หลบรักII - 03(Ik x Kao)
มนุษย์เงินเดินส่วนใหญ่เกลียดวันจันทร์ผมไม่รู้หรอกว่าคนทั่วไปถึงเกลียดวันจันทร์นักหนา แต่สำหรับผมแล้วมันมีสาเหตุ
เรื่องของเรื่องก็คือ นี่เป็นวันจันทร์ต้นเดือนแรกของชีวิตผู้ใหญ่ของไอ้เก้า นักศึกษาจบใหม่ที่ถูกตราหน้าว่าเป็นเด็กเส้นตั้งแต่ยังไม่ได้งาน ประเด็นสำคัญมันไม่ใช่แค่นั้นหรอกครับ ผมเชื่อว่าความสนิทสนมของผมกับเฮียอิ๊กไม่ได้ถูกเปิดเผยในวงกว้าง แต่เรื่องหลักคือผมดันตั๊นหน้าเจ้านายตัวเองไปเมื่อ 2 – 3 วันก่อน และกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่ได้คุยกันเลย
บอกตรง ๆ อึดอัดครับ อึดอัดโคตร ผมไม่ได้สังเกตหรอกนะว่าเฮียมันจะมาหาผมทุกวัน ถ้าวันไหนไม่มาก็จะโทรมาคุยก่อนนอนจนมันหายไปนี่แหละ อยากโทรไปขอโทษก็กลัวเสียฟอร์ม แต่ยอมรับแมน ๆ เลยว่าเหงา ผมมันเด็กบ้านนอกครับ อยู่กรุงไม่มีใคร ชีวิตก็มีแต่ไอ้ไอซ์ (ที่ตอนนี้ติดผัวอย่างกับอะไรดี) กับเฮียอิ๊ก (ที่เสือกจ้องแทงข้างหลังผมมาตั้ง 4 ปีเต็ม)
ผมทำตัวไม่ถูก ตอนนี้ก็ยังรู้สึกไม่ดี แต่จะทิ้งงานก็ไม่ใช่เรื่อง ขืนทำตัวแย่บริษัทเขาจะแบนมหาลัยผมไป 2 -3 รุ่นเลยครับ สุดท้ายก็เลยต้องถอนหายใจยืดยาวมาทำงานเพื่อน้องรุ่นหลัง ๆ ตามนิสัยผู้เสียสละ ยืนมองตัวเลขของลิฟท์ที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยอารมณ์สุดแสนจะเซ็ง กระทั่งถึงชั้นที่กดก็ท่องบทสวดมนต์แผ่เมตตาไปด้วย ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดี ให้เฮียเจอหน้าผมแล้วใจอ่อนเป็นขี้ผึ้ง เลิกโกรธเลิกงอนแล้วกลับมาเป็นเหมือนเดิมเสียที
โอเค... ผมเกลียดวันนี้เพราะไม่อยากจะยอมรับว่าผมมาทำงานตั้งแต่ไก่โห่เพราะคิดถึงมันนั่นแหละ เฮ้อ..
“เก้า?”เสียงเรียกดังขึ้นเมื่อผมเดินออกไปต่อคิวมนุษย์เงินเดินที่กำลังแสกนนิ้วเข้างาน ผมเหลือบตามองนิดเดียวก็เห็นว่าใครยืนยิ้มหวานให้จนโลกเป็นสีชมพู แปลกที่เวลานี้ผมกลับไม่มีความรู้สึกยินดีปรีดาอะไรเลยที่ได้เจอคนที่แอบชอบ
“ได้งานที่นี่เหมือนกันเหรอ ดีจังเลยเนอะ”
“อืม แผนกมิลค์อยู่ชั้นนี้เหรอ?”
“ใช่แล้ว ตอนแรกตื่นเต้นแทบบ้า เจอเก้าแล้วค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย”
ผมพยักหน้าให้ ก่อนมิลค์จะขอเบอร์ผมไป เราแลกเบอร์กันอยู่หน้าลิฟท์นั่นแหละครับกระทั่งเสียงกระแอมไอของใครบางคนดังขึ้น ผมก็เผลอรีบเอาโทรศัพท์ซ่อนไว้ข้างหลัง
เฮียอิ๊กไม่พูดอะไร ไม่ได้ทักทายแต่ปรายตามองผมแล้วเดินผ่าน ผมไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่ความรู้สึกตอนนั้นโคตรอยากกระชากมาถามเลยว่าทำไมต้องเมินกันแบบนี้ ความรู้สึกดีๆไม่เหลือให้กันแล้วหรือยังไง แต่สุดท้ายก็ได้แต่มองแผ่นหลังกว้างเดินห่างออกไปทุกขณะ
มีสิทธิ์อะไรไปโวยวายเขาวะไอ้เก้้า
“คุณอธิษฐ์หล่อเนอะ”มิลค์พูดเหมือนเพ้อ มองตามคนที่จากไปตาละห้อยทำให้หางตาผมรู้สึกกระตุกแปลก ๆ
“ผู้หญิงคนไหนได้เป็นแฟนคงโชคดีเป็นบ้าเลย”
คราวนี้ผมแค่นหัวเราะอยู่ในใจแทน ผู้หญิงคนไหนได้เป็นแฟนคงเป็นบ้ามากกว่า แอ๊บแมนซะกูเงิบ ไอ้เราก็นึกว่ามันมาจีบไอ้กิ๊บ ที่ไหนได้...
ผมคุยกับมิลค์ต่อนิดหน่อยก่อนปลีกตัวเข้าทำงาน ผมว่าผมมาเช้าแล้วนะ ยังเจอพวกที่มาก่อนเข้างานอีก คนบริษัทนี้มันจะขยันเกินไปแล้ว ทุกคนในแผนกต้อนรับผมหน้าตายิ้มแย้ม เป็นมิตรสุดๆ ก็ผมมันเด็กใหม่คนเดียวแถมยังหล่อเหลาเอาการขนาดนี้ใคร ๆ ก็เห่อ มีแค่คนเดียว คน ๆ เดียวที่รู้จักผมดีเท่านั้นที่ไม่ออกจากห้องกระจกที่ถูกกั้นไว้เป็นส่วนตัว ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองตอนพี่เลี้ยงที่เป็นคนสอนงานพาผมเข้าไปแนะนำเลยด้วยซ้ำ
มันโกรธผมจริง ๆ เหรอวะผมเริ่มงานวันแรกด้วยความรู้สึกแย่ ๆ ครับ ไม่ใช่แย่กับงานที่ถูกสอนแบบอัดกระป๋อง แต่แย่ที่เห็นเฮียผ่านห้องกระจกใส ๆ แต่กลับไม่สนใจกันเลยต่างหาก ผมนั่งพะวงกับเรื่องมันมาหลายวัน อยากให้ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิม เป็นเหมือนตอนที่ผมยังไม่รู้ว่ามันคิดยังไง อยากให้มันอยู่ใกล้ ๆ ใจดีกับผม ไม่จีบมิลค์แล้วก็ได้ แต่อยากให้มันมีผมในสายตาเหมือนเมื่อก่อน
ผมไม่รู้ว่าตัวเองคิดยังไง...
แต่ว่า... ผม ...ต้องการมัน
และไอ้เก้าเป็นคนที่มีความอดทนต่ำ หลังจากผ่านวันแรกไป ผมก็ไปดักรอเฮียที่ลานจอดรถที่เดิม ผมไม่รู้ว่าปกติมันเลิกงานกี่โมงก็รอไปตบยุงไปเรื่อย เล่นโทรศัพท์จนแบตหมด ประมาณทุ่มเศษ ๆ มันถึงเดินออกมา แต่มาพร้อมผู้หญิงหนึ่งคนที่เห็นเข้าไปคุยกับมันในห้องกระจกระหว่างวันบ่อย ๆ ดูท่าแล้วอ่อนกว่ามันแต่แก่กว่าผม เป็นสาวออฟฟิศที่กระฉับกระเฉงและสวยสง่าน่ามองเลยทีเดียว เวลาเดินด้วยกันผมแอบรู้สึกว่ามันเหมาะสมกัน แต่ขณะเดียวกันก็เถียงว่าไม่... เฮียอิ๊กไม่เหมาะที่จะเดินกับใครนอกจากผมสักหน่อย
ผมไม่ได้หลบไปหลังจากที่เห็นมันมีแขกเพราะคิดว่าเดี๋ยวคงแยกกับเขา แต่ผิดครับ เฮียเหลือบตามองผมก่อนอ้อมไปเปิดประตูให้สาวเจ้าเข้าไปนั่งคู่ ผมงี้ก็เหวอเลย มันไม่เอ่ยทักผมซักคำด้วยซ้ำ พอขึ้นรถได้ก็บึ่งออกไป ไอ้เหี้ยอิ๊ก กวนส้นตีนแล้วไหมล่ะ
ผมยืนฟึดฟัดชัดใจอยู่พักใหญ่ คือรอตั้งแต่ห้าโมงครึ่งยันทุ่มครึ่งเพื่ออะไรวะกู โง่แบบสมควรโดนไอ้ไอซ์ด่าจริง ๆ แต่ทำไงได้ สุดท้ายก็ได้แต่กระชับกระเป๋าเป้ตัวเองเดินออกมาขึ้นบีทีเอสข้างนอก บริษัทผมอยู่ห่างจากสถานีไม่ไกลมากแต่ฟ้าฝนแม่งจัญไรเสือกตกลงมาตอนเดินมาได้ครึ่งทาง ผมเลยต้องเอากระเป๋าเป้บังหัวแล้วหลบที่ป้ายรถเมล์ใกล้ ๆ รอให้ฝนซาเสียก่อน ทุ่มกว่าหน้าบริษัทผมเงียบเหงามากครับ เหลือพนักงานที่อยู่ทำโอทีไม่กี่คนที่ติดฝนอยู่ด้วยกัน แต่ละคนแข่งกันทำสีหน้าเซ็งโลก บางคนเลิกล้มความตั้งใจจะนั่งรถเมล์มาโบกแท็กซี่ แต่ประทานโทษครับ ฝนตกตอนค่ำ ๆ นี่นาทีทองของพี่แท็ก เรียกคันไหนส่งรถตลอด
ผมยืนมองความอับจนของชีวิตคนไม่มีรถส่วนตัวได้สักพักรถยุโรปราคาแพงเลขทะเบียนคุ้นเคยก็ปราดมาจอดเทียบหน้าป้าย ไม่ต้องรอให้เจ้าของลงมาเรียก ผมก็กระโดดเหยงขึ้นรถแบบไม่เกรงใจใครพลางทำสายตาเห็นอกเห็นใจให้เพื่อนร่วมชะตากรรมที่ยังคงต้องถูกฟ้าดินลงโทษอยู่จนรถเคลื่อนตัวออกมา
“คาดเข็มขัด”
เฮียอิ๊กเป็นฝ่ายพูดก่อน ทว่าไม่ใช่ด้วยน้ำเสียงใจดีอย่างเคย มันทั้งแข็ง ทั้งกระด้าง และกระตุกต่อมตีนสุด ๆ แต่ผมก็ยอมคาดไปไม่ให้มันบ่น เฮียอิ๊กไม่ถามว่าผมมารอทำไม ไม่ถามว่าจะไปลงที่ไหน แต่กลับพาเข้าอเวนิวใกล้ ๆ เพื่อหาอะไรกินแทน
“ผู้หญิงเมื่อกี๊ไปไหนแล้ว?”
“ไปส่งขึ้นบีทีเอสเฉย ๆ ”
“แฟนเฮียเหรอ?”
มันผิดปกติใช่ไหมล่ะ ทำไมต้องไปส่งกันด้วยวะ ไม่แฟนก็กิ๊กอะ บีทีเอสมันก็อยู่แค่ตรงนี้ ถ้าไม่ติดว่าฝนตกป่านนี้ผมก็เดินไปถึงแล้วเหมือนกัน เฮียอิ๊กไม่ตอบเอาแต่มองเมนูอาหารแล้วสั่ง สั่งของตัวเองไม่พอ สั่งเผื่อผมด้วย เชี่ยอะไรของมันเนี่ย ทำไมไม่ตอบคำถามล่ะ บอกมาสิว่าไม่ใช่ อธิบาย แก้ตัวมาสิ ไหนมันว่าชอบผมไง อย่าปล่อยให้ผมคาใจแบบนี้สิวะ
“อย่าเมินผมดิเฮีย เรื่องวันก่อนผมขอโทษ ตอนนั้นตกใจจริง ๆ ”
“อืม”
“หายโกรธผมเหอะ”
“ไม่ได้โกรธ”
“ไม่ได้โกรธแล้วทำไมทำงี้อะ เราเป็นเหมือนเดิมไม่ได้เหรอ?”
“เก้า...” เฮียอิ๊กเรียกชื่อผม น้ำเสียงตอนนี้นุ่มขึ้นจนผมเผลอยิ้มออกมา ถ้ามีหางคงกระดิกไปด้วยแล้ว “...เคยได้ยินไหม คำว่ารักถ้าพูดออกมาแล้วมันไม่ทำให้ใกล้กัน ก็ห่างกัน”
“แต่...”
“ฉันรักนาย และมันจะไม่มีอะไรเหมือนเดิม ที่เหลือก็อยู่ที่นายแล้วว่าอยากให้ระหว่างเราเป็นยังไง”
เล่นโยนมาแบบนี้ผมจะทำอะไรได้ล่ะครับนอกจากก้มหน้า ไม่มีบทสนทนาเพิ่มเติมระหว่างผมกับเฮียกระทั่งอาหารถูกยกมาเสิร์ฟ ผมใช้ช้อนเขี่ยกินได้สองสามคำ ไม่ต่างจากคนฝั่งตรงข้าม จากทุ่มครึ่ง ไปสองทุ่มครึ่ง กระทั่งสามทุ่มครึ่ง พนักงานก็เดินมาบอกว่าร้านจะปิด ผมกับเฮียเลยลุกจากที่นั่งไปจ่ายเงินทั้ง ๆ ที่ละเลียดกินไปได้แค่คนละนิดเดียว ถามว่าดีใจไหมตอนที่ได้ยิน แหม มีคนชอบก็ดีกว่ามีคนเกลียด แต่ผมไม่รู้จะทำตัวยังไงนี่หว่า ผมไม่อยากเป็นตุ๊ดนี่ แค่อยากอยู่กับเฮียเท่านั้นเอง
ผมควรเลือกยังไง ควรทำตัวแบบไหนระหว่างผมกับมันถึงจะดีที่สุดล่ะวะ...ฝนซาลงแล้วหลังจากผมกับเฮียออกจากอเวนิวใกล้ออฟฟิศ แต่เฮียยังขับรถช้ากว่าปกติเพื่อมาส่งผมที่หอ ทว่าครั้งนี้เฮียไม่เอารถไปจอดในลานอย่างที่ชอบทำ เพียงแต่สตาร์ทเครื่องทิ้งไว้ตรงประตูทางเข้าบ่งบอกว่าทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้วนับจากวันนั้น
เฮียอิ๊กคงไม่ขึ้นไปที่ห้องผมอีกแล้ว“...เฮีย”
ผมเรียกอีกฝ่าย อึดอัดจริง ๆ เหมือนคนปวดขี้แต่ขี้ไม่ออก เฮียอิ๊กคำรามรับคำในลำคอและยังคงไม่ยอมมองหน้าเหมือนก่อนหน้านี้
“ผมไม่อยากให้เราเป็นแบบนี้เลยว่ะ”
“ฉันก็ไม่อยาก”
“ผมไม่เข้าใจ ทำไมเรากลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้วะ”
เฮียเงียบไปแต่ถอนหายใจยาวแทน ผมมองเสี้ยวหน้าของคนขับรถที่เบือนออกนอกกระจกเพื่อเค้นหาคำตอบ เราเล่นสงครามเย็นในรถแคบ ๆ อยู่นาน ก่อนผมจะหมดความอดทนกระชากไหล่ให้มันหันกลับมามองผม
เราสบตากันภายใต้ความเงียบเป็นครั้งแรก ก่อนเฮียจะโน้มตัวเข้ามาใกล้ผมเรื่อย ๆ รสสัมผัสเมื่อกลีบปากแตะกันวูบแรกเป็นสิ่งที่ผมอธิบายไม่ถูก ผมหลับตาลง ได้กลิ่นเมนทอลของบุหรี่นอกที่เฮียชอบสูบและอ่อนหวานลุ่มลึกเมื่อถูกบดเบียดเข้ามาแนบแน่นยิ่งกว่าเก่า
ผมไม่ได้ขัดขืน เพียงแต่จับบ่ามันเอาไว้
“อื้อ...”
ความนุ่มชื้นของริมฝีปากหยุ่นทวีความรุนแรงขึ้นตามอารมณ์วูบไหว ปลายลิ้นอ่อนสอดแทรกเข้ามากวาดต้อนผมให้เคลิบเคลิ้มไปกับรสหวานเย็น ๆ ของอีกฝ่าย ลมหายใจร้อนผ่อนกระทบหน้า ก่อนเฮียจะเอียงคอและกดท้ายทอยผมให้ลึกกว่าเดิม ผมไม่ได้จูบตอบแต่ยังปล่อยให้เฮียจูบ ดูดดึงริมฝีปากไปและขบกัดเบา ๆ ด้วยฟันเรียง กระทั่งเฮียเป็นฝ่ายถอนปากออกไปเอง ผมก็เผลอหอบหายใจเพราะหัวใจมันเต้นแรงจนเจ็บไปหมด
“ขอโทษ.. แต่ ถ้านายรังเกียจฉัน เราก็ไม่ควรมาสนิทกันอีก”
“...ผะ...ผม...”
“ฉันรู้ว่านายไม่ได้ชอบผู้ชาย เพราะงั้นเราก็ควรทางใครทางมันสิวะ”
“ก็ผมไม่ได้ชอบผู้ชาย แต่ผมชอบเฮียนี่! จู่ ๆ เฮียมาบอกว่าคิดกับผมอย่างอื่นที่ไม่ใช่พี่น้องผมก็สับสนสิวะ ให้เวลาผมหน่อยสิ! ผมไม่รู้หรอกนะว่ามันต่างกันยังไง แต่ผมอยากมีเฮียอยู่ด้วย อยากให้เฮียมารับไปกินข้าว อยากให้เฮียโทรมา อยากให้เฮียดูแลผมเหมือนเมื่อก่อน ผมไม่รู้หรอกว่ามันเหมือนกับที่เฮียรู้สึกไหม แต่ถ้าเฮียไม่อยากให้ผมจีบมิลค์เฮียก็ห้ามจีบผู้หญิงคนนั้นเหมือนกัน ผมเหงา ผมไม่มีเฮียแล้วผมรู้สึกว่าไม่เหลือใคร เฮียเข้าใจผมบ้างเซ่!!”
ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเอาจากไหนพล่ามออกมา แต่พอพูดได้ประโยคเดียวคำอื่น ๆ ก็พรั่งพรูเหมือนก๊อกแตก ผมร้องไห้ด้วย โคตรเชี่ยอะ น้ำตาหยดแหมะ ๆ เลย เฮียอิ๊กไม่พูดอะไร มันหัวเราะแต่ก็น้ำตาไหลเหมือนกัน สรุปใครขี้แงกันครับงานนี้
“อีกอย่าง อึก...ผ...ผม...ก็ไม่ได้รังเกียจที่เฮียจูบด้วย มันแค่...”
จบประโยคนั้นผมก็ยกแขนตัวเองขึ้นมาป้ายน้ำตาลวก ๆ หน้าเห่อร้อนไปหมด ซวยแล้วไอ้เก้า พูดอะไรออกไปวะมึง
“...โอเค ฉันขอโทษที่ใจร้อนเกินไป ไม่เอา ไม่ร้องแล้ว”
“มึงก็ร้องเหมือนกันแหละวะ!”
“......ก็ดีใจนี่”
ผมเม้มปากเข้าหากัน กรรมของเก้า กู เพิ่งตกใจไอ้เชี่ยไอซ์เป็นเกย์ไปหมาด ๆ ไม่อยากจะยอมรับเลยว่าผมก็ก้าวขาไปข้างนึงแล้วเหมือนกัน ผมไม่รู้หรอกว่ามันถูกหรือเปล่า ดีหรือเปล่า แต่ผมโคตรเกลียดตัวเองเวลาที่เอาแต่คิดถึงเรื่องของเฮียเลย ผมไม่อยากเดา ไม่อยากสงสัยว่ามันอยู่ที่ไหน อยู่กับใคร และตอนนี้มันรู้สึกอะไร ผมกระวนกระวาย ไม่เคยรู้สึกสงบสักนาทีเวลาที่ต้องรู้สึกว่า ผมกับมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
อีกอย่างคือมันเจ็บด้วย เวลาที่เห็นเฮียอยู่กับใครที่ไม่ใช่ผม เวลาที่เฮียให้ความสำคัญกับใครคนอื่น นอกจากผม
ผมอยากให้มันอยู่ใกล้ ๆ ยิ้มให้แล้วก็อ่อนโยนเหมือนก่อนหน้านี้ ผมอาจจะรักมันมานานแล้วก็ได้ ไม่รู้โว้ย แต่ผมโคตรชอบเวลาที่เราอยู่ด้วยกันเลย ไม่อยากจะยอมรับหรอกว่า ความรู้สึกแบบนี้อาจเป็นสิ่งที่หลบอยู่ในใจภายใต้หน้ากากของพี่น้องระหว่างผมกับมัน ความรู้สึกที่เฮียมันบอกผมผ่านสายตา ว่าระหว่างเรามันไปไกลกว่านั้นกันมานานแล้ว
เราอาจไม่ใช่แค่พี่น้องกันมานานแล้ว…“เมื่อกี๊เจ็บมั้ย?”เฮียถามพลางใช้นิ้วหัวแม่มือลูบปากผม “ขอโทษ ทำให้จูบแรกไม่ประทับใจเลย”
“เออสิวะ”
ผมใช้หลังมือถูปากตัวเองลวก ๆ มองอีกฝ่ายที่ไม่มีทีท่าจะสลดสักนิดด้วยหางตา“ไปโกนหนวดมาด้วย มันเจ็บ”
เฮียอิ๊กหัวเราะ ก่อนยืดตัวมาจูบผมที่หน้าผาก “รับทราบ คืนนี้เราดีกันแล้วนะ”
“เออ”
“พรุ่งนี้เจอกันที่ออฟฟิศหรือจะให้มารับ”
“ไปเองได้น่า”
“แล้วเบอร์ที่ขอมัณฑนาไว้น่ะ อย่าให้เห็นว่าโทรโดยที่ไม่มีธุระ เห็นดีกันแน่”
“เออ ๆ รู้แล้ว มีอะไรจะสั่งอีกไหม จะกลับขึ้นห้องแล้ว ง่วง”
“บอกรักมาเดี๋ยวนี้”
ไอ้เฮี้ยยยยยยย ผมยื่นมือไปยันหน้ามันที่ยื่นมายิ้มกระลิ้มกระเหลี่ยสุดแขน เฮียอิ๊กหัวเราะเบา ๆ พลางยีหัวผมจนยุ่ง ผมมองรอยยิ้มนั้นด้วยความรู้สึกที่เต็มอิ่มอยู่ในอก ยิ้มแบบนี้แหละที่ทำให้ผมอุ่นใจ รอยยิ้มของเฮียที่เป็นของผม คิดแล้วเขินวุ้ย ใจแตกใหญ่แล้วไอ้เก้า
“ขึ้นห้องดีกว่า”
“ไม่ชวนค้างด้วยเหรอ เมื่อก่อนล่ะชวนจัง”
“ไม่!” ขอเตรียมตัวเตรียมใจก่อนครับ กลัวโดนคิดบัญชีย้อนหลัง “กลับไปเลยเฮีย ขับรถดี ๆ”
เฮียอิ๊กหัวเราะหึหึ แล้วหยิกแก้มผมแรง “อืม ปล่อยไปก่อนก็ได้ ฝันดีตัวแสบ”
ผมรีบเปิดประตูลงมาก่อนมันเปลี่ยนใจ ยืนโบกรถให้เฮียกลับรถง่าย ๆ และก่อนรถยุโรปจะเคลื่อนตัวออกไปจากบริเวณนั้นก็รีบไปเคาะกระจกเอาไว้
“หืม?” เฮียอิ๊กลดกระจกข้างคนขับ ผมเลยกระซิบเสียงเบา ๆ ผ่านช่องว่างนั้นไป
“ฝันดีเฮีย พรุ่งนี้เจอกัน”
เฮียอิ๊กยิ้มแก้มปริก่อนเคลื่อนรถออก ผมยืนส่งจนไฟท้ายหายลับไปในท้องถนนยามรัตติกาลแล้วจับหัวใจตัวเองที่ยังเต้นแรงเบา ๆ
เขิน... โคตรเขินจนอยากจะกรี๊ดเลย
“นั่นแหน่ะ” ทว่าเสียงกระเซ้าท้าทายอำนาจมืดก็เอ่ยลอยมากับลม ผมหันไปมองแหล่งกำเนิดโดยเฝ้าภาวนาในใจว่าคงไม่ใช่ไอ้เด็กห้อง 1206 ที่เห็นฉากเมื่อกี๊ตั้งแต่ต้นจนจบ
...แต่ก็ไม่ พระเจ้าไม่เคยได้ยินเสียงของกรุณาผู้อาภัพ“ผมบอกแล้วว่าเฮียไม่ได้จีบน้องสาวพี่”
รุ่นน้องร่วมหอที่ผมไม่อยากเจอที่สุดในสามโลกยืนสวมกางเกงบอลเสื้อกล้ามพิงเครื่องซักผ้าหลิ่วตาล้อ พอเห็นผมหน้าถอดสีมันก็ยิ่งหัวเราะชอบอกชอบใจก่อนผิวปากกลับขึ้นห้องตัวเองไป
ไอ้เชี่ยแซน กุเกลียดมึง เกลียดรอยยิ้มหยันของมึง! ไอ้เลว! ไอ้เด็กแก่แดด! ขอให้เมียไม่ให้เอาไปสองเดือน! บังอาจมาแซวกู ไอ้ชั่ว!!!!! ฮือออ แซวกูทำไม กูเขิน ไอ้ชั่วววววว!
END
สวัสดีวันเปิดเทอมกะเจ้าาา
เรื่องนี้ใส ๆ มั้ยล่ะ เฮียอิ๊กเป็นสุภาพบุรุษฮะ ไม่ใช่ชายโฉดแบบไอ้แซน เก้าเลยรอดตัวไป
ขอบคุณทุกคนที่กดเข้ามาอ่านฮะ
นักอ่านของเราน่ารักจริงๆเลย
อ่านคอมเมนต์แล้วหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง หวังว่านิยายของเราจะทำให้คนอ่านที่เหนื่อย ๆ อยู่สุขเกษมเปรมปรีดิ์เหมือนกันนะฮะ
ปล. รักคนอ่านมากเหมือนเดิม 
แถมSD ให้ดูนิดนึง อีเก้าน่ารักมาก 