เด็กหนุ่มหันไปดึงกระดาษทิชชู่มาเช็ดน้ำตาและน้ำมูก ถึงแม้จะตั้งใจว่าจะไม่ต่อปากต่อคำกับคนนอกห้องอีก แต่ประโยคคำถามถัดมาก็ทำให้เขาของขึ้นอีกจนได้
"นี่! ออกมาเถอะน่า คิดว่าจะนอนในห้องน้ำได้รึไง!?"
"ก็แล้วทำไมจะนอนไม่ได้! ในเมื่อคุณไม่ให้ผมกลับหอ งั้นผมจะนอนที่ไหนในนี้มันก็เรื่องของผม!!"
ธีระตอบอย่างฉุนเฉียวพลางปาก้อนทิชชู่แฉะๆ ไปที่ประตู ใจหนึ่งก็นึกอยากลุกขึ้นกวาดข้าวของในห้องน้ำให้แตกกระจายเพื่อระบายอารมณ์ แต่อีกใจก็เตือนว่าขืนทำอย่างนั้นคงถูกกฤตภาสใช้เป็นข้ออ้างให้ทำโน่นทำนี่อีกแน่ ทว่าเด็กหนุ่มไม่รู้ตัวเลยว่าการปฏิเสธอย่างแข็งขันของเขาทำให้คนหน้าห้องระบายลมหายใจยาวด้วยความโล่งอก
ยังเถียงได้อยู่...แสดงว่าไม่ได้หมดอาลัยตายอยากหรือตั้งใจจะคิดสั้น...
กฤตภาสตระหนักดีว่าธีระเป็นคนเด็ดเดี่ยวเอาเรื่อง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมให้อีกฝ่ายนอนในห้องน้ำทั้งคืนเพื่อพิสูจน์ความดื้อของตัวเองได้ อย่างน้อยการปราบเด็กดื้อที่แข็งแรงดีก็ทำให้เขารู้สึกสมน้ำสมเนื้อกว่าเด็กดื้อที่เป็นหวัดเป็นไหนๆ
แถมจากประสบการณ์ที่เคยผ่านมา เวลาเด็กคนนี้ไม่สบายจะยิ่งดื้อหนักกว่าปกติซะด้วยสิ
ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกปวดแผลที่โดนยิงเพราะยังไม่ได้กินยา แต่นั่นไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนนักหนาหากเทียบกับการพยายามกล่อมให้ธีระยอมออกจากห้องน้ำเสียที เขายกมือขึ้นลูบผ้าก๊อซที่ปิดแผลอีกครั้งพลางหรี่ตาลง
เสียง 'ตุบ' เบาๆ ที่หน้าประตูดึงความสนใจของธีระที่กำลังปูผ้าเช็ดตัวลงในอ่างให้หันไปมอง เขากำลังสำรวจว่าจะนอนมุมไหนถึงจะสบายตัวที่สุดเนื่องจากอ่างอาบน้ำที่นี่เป็นทรงสามเหลี่ยมไม่ใช่ทรงยาว แต่เพราะความคิดที่ผุดขึ้นมาว่าหรือกฤตภาสจะล้มเพราะความเจ็บทำให้เขาตัดสินใจลองส่งเสียงถาม
"คุณกฤต?"
"ยังนั่งอยู่นี่ ถ้าเธออยากนอนในนั้นฉันจะเฝ้าประตูให้"
กวนประสาท! ถ้าคิดว่าพูดแบบนี้แล้วเขาจะรู้สึกผิดก็ตามสบาย เชิญนั่งเฝ้าตรงนั้นให้หลังแข็งไปทั้งคืนเลย!!
ธีระคิดว่าถ้าเขาต้องนอนอย่างไม่สบายตัวแล้วกฤตภาสก็ไม่ได้นอนเหมือนกันก็สมน้ำสมเนื้อดี เด็กหนุ่มคิดพลางก้าวลงในอ่างอย่างฉุนเฉียว หลังจากหามุมที่พอจะนอนแล้วไม่เมื่อยตัวจนเกินไปได้ก็หลับตาลง
ภายในห้องน้ำเงียบกริบยกเว้นเสียงจากเข็มนาฬิกาเหนือกระจก ธีระยกมือข้างหนึ่งขึ้นถูบนหัวไหล่เพราะรู้สึกหนาวและนอนไม่หลับ แล้วก็ได้แต่นึกสงสัยว่ากฤตภาสหนีเขาไปนอนบนเตียงนุ่มๆ หรือยัง
ทีตอนช่วยเราจากคุณอินล่ะไปว่าเขาว่ารังแกเด็ก แล้วที่ตัวเองทำนี่ไม่นับว่ารังแกเด็กเลยล่ะมั้ง...
"นี่"
เสียงเนิบๆ ลอดผ่านประตูเข้ามาจนธีระเผลอกลั้นหายใจ แต่ว่าก็ไม่ได้ส่งเสียงตอบให้กฤตภาสรู้ว่าเขายังตื่นอยู่
"ตกลงนอนในนั้นแล้วหลับได้จริงๆ เหรอ? เธอนี่จะเก่งเกินไปแล้วนะ"
ถึงน้ำเสียงจะไม่ได้แสดงอารมณ์ใดเป็นพิเศษแต่ธีระก็รู้ว่าคนพูดกำลังประชด เลยแลบลิ้นไปทางประตูพลางตะโกนตอบในใจ
แหงสิ! ใครเขาจะเป็นคุณชายติดสบายเหมือนคุณกันทุกคนล่ะ!!
เกิดความเงียบตามมาอีกครู่ใหญ่ แต่คราวนี้ธีระพบว่าตัวเองตาสว่างจนหลับไม่ลงจริงๆ ถึงแม้ทิฐิจะยังค้ำคอแค่ไหน แต่เขากลับพบว่าอยากให้กฤตภาสคุยกับเขามากกว่านี้
หรือคิดว่าเราน่าจะหลับจริงๆ ก็เลยลุกไปนอนแล้วนะ...
ธีระรู้ตัวว่ากำลังทำตัวขัดแย้งสิ้นดี ไม่อยากตอบเขาแต่ดันอยากให้เขาคุยด้วย แต่จะทำยังไงได้ เขาก็อยากรักษาศักดิ์ศรีของตัวเองบ้างนี่นา
"ถ้าหลับไปแล้วก็ช่างเถอะ บางทีถ้าเธอไม่ได้ยินอาจจะดีกว่าก็ได้ เพราะเรื่องที่ฉันกำลังจะเล่าคงน่าเบื่อเกินไปสำหรับเด็กอย่างเธอ"
ประโยคสุดท้ายทำให้ธีระหูผึ่ง ไหนๆ เขาก็นอนไม่หลับแล้วเพราะพื้นอ่างน้ำช่างนอนไม่สบายเอาเสียเลย จึงลุกขึ้นมานั่งแล้วก็ใช้ผ้าขนหนูคลุมไหล่ไว้แทน
คุณกฤตจะเล่าเรื่องอะไรหรือ...จะเกี่ยวข้องกับสาเหตุที่โดนยิงที่เขาเคยถามแล้วไม่ยอมตอบหรือเปล่า...
"เมื่อสิบปีก่อน..."
กฤตภาสเกริ่นได้แค่นั้นก็เงียบไป เงียบนานเสียจนเด็กหนุ่มหน้ามุ่ยเพราะรู้สึกเหมือนโดนปลุกให้ตาสว่างขึ้นมาเปล่าๆ ปลี้ๆ
"อยากฟังต่อรึเปล่า?"
"ไม่อยากหรอก! คุณบอกเองนี่ว่าน่าเบื่อ!"
ธีระรีบยกมือปิดปากเมื่อรู้ตัวว่าหลงกล เสียงหัวเราะจากหน้าประตูทำให้เขายิ่งนึกหมั่นไส้เหลือกำลังจนอยากจะเปิดประตูออกไปทุบคนเจ็บสักที หนอยแน่ะ! ที่แท้ก็ลองเชิงว่าเขาตื่นอยู่รึเปล่า ทำไมถึงเป็นคนที่นิสัยเสียได้ขนาดนี้นะ!!
กฤตภาสเอ่ยกลั้วหัวเราะ "ไม่อยากฟังก็แย่สิ เพราะถ้าเธอไม่ฟังฉันก็ไม่รู้จะเปลืองน้ำลายทำไม ไหนเคยถามเองว่าทำไมฉันถึงโดนยิงไม่ใช่เหรอ?"
"ไหนตอนนั้นคุณบอกว่าเป็นเด็กเป็นเล็กไม่ต้องรู้ไงล่ะ แล้วทำไมจู่ๆ ถึงอยากจะเล่าขึ้นมา?"
ไหนๆ ตอนนี้กฤตภาสก็รู้แล้วว่าเขายังไม่หลับ และถ้าต้องถูกความสงสัยกัดกินเขาก็คงตาสว่างยันพรุ่งนี้เช้าแน่ จึงตัดสินใจยอมสนทนากับคนหน้าห้องน้ำแต่โดยดี
"นั่นสินะ...บางทีเพราะมันกำลังจะกลายเป็นอดีตที่ไม่มีความหมายอีกแล้วล่ะมั้ง ถึงมีคนรู้เพิ่มขึ้นอีกสักคนก็คงไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่เธอจะไม่ออกมาฟังข้างนอกนี่จริงๆ น่ะ?"
"อยู่ในนี้ก็ได้ยินเสียงคุณเหมือนกัน เพราะงั้นผมจะฟังอยู่ในนี้แหละ อยากเล่าอะไรก็เชิญ"
กฤตภาสหัวเราะหึกับคำตอบยียวนที่ได้รับ แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อีกขณะพยายามเรียบเรียงความทรงจำเพื่อถ่ายทอด เนื่องจากธีระเป็นคนแรกที่เขาจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟังโดยที่เด็กหนุ่มไม่เคยรู้จักเขาในอดีตเลย ดังนั้นเท่ากับว่าข้อมูลที่เขากำลังจะเปิดเผยล้วนเป็นเรื่องใหม่สำหรับเจ้าตัวทั้งสิ้น
"ฉันจะพยายามเล่าอย่างย่อๆ ก็แล้วกัน เมื่อสิบกว่าปีก่อนหรือนานกว่านั้นนิดหน่อย ฉันมีเพื่อนคนไทยที่สนิทกันมากตอนเรียนปริญญาโทที่ต่างประเทศ เพื่อนคนนั้นชื่อเมฆ หมอนั่นฐานะไม่ค่อยดีเพราะว่าแม่คลอดแล้วก็เอาไปทิ้งให้ยายเลี้ยงตั้งแต่เกิด แต่โชคดีที่เรียนเก่งก็เลยชิงทุนไปเรียนเมืองนอกได้ พวกเราทำงานพิเศษที่ร้านอาหารเดียวกัน แล้วก็เคยคุยกันว่าถ้ากลับเมืองไทยเมื่อไหร่จะช่วยกันเปิดบริษัทของพวกเราเอง"
กฤตภาสนึกแปลกใจที่เขาสามารถนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตได้อย่างแจ่มชัด ทั้งๆ ที่ไม่เคยนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วหรือคิดจะเล่าให้ใครฟังเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่เมื่อได้รำลึกถึงความหลังแล้วก็รู้สึกว่าจำเป็นต้องเล่าเรื่องนี้ให้จบ
"ตอนนั้นมีนักเรียนไทยอีกคนมาสนิทกับพวกเรา เธอชื่อเนตร เป็นคนที่ฐานะทางบ้านดีมากเพราะพ่อทำงานธนาคาร ตอนแรกเนตรแสดงท่าทางสนใจฉันแต่ว่าฉันไม่ตอบรับ เธอก็เลยหันไปคบกับเมฆแทนเพราะหมอนั่นก็แอบชอบเธออยู่แล้ว
พอพวกเราเรียนจบโทก็กลับมาเมืองไทยและช่วยกันตั้งบริษัทตามที่คุยกันไว้ ตอนแรกมันเป็นบริษัทขนาดเล็กที่มีพนักงานแค่ห้าคน เนตรก็เลยไปขอยืมเงินพ่อมาเป็นทุนขยายบริษัททั้งที่ฉันไม่เห็นด้วยเพราะอยากลองทำทุกอย่างด้วยตัวเองมากกว่า ตอนนั้นฉันยังเลือดร้อนกว่านี้แล้วก็อีโก้สูงเกินไป"
เสียง 'ตุบ' เบาๆ จากอีกฝั่งของประตูทำให้กฤตภาสหยุดชะงัก เขาเหลือบตาลงมองช่องว่างใต้ประตูและพบว่ามีเงาที่บดบังแสงในห้องน้ำบางส่วน ซึ่งหมายความว่าธีระคงเดินมานั่งตรงนั้น ชายหนุ่มยิ้มมุมปากบางๆ ก่อนจะเล่าต่อ
"หลังจากนั้นบริษัทไปได้ดีและโตขึ้นเร็วมาก แล้วจู่ๆ แม่ของเมฆก็โผล่มาเพราะต้องการเงินไปใช้หนี้นอกระบบกับจ่ายค่ารักษาโรคมะเร็ง ถึงจะรู้ว่าแม่ทิ้งไปตั้งแต่เกิดแต่เมฆก็ยอมช่วยใช้หนี้ให้แล้วยังตามไปคอยดูแลที่บ้านด้วย ตอนนั้นเมฆกับเนตรหมั้นกันแล้ว แต่พอเห็นหมอนั่นเอาแต่สนใจแม่แถมยังยืมเงินจากพ่อเธอไปจ่ายค่ารักษา เธอก็เลยไม่พอใจแล้วประชดด้วยการมาขอนอนกับฉัน แต่พอฉันปฏิเสธก็ไปหาคนอื่นแทน"
เกิดความเงียบอันน่าอึดอัดขึ้นทั้งสองฝั่งของประตูห้องน้ำ ธีระชันเข่าขึ้นกอดขณะเรียบเรียงเรื่องที่ได้ยินในหัว เขารู้ว่าถึงแม้กฤตภาสจะบอกว่าเรื่องนี้กำลังจะเป็นอดีตที่ไม่มีความหมาย แต่ ณ เวลาที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกันสำหรับเจ้าตัว
"หลังจากนั้นล่ะครับ?"
กฤตภาสเงยหน้าขึ้นพลางถอนหายใจเบาๆ "คนที่เนตรมีความสัมพันธ์ด้วยเป็นนักการเมืองที่ถ้าฉันบอกชื่อเธอก็คงรู้จัก ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าเธอไปคลุกคลีกับคนระดับนั้นได้ยังไง แต่ไม่กี่เดือนต่อมาเธอก็ท้องหลังจากที่แม่ของเมฆตายเพราะมะเร็ง ตอนนั้นหมอนั่นโกรธมากและเอาแต่คาดคั้นถามว่าใครเป็นพ่อของเด็ก เนตรคงกลัวว่าถ้าบอกความจริงแล้วเรื่องจะลุกลามจนเดือดร้อนพ่อที่ถือตำแหน่งใหญ่ในธนาคาร ก็เลยตัดสินใจโกหกไปว่าพ่อของเด็กคือฉันเพราะคิดว่าเมฆคงไม่ถือสาในเมื่อเป็นเพื่อนกัน แต่เธอคิดตื้นเกินไป เพราะวันนั้นเมฆถือปืนมาหาฉันที่บ้านแล้วก็ขู่ว่าจะยิงฉันที่เป็น 'เดนสังคม' พวกเราแย่งปืนกันไปมาโดยที่เนตรพยายามจะห้าม แต่โชคร้ายที่ปืนลั่น และคนที่โดนกระสุนก็คือเธอ"
เสียงเปิดประตูห้องน้ำเรียกให้กฤตภาสหันกลับไปมอง ธีระยืนอยู่ตรงนั้นด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ เด็กหนุ่มก้าวออกมานั่งพิงผนังข้างๆ เขาแล้วก็ถามโดยไม่หันมามอง
"แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น?"
"หลังจากนั้น...พวกเรารีบพาเนตรส่งโรงพยาบาลเพราะเธอเสียเลือดมาก ผลจากอาการช็อคทำให้เธอแท้งลูก ตั้งแต่นั้นสภาพจิตใจเนตรก็ไม่ปกติจนพ่อต้องรับตัวกลับไปดูแลที่บ้านและไม่ยอมให้เมฆติดต่อเธออีกเด็ดขาด ส่วนฉันที่รู้ว่าพ่อเด็กเป็นใครก็ได้แต่น้ำท่วมปากเพราะถึงบอกไปมันก็ไม่สำคัญอีกแล้ว ฉันโดนตราหน้าว่าเป็นพ่อของเด็ก ส่วนเนตรก็ไม่ยอมพูดความจริง ฉันเลยตัดสินใจแยกตัวออกมาเปิดบริษัทของตัวเองด้วยการกู้เงินจากพ่อ แต่เมฆก็ไม่เลิกโกรธแค้นและพยายามตามมารังควานจนช่วงแรกๆ บริษัทของฉันแทบไม่มีลูกค้าเลย เพิ่งจะเมื่อสามสี่ปีมานี่แหละที่หมอนั่นเงียบหายไปเพราะวุ่นกับบริษัทที่กำลังจะเจ๊ง แต่ดูเหมือนเมฆมันจะโชคร้ายไม่สิ้นสุด เพราะไม่กี่วันก่อนแม่บ้านที่คอยดูแลเนตรไม่ทันระวังจนเนตรหยิบมีดไปฆ่าตัวตาย และวันถัดจากนั้นเมฆก็เรียกฉันออกไปคุยที่ผับ เหตุการณ์ต่อจากนั้น...ฉันคงไม่ต้องเล่าเธอก็คงรู้อยู่แล้ว"
ธีระยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาพลางพยักหน้า ในที่สุดเขาก็ได้รู้คำตอบถึงเรื่องที่เคยสงสัยเสียที...นี่เองคือสาเหตุที่กฤตภาสโดนยิง รวมถึงที่มาที่ไปที่เจ้าตัวรังเกียจการสานสัมพันธ์กับผู้หญิงที่มีพันธะแล้วนักหนา
"แล้วตอนนี้เพื่อนคุณอยู่ที่ไหนล่ะครับ? เขาจะตามมาทำร้ายคุณอีกหรือเปล่า?"
เด็กหนุ่มนึกกังวลแทนกฤตภาสทันที เพราะแรงพยาบาทของคนชื่อเมฆช่างรุนแรงเหลือเกิน ถ้าหากรู้ว่าเป้าหมายของตัวเองไม่ตายก็คงจะอยากตามมาทำภารกิจที่คั่งค้างให้สำเร็จแน่
"ถึงอยากทำก็หมดสิทธิ์เพราะตอนนี้หมอนั่นถูกควบคุมตัวแล้วโทษฐานพยายามฆ่าถึงสองครั้ง ส่วนศพของเนตรก็เพิ่งทำพิธีฌาปนกิจไปเมื่อบ่ายวันนี้เพราะทางครอบครัวไม่อยากปล่อยเรื่องไว้นาน ที่เมื่อตอนเย็นฉันไปงานเปิดตัวของลูกค้าสายก็เพราะให้ไอ้เหวินพาไปร่วมพิธีศพก่อนนี่แหละ"
กฤตภาสเลิกคิ้วเมื่อจู่ๆ ธีระก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้อง แต่เพียงชั่วอึดใจก็เดินกลับมาพร้อมกับน้ำและยาที่เขาต้องกินหลังอาหาร เขามองสีหน้าของเด็กหนุ่มที่เอาแต่ก้มหน้าลงต่ำโดยไม่สบตาแล้วก็เพียงแต่รับยากับแก้วน้ำมาจากมือ
"ขอบใจ"
ชายหนุ่มกินยาแล้วก็ดื่มน้ำก่อนจะวางแก้วลงข้างตัว ส่วนธีระนั่งคุกเข่าลงทางด้านซ้ายของเขาแล้วก็ยกมือขึ้นแตะบริเวณที่ใกล้กับแผลอย่างแผ่วเบา
"แผลที่โดนยิงของคุณ...ยังเจ็บมากรึเปล่า?"
"ก็เจ็บแต่ไม่ถึงกับทนไม่ได้ โชคดีว่ากระสุนแค่ถากไป ไม่งั้นก็คงลำบากเหมือนกัน"
ธีระเหลือบตาขึ้นสบตากับกฤตภาสแล้วก็หลุบตาลงอีกครั้ง น้ำตาระลอกใหม่ไหลลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่ กฤตภาสยกมือขวาขึ้นเช็ดน้ำตาให้แล้วก็ถามด้วยน้ำเสียงไม่บ่งบอกความรู้สึก
"ร้องไห้ทำไม?"
"ผม...ไม่รู้"
เด็กหนุ่มพยายามยกมือขึ้นปาดน้ำตาซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไร พลันมือนั้นก็หยุดชะงักเมื่อกฤตภาสโน้มคอเขาเข้าไปหาแล้วแนบริมฝีปากลงบนขมับ สัมผัสอันบางเบาดุจปีกผีเสื้อกลับมีน้ำหนักกดทับใจเขาจนแทบหายใจไม่ออก
"คุณ...มันบ้า ทั้งที่ถ้าบอกความจริงไปตั้งแต่แรก ตอนนี้คุณก็คงไม่บาดเจ็บ แล้วก็ไม่ต้องเสียเพื่อนคุณไปทั้งคู่แบบนี้หรอก"
"มาพูดตอนนี้มันก็ใช่ แต่คนเราต่างก็เคยทำผิดพลาดกันได้ทั้งนั้นใช่ไหมล่ะ?"
แขนข้างที่โอบรอบแผ่นหลังของเขากระชับแน่นขึ้น และธีระพบว่าเขาพูดอะไรไม่ออกเพราะรู้สึกแสบร้อนรอบดวงตา จึงเพียงแต่ซบหน้าลงกับอกอีกฝ่ายเงียบๆ แล้วก็ปล่อยให้หยาดน้ำหลั่งรินโดยไม่พยายามกลั้นอีกต่อไป
คำว่าคนเราต่างก็เคยทำผิดพลาดช่างเป็นจุดไต้ตำตอเหลือเกิน มันทำให้เขานึกถึงตัวเองในอดีตที่เคยแกว่งเท้าหาเสี้ยนด้วยการเข้าไปพัวพันกับคนมีเจ้าของและคิดเข้าข้างตัวเองว่าสักวันคงจะได้รับความรักตอบถ้าพยายามมากพอ แต่ทั้งที่ผ่านบทเรียนอันแสนจะเจ็บปวดมาแล้ว เขากลับพบว่าตัวเองก็ยังคงโง่งมและไม่ได้เรียนรู้ที่จะกลับตัวใหม่เลยแม้แต่นิดเดียว
การที่เขารู้สึกเจ็บหัวใจกับเรื่องในอดีตของกฤตภาส และเผลอคิดไปชั่ววูบว่าถ้าตนได้คอยอยู่เคียงข้างในเวลาที่เจ้าตัวลำบากเพื่อคอยแบ่งเบาความทุกข์ใจ บางทีตอนนี้เขาอาจถูกเห็นค่ามากกว่าการเป็นดอกไม้ข้างทางให้ดอมดม ความคิดแบบนี้ไม่ได้ต่างอะไรกับตอนที่เขาหลงงมงายกับความอ่อนโยนของณรงค์เลยไม่ใช่หรือ เพราะความคิดเข้าข้างตัวเองที่ใครๆ ก็โหยหากันนี่แหละที่นำมาซึ่งความเจ็บช้ำ เพราะยิ่งโหยหามากเท่าไหร่ สิ่งที่ได้กลับมาก็มีแต่จะไม่เคยเพียงพอ
การที่เขาเริ่มคิดเข้าข้างตัวเองแบบนี้กับผู้ชายที่กำลังกอดเขาก็เช่นกัน...มันอาจจะเป็นก้าวแรกของความผิดพลาดที่ทำให้ต้องเสียใจไปตลอดชีวิตก็เป็นได้ แต่ธีระพบว่ายิ่งพยายามจะสร้างเกราะขึ้นมาปกป้องตัวเองจากกฤตภาสมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งถูกแรงดึงดูดที่มองไม่เห็นฉุดรั้งหัวใจให้ดำดิ่งจนยากจะต้านทานกระแสนั้นมากขึ้นทุกที
++---TBC---++
A/N: ในที่สุดตากฤตก็ยอมเปิดเผยเรื่องราวของตัวเองให้น้องตี้ได้รู้เพิ่มขึ้น แต่ตานี้ยังมีเยื่ออีกหลายชั้นไม่แพ้หัวหอมค่ะ ว่าแต่เขียนตอนสองคนนี้เขาเถียงกันไปเถียงกันมาก็สนุกดีนะ อ่านตอนนี้แล้วคิดเห็นยังไงบ้าง ฝากลงคอมเม้นต์ให้ชื่นใจหน่อยนะคะ ขอบคุณค่า 