(ต่อ)
ผมได้ยินเสียงเพลงวันคริสต์มาสตั้งแต่ก่อนวันที่ 25 ธันวาคมจนติดหู ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพลงสากลที่ในไทยก็เปิดบ่อย ๆ แต่บรรยากาศบ้านเมืองแถบนี้ต่างกันลิบลับ พี่ธันพาผมไปเดินเล่นที่ทะเลสาบเจนีวา นั่งเรือชมเมืองตามด้วยเดินเตร่บนถนนGrand Rue บ้านเรือนที่ทำจากหินสองข้างทางประดับประดาด้วยแสงไฟและต้นสนขนาดต่างกัน หิมะลงหนักกว่าวันก่อนจนเห็นเป็นสีขาวโพลนบนหลังคากับตามต้นไม้ที่แขวนอยู่ด้านนอก ก่อนวนพาไปถ่ายรูปเล่นที่อนุสาวรีย์ Broken chair พี่ธันไม่ได้ตื่นเต้นเท่าไร อาจเป็นเพราะว่ามาบ่อยจนเคยชิน ยิ่งในช่วงเทศกาลผู้คนยิ่งแน่นหนาจนน่ารำคาญ แต่มันกลับทำให้เราสามารถจับมือกันเดินโดยไม่ผิดสังเกต กว่าจะกลับมาที่บ้านอีกครั้งเล่นเอาผมเกือบหมดพลัง แม่พี่ธันไล่ผมขึ้นมานอนชั้นบน ส่วนพี่ธันที่ไม่มีทีท่าว่าจะเพลียแม้แต่น้อยอาสาจะช่วยทำอาหารสำหรับงานเลี้ยงในคืนนี้
ผมทำกับข้าวไม่เป็น แต่กินเป็น กินเก่งด้วยจึงอาสาเป็นหน่วยเก็บกวาดอาหารในงานแทน ที่บ้านพี่ธันหัวเราะครืนก่อนไล่ผมขึ้นไปนอนอีกครั้ง กว่าจะหลับเต็มตื่น ผมก็เดินลงมาเห็นพี่กันย์กำลังปีนกล่องขึ้นไปประดับตุ๊กตาบนยอดต้นสนพอดี
“ให้ผมช่วยอะไรไหมครับ”
“น้องปอเอากล่องของขวัญมาแขวนตามไฟกับกิ่งไม้ที อยู่ในถุงหน้าทีวีอะค่ะ”
ผมหันไปหยิบมาช่วยตามเจ้าบ้านบอก พี่ธันเดินออกมาจากครัว เห็นผมเขย่งแขวนเครื่องประดับบนต้นไม้สดแล้วก็หัวเราะร่วน “กันย์ใช้แรงงานเด็ก ตัวก็เท่านี้ยังใช้งานยาก”
“แหม ก็กลัวน้องเบื่อ แล้วทำกับข้าวเสร็จแล้วเหรอ”
“เสร็จแล้ว” พี่ธันตอบ “มีนกำลังเตรียมพั้นช์ แม่ให้มาดูว่าแต่งต้นคริสต์มาสเสร็จหรือยัง”
“เสร็จแล้ว ๆ เดี๋ยวตามไป เอาปอไปด้วยเลยก็ได้ ขอติดเพิ่มอีกหน่อย”
พี่ธันกวักมือเรียก ผมเลยผละออกจากต้นคริสต์มาสของพี่กันย์ พี่ธันบอกว่าเรื่องแต่งต้นคริสต์มาสนี่ต้องยกให้พี่สาวคนรองคนเดียว เจ้าตัวชื่นชอบตั้งแต่เด็ก ใครจะไปยุ่งด้วยไม่ค่อยได้ เดี๋ยวไม่ถูกอกถูกใจเจ้แก คนอื่น ๆ เลยได้แต่ไปลงครัว เตรียมเกมเล่นกันหมด และทันทีที่เข้าไปเห็นห้องอาหารเท่านั้นผมก็รู้ทันทีว่า ‘จัดเต็ม’ เป็นยังไง อาหารไทยและเทศหน้าตาน่ารับประทานวางอยู่บนโต๊ะยาว มีจานชุดวางไว้แยกกัน เครื่องดื่มหลากชนิดไม่ใช่แค่จัดวางไว้เฉย ๆ แต่ต่างประดับด้วยอุปกรณ์ละลานตาโดยมีไก่งวงตัวใหญ่เป็นพระเอกของงาน พี่กันย์เดินเข้ามาคนสุดท้ายแต่บ่นหิวก่อนใครเพื่อน เป็นสัญญาณให้งานปาร์ตี้เล็ก ๆ สำหรับครอบครัวเริ่มต้นขึ้น
“ชอบไหมคะน้องปอ”
พี่แจนถาม ขณะที่ตักสปาเกตตี้เติมให้ ผมยังเคี้ยวหอยเชลอบเนยอยู่ในปากได้แต่พยักหน้า แฟนพี่แจนก็มา เป็นชาวอเมริกันที่ทำงานบริษัทเดียวกับพี่สาวคนโต
“ชอบก็มาอีกนะปีหน้า จอห์นก็อยู่ปาร์ตี้คริสต์มาสที่นี่ทุกปีเหมือนกัน แต่ปีใหม่ต้องกลับอเมริกาบ้านเขา”
ผมพยักหน้าอีกครั้งเป็นอันรับรู้ แฟนพี่แจนผมสีบลอนด์ทอง ตาสีฟ้าน้ำทะเล ถ้ามีลูกคงน่ารักน่าดู “พี่แจนแต่งงานนานหรือยังครับ”
“จะสิบปีแล้วจ้ะ” หญิงสาวตอบเสียงใส ขยิบตาให้ “ปีหน้ากันย์ก็จะแต่งงานเหมือนกัน ตอนนี้แฟนติดเกณฑ์ทหารอยู่ แต่งกับคนเกาหลี นั่นเจอกันในอินเตอร์เน็ต มหัศจรรย์เนอะ”
“พี่กันย์ไม่กลัวเหรอครับ” ผมเบิกตากว้างถามด้วยความตกใจ พี่สาวคนโตหัวเราะร่วน “ไม่รู้สิ แต่เขาก็รักกันดีนะ ส่วนมีนกับธันคงไม่ได้แต่ง หรือถ้าแต่งก็ไปในประเทศที่กฎหมายอนุมัติ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก”
พี่แจนยิ้มอบอุ่น เหลือบตามองพี่ธันที่ยกจานอาหารไปกินบนพื้นขณะเล่นเกมไพ่กับพ่อและพี่สาวคนรอง “ความรักมันยิ่งใหญ่กว่าที่เราจินตนาการไว้เยอะ มีรักอีกตั้งหลายแบบที่น้องปอยังไม่เคยเห็น”
“นั่นน่ะสิครับ” ผมตอบในลำคอ ม้วนเส้นสปาเก็ตตี้เข้าปาก พี่แจนหยิบทิชชู่ใกล้มือมาเช็ดมุมปากให้เมื่อผมวางช้อน “กินเลอะเทอะเป็นเด็ก ๆ เลยเรา แบบนี้เจ้าธันชอบใหญ่เลยสิ ตอนอยู่บ้านโดนข่มเพราะเป็นน้องคนเล็กตลอด ได้ทำตัวเป็นพี่ใหญ่ตอนอยู่กับปอคงถูกใจน่าดู”
“พี่ธันน่ะเหรอครับผู้ใหญ่” ผมทำหน้าแหยงนิด ๆ แต่พี่สาวหัวเราะร่วน “พี่ธันเอาแต่ใจจะตายไป แถมยังฉลาดแกมโกง ชอบเอาเปรียบผมด้วย”
“ก็นิสัยผู้ชายนั่นแหละปอ ชอบหยอกคนที่รัก จอห์นก็แกล้งพี่บ่อย บางทีก็โมโหจริง ๆ”
ผมเห็นด้วย แม้แต่ตัวเองก็ยังชอบแกล้งพี่ธันทุกทีที่มีโอกาสเหมือนกัน เพียงแต่โอกาสของพี่ธันมากกว่า จังหวะดีกว่าตลอด “แต่ก็รักนี่เนอะ...ปอเป็นไงบ้าง อยู่กับธันที่โน่นโอเคหรือเปล่า”
“ก็...ไม่ยังไงครับ เรื่อย ๆ”
“แม่กับพ่อคงไม่พูดเรื่องนี้ โต ๆ กันแล้ว มีแต่พี่นี่แหละที่ยังอดห่วงไม่ได้”
ผมพยักหน้า พี่แจนดูเป็นพี่สาวที่มีความเป็นผู้ใหญ่ที่สุดในบ้าน ออกแนวพี่สาวจอมจู้จี้กว่าทุกคนด้วยซ้ำ ซึ่งถ้าอยู่กับพี่ธันไม่บอกก็รู้ว่าคงเป็นไม้เบื่อไม้เมากันน่าดู “ที่นี่ธันมีบ้าน ธันมีงาน มีครอบครัว มีทุกอย่าง ตอนแรกพี่กับแม่ก็เข้าใจว่าคงไปอยู่ไทยแค่พอรักสนุกเลยปล่อยไป จนรู้ว่าเจ้าตัวเขาไปเจอครอบครัวใหม่ที่นั่นแล้วคงลงหลักปักฐานที่นั่นเลยก็ใจหาย”
หญิงสาวพูดทั้ง ๆ ที่ก้มหน้าลงมองจานที่ว่างเปล่าของตัวเอง รอยยิ้มแกน ๆ หลุดออกมาก่อนช้อนตาขึ้นมองผม ดวงตาสีเทาของพี่แจนเหมือนพี่ธัน เป็นดวงตาแบบเดียวที่บิดาให้มา “ปอรู้แล้วใช่ไหมว่าสำหรับธันแล้ว ปอเป็นครอบครัวของธัน ไม่ใช่พี่น้อง แต่มันลึกซึ้งกว่านั้น ธันพร้อมจะทิ้งทุกอย่างเพียงแค่จะได้อยู่กับปอที่นั่น”
หัวใจผมเต้นแรง เส้นเลือดสูบฉีดขึ้นมาบนพวงแก้มทั้งสองข้าง พยักหน้าลงอาย ๆ เพราะไม่คิดว่าพี่แจนจะมาพูดด้วยตรง ๆ แบบนี้ “ธันรักปอมากนะ พี่ฝากดูแลน้องชายพี่ด้วย เอาแต่ใจหน่อยก็ทน ๆ เอานะ คงไม่มากเท่าไรหรอก ธันโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
“ครับ” ผมรับคำในลำคอ “ผมก็รักพี่ธันเหมือนกัน”
“บอกมันบ้างก็ได้” พี่แจนยิ้มกรุ้มกริ่มไปในมุมที่มองเห็นภาพซ้อนของพี่ธันผุดขึ้นมา ใครจะไปกล้า ถ้าบอกตรง ๆ เดี๋ยวก็ทำหูตาระยับแพรวพราวใส่อีก “ธันชอบบ่นว่าปอไม่เคยบอกรักเลย”
“เคยนะครับ” ถึงจะอ้อม ๆ ก็เถอะ ตอนนั้นยังโดนจัดหนักอยู่เลย มาโมเมว่าไม่เคยได้ยังไง
“บอกบ่อย ๆ ก็ได้ มันไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี” ผมพยักหน้า ก้มจนคางชิดอก สักพักพี่ธันมองมาเห็นก็โวยวาย “แจนแกล้งอะไรปอ”
“ไม่ได้แกล้งสักหน่อย กำลังเล่าThe Legend of Mistletoe ให้น้องฟังต่างหาก”
“ครับ?” ผมถามขึ้นมาเพราะพี่แจนเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย พี่ธันลุกขึ้นจากวงไพ่ ถือแก้วพั้นช์สีส้มมาด้วยพี่แจนเลยพูดต่อ “สมัยก่อนคนยุโรปเชื่อว่า Mistletoe ช่วยรักษาโรคแล้วก็ป้องกันแม่มดน่ะ คนกรีกจะใช้ Mistletoe มาทำซุ้มงานแต่งเพราะถือว่าเป็นไม้มงคล ซุ้มที่ประดับด้วย Mistletoe จะทำให้คู่รักคบกันนาน”
พี่ธันยักคิ้ว กอดผมจากด้านหลัง “จูบกันไหมหมอ”
“ตลกครับ”
“เฮ้ย เห็นความเชื่อคนอื่นเป็นเรื่องตลกได้ไง” ชายหนุ่มบ่นชิดหู ก่อนไล่งับปลายผมของผมที่ระอยู่ข้างแก้มเบา ๆ “จูบกัน ๆ”
ไอ้พี่ธัน ไอ้หน้าด้าน คนก็อยู่กันเต็มบ้านขนาดนี้ “นั่นสิ ธันกับปอเพิ่งคบกันไม่ใช่เหรอ”
“หมอยังไม่ตกลงคบกับผมเลยมีน”
“งั้นนี่เลย เขาบอกว่าคนที่ไม่ได้เป็นแฟนกันถ้ายอมจูบใต้ช่อมิสโทเซิลน่ะจะถือว่าตกลงคบกันแหละ”
“ต่อหน้าคนอื่นเนี่ยนะครับ” ผมร้องเสียงหลง ส่ายหัวรัว ๆ “ไม่เอาหรอกครับ เขิน”
“คนอื่นที่ไหน ก็ครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น อ๊ะ กันย์ ที่ต้นคริสต์มาสมีมิสโทเซิลด้วยใช่ไหม”
“จริงด้วย” พี่กันย์นึกขึ้นได้อีกคนก่อนวิ่งออกไปจากโถง ผมหน้าแดงก่ำ วันนี้รู้สึกเลือดลมจะดีเกินปกติ “ผมไม่เล่นนะพี่ธัน”
“พี่ก็ไม่ได้เล่น นี่พูดจริงจัง”
ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ก่อนแม่จะยื้อจานสปาเก็ตตี้ผมกับแก้วพั้นช์ของพี่ธันไปถือ จอห์นลากเก้าอี้มาใกล้ พอพี่กันย์เดินกลับเข้ามาพร้อมช่อใบไม้สีเขียวขจีรูปวงกลม มีกระดิ่งสีทอง ผลกลม ๆ สีแดงและโบว์สีเดียวกันประดับอยู่ใต้ก้านสีน้ำตาลเข้มก็ปีนขึ้นเก้าอี้อย่างรู้งาน ผมเงยหน้าขึ้น ตอนนี้ช่อมิสโทเซิลอยู่เหนือศีรษะผมกับลูกชายคนเล็กของบ้านพอดี
พี่ธันไม่พูดอะไร มองผมนิ่ง ยกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างไว้เชิง ผมหลุบตาลง ร้อนรนทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายไม่ได้เร่งเร้า จู่ ๆ ผมก็รู้สึกคล้ายกับหัวใจเต้นแรงจนเจ็บอกไปหมด เป็นห้วงเวลาที่เสียงเพลงคริสต์มาสยังคงบรรเลงเคล้ากับเสียงจังหวะชีพจรหากแต่ริมฝีปากกลับนิ่งสนิท ไม่แม้แต่จะกล้าขยับตัวสักนิดให้เกิดเสียงเสียดสีของอะไรสักอย่างในเวลานี้
“จำได้ไหมเมื่อปีที่แล้วที่ปอถามพี่ว่าพี่เป็นเกย์หรือเปล่า แล้วพี่ถามปอกลับว่าปอรู้สึกยังไงกับพี่”
ผมพยักหน้า เรื่องแบบนั้นใครจะลืมลง “ครบหนึ่งปี พี่พร้อมจะตอบปอแล้วว่าพี่รู้สึกยังไง ปอพร้อมจะตอบพี่หรือยัง”
รู้สึกสั่นขึ้นมาแม้จะฟังมันนับครั้งไม่ถ้วน ผมไม่เคยรู้สึกว่าพี่ธันจะจริงจังแบบนี้มาก่อน เหมือนกับว่าอีกฝ่ายกำลังจะขอผมแต่งงานยังไงยังงั้น ผมไม่รู้ว่าจะตอบว่าอะไร ไม่สิ...ที่จริงก็รู้แต่ไม่กล้าตอบมากกว่า ท่ามกล่างสักขีพยาน ภายใต้แววตาหวานฉ่ำ ผมหลบสายตา รู้สึกประดักประเดิดจนไม่กล้าสู้หน้า
“พี่รักปอ”
คำพูดนั้นยิ่งทำให้ความร้อนแล่นริ้วทั่วร่างอย่างไม่รู้จักสิ้นสุด ถ้าเป็นกาต้มน้ำป่านนี้ผมคงร้องวู้ด วู้ดพ่นควันออกหู
ไม่รีรอคำตอบใด ๆ ผมก็รู้สึกถึงแรงกดบนริมฝีปาก อ่อนโยน ผะแผ่ว และหวานหอมยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ กลีบปากนุ่มบดเบียดเบา ๆ และอ้อยอิ่งคล้ายสัมผัสจากปุยนุ่น แต่กลับล้ำลึกจนรสของจูบติดที่ปลายลิ้น พี่ธันสอดมือผ่านแขนทั้งสองข้างที่ทิ้งตัวลงอย่างหมดแรง เคลื่อนมาโอบรอบสะโพกและดึงให้แนบชิด ส่วนผมก็ค่อย ๆ เคลื่อนมือขึ้นเชื่องช้า เกาะบ่ากว้างก่อนยืดแขนไปโอบรอบคออย่างเป็นธรรมชาติ เอียงคอเพื่อรสสัมผัสที่ชิดขึ้น ตอบสนองริมฝีปากด้วยริมฝีปากแทนคำตอบที่พี่ธันกำลังถามว่าผมคิดยังไง
“ผมก็รักพี่ธัน”
นั่นคือสิ่งที่ผมเอ่ยแม้จะยังหลับตา มือหนาสางเข้ากลุ่มผมทางด้านหลังผม กดจูบหนัก ๆ อีกครั้งที่ริมฝีปากก่อนผละออกมายิ้มเต็มที่ รอยยิ้มของพี่ธันสว่าง สดใส หัวใจของพี่ธันเต้นแรงจนผมที่ถูกกอดอยู่ยังรู้สึกได้
เหมือนกับว่า มันฟูฟ่องด้วยความสุขจนล้นปรี่
“คริสต์มาสปีนี้เป็นปีที่ดีเนอะ” พ่อพูดยิ้ม ๆ มองออกไปด้านนอกหน้าต่าง แสงไฟยังสว่างไสว มีเกล็ดหิมะโปรยลงมาเหมือนคำอวยพรจากพระเจ้า ผมก้มหน้า ซ่อนแก้มแดง ๆ ไว้จากสายตาและเสียงหัวเราะที่เคล้าไปด้วยความเอ็นดูของครอบครัวพี่ธัน ซึ่งบางที นั่นอาจหมายถึงครอบครัวผมด้วย
“ปีอื่น ๆ ต้องดีกว่านี้แน่ เพราะบ้านเราได้ลูกชายเพิ่มอีกคน” แม่พูดแล้วดึงผมเข้าไปกอด ผมยกมือขึ้นไว้บนบ่ากว้างของหญิงวัยกลางคน “ขอบคุณครับ”
“ขอบใจเหมือนกันจ้ะ ฝากธันด้วยนะน้องปอ” พูดจบผมก็เลื่อนสายตาไปยังคนตัวโตที่ถูกฝากฝังก่อนจะยิ้มตามเจ้าของใบหน้าหล่อเหลา เราสบตากัน ไม่มีคำพูดอะไรมากกว่านั้น ไม่ได้บอกรักพร่ำเพรื่อ ไม่ได้แม้แต่ขอแต่งงาน ไม่ได้มีคำมั่นสัญญาอะไรว่าผมกับพี่ธันจะเป็นครอบครัวเดียวกันตลอดไป แต่ผมกลับมั่นใจในสายตาคู่นั้น
เสียงเพลงคริสต์มาสที่เปิดทิ้งไว้ขึ้นเมโลดี้ใหม่ ท่วงทำนองและเสียงขับร้องที่ทำให้ผมหลบแววตาหวานหยดอีกหน กลิ่นอายของความรัก รสชาติของความสุข อุณหภูมิข้างนอกติดลบ หากแต่หัวใจผมนาทีนี้กลับอบอุ่น พี่ธันเอื้อมมือมาดึงผมจากอ้อมแขนของแม่ โน้มตัวลงมาใช้หน้าผากชนกัน เสียงทุ้มเอื้อนออกมาเป็นภาษาที่พลิ้วไหวไปกับดนตรี นานแล้วที่พี่ธันไม่ได้ร้องเพลงให้ผมฟัง มันมากกว่าท่วงทำนอง ความหมายที่อีกฝ่ายสื่ออกมาผมรู้ดี
...I just want you for my own
More than you could ever know
Make my wish come true
All I want for Christmas
is you...Fin.จบไปอีกเรื่องแล้วค่ะ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่ผ่านไปหนึ่งปีแล้วสำหรับเรื่องนี้ ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ดีมาก ได้รู้จักหลาย ๆ คน นิยายเรื่องที่เขียน ซึ่งหมายถึงเรื่องนี้ด้วยก็เป็นเรื่องที่ประทับใจนักอ่านหลาย ๆ ท่าน สำหรับเราตอนจบเป็นเรื่องที่เขียนยากมากกกกก ส่วนใหญ่แล้วจะติดห้วนไป ไม่ทราบว่าตอนนี้ยืดไป ห้วนไป หรือยังไงรบกวนชี้แนะข้าน้อยด้วย จะได้พัฒนาฝีมือในเรื่องอื่น ๆ ไม่ให้มาเสียอรรถรสกันตอนจบเนอะ
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน และขอบคุณมาก ๆ ที่คอมเม้น คอยเป็นกำลังใจเรื่อย ๆ
ก่อนจะหมดคริสต์มาสปีนี้ ก่อนจะถึงวันปีใหม่ในไม่กี่วันข้างหน้า ขออนุญาตเมอรี่คริสต์มาสและแฮปปี้นิวเยียร์พร้อม ๆ กันเลยนะคะ (เผื่อมีคนไม่ได้อ่านwhen the wind blow back จะได้ร่ำลาปีนี้ด้วยกันในกระทู้นี้)
ขอให้ปีหน้าเป็นปีที่ดี มีความสุขเป็นพิเศษเหมือนหมอปอกับพี่ธันกันนะคะ
