‘เขาเป็นใครเราเป็นใคร..ใช่ครองคู่’
เรามิรู้ผู้ใดใคร่ใช่ตัวฉัน
เรามิเห็นแม้นตาจับจ้องกัน
เราเท่านั้นรู้เพียงมั่นลั่นหัวใจ
‘เขาเป็นใครเราเป็นใคร..ใช่ครองรัก’
แม้นนึกพักก็มิอาจห้ามปรามไหว
รู้ว่าผิดรู้ว่าแย่รู้กว่าใคร
หวังเอาไว้เขาเป็นใคร…ใช่ศัตรู
-๑๐-
ผมไม่ได้ตอบไปหรอกครับ อย่าตกใจไป สาเหตุน่ะหรือ? ประการแรกก็คือ..ผมค่อนข้างมั่นใจว่ากระดาษคำตอบใบนั้นไม่ศูนย์แน่ๆ ถึงแม้จะเขียนน้อยแต่พออ่านดูดีๆแล้วก็สรุป(แบบรวบรัดชิบหาย)ไว้แล้วครับ สาเหตุ
ประการที่สอง..ถึงจะพลาดตรงนี้แต่ปลายภาคก็ทำใหม่ได้ครับ และอย่างว่า..ผมค่อนข้างถนัดวิชาดังกล่าว ปกติก็ได้Aเสมอดังนั้นไม่กลัวว่าจะติดFเท่าไหร่ สาเหตุ
ประการที่สาม..ผมไร้ซึ่งทักษะในการเขียนแผนที่โดยสิ้นเชิง ไม่มีทางจรดปากกาบอกอาจารย์คงให้รู้เรื่องได้แน่ๆ สาเหตุ
ประการที่สี่…ผมคิดว่าเรื่องนี้มันเป็นความลับระหว่างเรา..ซึ่ง…ถึงคำว่า
‘ระหว่างเรา’ มันจะไม่มีความหมายแล้วก็ตาม…แต่ความลับก็คือความลับครับ
และสาเหตุที่สำคัญที่สุด ที่เป็นปัจจัยหลักที่ผมปฏิเสธอาจารย์คงมาก็คือ….
…..จะอะไรซะอีก….
……..อย่างผมเนี่ยนะ….จะไปจำทางเข้าบ้านมันได้? เออ หยุดหัวเราะ แล้วฟังสิ่งที่ผมจะทำให้ดีได้แล้วครับ
เพราะว่าคำถามที่ถูกถามราวจะบดขยี้ผมเมื่อวานมันช่างน่าสงสัยนัก..สงสัยจนผมอดสงสัยไม่ได้ ครับใช่ งงกับประโยคเมื่อครู่กันใช่มั้ย? ผมแค่อยากจะแทนมันว่าผมงงชิบหายเลยน่ะครับ
..อาจารย์คงจะอยากรู้เรื่องบ้านพี่วันไปทำซากอ้อยอะไร? ถามตัวเองจะได้อะไรครับ ถามอาจารย์คงก็ไม่ได้แน่ๆ และถ้าถามไอ้พี่วัน…บอกเลยว่าถึงได้คำตอบแต่ผมก็ไม่หน้าด้านไปถามครับ ไม่แน่ๆ…ถ้าคุณไม่เคย ‘อกหัก’ คุณอาจไม่เข้าใจ ถึงกรณีของผมจะไม่สามารถเรียกแบบนั้นได้เต็มปากแต่มันก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก…สิ่งเดียวที่เราทำได้คือ ‘การตัดใจ’
คำรักของเขาทำให้ผมนอนไม่หลับ
และคำตอบของเขายิ่งทำให้ผมห่อเหี่ยวหนักกว่า ‘…ถ้ามึงชอบเค้าจริงๆ มึงทนไม่ได้หรอกที่จะเห็นเค้ามีคนอื่น...’ คำพูดของไอ้โป๊ยวิ่งเข้ามากระแทกอกผมอีกครั้งหนึ่ง
‘...ไอ้ความรักที่ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนถึงจะเรียกว่า ‘รักแท้’ น่ะ..มันงี่เง่าสิ้นดี รู้ป่ะ? สุดท้ายมันก็เจ็บที่เห็นเค้ามีใคร สุดท้ายมันก็ทนไม่ได้หรอก และสุดท้าย..แม้แต่หน้าเค้ามึงก็ยังไม่อยากเห็นด้วยซ้ำ...’ ….
เดี๋ยวนะโป๊ย กูว่ามีบางอย่างในคำพูดมึงที่ผิดๆอยู่อ่ะ
…เพราะกูว่า…กูยังอยากเห็นหน้าแม่งอยู่ ………อนาถกว่าเดิมอีกครับ แต่วันนี้ผมไม่ได้จะเครียดเรื่องเขาครับ ไม่เด็ดขาด..ผมต้องลบเขาออกจากสมอง แม้จะแอบคิดถึงคำพูดเมื่อวานของเขาทุกสิบวินาทีก็ตาม…และแม้ว่าผมกำลังพยามยามรื้อฟื้นความจำแล้วเดินทางไปบ้านเขาก็ตาม
..ไปทำไมน่ะรึ? เพราะลางสังหรณ์ของผมมันบอกว่า..
เรื่องนี้มันมีกลิ่นแปลกๆ… ผมต้องบอกเขาว่าอาจารย์คงพูดเรื่องอะไร ต้องบอกว่าอาจารย์ถามผมเรื่องอะไร..ก่อนที่เรื่องราวจะแย่ไปกว่านี้ ผมชักกลัวอาจารย์คง..กลัวแทนพวกจระเข้ทั้งหมดในบ้านนั้น(ถึงผมจะรู้จักแค่2-3ตัวก็เหอะ…)
โทรศัพท์หรือ?
ไม่ล่ะ..ไม่อยากได้ยินเสียงด้วยซ้ำ ไลน์?
ไม่เอา..ผมว่าการโต้ตอบมันไวเกินไปหน่อย ผมยังไม่พร้อม จดหมาย? ใช่ครับ..ทางเลือกที่ถูกกับจดหมายน้อยๆฉบับนี้ที่อยู่ในมือผมนี่!
และนั่นแหละคือปัญหา
..ผมไม่รู้บ้านเลขที่มัน.. เพราะงั้นมันคงจะดีกว่าถ้าผมหาบ้านเขาให้เจอ แล้วไปหย่อนไว้เงียบๆที่ตู้จดหมาย เขียนจ่าหน้าถึงนายทิวัน จากบุคคลนิรนาม(และสาบานได้เลยว่าเขาต้องไม่รู้แน่ๆว่าใคร…) ภายในมีเนื้อหาที่ควรระบุไว้อย่างครบถ้วนและ..ออกจะเป็นพิธีรีตรองมากเกินไปหน่อย ถึงกระนั้นผมก็จะส่งครับ
ไม่ได้อยากจะเห็นหน้าเลยสักกะติ๊ดดดด …จริงๆนะ! ใครมันจะอยากไปเห็นหน้าคนที่เพิ่งสลัดรักตัวเองมากันล่ะ? บ้าชิบ! ผมสวมหมวกคลุมฮู้ดใส่แว่นกันแดดปิดบังหน้าตามาเรียบร้อยครับ ไม่ต้องห่วงว่าจระเข้แถวนี้ตัวไหนจะจำผมได้หรอก…ถึงจะประหลาดนิดหน่อยเพราะเวลานี้ไม่มีแดด แถมฟ้าครึ้มคล้ายฝนจะตกอีก เอาน่า อย่าได้แคร์
ว่าแล้วก็สาวเท้าดุ่มๆข้ามถนนใหญ่ที่ผมจำได้ครับ ต่อจากนี้แหละที่อยาก..ตรอกซอกซอยไหนห่าเหวอะไรวะ...ครั้นจะเดินไปถามคนแถวนี้ว่ารู้จักบ้านจระเข้มั้ยก็เห็นจะใช่เรื่อง ดังนั้นต้องอาศัยความคุ้นตาเอาละ!!
สิ่งเดียวที่ผมจำได้แน่ๆคือละแวกนั้นเป็นบ้านร้างที่ไม่มีคนอยู่เลย ไม่มีใครเลย..และเท่าที่ผมเดินมาทั้งหมดนี่คนแอบจะพลุกพล่านทีเดียวครับ เป็นย่านร้านค้าติดถนนใหญ่…ไม่มีซอยไหนสักซอยที่เปลี่ยวร้างแบบที่ผมเจอ แต่พอมาคิดๆถึงเรื่องเวลากลางวันกลางคืน กับความลึกที่ผมต้องเดินเข้าไปแล้วก็พอจะเข้าใจอยู่
ต่อให้แปลงร่างเป็นโคนันตอนนี้ ก็หาเบาะแสไม่ได้หรอกครับ…
...กูทำบ้าอะไรอยู่!! “เอาไรจ๊ะหนู”
“โค้กใส่ถุงฮะ”
“จ้า”
หลังจากสั่งน้ำดื่มมาดับกระหายเสร็จสรรพผมก็ทิ้งตัวลงที่เก้าอี้พลาสติกหน้าร้าน จ้องมองไปรอบๆหวังจะเจอสักที่พึ่งที่ผมพอจะได้เค้าลาง
ว่าแล้วกลิ่นหมูตุ๋นร้านข้างๆก็ลอยมาแตะจมูกครับ ประหนึ่งจะบอกให้ผมแวะพักตรงนี้สิจ๊ะก็มิปาน
“นี่จ้ะ”
“อ๊ะ เท่าไหร่ครับป้า?”
“15บาทลูก”
ผมรับถุงโค้กมาถือดูด นี่คือนวัตกรรมอัจฉริยะที่ไทยแลนด์โอนลี่ครับ มันสดชื่นและดับกระหายได้ดีกว่าดื่มจากขวดแบบในโฆษณาเป็นไหนๆ น่าจะมีบรรจุภัณฑ์แบบนี้ขายบ้างนะ..
“เอ้อป้าครับ” ผมทักในที่สุด “…แถวนี้…มีบ้านไทยบ้างป่ะครับ?”
ป้าขายน้ำกระพริบตาปริบๆ “เอ บ้านไทยเหรอจ๊ะ?”
“ครับ หลังใหญ่ๆ”
“ป้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันนะ” เธอตอบ “ป้าไม่เคยเดินเข้าซอยเลยลูก…อาจจะมีก็ได้นะ ข้างในๆน่ะ”
“ขอบคุณครับป้า”
“จ้า แล้วหนูมาหาบ้านไทยแถวนี้หรือ?”
ผมหัวเราะ “ทำรายงานอ่ะฮะ นี่ก็หลงทางอยู่เหมือนกัน”
แกทำท่าเหมือนจะตะโกนถามร้านข้างเคียงให้ครับ ผมเลยปฏิเสธเป็นพัลวัน แล้วกราบขอบพระคุณไปหนึ่งทีเต็ม แกเลยให้ลูกอมโอเล่ย์มาเม็ดนึง…เอ่อ…เห็นผมกี่ขวบแล้วครับป้า…แต่ก็ดีครับ เติมน้ำตาลเข้ากระแสเลือดสักหน่อยก็ไม่เลว…….
“อ้าวหนูมาลา ว่าไงจ๊ะวันนี้เอาอะไรเอ่ย?” ผมหยุดเดินทันทีครับ
แล้วจึงกลับหลังหัน…เผชิญหน้ากับใครคนหนึ่งที่เขาไม่รู้จักผม
แต่ผมรู้จักเขาดี คนถูกเรียกหมุ่นคิ้ว “เลิกเรียกมาลาว่า ‘หนูมาลา’ เถอะฮะ ดูเด็กชะมัดเลย”
“ก็ไม่ยอมโตสักทีนี่นา ฮ่าๆๆ”
“มาลาโตแล้วนะ!!”
“เอ้า! งั้นเด็กตัวโตวันนี้อยากได้อะไรคะ?”
“ผัดซีอิ๊วสามห่อครับ ห่อนึงไม่ใส่ผัก”
“ไม่กินผักเดี๋ยวก็ไม่โตหรอกจ้ะ”
“อันนั้นไม่ใช่ของมาลา!! แค่ผักคะน้ามาลากันได้เหอะ!!”
อีกฝ่ายตัวเล็ก..ใช่ครับ มาถึงจุดนี้ถึงได้รู้ว่า ‘มาลา’ ที่ว่านั่นเป็นเด็กอายุไม่น่าเกิน13-14ปี ซึ่งยังไม่ถึงช่วงเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ของวัยหนุ่ม ทำให้เขาดูตัวเล็ก..และแขนผอมๆที่หิ้วของเต็มมือนั่นยิ่งทำให้อีกฝ่ายดูตัวเล็กเข้าไปอีก
ครั้งที่แล้วผมเห็นเขาแค่ผ่านๆครับ ครั้งนี้ในระยะไม่เกิน2เมตรแบบนี้ทำให้ผมอดคิดไม่ได้จริงๆว่า..
…หน้าตาน่ารัก… ตาโตคิ้วเข้มจมูกรั้นๆ จิ้มลิ้มน่ารักในแบบเด็กชาย..แต่สาบานได้เลยว่าถ้าโตขึ้นก็คงหล่อเหลาเอาการ และถึงตรงนี้ผมก็อยากหยิบกระจกขึ้นมาส่องเลยล่ะครับว่าจะเอาที่ไหนไปสู้ได้วะ!?
…เดี๋ยว หยุดเลยไอ้ไกร
…แกจะไม่สู้ เพราะแกบอกจะถอย ดังนั้นข้ามประเด็นนั้นไปก่อน………..
“มีอะไรรึเปล่าครับ?” ผมสะดุ้ง เมื่อเด็กมาลานั่นขมวดคิ้วมองผม
..เล่นเอาเปิดสกิลแถแทบไม่ทัน.. “เปล่าครับ เอ่อ..พอดีพี่แค่คุ้นหน้าน้องน่ะ”
“หน้าผม?”
..กูแค่พูดไปเรื่อยไม่ต้องถามต่อได้ป่ะวะ!!.. “เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนรึเปล่าครับ?”
อีกฝ่ายขมวดคิ้วจ้องเป๋ง “นี่จีบมาลาเหรอ?”
“เจ้ย เปล่า!”
“เสียใจนะ พี่ก็หน้าตาไม่เลวหรอกครับ แต่มาลาชอบเข้มๆมากกว่า”
..ชะงัก..
..ช่างเป็นคำปฏิเสธที่แบบ..เล่นหูเล่นตามากครับ.. ผมกำลังนึกย้อนไปว่าไอ้ลีลาคำพูดแบบนี้มันคลับคล้ายคลับคลาเหลือเกินครับ ที่จริงแล้วไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่กับไอ้พี่วันนั่น…
แล้วก็อดอุทานในใจไม่ได้นะครับว่า ‘ไอ้เข้เอ้ย...’ กับคำว่า ‘อย่างงี้นี่เอง…’
..จระเข้ก็คือจระเข้ครับ สำนึกในการเป็นมนุษย์เลยต่ำเตี้ยเรี่ยดินไปเสียหน่อย.. “ขอบคุณที่ชมนะ” ผมยิ้มเจื่อน “แต่พี่ไม่ได้จีบนะ…พี่แค่คุ้นหน้าเราเฉยๆ”
“ครับๆ ก็พูดกันอย่างนี้ทุกคนแหละ”
“น้องเป็นคนแถวนี้เหรอ?”
“ฮั่นแน่ จะหลอกถามบ้านมาลาน่ะสิ ไม่บอกซะให้ยากหรอก” แถมด้วยการแลบลิ้นตอบแบบหนุ่มน้อยขี้เล่นมาทีนึงครับ “พี่ชายเถอะ..ไม่คุ้นหน้าเลย มาเที่ยวเหรอ?”
ผมเลยแลบลิ้นกลับ
“ฮันแน่ จะหรอกถามทำความรู้จักกับพี่เหรอ? ไม่บอกซะให้ยากหรอก” “ว้อย! อย่ามายียวนนะ!”
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังส่องกระจกชอบกลครับ “ชื่อมาลาเหรอครับ?”
“ถามชื่อคนอื่น..บอกของตัวเองมาบ้างรึยังครับ?”
“พี่ชื่อ ก-………” ผมชะงัก แล้วเลื่อนคำ
“กายครับ ชื่อกาย” “ชื่อประหลาดจัง”
“ประหลาดตรงไหน..เรานั่นแหละ
มาลา ชื่อโบร๊านโบราณ”
“อะไรฟะ!! ชื่อนี่นายมาลาตั้งให้เลยนะ! อย่ามาดูถูกชื่อมาลานะ!”
ผมแกล้งทำเป็นขมวดคิ้ว “นาย..ของมาลาเหรอ?”
“เจ้านายไง แค่นี้ก็ไม่รู้เรื่อง..โง่ป่ะครับ?”
“บ๊ะ คนถามดีๆนะเนี่ย”
“แล้วมาลาตอบไม่ดีตรงไหน?” อีกฝ่ายทำหน้าเหรอหราส่ายไปส่ายมา “มาลาออกจะพูดเพราะ~”
“เออ เพราะก็เพราะครับ” ผมโคลงศีรษะ “มาลาเป็นเด็กแถวนี้เหรอ?”
“ม่ายบอก”
“ไอ้เด็กนี่…”
“ถ้าจะจีบมาลาน่ะไปเกิดใหม่สักสิบปีนะฮะ…มาลามีนายอยู่แล้ว ไม่มองใครหรอก แบร่ๆๆ”
ผมอ้าปากค้าง “พี่บอกว่าไม่ได้จีบไง!”
“มาลาก็แค่บอกว่าไม่ได้สนใจเฉยๆ ไม่ได้ว่าสักหน่อย”
มันเป็นจังหวะที่ผมอยากจะจับอีกฝ่ามาตีก้นมากๆครับ แต่เพราะผัดซีอิ๊วที่คนตรงหน้าสั่งไว้เสือกได้ซะก่อน มันก็เลยแยกยิ้มยิงฟันให้ผมแล้วหันไปจับจ่ายเงิน ก่อนจะเดินระริ่วหายไป แน่นอนครับว่าผมไม่รอช้า มองซ้ายมองขวาไม่เห็นว่ามีใครอยู่..ก็แอบสะกดรอยเดินตามไปทันที
เคราะห์ดีที่อีกฝ่ายค่อนข้างเป็นจุดเด่น ผิวขาวๆสะท้อนแสงได้นั่นมองหาได้ไม่ยากนัก..เขาแวะซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อครั้งหนึ่ง ซื้อชานมไข่มุกด้วย…แถมยังยืนมองการ์ตูนหน้าร้านหนังสือตาละห้อย…พอสังเกตไปสักพักผมเริ่มคิดว่านี่จะได้อะไรไหมหนอ ทำตัวเหมือนสตอล์คเกอร์โรคจิตแอบตามหนุ่มน้อยหน้าตาดีหลังจากคุยกันได้ไม่กี่ประโยคชอบกล…
…แล้วนี่จะใช่ ‘มาลา’ คนเดียวกันป่ะวะ…
…แต่แก่แดดแก่ลมขนาดนี้คงมีไม่กี่คนล่ะมั้ง… ในที่สุดผมก็มาถึงปากทางเข้าที่เริ่มคุ้นตาบ้างแล้วครับ..
..หลังจากจุดนี้เป็นจุดที่ยากแล้วล่ะ เพราะยิ่งเดินเข้าซอยลึกมากเท่าไหร่คนก็เริ่มน้อยลงเรื่อยๆ..จนในที่สุดก็ไม่มีใครเลยนอกจากผมกับเด็กมาลา(ที่กำลังกระโดดโหยงเหยงไม่สนใจจะมองข้างหลัง…จะว่าไปมันก็ดีแล้วล่ะ) แต่เพราะผมเริ่มกังวล..กลัวไอ้เด็กมาลาจะจำได้ เลยถอดเสื้อนอกที่เป็นฮู้ดออกเก็บใส่กระเป๋า เลิกใส่แว่นกันแดด แล้วก็ทำทีเหมือนเด็กวัยรุ่นมาเที่ยวบ้านเพื่อนแบบเนียนๆครับ แหม..แดดร้อนใช่เล่นฮะประเทศไทย อีกฝ่ายก็ยังกล้าใส่เสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นอีกหนอ…เสียดายผิวขาวๆชะมัด
ผมเอาแต่ตามเขาจนลืมจำทางเดิมไปเสียชิบ…เพราะฉะนั้นอย่าให้เดินกลับออกไปเองเลยครับ ผมคงนอนแห้งตายกลางแดดแบบนี้แน่ๆ…โชคดีที่โค้กถุงยังเหลืออยู่ ไม่งั้นตาย กระหายจนตาย
สิ่งที่ทำให้ผมหยุดเดิน ก็คือกำแพงรั้วบ้านที่มีอยู่เสี้ยวหนึ่งในความทรงจำครับ
และเมื่อผมเริ่มจะจำได้บ้างแล้ว ผมก็หยุด และเลิกที่จะเดินตามเด็กมาลาเพื่อแอบมองเข้าไประหว่างร่องไม้กำแพงบ้าน….
…บ้านเรือนไทยหลังนั้น…ในมุมมองที่แตกต่างจากเดิม… ผมกำลังใช้สมองอย่างหนัก กำลังพิจารณาว่าแต่ละส่วนเสี้ยวพวกนั้นมันเป็นเรือนหลังที่ผมเคยมาจริงรึเปล่า? แต่ก็ยากอยู่ครับ ตอนนี้มันเวลากลางวัน…แตกต่างจากตอนกลางคืนอย่างเห็นได้ชัด และขอบอกเลยว่าความกว้างของขอบเขตพื้นที่มันบอกผมว่าเราไม่อาจรู้ได้เลยว่ากำลังส่องเข้าไปตำแหน่งไหน!!
ผมยังคงใช้สายตามองเข้าไประหว่างที่ค่อยๆเดินไปด้านข้างอย่างช้าๆ หวังว่าจะมีสักบางจุดที่ผมพอจะจำได้..บ้าง…
นั่นครับ…นั่นคือบ่อน้ำ!! เย้! ในที่สุดผมก็หามันเจอ..เออ..จะว่าไปมันกว้างไปป่าววะบ่อน้ำอันนี้……………………………
และเมื่อผมเห็นอะไรบางอย่างที่ริมสระ…ผมก็ต้องยกมือปิดปาก
..กันไม่ให้เผลอปล่อยเสียงร้องอุทานด้วยความตกใจนั้นดังออกไป ผมเคยเห็นสิ่งมีชีวิตประเภทนี้หลายต่อหลายครั้งผ่านลูกกรง ผ่านหน้าจอทีวี ผ่านอินเตอร์เน็ต หรือผ่านอะไรก็ตามที่ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองปลอดภัย แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่…
พวกมันทั้งหลายอยู่ในระยะไม่ไกลเกินห้าเมตร บางตัวกำลังคืบคลานขึ้นมาจากสระน้ำขนาดใหญ่นั่น บางตัวก็อ้าปากระบายความร้อนแบบที่ผมเห็นพวกมันทำในสวนสัตว์ บางตัวอยู่เฉยๆคล้ายรูปปั้น บางตัวมีขนาดใหญ่กว่าตัวผมสามคนรวมกัน บางตัวก็เล็กจิ๋วเท่าต้นขา…แต่ไม่ได้ดูน่ารักเลยสักนิด
จระเข้จำนวนหนึ่งไม่ต่ำกว่าสิบตัว….รวมตัวกันอยู่ข้างสระน้ำนั่น
มันทำให้ผมระลึกได้อีกครั้งว่าจุดที่ผมกำลังยืนอยู่นี่คืออะไร…
…นี่คือ….รังจระเข้… ผมถอยหลังช้าๆ คิดว่าตัวเองกลัวเกินกว่าจะกล้าทำอะไรนอกจากการหนีไปให้เร็วที่สุด…
ปึก!