เล่ห์ลวงใจ บทที่ 21เช้านี้ธีระรู้สึกตัวตื่นก่อนที่นาฬิกาปลุกจะส่งเสียง เขาไม่อยากนอนต่อจึงลุกไปอาบน้ำแต่งตัว จากนั้นก็นั่งแชทกับศันสนีย์และสุเมธจนกระทั่งถึงเวลาที่ควรจะออกจากอพาร์ทเม้นท์ แต่ระหว่างที่เข้าแถวรอขึ้นรถตู้ก็ยังปิดปากหาวหวอดอยู่นั่นเอง
เมื่อคืนนอนไม่ค่อยจะหลับทั้งที่เหนื่อยแทบแย่...ทำไมดันตื่นแต่เช้าอีกนะ...
เด็กหนุ่มคิดขณะเสียบหูฟังเพลงจากโทรศัพท์มือถือ หลังจากได้ขึ้นรถตู้แล้วก็หยิบค่ารถมาจ่ายในตะกร้าใบเล็กที่คนขับยื่นส่งให้ เขาส่งตะกร้าให้คนอื่นต่อขณะทอดสายตามองไปภายนอกพร้อมกับที่รถเคลื่อนตัวออกจากอู่
"ตี้ไม่อยากกลับไปฝึกงานเหรอลูก?"
"ทำไมแม่ถามอย่างนั้นล่ะ?"แพขนตาหนาหลุบต่ำลงเมื่อเขาหวนนึกถึงบทสนทนาเมื่อสองสัปดาห์ก่อน นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นวันเดียวกับที่กฤตภาสไปหาเขาถึงที่บ้าน และจู่ๆ แม่เขาก็ถามคำถามนี้ระหว่างที่นั่งกินข้าวเย็นด้วยกันสองคน
"ก็ตอนที่เจอคุณกฤตเมื่อบ่ายนั่นดูเหมือนตี้ไม่ค่อยอยากต้อนรับเลยนี่นา เขาใช้งานตี้หนักเหรอ?"
"ก็ไม่เชิง... ตี้แค่คิดว่าตัวเองคงไม่เหมาะกับงานนี้"
ปัญหาที่แท้จริงน่ะไม่ใช่เรื่องที่ถูกใช้งานหนักแต่เป็นเรื่องอื่นต่างหาก แต่ให้เขากัดลิ้นตายยังดีกว่าจะเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง
"แต่ว่าตี้ก็เพิ่งไปทำได้แค่เดือนเดียวเองไม่ใช่เหรอลูก? เวลาแค่นั้นยังตัดสินอะไรไม่ได้หรอกนะ อีกอย่างเดี๋ยวแป๊บๆ ก็เปิดเทอมแล้ว แม่ว่าตี้น่าจะกลับไปฝึกงานให้ครบเวลาดีกว่า เพื่อประสบการณ์ของตี้เองด้วย"
เด็กหนุ่มสบตาอีกฝ่ายก็รู้ทันทีว่าโดนตำหนิเรื่องที่ตั้งใจจะไม่กลับไปฝึกงานต่อ จึงได้แต่เขี่ยข้าวที่เหลือในจานไปมาเพราะหมดความอยากกินอย่างกะทันหัน ผู้สูงวัยเห็นดังนั้นก็ยกมือขึ้นลูบผมของเขาเบาๆ
"นี่นะ ตี้รู้มั้ยว่าพ่อกับแม่ภูมิใจแค่ไหนที่พักหลังนี้ลูกไม่ค่อยโทรมาขอเงินเพิ่ม แม่รู้ว่าตี้ยังวัยรุ่น จะอยากออกไปเที่ยวกับเพื่อนบ่อยๆ ก็คงห้ามไม่ได้ แต่แม่น่ะไม่เคยสบายใจเลยเวลาได้ยินตี้บอกว่าไปเที่ยวกลางคืนกับหนูซันหนูเมธ แม่รู้ว่าสองคนนั้นเป็นเด็กดี แต่ใครจะไปรู้ว่าคนอื่นนอกจากนั้นจะชักจูงลูกแม่ไปในทางที่ไม่ดีหรือเปล่า"
"แม่..."
ธีระรู้สึกเหมือนมีก้อนแข็งแล่นขึ้นจุกคอ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่แม่หยิบยกเรื่องที่เขาเคยไปเที่ยวเตร่ยามกลางคืนขึ้นมาคุยด้วยอย่างจริงจัง ที่ผ่านมาเขาเคยนึกว่าพ่อกับแม่คงวางใจว่าเขาโตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้วเสียอีก
"ตอนที่พ่อเขารู้ว่าตี้จะไปฝึกงาน เขาพูดกับแม่เลยนะว่า 'ดีเหมือนกันที่ลูกจะได้หัดไปเจอโลกของผู้ใหญ่บ้าง' เพราะถึงพ่อกับแม่จะเลี้ยงลูกได้ถ้าจบมาแล้วไม่มีงานทำ แต่อย่างน้อยก็อยากเห็นหลักฐานว่าตี้จะโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่พึ่งพาตัวเองได้ในวันที่พ่อกับแม่ไม่อยู่ ในอนาคตตี้ยังต้องเจอเรื่องที่ลำบากกว่านี้อีกเยอะ เพราะงั้นแค่สองเดือนที่เหลือนี้ทำเรื่องเล็กๆ อย่างฝึกงานให้สำเร็จให้พ่อกับแม่ภูมิใจได้ไหมลูก?"
คำขอร้องนั้นถูกถ่ายทอดผ่านน้ำเสียงและแววตาซึ่งเปี่ยมด้วยด้วยความรักใคร่เอ็นดูลูกชายคนเดียว ธีระได้แต่จนด้วยถ้อยคำเพราะไม่เคยรู้ว่าพ่อกับแม่กังวลถึงอนาคตของเขามากขนาดนี้ เพียงแค่คิดว่าถ้าเรื่องที่เคยทำตัวเหมือนเด็กใจแตกคอยตามตื๊อผู้ชายช่วงที่คบกับณรงค์เข้าหูของทั้งคู่ ในอกก็หดเกร็งอย่างแรงด้วยความรู้สึกผิด
นี่เขายังพอจะมีโอกาสเรียกความมั่นใจจากพ่อกับแม่คืนมาใช่ไหม แต่ทำไมโชคชะตาต้องกำหนดให้โอกาสนั้นมาจากคนที่ทำให้เขาลำบากใจที่สุดด้วยนะ...
"ก็ได้ครับ ตี้จะกลับไปฝึกงานต่อให้จบ ครั้งนี้จะเอาเงินเดือนที่ได้ให้แม่ด้วย"ตอนนั้นแม่หัวเราะแล้วบอกเขาว่าให้เก็บเงินที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงก้อนแรกไว้ใช้เอง แต่ธีระตั้งใจจะทำตามที่พูดจริงๆ บทสนทนาครั้งนั้นทำให้เขาสำนึกว่าที่ผ่านมาตัวเองรักสบายจนละเลยความรู้สึกของผู้ให้กำเนิดแค่ไหน ดังนั้นการที่ตัดสินใจกลับมาฝึกงานอีกครั้งจึงมีจุดประสงค์หลักเพื่อให้พ่อกับแม่สบายใจ ไม่ได้เกี่ยวกับข้อเสนอที่กฤตภาสยื่นให้เลยสักนิดเดียว
ถึงแม้ความเชื่อมั่นว่าผู้ชายคนนั้นไม่มีอิทธิพลต่อเขาเลยจะแผ่วลงในแต่ละวันที่เจอกันก็ตาม
เด็กหนุ่มเหม่อมองการจราจรบนถนนผ่านหน้าต่างของรถตู้ แล้วจู่ๆ ก็เบิกตาโตเมื่อมีนกพิราบบินพุ่งเข้ามาชนหน้าต่างฝั่งที่เขานั่งดังปั้ก!
"ว้าย!!"
เสียงร้องจากผู้หญิงที่นั่งถัดไปด้านหลังดังขึ้นพร้อมกับที่ธีระสะดุ้งสุดตัว เพราะนกตัวนั้นดูเหมือนจะคอหักทันทีขณะร่วงลงไปบนพื้นถนน แต่คนขับไม่ได้สนใจและออกรถทันทีที่สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว
"ตกใจหมดเลย! จู่ๆ ก็บินพุ่งเข้ามา"
"นั่นสิ รถแถวนี้ยิ่งวิ่งกันเร็วด้วย สงสัยได้กลายเป็นซากอยู่บนถนนแหงๆ"
เสียงพึมพำของผู้โดยสารที่เห็นเหตุการณ์ดังแทรกเข้ามาในหูฟังจนธีระหลับตาปี๋ สองมือของเขาสั่นจนต้องยกแขนขึ้นกอดอกเพื่อบังคับร่างกายให้สงบเอาไว้ ภาพนกตัวที่บินมาชนหน้าต่างยังคงติดตาไม่หาย และมันทำให้เขาใจคอไม่ดีอย่างไร้สาเหตุ
คงเป็นแค่ความบังเอิญล่ะน่ะ...ไม่ได้มีความหมายสำคัญอะไรหรอก...
แม้จะพยายามปลอบตัวเองแล้วแต่เขาก็ยังรู้สึกหดหู่ตลอดการเดินทาง เมื่อธีระไปถึงบริษัทก็พบว่ามีกระดาษโน้ตพร้อมข้อความแปะอยู่บนคอมพิวเตอร์ แม่บ้านเดินผ่านมาเห็นจึงเอ่ยทักพร้อมกับชี้ไปยังกระดาษแผ่นนั้น
"เมื่อเช้ามีคนโทรมาหาน่ะค่ะคุณตี้ ตอนแรกเขาก็ถามหาเบอร์มือถือของคุณตี้แต่น้าไม่มี ก็เลยขอเบอร์เขาไว้แล้วบอกว่าจะให้คุณตี้โทรกลับ"
"อ๋อ ขอบคุณครับน้าจุก"
ธีระเอ่ยก่อนจะหลุบตาลงมองกระดาษโน้ตอีกครั้ง สังหรณ์ด้านลบของเขายิ่งทวีความเข้มข้นเมื่อเห็นข้อความบนกระดาษ
'โทรกลับหมอเหวินด่วน 087-398-XXXX'
เด็กหนุ่มขบริมฝีปากอย่างชั่งใจก่อนจะหยิบโทรศัพท์มากดโทรออก เสียงสัญญาณดังเพียงสองครั้งปลายทางก็รับสาย
"ฮัลโหล?"
"หมอเหวินใช่ไหมครับ? ผมตี้ครับ"
"อ้อ...ค่อยยังชั่ว หมอก็กลัวๆ อยู่ว่าวันนี้ตี้จะมาทำงานรึเปล่า เพราะถามแม่บ้านเขาก็บอกว่าไม่รู้เบอร์มือถือ ส่วนเครื่องของไอ้คุณชายก็แบตหมดซะอีก นึกว่าจะติดต่อไม่ได้ซะแล้ว"
ธีระมุ่นคิ้ว เพราะถึงคู่สนทนาจะพูดวกวนแต่ก็จับใจความได้ว่าจำเป็นต้องติดต่อเขา และที่ทำให้น่ากังวลคือการที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงกฤตภาสเหมือนเจ้าตัวไม่อยู่ในสถานะที่จะโทรหาเขาเองได้
"คุณหมอมีเรื่องอะไรเหรอครับ?"
"จะว่าไงดีล่ะ เอาเป็นว่าวันนี้ไอ้คุณชาย...เอ้ย...กฤตมันไม่สะดวกจะเข้าไปที่ออฟฟิศ ถ้าหากมีงานอะไรตี้ก็จัดการไปก่อนตามสมควรได้เลย หลังเลิกงานแล้วค่อยไปหามันที่โรงพยาบาล xxxx ก็แล้วกัน"
มือที่จับหูโทรศัพท์อ่อนแรงจนธีระต้องกระชับนิ้วให้แน่นขึ้น จู่ๆ ภาพของนกพิราบที่บินมาชนหน้าต่างรถตู้เมื่อเช้าก็ผุดขึ้นในหัว เขาพยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้ตื่นเต้นขณะซักข้อมูลเพิ่มเติม
"คุณกฤตเป็นอะไรครับหมอ ทำไมต้องเข้าโรงพยาบาล?"
มีเสียงถอนหายใจก่อนจะตามด้วยคำตอบที่เหมือนกับไม่ตอบเลยสักนิด "ฉันก็อยากบอกนะแต่กฤตมันห้ามไว้เพราะไม่อยากให้ทุกคนเป็นกังวล เอาเป็นว่าตอนเย็นตี้มาเยี่ยมมันคนเดียวก็แล้วกัน แล้วถ้าวันนี้ใครถามว่ามันหายไปไหนก็อ้างว่ามันปวดหัวปวดท้องอะไรไปก็ได้ แล้วถ้าหมองานไม่ยุ่งก็อาจจะตามไปเจอที่โรงพยาบาลสักตอนค่ำๆ"
ธีระนั่งฟังสัญญาณเสียงตื๊ดซ้ำๆ หลังจากถูกศุภวัฒน์ตัดสาย ในหัวยังงุนงงกับความกำกวมของข้อมูลที่ได้รับ เขาสังหรณ์ว่าสาเหตุที่กฤตภาสเข้าโรงพยาบาลจะต้องไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยแน่ จึงตัดสินใจต่อสายหาเจ้าตัวด้วยตัวเอง
"ขออภัยค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียก..."
สัญญาณตอบอัตโนมัติทำให้ใบหน้าของเด็กหนุ่มซีดเผือด เขาลองวางสายแล้วกดโทรใหม่อีกสองรอบก็ยังได้ยินเสียงอัตโนมัติเช่นเดิม พอลองส่งข้อความหาก็ไม่มีสัญญาณว่าอีกฝ่ายได้อ่านแล้ว ความกระวนกระวายทำให้เขาไม่มีสมาธิเลยตลอดทั้งวัน
ธีระตัดสินใจอ้างว่ากฤตภาสมีประชุมกับลูกค้าเวลามีคนถามถึง เพราะอย่างน้อยข้ออ้างนี้ก็ปลอดภัยที่สุดในเมื่อเขาเองก็ไม่รู้สาเหตุแท้จริงที่เจ้าตัวนอนโรงพยาบาล โชคยังดีที่สัปดาห์นี้กฤตภาสไม่ได้มีนัดประชุมกับลูกค้าจริงๆ เขาจึงไม่ต้องโทรไปแคนเซิลนัดให้
พอตกบ่ายดีกรีความกังวลของธีระก็ยิ่งพุ่งเพราะกฤตภาสไม่ตอบข้อความสักที เขาเหลือบมองนาฬิกาบ่อยๆ ระหว่างรอให้ถึงหกโมงเย็น แต่ในที่สุดก็หมดความอดทนเมื่อเข็มชี้เวลาสี่โมงครึ่ง
"อ้าวตี้ จะกลับแล้วเหรอ?"
"ครับพี่กิฟท์ พอดีคุณกฤตให้เอาเอกสารไปให้ด่วน แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะครับ"
ธีระตอบรุ่นพี่ที่เดินสวนกันระหว่างเดินลงบันได พอออกมาถึงถนนก็โบกมือเรียกแท็กซี่ให้ไปโรงพยาบาลที่ศุภวัฒน์บอก ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าโรงพยาบาลนี้ไม่ได้อยู่ใกล้ที่พักของกฤตภาสเลย แล้วทำไมถึงต้องถ่อไปหาหมอถึงที่นั่นด้วย?
เด็กหนุ่มได้แต่นั่งกระสับกระส่ายระหว่างรอให้แท็กซี่ไปถึงโรงพยาบาล หลังจากถึงแล้วก็ขึ้นลิฟต์ตรงไปยังห้องที่ศุภวัฒน์บอกหมายเลขไว้ แต่พอกำลังจะแตะลูกบิดประตู ความหวาดหวั่นว่าจะเจอกับอะไรก็ทำให้เขาชะงักมือ
อย่างน้อยหมอเหวินวางใจพอจะกลับไปทำงานแล้วบอกเราให้มาเยี่ยมคนเดียว ก็แสดงว่าคงไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงมากหรอกมั้ง...
ธีระพยายามปลอบตัวเอง จากนั้นก็กระชับมือรอบลูกบิดแล้วหมุนเปิดเข้าไป
ภายในห้องค่อนข้างสลัวเนื่องจากเปิดไฟไว้แค่เหนือหัวเตียงกับหน้าประตู กระนั้นธีระก็เห็นร่างที่นอนตะแคงหันหลังให้ตรงกลางห้อง เด็กหนุ่มสูดหายใจลึกก่อนจะจรดฝีเท้าไปยังอีกฝั่งของเตียง
ภาพที่ธีระเห็นคือกฤตภาสที่กำลังหลับสนิท แผ่นอกใต้ผ้าห่มกระเพื่อมขึ้นลงตามลมหายใจที่สม่ำเสมอ หากดูเผินๆ ก็เหมือนกับคนนอนหลับธรรมดาทั่วไป แต่ใบหน้าที่ซีดเผือดแม้จะอยู่ใต้แสงสลัวก็ยังทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกแน่นหน้าอก
"คุณกฤต...โดนอะไรมา?"
เสียงนั้นไม่น่าจะดังไปกว่าเสียงกระซิบ ทว่ากลับทำให้คิ้วของคนหลับขมวดเข้าหากัน ธีระกลั้นลมหายใจเมื่อพบว่านัยน์ตาสีนิลค่อยปรือขึ้นอย่างเชื่องช้าจนกระทั่งทั้งคู่สบตากันในที่สุด
"...ตี้?"
น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยอย่างแผ่วโหย กฤตภาสหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะพลิกตัวกลับไปนอนหงาย แต่แล้วอาการสะดุ้งและสีหน้าแสดงความเจ็บปวดก็ทำให้ธีระถลาเข้าไปหาด้วยความตกใจ
"เป็นอะไรครับคุณกฤต!?"
"เจ็บ"
กฤตภาสตอบเพียงเท่านั้นก็ขบกรามแน่น หยาดเหงื่อเม็ดละเอียดบนหน้าผากกับลมหายใจที่แรงขึ้นล้วนยืนยันว่าความเจ็บปวดเป็นของจริง ไม่นับผ้าพันแผลที่โผล่พ้นไหล่เสื้อผู้ป่วยจนเด็กหนุ่มสูดหายใจเฮือกใหญ่
ขณะที่ธีระกำลังลนลานว่าจะทำอย่างไรดี นางพยาบาลคนหนึ่งก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง พอเธอเห็นท่าทางของกฤตภาสก็รีบเดินเข้ามาใกล้
"ปวดแผลเหรอคะ? ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะฉีดยาแก้ปวดให้นะคะ"
ธีระถอยห่างออกมาเมื่อนางพยาบาลดึงผ้าม่านปิดรอบเตียง เขาได้ยินเสียงของเธอที่คอยบอกกฤตภาสให้ยกแขนหรือขาเพื่อสะดวกต่อการถอดเสื้อผ้า แต่คำที่ได้ยินบ่อยครั้งก็คือ 'ระวังแผลด้วยนะคะ ไม่ต้องรีบค่ะ' ซึ่งนั่นทำให้เขาได้แต่นั่งรออย่างกระวนกระวายเพราะไม่รู้ว่ากฤตภาสเป็นอะไรกันแน่
"เรียบร้อยค่ะ เดี๋ยวรอยาแก้ปวดแป๊บนึงนะคะ"
นางพยาบาลเอ่ยหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คนเจ็บเรียบร้อยแล้วและเปิดม่านออก เธอเดินออกจากห้องไปไม่นานก็กลับมาใหม่พร้อมกับถาดใส่เข็มฉีดยา ธีระซึ่งเป็นคนกลัวเข็มถึงกับต้องหันหนีตอนที่นางพยาบาลฉีดยาแก้ปวดให้กฤตภาส
ห้องพักผู้ป่วยตกอยู่ในความเงียบทันทีที่นางพยาบาลเดินกลับออกไป และทั้งที่ธีระอยากรู้สาเหตุที่กฤตภาสต้องมานอนโรงพยาบาลใจแทบขาด เขาก็ได้แต่มองคนที่กำลังลืมตามองเพดานนิ่งๆ โดยไม่กล้าถาม
"ห้องมืดชะมัด เปิดไฟให้หน่อยสิ"
"อ๊ะ ครับ"
ธีระลุกไปกดสวิทช์ไฟ แล้วก็รีบถลากลับเข้ามาข้างเตียงเมื่อเห็นกฤตภาสพยายามจะยันตัวขึ้นนั่ง เขาเลือกเข้าไปช่วยประคองด้านที่ไม่เห็นผ้าพันแผลแลบออกมา แล้วก็ช่วยปรับเตียงเพื่อให้คนเจ็บเอนหลังพิงได้อย่างสบายตัวขึ้น
"ขอบใจ"
เสียงกฤตภาสยังแหบแต่ก็ไม่แย่มากเท่าตอนที่เพิ่งตื่น ธีระเหลือบตาลงสบตากับนัยน์ตาสีนิลที่กำลังมองเขา นัยน์ตาคู่นั้นยังคงยากจะอ่านความหมายเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่เขากลับไม่สามารถเบนสายตาหนีไปทางอื่นได้
"กฤต! เป็นยังไงบ้าง?"
เสียงของคนที่เปิดประตูเข้ามาอย่างรีบร้อนทำให้ธีระสะดุ้งและรีบปล่อยมือ เมื่อหันไปตามเสียงก็พบว่าผู้ที่เพิ่งเข้ามาคือชายวัยกลางคนที่เค้าหน้ามีส่วนละม้ายกฤตภาสไม่น้อย หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็ต้องบอกว่ากฤตภาส 'ถอดเค้า' มาจากอีกฝ่ายไม่น้อยมากกว่า
"ปลอดภัยดีอย่างที่เห็นครับ ตอนนี้พ่อควรจะอยู่ที่สิงคโปร์ไม่ใช่เหรอ?"
"เหวินโทรไปบอกพ่อ อีกอย่างผู้อำนวยการของที่นี่ก็เพื่อนพ่อเอง พวกนักข่าวถึงได้ไม่รู้ว่าแกโดนยิงเพราะเขาช่วยปิดข่าวให้ไง"
ผู้สูงวัยกำลังจะเอ่ยต่อก็สังเกตเห็นว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องด้วย ส่วนธีระนั้นอึ้งไปตั้งแต่ได้ยินคำว่า 'โดนยิง' ฝ่ายกฤตภาสชำเลืองมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่เผือดสีลงแล้วก็หันไปกล่าวกับผู้เป็นพ่อ
"ไม่เป็นไรครับพ่อ นี่เลขาฯ ที่มาช่วยงานผมแทนวีร์ชั่วคราว ตี้ นี่คุณโกเมท พ่อฉัน"
"สวัสดีครับคุณโกเมท"
ธีระพนมมือไหว้ผู้อาวุโส ความจริงเขาเห็นอีกฝ่ายแวบแรกก็รู้แล้วว่าเป็นใครเพราะเคยเห็นในข่าวโทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์บ่อยๆ เพียงแต่ไม่คิดว่าจะได้เจอกันครั้งแรกในสถานที่เช่นนี้
โกเมทรับไหว้แล้วก็หันมาสนใจกฤตภาสต่อ ผู้สูงวัยมองสำรวจสีหน้าของลูกชายคนเดียวแล้วก็นิ่วหน้า ธีระจึงคิดว่าทั้งคู่อาจมีเรื่องต้องคุยกันซึ่งเขาไม่ควรจะอยู่ฟัง
"ถ้างั้นเดี๋ยวผมออกไปข้างนอกก่อนนะครับ"
"ไม่ต้อง พ่อมีอะไรก็พูดได้เลยครับ ตี้เป็นผู้ช่วยผม ให้เขาฟังไปด้วยเลยดีกว่าที่ผมจะต้องไปอธิบายซ้ำ"
ธีระคงจะก้าวออกไปโดยไม่สนคำพูดของกฤตภาสหากไม่ใช่เพราะถูกคว้าข้อมือไว้ เด็กหนุ่มได้แต่สบตากับผู้อาวุโสที่ยืนอยู่อีกฝั่งของเตียงอย่างลำบากใจ แต่แล้วโกเมทก็เพียงถอนหายใจแล้วเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างเตียง
"นี่ถ้าพ่อรู้ว่าการยกเลิกเรื่องที่จะเทคโอเวอร์จะเป็นเหตุให้ถึงกับต้องมาทำร้ายกันแบบนี้ พ่อคงไม่คุยเรื่องนี้กับเขาตั้งแต่แรก"
"เราเดาใจใครไม่ได้หรอกครับว่าเขาคิดจะทำอะไร ผมก็ไม่นึกว่าเมฆจะกล้าเหมือนกัน แต่อะไรที่ต้องทำตามกระบวนการทางกฎหมายก็คงต้องให้เป็นไป"
กฤตภาสปล่อยมือจากธีระไปแล้วตั้งแต่วินาทีที่เห็นว่าโกเมทไม่ปฏิเสธจะให้เด็กหนุ่มอยู่ในห้อง กระนั้นเขาก็ยังรู้สึกกระอักกระอ่วนเหมือนตนไม่ควรต้องมารับรู้เรื่องนี้ จึงได้แต่ยืนนิ่งข้างเตียงโดยไม่ออกความเห็น
"แล้วนี่บอกแม่เขารึยัง? พอพ่อรู้เรื่องจากเหวินก็รีบจับไฟลท์ที่เร็วที่สุดบินกลับมาเลย ถ้าแม่แกรู้เข้าคงจะรีบบินมาเยี่ยมเหมือนกัน"
"ยังหรอกครับ เพราะผมบอกเหวินว่านอกจากพ่อแล้วให้โทรหาผู้ช่วยผมคนเดียว"
ธีระมุ่นคิ้วพลางเหลือบตาขึ้น จึงได้สบตากับกฤตภาสที่ปรายตามามองเขาแวบหนึ่งพอดี ฝ่ายโกเมทขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
"แกโดนยิงจนบาดเจ็บเข้าโรงพยาบาลแต่กลับจะไม่ให้แม่เขารู้? นี่แกคิดอะไรอยู่กันแน่ฮึ?"
กฤตภาสยักไหล่ข้างที่ไม่เจ็บ "เมฆพลาดไปหน่อยที่ไม่ยิงเข้าหัวใจผม เพราะงั้นแผลแค่นี้ไม่ต้องบอกแม่หรอกครับ ตอนนี้คนที่รู้นอกจากพวกหมอกับพยาบาลมีแค่สามคนคือพ่อ เหวิน แล้วก็ผู้ช่วยผมก็พอ นอกนั้นไม่ควรจะให้ใครรู้ทั้งสิ้นว่าผมเข้าโรงพยาบาล ยิ่งคนรู้กันเยอะก็จะยิ่งแตกตื่นซะเปล่าๆ"
"คุณกฤต นี่คุณกะจะไม่บอกคนที่บริษัทด้วยเหรอครับ?"
ธีระถามขึ้นหลังจากที่พอจะเดาความคิดของกฤตภาสออก ผู้ชายคนนี้เป็นบ้าไปแล้วหรือไงกัน?
"พ่อรู้ว่าแกคงไม่อยากให้ลูกน้องตกใจถ้ารู้ว่าแกโดนยิง ถ้างั้นบอกว่าแกไม่สบายไปก่อนก็ได้ พอเริ่มหายดีแล้วค่อยกลับไปทำงาน"
กฤตภาสส่ายหน้า "ให้บอกว่าไม่สบายก็ไม่ได้ บริษัทผมกำลังจะจัดอิเว้นท์ใหญ่อยู่อีกสองสามวันนี่แล้ว ถ้าได้ยินว่าผมเข้าโรงพยาบาลจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้า"
โกเมททำตาโตขึ้นขณะจ้องหน้าคนบนเตียงเขม็ง "นี่แกหมายความว่า..."
กฤตภาสเหลือบมองธีระอีกครั้ง นัยน์ตาดุจผิวน้ำนิ่งไม่อาจปิดบังคลื่นเชี่ยวกรากที่สาดซัดอยู่ข้างใต้ และครั้งนี้เด็กหนุ่มเริ่มเข้าใจแล้วว่าลางสังหรณ์ไม่ดีของเขาตั้งแต่เมื่อเช้านั้นมีสาเหตุจากอะไร
"จะไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นอะไรและวันที่จัดงานผมก็จะไปคุมตามปกติ ตั้งแต่วันนี้ตี้จะคอยมาช่วยอยู่ข้างๆ ผมเอง"
++---TBC---++
A/N: ตากฤตนี่ขนาดเจ็บตัวก็ยังไม่วายทำให้น้องตี้ลำบากใจได้เสมอจริงๆ น้อ ชักสงสัยว่าที่โดนยิงนี่น้อยไปรึเปล่า ได้แต่เชียร์ให้น้องตี้อดทนต่อไปละเนอะ 
ปล. ทำเกมทายใจว่าคุณนิสัยคล้ายใครในนิยายของ Bellbomb ไว้ค่ะ ใครยังไม่ได้เล่นก็คลิกไปเล่นกันขำๆ ได้น้า จะได้รู้จักตัวละครจากเรื่องอื่นของเราไปด้วยค่ะ http://my.dek-d.com/bellbomb/funnyquiz/show.php?id=181925 แล้วเจอกันตอนต่อไปนะค้าาาาา 