ข้าพเจ้าลืมเว้นที่ไว้สำหรับลงทีเหลือ จึงขอขึ้นตอนใหม่ในหน้านี้นะครัช
ขอบพระคุณมากๆครัช...
----------------------------------------------
เหมืองสิงห์ สุตนันท์ ที่เคยหลบซ่อนตัวเองอยู่ในภายใต้ธรรมชาติและขุนเขาอันงดงามในภาคใต้เริ่มกลายสภาพเป็นปล่องภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิดเข้าไปทุกขณะ
เช้าวันที่ครูตาหวานของเด็กๆหายตัวไป ไม่ใช่แค่คนในเหมืองเท่านั้นที่เดือดร้อน ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงก็รวมตัวกันร่วมระดมค้นหา เพราะก่อนหน้านี้ทุกคนรู้ดีเรื่องที่ครูบัวเผลอไปเจอพวกลักลอบตัดไม้เข้า ไม่แน่ว่าพวกมันอาจจะหมายหัวครูบัวแล้วมาลักพาตัวไปก็ได้ ซึ่งนายเหมืองสิงห์เองในคราแรกก็คิดไม่ต่างกัน ถึงได้โมโหพวกบ้านั่นจนหัวปั่น ร่ำจะถือปืนลุยเดี่ยวขึ้นเขาไปจัดการให้ถึงต้นตอ ดีที่พุดฤทัยไหวตัวทันโทรหาเพื่อนเจ้านายที่เป็นตำรวจเสียก่อน ถึงได้พอมีคนช่วยฉุดรั้งไว้ได้อยู่ แต่ทว่าก็ได้แค่ชั่วคราว เมื่อนายเหมืองหนุ่มไม่คิดที่จะรอทำตามแผนการณ์ของตำรวจอีกต่อไป แต่เริ่มมีความคิดที่จะบุกไปถึงรังของผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นผู้ค้าไม้เถื่อนรายใหญ่ของจังหวัดด้วยกำลังของตัวเองแทน
แต่กระนั้นด้วยเพราะเป็นเพื่อนกันมานาน ทั้งคมสันต์และภากรจึงพอจะดูออกว่าเพื่อนเจ้าของเหมืองกำลังคิดอะไรอยู่ จึงพยายามช่วยกันเกลี้ยกล่อมให้นายเหมืองหนุ่มหัดรอคอยให้เป็น เพราะแทนที่งานจะสำเร็จอาจจะกลายเป็นล่มไม่เป็นท่า และครูบัวที่พวกเขาคาดว่าน่าจะตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกมันก็อาจจะไม่ปลอดภัยไปด้วย
คำว่าครูบัวอาจจะไม่ปลอดภัย...ทำให้นายเหมืองหนุ่มต้องมานั่งกุมขมับอยู่บนเตียงในตอนนี้...
ของใช้ทุกอย่าง เสื้อผ้าทุกชิ้นยังคงอยู่ที่เดิม ยกเว้นกระเป๋าสตางค์และย่ามที่เจ้าตัวชอบพกอยู่เสมอ เป็นไปได้ว่าบัวคงจะออกไปข้างนอก และพวกชั่วนั่นคงถือโอกาสนั้นลักพาตัวไปแน่...หรือถ้าแย่ไปกว่านั้นคือพวกมันกล้าบุกเข้ามาถึงถ้ำเสือ แล้วฉกเอาบัวออกไปจากใต้ปีกของเขา ถ้าเป็นกรณีหลัง...เขาสาบานเลยว่าจำเหยียบพวกมันให้เละ! กล้าดียังไงมายื่นมือแตะคนของเขา...
ในสมองของนายเหมืองคิดอะไรออกไปอีกสะระตะ...ความไม่รู้...ทำร้ายเขามากกว่าที่คิด แว่บแรกที่รู้ว่าคนรักหายไปแน่นอน เขารู้สึกเหมือนไฟช็อตไปทั้งร่าง อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลงกะทันหันจนรู้สึกได้เลยว่ามือเขาเย็นเฉียบไปหมด ถ้าไม่ได้อุณหภูมิอุ่นๆของลูกชายเขาทั้งสองคนที่วิ่งเข้ามากอด เขาคงรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นก้อนน้ำแข็งแน่ๆ
…เขาเกลียดความรู้สึกนี้...ความรู้สึกสูญเสีย...
…ครั้งแรกก็เจ็บจนชา...แต่มันก็แค่ชั่วคราว...
...แต่คราวนี้มันเจ็บจนไร้ความรู้สึก...จนถึงตอนนี้เขายังหาความรู้สึกของมือตัวเองไม่เจอ
เขาโทษตัวเอง...ถ้าหากเมื่อคืนเขากอดบัวเอาไว้แน่นพอ...ตอนนี้ก็อาจจะยังมีคนผิวขาวตัวหอมเอาไว้ให้กอดพักพิงใจอยู่...
“พ่อ...” เสียงเรียกเขาเบาๆดังมาจากหน้าประตู ชายหนุ่มเงยมองลูกชายทั้งคู่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู
“…นอนไม่หลับ...ลูกคิดถึงครูตาหวาน” เป็นไลเกอร์ที่เดินเข้ามาก่อน สองแขนยกขึ้นปาดน้ำตาเหมือนพยายามจะเข้มแข็ง จะไม่ร้องไห้ ไทกอนที่เดินตามหลังพี่ชายเข้ามา ตรงเข้ามาเกาะเข่าเขาข้างซ้าย ส่วนไลเกอร์กอดเข่าเขาที่ข้างขวา
ชายหนุ่มวางมือลงบนหลังของลูกชายที่นั่งอยู่บนพื้น แล้วจึงไถลตัวเองลงมานั่งบนพื้นตรงกลางระหว่างลูกชายทั้งสองคน ท่อนแขนกว้างใหญ่โอบรัดทั้งไลเกอร์และไทกอนเข้ามาก่อน...มันอุ่น...แต่มันยังอุ่นไม่พอ มันยังเหมือนอะไรสักอย่างขาดหายไป...
ที่ว่างตรงกลางที่มันหายไปในครอบครัวเขา...ตอนนี้ยอมรับได้อย่างเต็มใจ...
…ครอบครัวของเขาขาดครูบัวไปไม่ได้จริงๆ...
———————————————————————
ถึงจะเป็นช่วงที่อากาศร้อนจัดของประเทศไทย แต่ในเขตบริเวณบ้านไม้ที่บัวอาศัยอยู่นั้นก็ยังคงร่มรื่น ดอกไม้หน้าร้อนเริ่มผลิบาน และบัวก็ชอบช่วงเวลาแบบนี้ที่สุดในอดีต
คุณครูหนุ่มนั่งทอดถอนใจอยู่บนตั่งเล็กๆตรงชานพักนอกห้องนอน...ตั้งแต่วันแรกที่เขาก้าวเท้ากลับมาที่บ้านหลังนี้ก็ผ่านไปได้สี่วันแล้ว...คุณย่าของเขาไม่ยอมให้เขาออกไปจากบ้าน และเรื่องไฟไหม้บ้านเขาและเรื่องของแม่ คุณย่าก็บอกว่าจะเป็นคนดำเนินการให้เองทั้งหมด
บัวหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปิดอีกเป็นครั้งที่ร้อย เขาพลาดจริงๆที่คิดว่าจะแว่บออกมาแค่ครู่เดียวจึงไม่ทันได้หยิบสายชาร์จแบตเตอรี่ติดมาด้วย โทรศัพท์ของเขาจึงใช้การไม่ได้ตั้งแต่เย็นวันแรกที่มาถึง และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถซื้อสายชาร์จใหม่มาให้เขาได้ด้วย และพอเขาเอ่ยปากขอยืมโทรศัพท์เครื่องอื่น ก็ไม่มีใครสามารถเอาให้เขายืมได้เลย...วิธีสุดท้าย เมื่อวานตอนบ่ายเขาเลยนั่งเขียนเป็นจดหมายถามกลับไปที่ใต้ ขึ้นต้นด้วยคำขอโทษที่จู่ๆก็รีบกลับมากรุงเทพฯกะทันหัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นด้วยเพราะเหตุที่จำเป็นมากจริงๆคนทางนั้นคงจะเข้าใจ...
บัวเพิ่งฝากให้ จันสา พี่เลี้ยงที่เคยดูแลเขาเมื่อวัยเยาว์เอาไปส่งให้ในเมือง คิดว่าถ้าส่งด่วนอย่างช้าก็คงอีกประมาณสามถึงสี่วัน...
…เวลานานขนาดนั้นเขาคงจะเหงาแย่...จะขอคุณย่ากลับไปก็ไม่ได้ เพราะคำสุดท้ายที่คุณย่าบอกเขาไว้ก่อนที่พวกเขาจะจบเรื่องที่คุยกันก็คือ...
…ถ้าหากอยากจะชดใช้ให้กับสิ่งที่พ่อกับแม่เขาเคยทำไว้กับบ้านหลังนี้ ก็จงอยู่ที่นี่...อย่าไปไหน...
ซึ่งนั่นกลับกลายเป็นพันธนาการให้เขาไม่กล้าที่จะออกไปไหนเกินกว่ารั้วบ้านหลังนี้ไปเลย...
“เจ้าบัว...เจ้าย่าให้ไปพบที่ลานหลวงเจ้า...” จันสา สาวชาวเหนือวัยเกือบสามสิบปีเอ่ยบอกบัวหลังจากที่หล่อนเคาะประตูอยู่พักหนึ่งแล้วแต่ไม่มีคนตอบ
ใบหน้าขาวเบือนหันมองคนมาตาม ความรู้สึกเหนื่อยล้าและความเหงาเข้ามาโจมตีเขาถี่ขึ้นวันนี้ เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กแสบที่เขามักจะได้ยินอยู่ทุกวันหายไป แถมยังคนเจ้ากี้เจ้าการตัวใหญ่ที่มักจะชอบมาวนเวียนอยู่กับเขาทุกครั้งที่ว่าง...พอนึกถึงแล้วก็เผลออดยิ้มออกมาไม่ได้...รู้สึกอยากกอด อยากหอม ความทรงจำที่มีถูกดึงมาใช้เพื่อปลอบประโลมความเหงาที่เขามี ยิ่งตอนกลางคืนยิ่งรู้สึกเหงาจนทนไม่ค่อยไหว จากปกติที่เขาเป็นคนไม่ติดหมอนข้าง ก็ต้องหาอะไรมากอดเอาไว้ทั้งซ้ายทั้งขวา ผ้าห่มก็ต้องหนาๆไม่งั้นเขาจะรู้สึกไม่สบายตัวไม่สบายใจ แล้วก็นอนพลิกไปพลิกมาทั้งคืนเพราะนอนไม่หลับ
บริเวณลานหลวงมีคนนั่งอยู่ไม่กี่คน และมีหนึ่งคนที่บัวไม่รู้จัก เขาเป็นผู้ชายรูปร่างสูงโปร่ง มีกล้ามเนื้อพองาม ผิวขาวเหลืองลักษณะเหมือนคนเมือง เขากำลังนั่งอยู่บนตั่งและหันหลังมาให้เขา บัวค่อยๆเข้าไปนั่งใกล้ๆกับย่า บัวกับชายแปลกหน้าจึงได้นั่งหันหน้าชนกันไปโดยปริยาย
“เจ้าบัว ย่าจะแนะนำให้รู้จักเพื่อนบ้านของเรา...” เจ้าย่าใหญ่ หรือชื่อจริงของหล่อนคือ บัวคำ เอามือวางลงบนหลังมือหลานชาย แล้วถึงผายมือไปทางชายหนุ่มแปลกหน้าที่นั่งพิงหมอนสามเหลี่ยม เขายิ้มมาให้ก่อนอย่างมีไมตรีจิต บัวจึงยิ้มกลับไปให้ตามมารยาท
“เขาชื่อคุณกฤษณ์ เป็นเจ้าของสวนผลไม้ที่อยู่ติดกับสวนของย่าทางทิศตะวันออกน่ะ” คุณย่าบัวคำบอกหลานชาย “กฤษณ์ นี่หลานชายของย่า ชื่อบัวสวรรค์ เขาเพิ่งกลับมาอยู่บ้านกับย่าเมื่อเร็วๆนี้เอง...”
เมื่อได้รับการแนะนำตัวอย่างนั้นบัวจึงต้องเอ่ยสวัสดีเขา ชายหนุ่มที่ชื่อ กฤษณ์ รับไหว้ บัวจ้องสบตาเขาแล้วถึงได้เห็นแววแห่งความสงสัยเกิดขึ้นชั่วขณะ เขารู้ว่าตระกูลฝั่งคุณปู่คุณย่าเป็นตระกูลใหญ่ในอำเภอนี้ การที่จู่ๆหลานชายอย่างเขาที่ไม่เคยมีตัวตนอยู่ที่นี่เลยตลอดลายปีกลับมา จะมีคนในพื้นสงสัยก็ไม่แปลก แต่ผู้ชายคนนี้ก็เก็บอาการสงสัยได้ดี เพราะหลังจากนั้นมันก็หายไป เหลือไว้แค่รอยยิ้มไมตรีจิตที่เขาพยายามจะส่งมาให้บัว
“เผื่ออนาคตได้ฝากผีฝากไข้กัน ไหนๆกฤษณ์ก็แวะมาแล้ว ย่าว่าให้รู้จักกันไว้ก็ไม่เสียหาย...” คนเป็นผู้ใหญ่ที่สุดในที่นั้นเอ่ยบอกเมื่อคนทั้งคู่ยังดูเหมือนไม่มีจุดเริ่มต้นบทสนทนาซึ่งกันและกัน
“คุณบัวสวรรค์จะมาอยู่ช่วยงานเจ้าย่าที่นี่เหรอครับ” กฤษณ์ หนุ่มเจ้าของสวนผลไม้เริ่มเอ่ยบทสนทนาขึ้นมาก่อน บัวไม่รู้จะตอบอย่างไรจึงได้แต่ยิ้มให้แล้วเบี่ยงประเด็นไปถามเรื่องของเขาบ้างเพื่อไม่ให้บรรยากาศรู้สึกกระอักกระอ่วน
“แล้วคุณกฤษณ์ดูแลสวนผลไม้ที่นี่มานานแล้วเหรอครับ” คำถามของบัวทำให้ชายหนุ่มเจ้าของสวนเปลี่ยนท่านั่งอย่างดูผ่อนคลายมากขึ้น และเขาก็หันมาตอบบัวอย่างจริงจังว่า
“ครับ เกือบเจ็ดปีได้แล้ว ตรงนั้นเป็นที่ดินเก่าของพ่อแม่ผม ตอนนี้พวกท่านย้ายไปอยู่ที่ใต้กับน้องสาว ผมก็เลยต้องรับช่วงต่อสวนไปโดยปริยาย...” กฤษณ์เล่าเหมือนเปิดใจให้กับเพื่อนใหม่ บัวเลยพลอยหายใจคล่องคอขึ้นมากและเริ่มเปิดใจรู้จักกับพ่อเลี้ยงหนุ่ม
“อ๋อ...ก่อนหน้านี้ตอนเด็กๆจำได้ว่ามันเป็นสวนส้ม...”
กฤษณ์พยักหน้ารับ ยิ้มให้กับเพื่อนใหม่ที่ดูเหมือนเริ่มมีจุดเชื่อมโยงให้มีเรื่องได้พูดกัน
“แต่ตอนนี้ผมเพิ่มพวกสตรอเบอร์รี่ เชอร์รี่ แล้วก็องุ่นด้วย ว่างๆเชิญได้นะครับ ตอนนี้สตรอเบอร์รี่กำลังน่าทานเชียว”
และหัวข้อผลไม้ก็เป็นตัวย่นระยะห่างระหว่างคนสองคนให้เข้ามาใกล้กันอีก
ในระหว่างที่การสนทนากำลังเริ่มต้นอยู่ที่เรื่องพันธุ์ขององุ่น โทรศัพท์ของกฤษณ์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะ ชายหนุ่มขอตัวออกจากวงสนทนาเพราะเพื่อนสนิทเขาที่ไม่ได้เจอกันมาพักใหญ่เป็นคนโทรมาหา ซึ่งทั้งย่าหลานก็ไม่ได้ว่าอะไร
โทรศัพท์ทางไกลเป็นของเพื่อนเขาที่ปัจจุบันทำอาชีพเป็นเจ้าของเหมือง...ชื่อเหมืองสิงห์ สุตนันท์
“ว่าไง...นายสิงห์แห่งปักษ์ใต้ คิดยังไงถึงโทรมาหาเพื่อนที่เหนือได้” กฤษณ์ทักเพื่อนไปก่อนด้วยอารมณ์สุนทรีย์เล็กๆ เขาเองก็เป็นหนึ่งในแก๊งค์หล่อเถื่อนประจำโรงเรียนสมัยมัธยมฯ
‘…มีเรื่องเกิดขึ้นที่นี่ และคนร้ายกำลังหนีไปทางพื้นที่ของมึง...คิดว่ามึงควรจะรู้ไว้’ คนโทรมาไม่พูดพร่ำทำเพลงแต่พูดเข้าเรื่องในทันทีโดยละการทักทายเอาไว้ ซึ่งนั่นทำให้กฤษณ์ต้องรีบขยับตัวนั่งให้ดีและหนีบโทรศัพท์ไว้ให้ติดหูมากขึ้น
“ใคร เกิดอะไรขึ้น...” กฤษณ์ถามเพื่อนกลับ บัวเห็นว่ามันเริ่มเป็นเรื่องส่วนตัว เขาไม่ควรที่จะอยู่รับฟังจึงหันไปขอตัวกับคุณย่า ว่าเดี๋ยวเขาจะเข้าไปยกของว่างออกมาให้
“ย่าเอาน้ำไม่เย็นเหมือนเดิมนะเจ้าบัว...”
เสียงเรียกชื่อในตอนท้ายของเสียงผู้หญิงมีอายุซึ่งดังลอดผ่านโทรศัพท์มาเป็นแบ็คกราวน์ ทำให้นายเหมืองหยุดพูดชะงักไปชั่วครู่ เพื่อรอฟังเสียงที่อาจจะลอดผ่านเข้ามาอีกครั้งเพื่อหวังว่าสิ่งที่ได้ยินคงไม่ได้เพี้ยนไป แต่กระนั้นก็กลับมีแค่เสียงถามกลับของเพื่อนเขาว่าทำไมจู่ๆเขาถึงหยุดพูดแทน...
‘…เปล่า...เห็นพูดเสียเพราะ นี่ไม่ได้อยู่ที่บ้านใช่มั้ย’
“...อยู่ที่สวนดอกไม้ใกล้ๆสวนฉันที่เคยเล่าให้ฟังไง...” กฤษณ์ตอบเพื่อน ปลายสายครางรับอ๋อในลำคอแล้วเงียบไป เพื่อนเขาชักจะแปลกๆแฮะ...ก็พอได้ยินข่าวมาบ้างจากในไลน์กลุ่มว่าช่วงนี้นายเหมืองสิงห์แกอกหัก เพราะจู่ๆเมียใหม่แกก็หายตัวไป มันคงจะเครียดล่ะสิ “แน่ใจนะว่านายโอเค...”
‘โอเคดี...แต่อีกประมาณสามสี่วันกูจะขึ้นไปที่นั่น คงต้องอาศัยไปพักที่บ้านมึงซักพัก คงไม่ว่าอะไรใช่มั้ย’
“เฮ้ย...จะให้หาเมียใหม่ให้ด้วยยังได้เลย” คนตอบพูดหวังให้เพื่อนได้หัวเราะ แต่ในเมื่อปลายสายเงียบไปอีกกฤษณ์ก็เริ่มรู้ตัวว่าคงไปแตะโดนเรื่องที่มันคงไม่อยากให้เขาเข้าไปยุ่ง “...ขอโทษๆ โอเคมาเมื่อไหร่ก็โทรหา เดี๋ยวไปรับที่สนามบิน...”
ปลายสายไม่พูดตอบอะไรเขาแต่เป็นอันรู้กันทั้งสองฝ่ายว่าทั้งคู่เข้าใจตรงกัน แล้วเมื่อกฤษณ์วางสาย สละลอยแก้วก็ถูกยกมาเสิร์ฟให้ตรงหน้า และการสนทนาระหว่างเขากับคุณบัวสวรรค์ก็เริ่มดำเนินต่อไปอีกครั้ง
—————————————————-
สามวันต่อมาผ่านไปด้วยการที่บัวใช้เวลาว่างไปกับเด็กน้อยในอุปการะของคุณย่า เด็กน้อยอายุหกขวบกว่าวัยกำลังซน เป็นลูกของอดีตแม่บ้านของคุณย่า เธอแอบไปมีความสัมพันธ์กับชายชาวต่างชาติคนหนึ่งเข้า และเป็นไปตามสูตร คือชายชาวต่างชาติคนนั้นกลับประเทศไป โดยไม่ได้รับผิดชอบอะไร ส่วนแม่บ้านของคุณย่าก็ยอมอุ้มท้องนานแปดเดือนแล้วให้กำเนิดเด็กคนนี้ ก่อนจะเสียชีวิตลงไปอีกหนึ่งเดือนต่อไปด้วยโรคหัวใจล้มเหลว หลังจากนั้นไม่รู้ต้นตอข่าวลือมาจากไหน ว่าชายชาวต่างชาติคนนั้นน่าจะติดเชื้อ HIV เลยพลอยทำให้คนเป็นลูกที่แม่เพิ่งเสียชีวิตโดนทอดทิ้งเพราะไม่มีใครอยากเข้าใกล้หรือให้การอุปการะเลี้ยงดู คุณย่าท่านสงสาร เลยรับมาเป็นบุตรบุญธรรม เพราะท่านเองก็เพิ่งเสียหลานชายอย่างบัวไปเมื่อสองสามปีก่อนหน้านั้น
บัวมอง ‘น้าชาย’ บุญธรรมวัยหกขวบวิ่งปุเลงๆมาทางตนแล้วก็ย่อเข่าก้มรับร่างเด็กน้อยผมน้ำตาลบลอนด์เข้ม ตาสีเขียวเข้ามาในอ้อมแขน การวิ่งไปเก็บดอกกาสะลองจนได้มาเป็นช่อใหญ่คงทำให้เจ้าตัวน้อยของเขาร้อนจนเหงื่อออกเต็มหน้า บัวใช้นิ้วเกลี่ยแก้มเด็กเบาๆเป็นการเช็ดเหงื่อให้ เด็กน้อยยิ้มสวยส่งให้เขา ก่อนจะยื่นช่อดอกกาสะลองให้กับเขาแล้วบอกว่า...
“…ให้”
“ให้เหรอ...ขอบคุณครับ” บัวรับดอกกาสะลองมาก่อนจะเอามือยีผมน้าชายของเขาเบาๆ
“ไปสวนสตรอเบอร์รี่กันได้มั้ย...” เด็กน้อยชวนเขาต่อ เมื่อดูเหมือนพลังงานในการเล่นสนุกของเจ้าตัวกวนยังไม่สิ้นสุด
“สวนสตรอเบอร์รี่...อยากไปเหรอครับ” บัวถามย้ำ เด็กน้อยพยักหน้าซ้ำๆจนผมกระเด้ง
เขาอยู่ที่นี่มาเกือบอาทิตย์ และได้แวะไปเที่ยวที่สวนผลไม้ของคุณกฤษณ์มาบ้างแล้วสองสามหน ซึ่งเจ้าของสวนก็ช่วยอำนวยความสะดวกถึงขนาดที่ในบางครั้งยังเป็นคนนำเขาเข้าไปชมสวนด้วยตัวเอง และทุกครั้งเขาก็มักจะได้ของฝากติดไม้ติดมือมาเสมอด้วย...ซึ่งนั่นทำให้บัวรู้ว่าเพื่อนใหม่ของเขาเป็นคนใจดีไม่ใช่น้อย การที่จะพาเจ้าตัวแสบเข้าไปชมสวนสตรอเบอร์รี่ของอีกฝ่ายจึงไม่ใช่เรื่องน่าลำบากใจสำหรับเขาเท่าไหร่
บัวจับเด็กน้อยไปล้างหน้าล้างตาในบ้าน บอกขออนุญาตคุณย่าว่าจะพาเด็กไปเที่ยว เสร็จสรรพก็จูงมือกันสองคนเดินไปที่สวนข้างบ้าน คุณลุงที่คอยเฝ้าสวนผลไม้ของคุณกฤษณ์จำหน้าของบัวและเด็กน้อยผมสีน้ำตาลบลอนด์ได้ดี เลยให้พวกเขาเข้าไปในสวนได้อย่างสบาย มีการจะช่วยนำทางให้ด้วยแต่เด็กน้อยของบัวผู้คุ้นเคยกับสวนนี้เป็นอย่างดีไม่ต้องการผู้ติดตาม คนทั้งคู่จึงสามารถเดินเข้าไปในบริเวณของสวนสตรอเบอร์รี่ได้อย่างสบายอารมณ์
บัวปล่อยให้เด็กน้อยเดินเที่ยวอยู่ในแปลงสตรอเบอร์รี่ได้ตามสบาย เพราะปกติเด็กน้อยของเขาไม่ใช่เด็กที่ซนแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้อย่างเด็กคนอื่น แถมคนงานในไร่สตรอเบอร์รี่ยังคอยช่วยดูกันอยู่ บัวจึงมีเวลาได้เหม่ออยู่กับตัวเองและคิดเรื่องอะไรต่างๆ ทั้งเรื่องที่ใต้และเรื่องของแม่...ที่จนป่านนี้คุณย่าก็บอกว่ายังไม่มีข่าวคราวอะไรคืบหน้า และไม่รู้ว่าแม่เขาไปอยู่ที่ไหน เพราะทางตำรวจยืนยันแล้วว่าไม่มีศพคนตายอยู่ในบ้านที่ไหม้ไฟของเขา
และคงเพราะเด็กน้อยของเขาเห็น ‘หลานชาย’ อย่างบัวกำลังยืนเหม่อ...เจ้าตัวเล็กจึงวิ่งมาหาแล้วดึงกางเกงเขาเพื่อจะยื่นช่อดอกสตรอเบอร์รี่ที่ไปแอบเก็บมาให้กับบัว...เด็กคนนี้ติดนิสัยนี้มาจากไหนก็ไม่รู้ แต่ทุกครั้งที่เขาได้อะไรสักอย่างมาจากน้าชายตัวน้อย...คือทุกครั้งที่เขามีอาการเหม่อหรือจมอยู่กับตัวเอง...
ท่าทางที่คนตัวขาวก้มลงรับของจากเด็กน้อยผมน้ำตาลบลอนด์แล้วก็สวมกอดเด็กคนนั้นเอาไว้ทำให้ร่างตัวสูงของใครบางคนที่หลบอยู่หลังต้นไม้ต้นใหญ่เผลอกำมือแน่น...
…เขาตาไม่ฝาด...คนที่ยืนอยู่ท่ามกลางใบเขียวผลแดงของผลไม้เมืองเหนือนั่น คือคนที่เขาแทบพลิกแผ่นดินตามหา ด้วยความเชื่อที่ว่าอีกฝ่ายกำลังตกอยู่ในอันตราย ซึ่งทำให้เขากินไม่ได้นอนไม่หลับมาเป็นอาทิตย์...
…แต่ที่เห็นยืนอยู่นั่น...! ด้วยท่าทางสบายดีและแถมยังมี...เด็ก...ที่ไหนก็ไม่รู้อยู่ด้วย...มันเรื่องอะไรกัน! ถ้าเจ้าตัวแต่อยากกลับบ้าน อยากหนีกลับมาก่อนก็น่าจะบอกกันสักคำ เขาใช่จะกักขังหน่วงเหนี่ยวอีกฝ่ายเอาไว้ที่บ้านเขาเสียเมื่อไหร่...แล้วการที่บัวหายตัวไป ไม่ใช่แค่เขาที่ต้องเดือดร้อน แต่ทั้งกรมตำรวจและชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงที่ต่างก็เป็นห่วงและช่วยกันออกตามหา อีกทั้งยังช่วยกันสืบจนไล่ต้อนพวกมันให้หนีกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทางเมื่อเจ้านายพวกมันถูกจัดการ แต่เมื่อเข้าไปค้นในรังของพวกมันแล้วไม่เจอตัว เขาจึงคิดจะติดตามตัวไอ้พวกลูกน้องที่หลบหนีหายมาที่นี่ เพราะเผื่อจะได้เจอเบาะแสอะไรก็ตามที่ทำให้เขาสามารถตามหาคนของเขาได้
…และเขาก็ไม่ผิดหวัง เพราะเขาได้เจอจริงๆ...
…แม้จะเจอในแบบที่เขาไม่คิดว่าจะเจอก็เถอะ...แต่อย่างน้อยก็ยังดี...ที่คนคนนั้นยังดูท่าทางว่าจะสบายดี ไม่เป็นอะไร...
“เฮ้ย มายืนหลบทำอะไรอยู่ตรงนี้วะ” กฤษณ์ที่ยืนมองเพื่อนหนุ่มของเขาอยู่เกือบนาทีทักขึ้น อีกฝ่ายแอบมีท่าทางสะดุ้งเล็กๆแสดงให้เห็นว่าจิตใจคงไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว
“ไม่มีอะไร...”
“แอบดูใคร...” กฤษณ์มองตามสายตาของเพื่อน ก็พบว่าไปหยุดอยู่ที่แขกผู้ได้รับเชิญโดยไม่ต้องใช้บัตรให้เข้าชมสวนของเขาได้แบบไม่จำกัดเวลา ซึ่งดูท่าทางว่าคงจะกำลังเพลินกับสตรอเบอร์รี่สดๆจากสวนของเขาอยู่พอสมควร “มีอะไรอยากถามฉันมั้ย...”
สิงห์มองสบตากับเพื่อน ปลายหางตายังคงเห็นร่างผิวขาวๆคุยเล่นอยู่กับเด็กฝรั่งคนนั้นอย่างสนิทสนม แล้วจึงเอ่ยกับเพื่อนเขาว่า...
“มีแน่...เพราะผู้ชายคนนั้น...เป็นเมียฉันเอง”
———————————————————
แห่ะๆ กว่าจะครบ...สมกับฉายา นิยายดองข้ามปีจริงๆ
ข้าน้อยสมควรตาย...ข้าน้อยขออำภัยจริงๆ!!!
ขอบพระคุณทุกท่านเป็นอย่างสูงอีกคำรบ