04 เครื่องมือผมกำลังถูกเด็กผู้ชายอายุอ่อนกว่าถึง 13 ปีดุอ่านไม่ผิดหรอกครับ ผมกำลังถุกปอดุ ดุแบบซีเรียสมาก ๆ แหย่เล่นยังไงก็ไม่ขำเพราะเรื่องของอาหารหมา
“พี่ธันต้องจัดการเรื่องนี้ให้ได้ จะวิธีไหนก็ไม่รู้แหละ แต่คอร์กี้ของพี่น้ำหนักมากเกินไปแล้ว ลองใช้มือวางทาบที่หลัง แล้วใช้นิ้วโป้งจับดูสิครับ ไม่เจอกระดูกแล้ว ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้กระดูกหลังมันจะมีปัญหา ปอเคยบอกแล้วใช่ไหม หมาพันธุ์นี้ขามันสั้นจะต้องรับน้ำหนักตัวไว้ทั้งหมด พี่ธั….”
“ครับ พี่รู้แล้ว”
“แล้วพี่ธันจะทำยังไงให้มันไม่แย่งอาหารหมาตัวอื่นกิน”
ผมนวดขมับ อาหารของสัตว์เลี้ยงแต่ละตัวก็วางกระจายกันหมดแต่ไอ้คอร์กี้ตัวนี้มันกินเก่งกว่าใครเลยฟาดของตัวเองเรียบแล้วไปแย่งชิสุห์อายุน้อยกว่า ที่จริงมันเป็นหมาเจ้าบ้านครับ ผมซื้อคอร์กี้มาตัวแรกเลยกร่างสุดทั้งที่ตัวกระเปี๊ยกเดียวเท่านั้น
“งั้นผมจะเอาไปเลี้ยง”
ความรู้สึกเหมือนทะเลาะกับเมียแล้วโดนแย่งลูกเลยครับ ปอวางคอตตอนบัตที่เช็ดหูบีเกิ้ลลง ไอ้หมาเวรที่เนียนนอนตักนุ่มๆของนักเรียนหมอหนุ่มกระดิกหางระริก ฟาดขึ้นลงกับพื้นสบายใจเฉิบ
“เฮ้ย ไม่เอาน่า เดี๋ยวพี่จัดการเอง”
ประเด็นไม่ได้อยู่ที่หวงหมาหรอกครับ แต่ปอเอาคอร์กี้ไปแล้วจะขลุกอยู่กับมันทั้งวันน่ะสิไม่ว่า คราวนี้คนนี่แหละครับจะได้ชื่อว่าเป็นหมาหัวเน่าเข้าให้
“เดี๋ยวมันก็ผลัดขน ร่วงเต็มบ้านเดี๋ยวป่านก็ดุเอาหรอก”
“ผมคุยกับพี่ป่านเอง”
“ป้อนเป็นภูมิแพ้ไม่ใช่เหรอ” ขุดมาหมดครับทั้งตระกูล เหตุผลข้อหลังดูเหมือนจะเบรคความคิดของปอได้มากกว่าเก่า ป้อนแพ้ขนสัตว์ทุกชนิด นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ปอไม่สามารถเลี้ยงสิ่งมีชีวิตใดใดในบ้านได้โดยสิ้นเชิง “ปอก็มาอยู่กับพี่ ช่วยพี่ดูแลหมาไง”
ผมพูดลอย ๆ ใช้มือลูบหัวร็อตไวเลอร์ขนสีดำเงาอย่างใจเย็น แต่เมื่อเงยหน้ามาเห็นรอยยิ้มรู้ทันของนักเรียนหมอก็ได้แต่หลบสายตา
เด็กสมัยนี้มันโตไวเกินจะหลอกแล้วจริง ๆ
“แล้วมึงจะทำให้มันยุ่งยากทำไมวะ”
ไอ้กรณ์เป็นเพื่อนผมที่เจอกันตอนเริ่มงานในไทยแรก ๆ มีแฟนเป็นผู้หญิงแต่ชอบมีเซ็กส์กับผู้ชาย ผมเคยถามว่าทำไมมันไม่เลิกกับแฟนในเมื่อรสนิยมทางเพศมันไม่ได้เหมือนผู้ชายทั่ว ๆ ไปอยู่แล้วแต่คำตอบของมันก็ดูหล่อผิดกับพฤติกรรมเหี้ย ๆ ชอบกล กรณ์มันรักนุ้ย คบกันมาตั้งแต่ม.ต้นจนทุกวันนี้ก็สามสิบกว่าแล้ว มีแผนจะแต่งงานกันปลายปีด้วยช่วงนี้มันเลยห่างหายจากเรื่องอย่างว่ากับผู้ชายด้วยกันไปหน่อย
ผมกับกรณ์นั่งอยู่ร้านเหล้าที่ประจำ สั่งแอลกอฮอล์มาดื่มกันสองคนตามประสาชายโสด ไม่ได้ออกมาด้วยกันแบบนี้นานแล้วแต่มีเรื่องที่อึดอัดอยู่เลยตอบรับคำชวนของมันมาแต่โดยดีแบบไม่ให้หมอปอรู้ รายนั้นมีสอบ สัปดาห์นี้กลับบ้านดึกทุกวันแทบจะไม่มีโอกาสเจอหน้ากันเลย
“ผู้ชายเหมือนกัน เอาเท่าไรก็ไม่ท้อง จับปล้ำแม่งเดี๋ยวก็จบ ชอบแล้วจะร้องหาแต่มึงเป็นพัลวัน”
“มันไม่ใช่แค่เซ็กส์โว้ย มันมากกว่านั้น มึงแม่ง ไม่เข้าใจ”
กรณ์ไหวไหล่ ใช้นิ้วคนเครื่องดื่มผสมใหม่ในแก้ว หรี่ตามองผมอย่างเค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ในนั้น “มึงกลัวอะไร?”
“กูไม่อยากให้น้องเกลียด” ผมพ่นลมหายใจยาว ถ้าเป็นคนอื่นมันไม่ยากเลยที่จะทำอะไรแบบที่กรณ์ว่า แต่ถ้าจะให้ฝืนใจปอคงลำบาก ผมแคร์หมอมากกว่าที่กรณ์มันจะคิดถึงเยอะ
“เด็กมันไม่เคยก็เล่นตัวไปอย่างนั้นแหละ.. ลองดูซักยก ถ้ามันโกรธก็ง้อ ยากอะไร มันรู้ว่ามึงเป็นแต่ยอมให้มึงจีบแถมยังมาเล่นที่บ้านบ่อย ๆ นั่นก็ยอมไปถึงไหนต่อไหนแล้ว”
ผมส่ายหน้า พยายามเถียงแต่ยอมรับว่าแอบคิดตาม “ปอไว้ใจกู”
“มึงก็อย่าซื่อให้มากนัก” เอาเข้าจริงผมอยากจะเถียงมากครับ อย่างผมเนี่ยไม่เรียกว่าซื่อแล้ว แต่ผิดที่ตั้งแต่ประกาศตัวว่าจะจีบปอน้องมันระวังตัวกว่าเดิมเยอะต่างหาก เมื่อก่อนยังเนียนกอดเนียนหอมได้ เดี๋ยวนี้แค่จับมือยังลำบากเลย
“จะช้าจะเร็วก็ต้องทำ มึงน่ะหื่นขึ้นสมองขนาดนี้”
“พ่อมึงสิ”
“โถ่ ไอ้ธัน” ผมได้ยินเสียงดนตรีเลื่อนลอย เป็นเพลงที่เล่นแบบสบาย ๆ คลายเครียดสำหรับเย็นวันศุกร์ แต่ประโยคถัดมากลับทำให้ฉุนอย่างไม่ทราบสาเหตุ “น้องมันก็น่ากินขนาดนั้น จะเก็บไว้ขึ้นหิ้งเหรอวะ”
ผมโกรธ ผมไม่พอใจ ไม่ชอบให้ใครพูดถึงปออย่างนั้นแต่ก็ยังเก็บเอามาคิด นึกถึงผิวขาว ๆ กับขาเรียวยาวแล้วก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงแต่เรื่องลามก ผมอายุมากแล้ว ที่จริงเพื่อนวัยเดียวกันก็แต่งงานมีลูกไปหลายคนแต่ตัวเองกลับนั่งแกร่ว มองน้องชายข้างบ้านแล้วกลับมาช่วยตัวเองบรรเทาความรู้สึกทางเพศที่ขับเคลื่อนไปอย่างรุนแรงขึ้นทุกที
โชคดีที่หลังจากวันนั้นผมไม่ได้เจอปอ สิ่งที่วกวนอยู่ในหัวเลยไม่ถูกแสดงออกมาให้อีกฝ่ายไม่ชอบใจ มันไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น เป็นสิบปีแล้วที่ผมมองปอห่าง ๆ แบบนี้แต่กลับรุนแรงจนไม่อยากควบคุมเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
สิ่งหนึ่งอาจเป็นเพราะความรู้สึกของตัวเองไม่ใช่ความลับอีกต่อไป
อีกส่วนก็ใช่... ปอไม่ได้รังเกียจมัน
เสียงของหมาทั้งห้าตัวเห่าระงมจากหน้าบ้าน ร็อตไวเลอร์เป็นตัวที่เห่าดังสุดสลับกับครางงี้ดอ้อนแขก ผมยืนล้างรถอยู่อีกฝั่งของประตูบ้านแต่ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าใครมา เสียงเปิดลูกกรงเหล็กกระทบกันไม่แรงนักก่อนนักเรียนหมอจะขู่คนไข้เสียงขรมไม่ให้กระโดดใส่
หมอปอสวมเสื้อนิสิตตัวบางกับกางเกงขาสั้น หลังสอบเสร็จคงกลับไปเก็บของแล้วถือโอกาสเปลี่ยนกางเกงก่อนมา มือทั้งสองข้างอุ้มชิสุห์ไว้ในมือโดยหมาอีกสี่ตัวที่เหลือยังวิ่งพันแข้งพันขาไม่ห่างไปไหน
“ช่วงนี้ไม่ได้พาหมาออกไปวิ่งเหรอครับ?”
ผมเหลือบตามองปอแล้วพยักหน้า ช่วงหลัง ๆ ผมตื่นสายตลอด เพราะค่ำ ๆ จะไปดื่มเหล้ากับกรณ์และมี่ วันไหนมี่มาด้วยกรณ์จะไม่พูดถึงปอ อันที่จริงเราต่างก็รู้ว่ามี่คิดกับผมยังไง เพียงแต่ไม่มีใครพูดออกมามากกว่ากรณ์เลยเลี่ยงจะกล่าวถึงรสนิยมของผมไปด้วยเพื่อนสนิทผู้หญิงอีกคนจะได้ไม่ลำบากใจ “อย่าขี้เกียจสิครับ พี่ธันก็รู้ว่าเราต้องคุมน้ำหนักคอร์กี้ ขืนปล่อยไว้แบบนี้เดี๋ยวก็ป่วยกันพอดี”
“อืม รู้แล้ว พรุ่งนี้เช้าจะพาออกไปแล้วกัน”
“แล้วได้คุมอาหารหรือเปล่าครับ”
ผมเดินไปพับที่ปัดน้ำฝนเก็บหลังจากเช็ดน้ำจนเอี่ยมอ่อง ออดี้สีเหลืองสดทอประกายสดใสเหมือนถอยออกจากโชว์รูมใหม่ ๆ ไม่ได้ตอบคำถาม ที่จริงแล้วช่วงนี้จะแยกคอร์กี้ออกมาเวลาให้อาหารจะได้ไม่แย่งกันกับหมาตัวอื่น ปอพูดถูกน้ำหนักมันมากเกินไปและเป็นอันตรายสำหรับสุนัขพันธ์นี้เพราะช่วงขาสั้นแต่ต้องรับน้ำหนักตัวมาก
“เดี๋ยวปิดเทอมผมมาช่วยเลี้ยงที่บ้านก็ได้ครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก หมอแวะมาเล่นกับมันบ่อย ๆ ก็พอมันจะได้ออกกำลังกาย”
“ไม่เป็นไรครับ ผมมาได้”
นักศึกษาสัตวแพทย์ตอบก่อนวางสัตว์หน้าขนลงบนพื้น จะให้พูดยังไงดี ผมไม่ได้เกรงใจ ที่กลัวคือความรู้สึกตัวเองต่างหาก
หลังจากบอกไปแล้วแทนที่มันจะโล่ง กลับรุนแรงขึ้นทุกวัน ทุกวันจนน่าเป็นห่วง
ไม่ได้ห่วงตัวเองหรอก ห่วงปอนั่นแหละ...
“แล้วนี่ทานข้าวหรือยังครับ?”
“ยังอะ จะออกไปกินข้างนอกหรือเปล่าขี้เกียจทำ”
“สั่งพิซซ่ามากินกันไหมครับ”
คำถามนั้นทำให้ผมเลิกคิ้วมอง ถอดเสื้อที่เปียกน้ำจนชุ่มพาดบ่าแล้วม้วนสายยางเก็บ ปอไม่ชอบกินอาหารขยะ ไม่ได้รักสุขภาพอะไรแต่มันเลี่ยน ชีสเชิสอะไรแบบนี้บายได้เลย “ออกไปกินข้างนอกแหละ เดี๋ยวอาบน้ำแป๊บ”
ออดี้สีเหลืองสดเพิ่งเช็ดล้างเอี่ยมอ่องจอดในที่จอดวีไอพีของทางห้างร้านไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก ผมสวมเสื้อยืดกางเกงขาสามส่วนแบบสบาย ๆ กับแตะหนีบ ส่วนหมอปอเปลี่ยนจากชุดนักศึกษาในทีแรกมาเป็นเสื้อที่ผมซื้อให้แต่ไม่ยอมเอากลับบ้าน ทุ่มกว่า ๆ ร้านรวงเต็มไปด้วยผู้คนแน่นขนัด บางร้านยืนออต่อคิวกันยาวเหยียดจนเห็นแล้วเซ็งแทน
“กินอะไรดี?”
ผมถาม คนมาด้วยกวาดตามองไปทั่วแล้วถอนหายใจ วันศุกร์สิ้นเดือนก็อย่างนี้ตลอด แต่ยังไม่ทันที่ปอจะตอบอะไร กลุ่มคนที่ยืนอยู่หน้าร้านอาหารญี่ปุ่นไม่ไกลกันนักก็โบกไม้โบกมือมาทางผมก่อน
“นั่นพี่มี่นี่”
ผมพยักหน้า มากับกลุ่มพี่ที่ทำงานเก่าผม คงเลี้ยงโบนัสออกกันเลยยกโขยงมากันทั้งแผนก แต่ไอ้กรณ์ไม่มาด้วยคงหนีไปกับนุ้ยแฟนมันตามเคย
“เฮ้ย ไอ้ธัน ไม่เจอกันตั้งนาน เป็นไงมาไงวะ”
“หวัดดีครับพี่” ผมพุ่มมือไหว้อดีตลูกพี่ในทีมปอเลยยกมือไหว้ด้วย จากนั้นก็ถูกอีกฝ่ายลากไปคุยในกลุ่มที่ยืนรอคิวกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ “เลี้ยงโบนัสออกกันเหรอครับ”
“เออ แล้วนี่ได้ร้านกันหรือยังนั่งด้วยกันสิ จะถึงคิวแล้ว”
“ไม่เป็นไรครับ ผมมากับน้อง”
ผมบอกปัด เพื่อนร่วมทีมเลยพากันหันมามองคนถูกอ้างถึง ปอยิ้มแหย ๆ ก่อนเพื่อนผู้หญิงบางคนจะรีบวิ่งมาเกาะ “ว้าย นักศึกษา ธันน น้องแกหล่อมากกกก”
“เก็บอาการหน่อยก้อย” มี่ช่วยพูดกลั้วหัวเราะ เลยโดนก้อยมองค้อน “ใช่สิ แกมันได้ธันไปทั้งคนแล้วนี่”
ประโยคหลังทำให้ทุกคนเริ่มฮือฮา ผมเหลือบไปมองปอที่กำลังจ้องผมเขม็งแล้วหันไปยิ้มแหยให้คนพูด “ก้อยก็ พูดอะไร น้องพี่ธันเขาก็อยู่”
“ไม่ต้องทำเขินกลบเกลื่อนเลย เขารู้กันทั้งบริษัทแหละว่าแกชอบนัดเจอกับธันช้างนอก”
“ฉันไปกับกรณ์ต่างหาก”
“กรณ์ไม่อยู่ก็เอามาอ้างได้สิ” มี่ทำหน้าหงิกใส่เพื่อนแล้วหันไปเถียงกับคนอื่น “ก้อยก็พูดไปเรื่อยแหละค่ะ มี่กับธันไม่มีอะไรหรอก”
“อ๋อเหรอ แล้วเมื่อคืนออดี้ใครมาจอดหน้าคอนโดเป็นชั่วโมง ๆ นะ”
ครั้งนี้กลายเป็นผมที่นิ่งเงียบไป เมื่อคืนก็เหมือนวันก่อน ๆ คือผมไปดื่มกับกรณ์และมี่ ขากลับหลังจากขับรถไปส่งกรณ์แล้วผมก็มาส่งมี่ต่อ ตอนนั้นเมามาก เมาจนไม่แน่ใจว่าประคองรถมาจนถึงหน้าคอนโดฝ่ายหญิงได้ยังไง
“อย่าให้ฉันเผานะแก ลิปสติกนี่เปื้อนรอบปากไปหมด”
“ก้อย! พอแล้ว” ผมเหลือบตาไปมองปอโดยอัตโนมัติ ดวงตาคู่รีเล็กยังคงจ้องผมเขม็ง ดูก็รู้ว่าปอโกรธ โกรธมากกว่าครั้งไหน ๆ เลยด้วยซ้ำ
“เบื่อพวกปากแข็ง”
ผมหันไปยิ้มรับคำค่อนแคะของก้อยก่อนแสร้งทำเป็นโทรศัพท์มีสายเข้า ปลีกตัวออกมาได้สักพักก็กลับเข้าไปหากลุ่มเดิมใหม่โดยบอกว่าพ่อหมอปอโทรตามให้กลับบ้านด่วน
ปอไม่พูด พยักหน้าเดินออกจากแขนที่ก้อยเกาะแกะในทีแรกแต่โดยดี พาเดินกลับมาที่รถได้สักพักก็ยังเงียบอยู่ แต่ผมก็ตั้งใจจะไม่วิทยุหรือเพลงเพื่อกลบเสียงความไม่พอใจของอีกฝ่ายเพราะอยากคุยให้รู้เรื่อง
“ปอ...”
“พ่อไม่ได้โทรตามใช่ไหมครับ”
ผมพยักหน้ารับ อ้าปากจะพูดต่อแต่ปอก็ชิงเอ่ยเสียก่อน “พี่ธันไปส่งผมที่คอนโดอินได้ไหมครับ”
“มันมืดแล้ว จะไปทำไม”
“ผมจะไปค้างกับมัน”
ผมกำพวงมาลัยแน่น ไม่เข้าใจว่าปอก็รู้ว่าผมไม่ชอบไอ้หอกนั่นยังจะไปอยู่ด้วยบ่อย ๆ คุยกันหลายรอบแล้ว ผมเข้าใจว่าเป็นเพื่อนแต่ปอก็เป็นเสียแบบนี้จะไปทันอะไรมัน “ไม่ให้ไป”
“ถ้างั้นผมลงที่นี่ก็ได้”
“ปอ!”
“พี่ธันอย่าตะคอกใส่ผมนะ! ครั้งนี้พี่ธันผิด จะดุยังไงผมก็ไม่ขอโทษหรอก”
“อย่าประชด”
“พี่ธันก็คิดถึงผมบ้างสิ! แค่ผมไปค้างกับอิน ไม่มีอะไรทั้งนั้น ผมกับมันเป็นเพื่อนกันพี่ยังไม่พอใจ แต่นี่พี่จูบพี่มี่นะ! พี่จูบเขาได้ยังไงถ้าพี่บอกว่าพี่ชอบผม!”
ตาปอแดงแต่ไม่ถึงกับร้องไห้ กลายเป็นผมเองที่เบือนหน้าหนี “เมื่อคืน....พี่เมา”
“ถ้าผมเมา ผมก็มีสิทธิ์ทำแบบพี่ธันได้ใช่ไหมครับ”
“ปอ อย่าพูดแบบนี้ พี่ขอโทษ... พี่จะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก”
“หรือเพราะพี่มี่ให้ในสิ่งที่ผมยังให้พี่ไม่ได้” ปอถามเหมือนรวน ผมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดไปถึงไหนแต่ตอนนี้กลับไม่สบายใจเลย “ปอ คิดอะไรอยู่”
“ผมก็ผู้ชาย พี่ธัน ผมรู้ว่าความต้องการของผู้ชายมันรุนแรงขนาดไหน ผมไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาอย่างที่พีคิดหรอก ผมอายุ 20 แล้วนะ”
“พี่ไม่ได้นอนกับมี่” ผมตอบตรงประเด็นแม้อีกฝ่ายจะถามอ้อมไปอ้อมมา ยอมรับว่าเมื่อคืนมันเกือบจะเกิดขึ้น หนึ่งคือเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ทำให้ผมขาดความยับยั้งชั่งใจ และอีกหนึ่งคือผมต้องการเรื่องพรรค์นั้นจริง ๆ
แต่แค่จูบกัน กลิ่นน้ำหอมกับรสสัมผัสที่ไม่เหมือนยามแตะต้องตัวปอก็ทำให้ผมพ่ายแพ้ ยอมรับกับตัวเองว่าต่อให้ทำกับมี่หรือใครก็ตามมันไม่สามารถเติมเต็มความปรารถนาในส่วนลึกของผมได้ ผมต้องการปอ ซึ่งนั่นหมายถึงแค่ปอเท่านั้น
“พี่ธันรู้ไหม ตอนนี้ผมแทบจะยังไม่อยากนั่งรถคันนี้เลยด้วยซ้ำ เบาะที่พี่มี่นั่ง ที่ที่พี่สองคนจูบกัน”
ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าปอเองก็ขี้หึง ถ้าเทียบกับผมยังถือว่าเบามากด้วยซ้ำ สุดท้ายจากที่กลั้นมานาน น้ำตาหยดใสก็กลิ้งหลุนลงมาจากตาเล็ก ๆ คู่นั้น
แต่คนที่เจ็บกว่าปอ คือตัวผมเอง
“ปอ... อย่าร้อง”
“พาผมไปส่งที่คอนโดอินเถอะครับ ผมไม่อยากเห็นหน้าพี่ธัน”
เป็นครั้งแรกที่ผมส่งปอใส่มืออินทรี ผมผิด งานนี้ผิดเต็ม ๆ นึกอยากเอาไม้หน้าสามฟาดหัวตัวเองรัว ๆ ที่ไม่ยอมกินพิซซ่าอยู่บ้านกับปอในวันนั้น ถ้าย้อนเวลาไปอีกก็จะฟาดหน้าให้เยินที่กินเหล้าจนเมาและปล่อยให้เกิดอะไรในเรื่องที่ไม่สมควรขึ้นมา อินทรีมีสีหน้าฉงนเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนมาส่งเพื่อนรักมันใต้หอก่อนยักคิ้วกวนให้ มันเป็นเด็กกวนประสาทที่ผมเกลียดที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ เพราะหลังจากปอเดินไปหามันไอ้อินก็ใช้ความสูงยกมือขึ้นโอบบ่ากว้างอย่างเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเดินขึ้นตึกไป
ผมยืนพิงออดี้คันเดิมไว้ ส่งข้อความไปหาปอว่าถ้าเปลี่ยนใจก็ลงมาจะอยู่รอจนกว่าปอจะกลับ เหมือนพระเอกหนังจีนไงครับที่จะคุกเข่าจนกว่าอาจารย์จะรับเป็นลูกศิษย์ แต่ไม่ไหวแล้วว่ะ ไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เที่ยง แม่งโคตรหิว เหงาด้วย กลับไปหาอะไรกินแล้วเอาหมามาเล่นด้วยดีกว่า ปอแม่งใจร้ายมาก ปล่อยผมรออยู่ข้างล่างเป็นชั่วโมงก็ไม่มีทีท่าว่าจะใจอ่อนเสียที
ผมขับออดี้คันเดิมกลับบ้าน รื้อตู้เย็นไม่มีอะไรเหลือเลย ช่วงหลัง ๆ กลางคืนเมากลางวันนอนตลอดเสบียงเลยหมดเกลี้ยง เหลือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกระป๋องอยู่เลยต้มน้ำร้อนใส่ หยิบทาโร่มาด้วย ไม่ลืมที่จะเอาของดีคือไอ้คอร์กี้ขึ้นรถมา หมาสี่ตัวมองหน้าหงอย ๆ ที่จริงอยากเอาไปหมดนั่นแหละครับ แต่นึกถึงความวุ่นวายแล้วเดี๋ยวจะไม่น่าสงสาร เอาไอ้อ้วนนี่ไปตัวเดียวก็จบ คอร์กี้ก็กวนตีนครับ ขึ้นรถได้ก็โดดเกาะกระจกเยาะเย้ยตัวที่เหลือประมาณว่ากูได้ไปเที่ยวแล้วโว้ยสบายใจ
หารู้ไม่ มึงน่ะเป็นเครื่องมือมาตั้งแต่ต้นแล้วไอ้ลูกหมา
ลานจอดรถหน้าคอนโดสูงใหญ่ที่เดิมยังว่างอยู่ ถ้ามองลงมาจากชั้นที่ปออยู่จะมองเห็นชัด ผมเห็นไฟในห้องเปิดทิ้งไว้โดยมีเงาราง ๆ ของคนยืนอยู่ตรงระเบียง จากสัดส่วนดูก็รู้ว่าเป็นอินทรี ตัวสูงใหญ่เป็นยักษ์ปักหลั่นอย่างนั้นไม่มีทางเลยที่จะเป็นหมอปอตัวเล็ก ๆ ของผมแต่จากนั้นไม่นานคนที่กำลังคิดถึงก็มายืนใกล้ ๆ
ผมลงจากรถหลังจากผูกเชือกให้คอร์กี้เรียบร้อย ปล่อยให้มันวิ่งเล่นรอบตัวรถในระยะความยาวเชือกส่วนตัวเองก็นั่งบนกระโปรงรถกินมาม่าอืดไป พอหมาได้กลิ่นหมูสับก็เลิกซนมานั่งหลังแอ่นตรงหน้า ยกมือขึ้นหวัดดีขออาหารครั้งแล้วครั้งเล่าจนต้องยอมแบ่ง
ผมเลื้อยลงมานั่งยอง ๆ ที่พื้นข้าง ๆ หมา สัตว์หน้าขนไม่ได้ตะกุยตะกายเพราะเป็นหมาผู้ดี กินมาม่าจากส้อมพลาสติกร่วมกับผมเรียบร้อยเงียบเชียบ กินไปกินมาจะไม่ทันหมา ไอ้ห่า มึงอ้วนเพราะแดกเอา ๆ อย่างนี้แหละไอ้สั้นเอ๊ย
“ผมบอกให้คุมอาหารหมาไม่ใช่เหรอ”
เสียงที่ทักจากทางด้านหลังทำให้ผมยืดตัวตรง คอร์กี้ตวัดลิ้นเลียจมูกสีดำเมี่ยมของมันแล้วเห่าทักแม่ สีหน้าหมอหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัดแต่ผมกลับดีใจ “ก็มันหิว”
“พี่ธันอย่ามาอ้างเลย กลับไปแล้วจะมาอีกทำไม”
“เผื่อเราเปลี่ยนใจไม่ค้างแล้ว พี่ไม่อยู่รอแล้วหมอจะกลับยังไง” ปอเม้มปากเข้าหากัน เหลือบตาเล็ก ๆ มองผมอย่างแพ้ทางสุดท้ายก็ถอนหายใจหน่าย เดินอุ้มหมาไปเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับแล้วสอดตัวเป็นตุ๊กตาหน้ารถเรียบร้อย
“ผมยังไม่หายโกรธหรอกนะ ทีหลังอย่าเอาหมามาง้ออย่างนี้อีก”
“แล้วพี่ต้องง้อยังไงถึงจะหาย”
ปอไม่ตอบ เอาแต่นิ่งเงียบ ผมเลยถือวิสาสะไปคว้ามือเล็กไว้ จรดริมฝีปากกับปลายนิ้วเบา ๆ “พี่ยอมปอหมดเลย หายโกรธพี่เถอะ”
“อินบอกว่าที่พี่ทำน่ะ มันคงเริ่มจากเซ็กส์จริง ๆ นั่นแหละ ถ้าจะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุให้ผมกับพี่ลองทำซะ”
โอ้... ผมเริ่มชอบเพื่อนสนิทของปอเข้าแล้วสิ ยังไม่ทันได้ขยับเข้าใกล้ ปอก็ยิ้มมุมปากให้ผมรู้สึกขนลุกขนพองชอบกล “มันให้ผมขอพี่เป็นเมีย”
เด็กนรก! ผมว่าแล้วเชียวไอ้ห่าอินมันต้องเวรตะไล เสี้ยมอะไรน้องกูมาวะ
“ขอเป็นเมียพี่หรือเปล่า”
“เปล่า... ขอพี่เป็นเมีย” ปอย้ำ ผมเลยหัวเราะแห้งแก้เก้อก่อนเฉไฉเปลี่ยนเรื่องไป รักปอ ชอบปอครับ แต่ไม่ได้อยากเป็นเมียปอ ไม่อยากเป็นเมียหมอ นึกออกไหมว่าที่ผมรอมันไม่ใช่แบบนี้ จะว่าไปเปลี่ยนเรื่องคุยเถอะ ผมทนเอาก็ได้ไม่เป็นไร รอวันที่ปอพร้อมก็แล้วกัน
“หายโกรธพี่แล้วนะ เป็นแบบนี้พี่ไม่สบายใจเลย”
ผมพูดเองเออเองทั้งหมด เอาจริง ๆ ไม่เคยถูกปอโกรธขนาดนี้ ถึงเมื่อก่อนจะชอบแหย่ให้อีกฝ่ายร้องไห้ขนาดไหนความฟินมันอยู่ที่พอปอร้องก็จะกอดผมแน่นให้ผมโอ๋ รอบนี้มันไม่เหมือนตอนที่อีกฝ่ายเด็ก ๆ นี่ครับที่พอทะเลาะกันแล้วปอจะยังตามติดผมเป็นลูกแหง่
ปอโตขึ้นแล้วจริงๆ
ผมไม่อยากยอมรับเลยสิพับผ่า
“คืนนี้นอนด้วย”
ปอเอ่ยเสียงเรียบ ก่อนเลื่อนไปเปิดวิทยุ รถผมเป็นรถแรงมาก ถ้าออกัสท์ ฮอร์ครู้ว่ารถยนต์ที่เขาเป็นต้นคิดขึ้นมาถูกขับด้วยความเร็ว40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงบนถนนโล่งคงปวดใจน่าดู แต่ตอนนี้ผมไม่สนหรอกครับ อยากนั่งจับมือปออย่างนี้ไปนาน ๆ ผมพยักหน้ารับรู้ กระทั่งรถเคลื่อนมาจอดหน้าบ้านปอก็ลงไปเลื่อนบานประตู ไอ้สี่ตัวที่รออยู่ตั้งแต่แรกโดดกันเหยง ฟัดหมอให้ลงไปเล่นด้วยจนหนำใจแล้วถึงวิ่งมาหาผมที่ลงรถทีหลัง
“เข้าไปอาบน้ำอาบท่าไป เลอะเทอะหมดแล้ว”
ผมบอกพลางยื่นมือให้คนที่นั่งทรุดอยู่บนพื้นจับเป็นหลักยึด ปอยันตัวขึ้นก่อนถอดเสื้อตัวเก่งที่มอมด้วยน้ำลายและรอยเท้าหมาออก ผมยืนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น แผ่นหลังขาวสว่างกับเอวที่คอดเข้าหากันสะกดสายตาผมให้ไล่หลังตามไปอย่างนั้น
“เข้ามาสิพี่ธัน รออะไร”
เชื่อไหมครับผมไม่ได้คิดถึงเรื่องเข้าบ้านเลย จู่ๆหัวแม่งก็ผุดภาพปอนอนเปลือยอยู่บนเตียงแล้วเอ่ยเสียงเย้าว่า
“เข้ามาสิฮะพีธัน รออะไร ปอไม่ไหวแล้ว...” ยังไงอย่างงั้น
ปอแม่งไม่เด็กแล้วจริง ๆ ด้วย
นี่กะจะยั่วให้ผลอกแตกตายไปเลยหรือไงวะ!
เมื่อวานวันกวีนิพนธ์สากลครับ แต่ลืม 55555555555555 เอาเป็นว่าสุขสันต์วันน้ำโลกแล้วกัน 22 มีนาคม ร่วมกันใช้น้ำอย่างประหยัดฮะ (จริง ๆ นี่ตั้งใจจะเขียนวันเสียน้ำนะ แต่มันวันอนุรักษ์น้ำไง พี่ธันสุดหื่นก็ทนไปอีกหน่อยแล้วกัน)
ช่วงนี้เรื่องเครียดดีขึ้นหน่อยแล้วฮะ หลังจากร้องห่มร้องไห้มาเกือบสัปดาห์ ดูเป็นผู้หญิงบอบบางน่าทะนุถนอมขึ้นมาเลย
งวดหน้าน่าจะเป็นช่วงสงกรานต์ค่ะ พาร์ทหมอปอบรรยาย ใส ๆไป ยังไม่คิดพล็อตอะไรในหัวทั้งนั้น
ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการอ่านค่ะ รักนะ 
-แว้บมาแก้อายุ ห่างกัน13ปีเด้อครับ นี่มึนไง นึกว่า16 5555-