"เฮ! เฮ! บูม!!!!"
เสียงร้องเพลงทำกิจกรรมของน้องปี 1 และเสียงรัวกลองดังไปทั่วบริเวณลานใต้ตึกคณะ ฝ่ายที่ต้องรับหน้าที่ดูแลน้องใหม่เหล่านี้หลักๆ ก็คือเด็กปีสอง สำหรับรุ่นพี่ปีสามกับปีสี่นั้นค่อนข้างลอยตัวและเพียงแต่มาคอยให้กำลังใจเท่านั้น ช่วงนี้บรรยากาศรอบมหาวิทยาลัยจึงสดใสชื่นมื่นเพราะมีแต่เด็กหน้าใหม่มาเข้าร่วมรับน้องก่อนเปิดเทอมเต็มไปหมด
ธีระที่กำลังจะเป็นรุ่นพี่ปีสี่ก็ติดตามเพื่อนๆ มาร่วมดูกิจกรรมรับน้องใหม่เช่นกัน นับจากวันที่เขากลับมาจากน่านพร้อมกับศันสนีย์และสุเมธก็ผ่านมาได้หนึ่งสัปดาห์แล้ว ตอนที่เขาต้องไปบอกลาปิยพลเพื่อกลับมาเตรียมตัวเข้าเรียนปีสี่ก็ใจหาย แต่ฝ่ายนั้นเพียงแต่ยิ้มและอวยพรให้เขาโชคดี นอกจากนั้นยังให้สร้อยข้อมือที่ร้อยจากเชือกหนังและหินทับทิมเป็นที่ระลึกมาอีกเส้นหนึ่ง
เด็กหนุ่มคิดถึงตรงนี้ก็ยกข้อมือข้างที่สวมสร้อยเส้นนั้นขึ้นมาดู หินทับทิมที่ถูกนำมาทำร้อยนั้นมีลักษณะเป็นลูกปัดกลมสีแดงก่ำและขุ่นเล็กน้อยเพราะไม่ผ่านการเจียระไน ตอนนั้นเขาถามญาติผู้พี่ไปว่าหินนี้มีความหมายอะไรหรือเปล่า แต่คนถูกถามเพียงแต่อมยิ้มแล้วก็ไม่ตอบ บอกแค่ว่ามันจะนำโชคในด้านที่เขาต้องการมาให้
"ตี้ เดี๋ยวเย็นนี้ไปกินข้าวที่บ้านฉันกันมั้ย? อีเมธก็จะไปด้วยนะ"
"หือ? เอาสิ ว่าแต่ไปกินข้าวบ้านซันบ่อยๆ นี่แม่ไม่ว่าบ้างเหรอ เหมือนพวกเราไปอาศัยกินฟรียังไงก็ไม่รู้"
"อู๊ย! คิดมากอะไรกัน ให้ฉันพาเพื่อนไปทั้งเอกแม่ยังไม่ว่าเลย ไปเถอะน่า ไหนๆ แกก็ว่างอยู่แล้วนี่"
"ก็ได้ ถ้างั้นรอให้รับน้องกันเสร็จก่อนก็แล้วกัน"
หลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมรับน้องประจำวัน ศันสนีย์จึงค่อยขับรถพาเพื่อนทั้งสองไปทานมื้อเย็นที่บ้าน แม่ของศันสนีย์เป็นคนใจดีและไม่ถือตัวทั้งๆ ที่มีฐานะร่ำรวย นอกจากนั้นยังให้การต้อนรับเพื่อนฝูงของลูกสาวอย่างดีเสมอ ธีระเองก็รู้ว่าเพราะเพื่อนของเขาไม่อยากปล่อยให้ฟุ้งซ่านเพราะอยู่คนเดียวจึงชวนมาที่บ้านบ่อยๆ ทำให้เด็กหนุ่มอุ่นใจไม่น้อยกับมิตรภาพที่ได้รับ
"อร่อยมั้ยลูก วันนี้แม่ไปเดินตลาดเลือกปลามาทำกับข้าวเองเลยนะ"
"โหยคุณแม่ ฝีมือคุณแม่นี่ไปเปิดร้านอาหารได้เลย ถ้าเปิดแล้วหนูยินดีไปช่วยเป็นผู้จัดการให้เลยค่ะ"
สุเมธจีบปากจีบคอตอบเสียงหวานอย่างขัดแย้งกับรูปร่างบึกบึน เรียกเสียงหัวเราะครื้นเครงจากทั้งโต๊ะซึ่งมีกันเพียงสี่คนเนื่องจากพ่อของศันสนีย์ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจชาวต่างชาติต้องไปทานอาหารค่ำกับลูกค้า
"จริงสิ แม่คะ ที่เคยเกริ่นกับหนูไปวันก่อน แม่ว่าตี้น่าจะพอไหวมั้ยคะ?"
จู่ๆ ศันสนีย์ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันควัน เรียกสายตาสามคู่ที่โต๊ะทานอาหารให้หันมาจับจ้องเขาเป็นจุดเดียว ธีระซึ่งจับต้นชนปลายไม่ถูกจึงได้แต่กะพริบตาปริบๆ
"หือ? มีอะไรเหรอซัน?"
เด็กหนุ่มถามเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ แต่สุพิชชาซึ่งเป็นแม่ของศันสนีย์ประสานมือไว้ตรงหน้าแล้วก็เอียงคอมองเขาพลางยิ้มอย่างพิจารณา
"อืม ที่จริงก็เข้าทีนะ น้องตี้สนใจจะเดินแบบในงานของแม่มั้ยลูก?"
"เดินแบบ?"
เด็กหนุ่มยิ่งเลิกคิ้วสูงอย่างไม่เข้าใจ ผู้สูงวัยจึงหัวเราะก่อนจะอธิบายอย่างใจเย็น
"คืองี้ เดี๋ยวสัปดาห์หน้าแม่จะจัดงานเดินแบบเครื่องเพชรการกุศลแล้วก็จัดประมูลหารายได้เข้ามูลนิธิที่เป็นกรรมการอยู่ ทีนี้ก็เลยอยากได้ลูกหลานเราเองนี่แหละมาเดินแบบ แม่เบื่องานที่ชอบจ้างนางแบบนายแบบแพงๆ มาเดินเต็มทนเพราะค่าตัวก็ไม่ใช่ว่าถูก โชคดีว่าเพื่อนๆ กรรมการหลายคนก็เห็นด้วย เท่าที่ส่งรูปคนรู้จักมาให้คัดเลือกตัวนี่ก็หน้าตาไม่แพ้พวกมืออาชีพเลยนะ พอดีวันก่อนแม่นั่งเลือกรูปอยู่แล้วซันก็มาเสนอว่าให้ตี้เดินด้วยมั้ยเพราะมีคอลเลคชั่นที่อยากได้พรีเซนเตอร์เป็นกลุ่มวัยรุ่นอยู่เหมือนกัน ตี้สนใจมั้ยลูก?"
"มาสิตี้ ฉันก็เดินด้วยนะ ถ้ามีเพื่อนเดินด้วยฉันจะได้ไม่เขินไง นี่อีเมธ แกก็มาเดินคู่ฉันด้วยสิ"
"ว้าย! ให้ฉันไปเดินด้วยเหรอ?"
"เออสิ! แกน่ะเวลาปิดปากแล้วทำหน้าขรึมๆ ก็พอจะแอ๊บแมนได้อยู่หรอก อีกอย่างหุ่นแกก็บึกยังกับกระสอบทรายขนาดนี้ ขึ้นเวทีน่าจะโอเค แม่ว่างั้นมั้ยคะ?"
"อืม ก็น่าสนใจดีนะ ซันคู่กับหนูเมธ ส่วนตี้เดี๋ยวให้เดินคู่กับลูกสาวคุณลาวรรณก็ได้ ลูกสาวแกเพิ่งจะ ม.5 รูปร่างน่าจะเข้าคู่กับน้องตี้ได้พอดี งั้นก็ตามนี้นะจ๊ะ"
ผู้สูงวัยยิ้มเยื้อนโดยไม่ปฏิเสธ การยอมรับอย่างง่ายดายทำให้ทั้งสุเมธและธีระอึ้งไปนิดหน่อย แต่ก็พอจะชินแล้วที่แม่ของศันสนีย์มักเห็นชอบและสนับสนุนการตัดสินใจของลูกสาว ดังนั้นทั้งคู่จึงเพียงหัวเราะแห้งๆ และไม่ได้เอ่ยขัด
เมื่อมื้อเย็นเสร็จสิ้นก็เป็นเวลาหัวค่ำแล้ว สุเมธกับธีระนั่งคุยเล่นกับศันสนีย์และแม่อีกเล็กน้อยก็พากันขอตัวกลับบ้าน เมื่อถึงห้องของตัวเอง ธีระก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงด้วยความเหนื่อยอ่อน
งานเดินแบบของแม่ซันจัดสัปดาห์หน้า...ก็ก่อนวันเปิดเทอมพอดีเลยน่ะสิ
เขาอดจะนึกถึงคำสัญญาที่มอบให้เป็นมั่นเหมาะเมื่อเย็นไม่ได้ มาตอนนี้ก็ไม่แน่ใจว่าคิดถูกหรือเปล่าที่ตอบตกลงจะไปเดินแบบการกุศลให้ เขารู้ว่าหน้าตาตัวเองไม่ได้แย่ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ชื่นชอบการเป็นจุดสนใจของใครต่อใครมากนัก
มะรืนนี้จะนัดให้ไปฟิตติ้งชุดสำหรับเดินแบบ เอาเถอะ...คิดซะว่าหาค่าขนมก่อนเปิดเทอมก็แล้วกัน...
เด็กหนุ่มคิดพลางยืดแขนไปหยิบรีโมทมาเปิดโทรทัศน์ ถึงแม้จะเหนื่อยแต่เขาก็ยังไม่ง่วงเท่าไหร่ ดังนั้นดูรายการโทรทัศน์ไปเรื่อยๆ กล่อมตัวเองอาจจะช่วยให้หลับไวขึ้นก็เป็นได้
ชั่วโมงนี้รายการทีวีมักฉายละครหรือไม่ก็ข่าวซุบซิบของคนในวงการบันเทิง ธีระกดเลื่อนรีโมทไปเรื่อยๆ อย่างไม่ได้ตั้งใจดูอะไรเป็นพิเศษ แต่แล้วมือที่กำลังไล่กดปุ่มรีโมทก็ชะงักเมื่อเห็นภาพของใครบางคนในจอโทรทัศน์ แม้จะไม่ได้พบหรือได้ยินเสียงมาเป็นเดือนแล้วเพราะเขาเปลี่ยนซิมโทรศัพท์ กระนั้นเพียงแค่เห็นใบหน้าอันคุ้นเคยในจอก็ยังทำให้ลมหายใจติดขัด
คุณกฤต?
"เอาล่ะค่ะ รายนี้ก็นับว่าเป็นหนุ่มไฮโซที่ช่วงหลังมีข่าวบ่อยเชียวนะคะ คุณกฤตภาส ศิตานนท์นั่นเองค่ะ หลังจากไม่นานมานี้เพิ่งจะมีข่าวรักร้าวกับนางเอกสาวประจำช่องดังแถมมีภาพหลุดตอนกำลังสวีทกับหนุ่มน้อยลงหน้าหนังสือพิมพ์ ล่าสุดค่ะคุณขา เพิ่งมีนักข่าวตามไปเห็นว่าหนุ่มไฮโซรายนี้ไปทานข้าวกับสาวสวยแล้วยังจูงมือกันกระหนุงกระหนิงไปช้อปปิ้งของที่ร้านเฟอร์นิเจอร์อีกด้วย แหม...ดูสีหน้าท่าทางของทั้งคู่แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันนะคะว่าแอบมาเลือกซื้อของเข้าเรือนหอกันหรือเปล่า แต่ดูเหมือนฝ่ายหญิงจะไม่ใช่คนในวงการก็เลยยังไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร ไว้มาติดตามกันต่อไปนะคะว่าเราจะได้เห็นข่าวดีของทายาทคนเดียวของเสี่ยโกเมทในเร็ววันนี้ไหม แต่ที่แน่ๆ จุ๊บจิ๊บเห็นคลิปนี้แล้วรู้สึกตาร้อนผ่าวๆ ยังไงก็ไม่รู้ค่ะ"
พิธีกรสาวพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดดุจนกแก้วนกขุนทอง สีหน้าท่าทางซึ่งบรรจงปั้นแต่งขณะบรรยายคลิปสั้นๆ ที่นักข่าวแอบถ่ายมานั้นออกรสชาติราวกับได้เห็นทุกอย่างด้วยตาตัวเอง แต่สิ่งที่ทำให้ธีระรู้สึกเหมือนในอกบิดเกลียวจนแทบหายใจไม่ออกกลับไม่ใช่ท่าทีของพิธีกรเพราะรู้อยู่แล้วว่าเธอจำเป็นต้องเติมไข่ใส่สีไว้ก่อนเพื่อเรียกความสนใจคนดู ทว่าเป็นภาพของชายหนุ่มและหญิงสาวในคลิปที่ยิ้มแย้มให้กันอย่างสนิทสนม นอกจากนั้นฝ่ายหญิงยังควงแขนของกฤตภาสราวกับมีอำนาจชอบธรรมที่จะทำเช่นนั้นโดยไม่ต้องสนใจสายตาคนอื่นต่างหาก
ผ่านมาแค่เดือนเดียวเท่านั้นนับตั้งแต่เขาเลือกที่จะจากมา...แต่ดูเหมือนคุณกฤตคงลืมเขาและพบใครบางคนที่จะจูงมืออวดให้ใครๆ เห็นได้อย่างผ่าเผยแล้วสินะ...
ธีระมองภาพในจอด้วยความรู้สึกสับสน เขาควรจะดีใจ ควรจะโล่งอกและปล่อยวางในเมื่อเขาเคยตั้งใจว่าจะตัดขาดจากกฤตภาสให้ได้ ยิ่งสิ่งที่ได้เห็นตอนนี้ยิ่งหาใช่หลักฐานที่เพียงพอว่าเขาไม่ได้มีความสำคัญใดๆ เลยในใจอีกฝ่ายหรอกหรือ แล้วทำไมยังจะต้องรู้สึกผิดหวัง เสียดาย เจ็บแปลบในอกเหมือนหัวใจถูกบีบจนแทบแหลกแบบนี้อีกเล่า
ทั้งที่รู้ดีว่าไม่ควรยึดติด ไม่ควรปล่อยให้ตัวเองโหยหาอาวรณ์คนที่ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นคนของเขา แต่น่าเสียดายที่ชั่วขณะนี้ ในวินาทีที่เขานั่งมองภาพอันบาดตาที่ไหลผ่านสายตาไปเรื่อยๆ เด็กหนุ่มก็ได้แต่นั่งหน้าซีดเผือดเมื่อพบว่าตนกำลังลิ้มรสความแปร่งปร่าเช่นเดียวกับที่เคยสัมผัสในคืนที่ตระหนักว่าตนหลงรักคนที่ไม่มีวันจะมอบความรักตอบกลับมาอีกครั้ง
++---TBC---++
A/N: ขอบคุณทุกคอมเม้นต์และการติดตามค่ะ ตอนยังพิมพ์ตอนใหม่ไม่ออกนี่แทบไม่กล้าเข้ามาอ่านเม้นต์เลยเพราะกลัวโดนทวง พอคลอดตอนใหม่ได้ก็สบายใจละ คิดถึงทุกๆ คนเลยนะคะ 