้เก่าที่ร่วงลงมาพร้อมกันไว้แน่น สะพานไม้โคลงลงอย่างเชื่องช้า…ช้ามากพอที่ความกลัวจะวิ่งเข้ามาเกาะกุมหัวใจแทนที่ความตื่นตระหนกอย่างที่ควรจะเป็น
…เมื่อสบกับดวงตาน่ากลัวคู่นั้น
…ผมก็เหมือนคนที่ตายไปแล้ว พยับปากยาวอ้าขึ้นกว้างเผยฟันซี่ใหญ่เท่าหัวแม่โป้งครบทุกซี่มุ่งตรงมา มันเป็นความเร็วที่ผมไม่มีเวลาแม้แต่จะหลับตาปิ๋ ไม่มีเวลาแม้แต่จะหยิบอะไรมาป้องกันตัวเองที่กำลังจมลงในน้ำแบบนี้
…เป้าหมายไม่ใช่ใครนอกจากตัวผมเอง “….พี่วันนนน...!!!” ผมร้องลั่น..ดังแบบที่ไม่เคยตะโกนแบบนี้ที่ไหนมาก่อนในชีวิต
โครม!! อีกครั้งหนึ่งที่เหมือนมีอะไรฟาดลงมาแบบไม่ทันให้ตั้งตัว ผมหลับตาลงทันที รู้สึกถึงตัวเองที่กำลังจมดิ่งลงในน้ำด้วยคลื่นหนักจากแรงฟาดเมื่อครู่ และเมื่อสัมผัสได้ว่านอกเหนือจากนั้นแล้วไม่ได้ถูกฝังคมเขี้ยวอย่างที่คาดการณ์ตอนแรกถึงได้สติ
ผมตะเกียกตะกายขึ้น รู้สึกสำลักน้ำจนแทบไม่มีอากาศหายใจ และไม่นานศีรษะก็โผล่พ้นน้ำอีกครั้ง…จึงรีบเกาะแผ่นไม้แผ่นหนึ่งเอาไว้แน่น และใช้เวลาชั่ววูบนั้นตักตวงอากาศหายใจแทบเป็นแทบตาย
..เกิดอะไรขึ้น? คำถามกับคำตอบที่อยู่ตรงหน้าผม..
ด้วยระยะใกล้ที่เพียงเอื้อมมือสัมผัสแบบนี้ทำให้ผมใจเต้นแรง ผิวเกล็ดแข็งขรุขระสีเขียวเข้มชื้นน้ำอยู่ใกล้จนได้กลิ่นที่คุ้นเคย เงาร่างใหญ่โตพาดทอดลงมาจนพื้นที่รอบตัวผมเป็นสีดำมืด…แต่มันไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด…
ผมห้ามให้ตัวเองอ้าปากค้างไม่ได้ ห้ามให้ตัวเองหยุดหายใจไม่ได้ด้วย
“พี่วัน…?” กว่าที่จะเอ่ยชื่อเขาออกไปได้มันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน…
อีกฝ่ายไม่ได้หันมามองผม…แต่แค่เขารู้ว่าผมอยู่ตรงนี้แค่นั้นก็เกินพอแล้ว
พี่วันไม่ได้ขยับตัว..เขายืนอยู่ตรงนั้นราวกับต้องการจะบังผมเอาไว้ นั่นหมายถึง…….ท่านอาพันวังอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม
…แต่เดี๋ยวก่อน…เมื่อกี้เค้าตั้งใจจะ ‘กิน’ ผมเหรอ? เมื่อนึกถึงคมเขี้ยวขนาดใหญ่ถี่ยิบเช่นนั้นมันก็ทำให้ผมขนลุกซู่ขึ้นมาทันที เคยได้ยินมาว่าแรงกัดของจระเข้ติดอันดับสัตว์ที่กัดได้รุนแรงที่สุด…และนอกเหนือจากนั้น…พอมาอยู่ในสถานการณ์ ‘เกือบตาย’ เช่นนี้ก็ทำเอาหัวใจแทบวาย
..บ้าเอ้ย! โง่จังเหวยไอ้เกรียงไกร!
..พี่วันก็บอกมึงอยู่แล้วว่าให้ไปไกลๆ นี่มึงจะกลับมาพันแข้งพันขาพี่เค้าอีกทำซากอ้อยอะไร ไร้ประโยชน์เสียจริง!!
จังหวะนั้นผมรีบตะเกียกตะกายถอยหลังจนชิดตลิ่ง รู้สึกขอบคุณที่ที่บ้านจับโยนลงคลองตั้งแต่เล็กถึงพอจะทานกระแสน้ำเชี่ยวนี้ไหว มองจากบนสะพาน..น้ำในแม่น้ำอาจจะดูรุนแรงเพราะลมฝนและสภาพการณ์ แต่พอลงมาอยู่ในน้ำถึงได้รู้ว่ามันแรงกว่าที่คิดเยอะ
ผมมองหาทางที่จะปีนขึ้นในระยะที่มั่นใจว่าตัวเองจะว่ายไปไหว สะพานอันที่เมื่อครู่ผมยังยืนอยู่นั้นพังครืนและไม่ได้อยู่ในสภาพน่าไว้ใจสักนิด กำแพงด้านหลังก็สูงลิ่วแข็งแกร่งจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฟากหนึ่งเป็นอะไร
…และนั่นหมายถึง…ผมไม่เห็นทางออก
ไม่นานร่างใหญ่ตัวใกล้ก็ขยับออกไป การต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายเริ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง..จระเข้ยักษ์สองตัวตรงเข้าปะทะกันสร้างคลื่นน้ำรุนแรงกระแทกผมจนแทบไปไหนไม่รอด และครั้งนี้ผมไม่มีกระจิตกระใจจะใส่ใจกับความรู้สึกของคนอื่นเท่าที่ควร
ผมมาเพื่อห้ามไอ้พี่วันไม่ให้ฆ่าท่านอาพันวัง
..แต่ถ้าท่านอาจะ ‘ฆ่า’ ผมแบบนั้น…ผมยังพูดคำเดิมได้อยู่หรือ? ผมคิดว่าตัวเองกำลังจะถูกมวลน้ำขนาดใหญ่ขยี้จนร่างกายแหลกเหลวไปเสียแล้ว แต่ในทางกลับกัน..ก็ไม่อาจละสายตาจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้ ผมหอบ ผมเหนื่อยอ่อน ที่นอกเหนือไปจากนั้นคือความขลาดกลัวที่อับจนหนทาง
..จะทำยังไง
..จะทำยังไง
..จะทำยังไง
..จะทำยังไง
..จะทำยังไง ….ผม…เกลียดความโง่ของตัวเองในชั่วเสี้ยววินาทีนั้นจริงๆ… “ว…อึก!!!” และในชั่ววินาทีที่สมาธิถูกกลืนกินด้วยความเขลา มือก็ลื่นหลุดจากแผ่นไม้ที่เกาะอยู่โดยไม่ทันระวังตัว จังหวะนั้นคลื่นเล็กๆจำนวนมากมายก็พุ่งตรงเข้ามาปะทะให้ผมกระแทกกับกำแพง ก่อนจะหมุนวนฉุดขาทั้งสองข้างของผมให้ดำดิ่งลงไปเบื้องล่างด้วยแรงที่ไม่อาจต้านทานได้
อาจเพราะเผลอกลืนน้ำลงไปเสียเฮือกใหญ่กระมังผมถึงได้สำลักจนแทบหมดแรง ไม่ว่าจะพยายามเงยหน้าขึ้นจากน้ำมากเท่าไหร่กลับตักตวงได้เพียงเสี้ยวหนึ่งของอากาศหายใจ ก่อนจะดำดิ่งลงไปอีก
ผมตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำนานสองนาน คิดถึงความตายที่กำลังรออยู่ที่ด้านล่างของแม่น้ำ คิดถึงเหตุผลว่าทำไมผมถึงมาจมดิ่งอยู่แบบนี้…!!
หนาวเย็น..จนจับขั้วหัวใจ
…มันคือความหวาดกลัวที่ไม่มีอะไรอื่นแอบแฝง เพียงชั่วอึดใจก่อนผมจะโผล่ขึ้นพ้นน้ำ..มันกลับเป็นเวลาที่นานเหลือเกินในห้วงความคิด และเมื่อมองไปรอบๆถึงได้รู้ตัวว่าถูกน้ำพัดมาห่างจากฝั่งไม่น้อย ผมกลัวจนตะเกียกตะกายไม่เป็นท่ากลับเข้าฝั่ง แต่แรงน้ำก็มากเกินกว่าที่พลังของผมเพียงลำพังจะต้านไหว
ผมคิดถึงที่บ้านที่ผมเคยคิดว่าน่ารำคาญ
ผมคิดถึงเพื่อนที่มหา’ลัยที่ได้เจอกันอยู่ทุกวี่วัน
ผมคิดถึงอาจารย์คงที่เคยเตือนผมไม่รู้จักกี่ครั้งว่าอย่ายุ่งกับเรื่องนี้
…ผมคิดถึง….ไอ้พี่วัน…..
……..บางที….อาจจะมากกว่าสิ่งอื่นเลยก็ได้ด้วยซ้ำ
“พี่วัน…พี่วันล่ะ?” ผมหันมองไปรอบๆ และตอนนั้นเองถึงเพิ่งรู้ตัวว่าคลื่นลมที่โหมกระหน่ำเมื่อครู่สงบลงแล้ว ถึงเพิ่งเห็นแสงแดดอ่อนๆลอดเข้ามาระหว่างช่องว่างของก้อนเมฆครึ้ม หยาดฝนที่ตกกระทบหน้าเป็นเพียงเม็ดบางๆ ได้ยินเสียงของรถราจางๆจากบนสะพานข้ามแม่น้ำ
…ราวกับว่า…เวลาปกติได้กลับมาเดินอีกครั้งหนึ่ง…. เมื่อความมึนงงกระแทกสมองเข้าอย่างจัง ไม่มีอะไรที่ผมทำได้ในจังหวะนั้นนอกจากการกระพริบตา ความเหนื่อยล้าทำให้สมองทำงานช้ากว่าปกติ
“พี่วัน? พี่วัน…พี่อยู่ไหน?” …อีกหนึ่งที่ลอยขึ้นมาบนผิวน้ำคือสีแดงคล้ำ
…กลับกลิ่นคาวเลือดจางๆคุ้งไปทั่วท้องน้ำ
……โดยไม่มีแม้แต่เงาร่างจระเข้ตัวใดตัวหนึ่ง…หลงเหลืออยู่เลย+++++++++++++++++++
…เหมือนมีอะไรบางอย่างขาดหายไป
มันคือ ‘โพรง’ ที่เกิดขึ้นภายในโดยที่ผมเองก็ยังไม่รู้ที่มา ผมลืมตาขึ้นอีกครั้งด้วยความรู้สึกเมื่อยล้าไปทั้งร่าง ไฟนีออนดวงเบ้อเร้อบนเพดานสีขาวทำให้ผมต้องปิดเปลือกตาอีกครั้ง และใช้เวลาไม่นานที่จะทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม และ..ที่นี่เป็นที่ไหน
จริงๆไม่ต้องถาม มันคือโรงพยาบาลอย่างไม่ต้องสงสัย
..และทำไมในนิยายแม่งชอบเขียนทำนองว่า
ฉันอยู่ที่ไหน? ฉันเป็นใคร? มันเกิดอะไรขึ้นวะ? ทำนองนี้ด้วยนะครับ ในเมื่อเรื่องทั้งหมดเราก็รู้อยู่แล้ว..เพียงแค่ไม่มั่นใจว่ามันเป็นเรื่องจริงรึเปล่าเท่านั้นเอง
ผมขยับตัว แข้งขาอ่อนล้าศีรษะปวดมวนไปหมด เลยทำแค่กระดิกนิ้วมือไปมาให้รู้ว่าตัวเองยังไม่ตาย..ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ การว่ายในน้ำที่เชี่ยวกรากขนาดนั้นถือเป็นปาฏิหาริย์มากที่ยังมีลมหายใจ และผมนึกขอบคุณตัวเองที่ประคองสติว่ายกลับมาเกาะฝั่งได้(แม้ส่วนหนึ่งเพราะถูกน้ำพัดด้วยก็เถอะ)
จากนั้นถึงค่อยได้ยินเสียงใครบางคนเข้ามายืนใกล้ๆ
“ไกร ไกร ได้ยินพ่อรึเปล่าลูก?” พ่อนั่นเอง..คนที่แม้ผมมักจะบอกว่ารำคาญเสมอๆแต่ช่วงเวลานี้ผมกลับอุ่นใจที่สุดที่พ่ออยู่ตรงนี้ และนั่นเป็นเหตุผลที่ดึงผมกลับลงมาสู่โลกแห่งความจริงได้..
..โลกที่..ไม่มีจระเข้.. ผมพยักหน้าทั้งยังไม่ลืมตา “…ได้ยินครับ”
“จำพ่อได้มั้ย? เกิดอะไรขึ้นบ้างจำได้รึเปล่า?”
“จำ….” ผ้าพันแผลที่ศีรษะเป็นคำตอบได้ดีว่าทำไมพ่อถึงถามแบบนั้น เพราะความตระหนกในตอนนั้นทำให้ผมไม่ทันรู้สึกตัวว่ามีท่อนซัดมากระแทกหัวผมตอนที่อยู่ในน้ำ..และให้ตาย..เจ็บใช่เล่นแหะ นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมหมดสติกระมัง “…จำได้ครับ”
“แล้วไปว่ายเล่นอะไรในน้ำน่ะหึ?” เสียงของอาทำให้ผมเบิกตาโพลง “…อาหมอกก็มาด้วยเหรอครับ!?”
อีกฝ่ายเลิกคิ้ว “แล้วทำไมอาจะมาไม่ได้ล่ะ?”
“อย่าเพิ่งตื่นเต้นไปสิ ไกรเข้าโรง’บาลนะไม่ใช่โรงแรม พ่อกับอาก็ต้องมาดูอยู่แล้ว” พ่อผมบอก จับผมให้นอนลงเหมือนเดิม “เดี๋ยวพ่อไปตามหมอมาดูไกรก่อนนะ”
“อ…ฮะ”
พ่อเดินออกจากห้องไป แล้วอาหมอกก็หันมาถามผม
“หิวมั้ย?”
ผมยกมือลูบท้องตัวเองอย่างลืมตัว “ไกรหลับไปกี่วันอ่ะฮะ?”
“คืนเดียวเท่านั้นแหละเด็กบ้า ทำไม..คิดว่าคนหมดสติต้องหายไปหลายๆวันทุกคนเลยเหรอ? ไม่ใช่ละครนะ” อาหมอกขี้เล่นเหมือนเคย เขามักจะหัวเราะด้วยรอยยิ้มที่ทำให้ผมโล่งอกทุกที “เห็นเพื่อนเราบอกว่าวันนี้มีสอบ แต่จะแจ้งที่มหา’ลัยให้ ยังไงก็คงมีปัญหานิดหน่อยนะ”
“เพื่อน!?” ผมตกใจจนต้องอ้าปาก ไม่ใช่ทุกคนที่ผมอยากให้รู้เรื่อง..ที่บ้าน..มากสักเท่าไหร่ “เพื่อนไหนครับ? โป๊ยเหรอ?”
“……โป๊ย?” แกทวน “อ้อ ที่เคยเล่าให้ฟังบ่อยๆใช่มั้ย? ไม่ใช่หรอก…เป็นผู้หญิงน่ะ”
“….ผู้หญิง?”
“ท่าทางเรียบร้อย หน้าตาน่ารักเชียว..เอ้อ อาซื้อขนมชั้นมาฝาก จะกินรองท้องก่อนมั้ย?” ร่างสูงเดินไปที่ถุงขนมที่ข้างเตียงผู้ป่วน และรื้อๆจัดๆอะไรอยู่สักพักหนึ่ง “เห็นว่าเป็นคนเจอเราเกาะอยู่ตรงโป๊ะท่าเรือแน่ะ พอที่โรงพยาบาลโทรมาล่ะครูใจหายแย่”
“อ้อ…”
“แล้วไปทำอะไร ว่ายน้ำเล่นเหรอ? วันหลังลงแค่คลองหน้าบ้านก็พอนะ”
“ไม่ใช่..ไม่ใช่สัก…” ผมอยากจะเถียง แต่ไม่รู้จะพูดยังไง
“…..ไกร…แค่พลัดตกลงมา…” อาหมอกเลิกคิ้ว แต่แกไม่ใช่คนชอบเซ้าซี้ “คราวหลังก็ระวังหน่อยนะ”
“ครับ..”
“แล้วนี่จะกินขนมชั้นมั้ย?”
“อาหมอกครับ..”
“หืม?”
“เพื่อนผู้หญิงคนนั้น…ชื่ออะไรเหรอครับ?” แกเงียบไปครู่ใหญ่ “เอ…ชื่ออะไรน๊า…คุ้นๆเหมือนติดอยู่ที่ปากเนี่ยแหละ”
ผมเงียบไป..มันเป็นความเงียบที่ทำให้ตัวเองนึกกลัวขึ้นมา
…กลัว..ยิ่งกว่าตอนที่ตัวเองจมอยู่ในน้ำเสียอีก “แก้ว?” “อ้อใช่ๆ ชื่อแก้ว” อาพยักหน้า
“ไว้เจอกันก็ขอบคุณด้วยล่ะ ช่วยชีวิตไว้เลยนะนั่นน่ะ”TBC======================