A/N: ก่อนอื่น ขอออกตัวว่าเรื่องสั้นเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเล่ห์ลวงใจนะคะ เป็นเรื่องสั้นที่ตั้งใจเขียนรับเทศกาลคริสต์มาส-ปีใหม่เท่านั้น แต่พอดีว่าไม่อยากเปิดกระทู้ใหม่ก็เลยมาขอแทรกในนี้ เผื่อจะได้เบรกอารมณ์หนึบๆ หน่วงๆ ของน้องตี้กับตากฤตให้คนอ่านได้อ่านอะไรหวานๆ กันบ้าง และเรื่องนี้ เคะจะอายุมากกว่าเมะ (หลายปี) เอาล่ะ...เกริ่นมาพอสมควรแล้ว ไปอ่านกันได้เลยค่า สุขสันต์วันคริสต์มาสและปีใหม่ล่วงหน้าด้วยนะคะ เผื่อเขียนอะไรมาลงก่อนปีใหม่ให้ไม่ทัน 
-------------------------------------
เรื่องสั้นส่งท้ายปี - Let the New Chapter Begin“คุณเหมคะ พรุ่งนี้เดดไลน์สำหรับส่งของขวัญปีใหม่ให้กรรมการนะคะ”
หิรัญเงยหน้าจากกองเอกสารเมื่อเลขาฯ ของตนเดินมาหยุดที่หน้าโต๊ะ หนุ่มใหญ่ขมวดคิ้วนิดหนึ่งก่อนจะดันแว่นขึ้น
"หือ? งานเลี้ยงปีใหม่ของออฟฟิศมันจัดวันไหนนะ?"
"วันศุกร์นี้แล้วค่ะ ตอนนี้กรรมการจัดงานเลยอยากได้ของขวัญจากทุกคนให้ครบไวๆ เพราะต้องไปเตรียมทำสลากอีก หรือคุณเหมจะให้พลอยไปซื้อให้ก็ได้นะคะ"
"เอ...ไม่เป็นไร เดี๋ยวเย็นนี้ผมไปซื้อเองก็ได้ ระดับไดเร็คเตอร์ต้องซื้อของขวัญราคาเท่าไหร่นะ?"
ถึงแม้จะทำงานที่บริษัทนี้มาตั้งแต่เรียนจบ ไต่เต้าตามลำดับมาเรื่อยจนกระทั่งได้เป็นไดเร็คเตอร์ของฝ่ายขายในวัยสี่สิบสี่ปี แต่สิ่งหนึ่งที่หิรัญไม่เคยเปลี่ยนคือไม่เคยจดจำรายละเอียดของสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับงาน กิจกรรมภายในบริษัทก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เขามักจะมองข้าม โชคดีที่ทิวาพรซึ่งเป็นเลขาฯ ชินแล้วจึงมักจะคอยมาเตือน
"ระดับไดเร็คเตอร์ของขวัญราคาหนึ่งพันห้าร้อยบาทค่ะ อ้อ แล้วก็งานจัดที่โรงแรมแกรนด์แอนเน่นะคะ"
"โอเค เอ้อพลอย...ได้เจอกับ...ปรานต์บ้างไหม?"
หญิงสาวซึ่งกำลังจะเดินออกไปหันมามุ่นคิ้วเล็กน้อย "ปรานต์น่ะเหรอคะ? ไม่เลยค่ะ คงช่วยงานที่บ้านยุ่งอยู่มั้งคะ"
"เหรอ...งั้นก็ช่างเถอะ เดี๋ยวฝากบอกแม่บ้านให้เอาชาร้อนมาให้ผมหน่อยนะ รู้สึกเหมือนเจ็บคอ"
"ได้ค่ะ เดี๋ยวพลอยบอกให้"
ลับหลังลูกน้องสาว หิรัญก็ระคายคอจนต้องไอออกมา เขาเปิดลิ้นชักหยิบยาอมออกจากซองมาอมเม็ดหนึ่งก่อนจะเก็บซองยัดเข้าที่เดิม ปล่อยให้รสหวานของชะเอมซ่านไปทั่วทั้งช่องปากเพื่อระงับอาการระคายคอ เขาเป็นคนไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอากาศมาแต่ไหนแต่ไร บวกกับเวลาทำงานก็จะทุ่มเทเต็มที่จนไม่ค่อยพักผ่อน ปีหนึ่งๆ จึงมักไม่สบายอยู่บ่อยครั้ง
ไม่นานแม่บ้านก็นำชาร้อนให้ก่อนจะเดินออกไป หิรัญยกชาขึ้นจิบแล้วก็ได้ยินเสียงคุยจ้อกแจ้กจากพนักงานที่เดินผ่านหน้าห้องไปเป็นกลุ่มๆ เมื่อเหลือบมองนาฬิกาจึงรู้ว่าถึงเวลาพักเที่ยงแล้ว เขาลุกเดินไปปิดประตูห้องก่อนจะกลับมานั่งที่เก้าอี้แล้วถอดแว่นออกวางบนโต๊ะ จากนั้นก็ยกมือนวดขมับพลางหลับตาลง
"คุณเหมน่าจะหาเวลาไปพักผ่อนบ้างนะครับ"เสียงทุ้มนุ่ม มีจังหวะจะโคนที่พอเหมาะพอดีในการถ่ายทอดคำพูด แต่ขณะเดียวกันก็แฝงแววตำหนิหากคนฟังตั้งใจจับสังเกตดังขึ้นในหัวของหิรัญอีกครั้ง เขาปรือตาขึ้นอย่างช้าๆ พลางมองไปยังเก้าอี้ที่อยู่อีกฝั่งของโต๊ะ ปรานต์เคยนั่งบนเก้าอี้ตัวนั้น และก็เป็นผู้เอ่ยประโยคนี้กับเขาเมื่อประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
ตอนนั้นพวกเขาคุยกันเรื่องอะไรถึงทำให้หมอนั่นพูดแบบนี้นะ? รู้สึกว่าจะเป็นเรื่องการประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปีใช่ไหม?
"หมายความว่ายังไงหรือปรานต์ เดี๋ยวหยุดปีใหม่ผมก็ได้พักอยู่แล้ว"
"ไม่ใช่แบบนั้นครับ ผมหมายถึงพักผ่อนแบบที่ไปเที่ยวไกลๆ จะต่างจังหวัดหรือต่างประเทศก็ได้ ผมแทบไม่เคยเห็นคุณเหมใช้วันลาหยุดเลย"
หิรัญเลิกคิ้วพลางมองพนักงานฝ่ายขายที่เป็นลูกน้องเขามาได้สองปี จากนั้นก็เหลือบตาลงมองเอกสารประเมินผลการปฏิบัติงานตามเดิม
"ไม่จำเป็นหรอก ถึงยังไงปีนึงก็ต้องไปประชุมที่ต่างประเทศบ่อยๆ อยู่แล้ว แล้ววันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็มี อีกอย่างนะ ตอนนี้มาคุยกันเรื่องผลประเมินปีนี้ของคุณก่อนดีกว่า"
"เพราะว่าไม่มีคนไปเที่ยวด้วยแล้วเหรอครับ? คุณเหมถึงได้บ้างานขนาดนี้"
ประโยคนั้นจี้ใจดำจนหิรัญเจ็บแปลบในอก เขาเหลือบมองลอดแว่นไปยังคู่สนทนาพร้อมกับเอ่ยอย่างไม่พอใจ
"จะเพราะเหตุผลอะไรก็ไม่ใช่เรื่องของคุณ ถ้าหากยังไม่เลิกก้าวร้าวผมอาจต้องเขียนเรื่องพวกนี้ลงในใบประเมินด้วยนะ"
หิรัญเพิ่งหย่ากับภรรยาไปเมื่อต้นปี มันไม่ใช่ความลับแต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาเที่ยวโพนทะนาให้ใครฟัง แต่กำแพงมีหูประตูมีช่องฉันใด เรื่องที่เขาปรับทุกข์กับผู้บริหารด้วยกันก็หลุดไปถึงหูคนอื่นได้ฉันนั้น
ถึงแม้จะรู้ตัวดีว่าหลายปีมานี้เขาค่อนข้างละเลยภรรยาเพราะต้องการสร้างฐานะให้มั่นคง กระนั้นการที่เธอให้เหตุผลในการขอหย่าว่าเพราะกำลังคบใครบางคนที่พร้อมจะใส่ใจเธอมากกว่าเขามาเป็นปีที่สามแล้วก็ทำให้หิรัญเสียศูนย์ไปไม่น้อย และเขาไม่ต้องการให้ใครฟื้นฝอยเรื่องนี้ให้กระทบรอยแผลในใจอีก
ดวงตาสองคู่ของชายหนุ่มต่างวัยจ้องกันอย่างไม่มีใครยอมถอย การเป็นหัวหน้าของปรานต์มาสองปีทำให้หิรัญคุ้นเคยกับบุคลิกที่ดูอ่อนน้อมแต่ก็ตรงไปตรงมาของลูกน้องคนนี้ ตรงจนบางครั้งเขาคิดว่าความอ่อนน้อมถ่อมตนที่เห็นเป็นเพียงหน้ากากบังหน้าความหัวรั้นเสียมากกว่า
"ผมพูดแบบนี้เพราะคุณเหมเป็นคนสำคัญนะครับ"
"ขอบคุณ เพราะเป็นคนสำคัญนี่แหละผมถึงไม่อยากหยุดงานให้กระทบบริษัท เอาล่ะ เกี่ยวกับข้อที่คุณใส่มาเรื่องยอดขายของคุณในปีนี้..."
"ไม่ใช่ ผมหมายถึงคุณเหมเป็นคนสำคัญสำหรับผม"
เกิดความเงียบดุจสุญญากาศขึ้นในห้องประจำตำแหน่งของหิรัญ หนุ่มใหญ่วัยกลางคนเลิกคิ้วสูงทั้งที่สองมือยังจับกระดาษนิ่ง นัยน์ตาดำจับจ้องตัวหนังสือบนกระดาษขณะที่ในหัวสมองว่างเปล่า
"อะไรนะ?" เขาถามทั้งที่สองตายังคงไม่เหลือบขึ้นมองคนพูด
"ผมพูดว่าคุณเหมเป็นคนสำคัญของผม ผมมองคุณตั้งแต่เริ่มเข้ามาทำงานแต่ก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ในเมื่อตอนนี้คุณหย่าแล้ว ผมก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปิดบังความรู้สึกอีก"
ตั้งแต่เริ่มเข้ามาทำงานก็แปลว่าเมื่อสองปีก่อน...ตั้งแต่หมอนี่ยังอายุแค่ยี่สิบหก? เจ้าเด็กนี่เสียสติหรือเปล่า?
หางคิ้วของหิรัญกระตุกเมื่อจู่ๆ คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ลุกขึ้นแล้วเดินอ้อมโต๊ะมายืนข้างเก้าอี้ของเขา ความจริงแล้วเขาเองก็จัดได้ว่าเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเพราะสูงร้อยแปดสิบเซนติเมตร แต่ปรานต์ที่น่าจะสูงเท่ากันหรือมากกว่าเพียงสองถึงสามเซนติเมตรนั้นก็ยังเป็นต่อในด้านความกำยำของวัยหนุ่ม
"ถ้าหากจะล้อเล่นก็ให้มันมีขอบเขตบ้างนะปรานต์"
ผู้สูงวัยกว่าเงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงออกคำสั่ง เขาพยายามไม่เอนตัวหนีแม้เมื่อคู่สนทนาจะเท้าแขนทั้งสองคร่อมเขาไว้แล้วก้มหน้าลงมาใกล้ นัยน์ตาของทั้งคู่ยังคงประสานกันอย่างไม่มีใครยอมเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนี
"ผมนึกว่าคุณจะรู้จักผมมากพอที่จะรู้ว่าผมไม่ชอบล้อเล่น คุณคิดว่าการสารภาพรักกับคนที่อายุมากกว่าแถมเป็นเจ้านายด้วยมันง่ายเหมือนโทรไปนัดลูกค้าหรือไง?"
ไม่ง่ายหรอก ทำไมเรื่องแค่นี้เขาจะไม่รู้ ในเมื่อครั้งหนึ่งเขาก็เคยขอความรักจากหญิงสาวที่อายุมากกว่าห้าปีมาแล้วเหมือนกัน ถึงแม้วันนี้เธอจะทิ้งชีวิตคู่ที่เคยมีร่วมกับเขาให้เป็นอดีตก็ตาม
"คุณโตมากับแม่แค่สองคนใช่มั้ย? บางทีคุณอาจแค่เข้าใจผิดเพราะคิดถึงพ่อก็ได้"
นัยน์ตาที่กำลังจ้องเขาหรี่ลงพร้อมรังสีของความไม่พอใจที่สาดออกมาอย่างเต็มขั้น "ถ้าแค่เข้าใจผิดเพราะมองว่าคุณเป็นเหมือนพ่อ ผมคงไม่อยากทำแบบนี้กับคุณหรอก"
หิรัญไม่มีเวลาตั้งตัวเมื่อถูกกระชากเนคไทจนเซไปข้างหน้า เขาเบิ่งตากว้างด้วยความช็อกเมื่ออีกฝ่ายทาบริมฝีปากลงประกบบนริมฝีปากของตัวเอง ความตกใจทำให้ร่างกายแข็งเกร็งจนกระทั่งรับรู้ถึงสัมผัสจากปลายลิ้นที่พยายามจะรุกล้ำผ่านกลีบปาก เขาจึงได้สติและพยายามผลักร่างที่คร่อมอยู่ออก
"ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!! นี่เป็นบ้าไปแล้วรึไง!?"
"คนที่บ้ามันคุณต่างหาก! หย่าแล้วยังจะใส่แหวนอยู่อีก! จะฝังตัวเองกับอดีตไปถึงไหน!!"
ปรานต์ดึงมือซ้ายของหิรัญอย่างแรง และก่อนที่เจ้าของมือจะทันได้โต้ตอบ แหวนทองคำเกลี้ยงบนนิ้วนางข้างซ้ายก็ถูกรูดออกอย่างรวดเร็วก่อนที่ปรานต์จะเขวี้ยงมันออกไปนอกหน้าต่าง
"นายทำบ้าอะไรน่ะ!!?"
หิรัญลุกพรวดไปข้างหน้าต่างแล้วยืดตัวมองออกไป ใบหน้าซีดเผือดเพราะรู้ว่าพื้นที่ด้านหลังอาคารกำลังมีการตอกเสาเข็มเตรียมก่อสร้างคอนโดมิเนียม มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เมื่อของชิ้นเล็กๆ เช่นแหวนหล่นลงไปในบริเวณนั้นแล้วจะมีใครหาเจอ
"คุณควรเลิกคิดถึงคนที่ทิ้งคุณไป แล้วก็มองคนที่อยู่ตรงหน้าคุณได้แล้ว!"
ประโยคนั้นไม่ต่างจากน้ำมันเดือดจัดที่ราดรดบนหัวใจ หิรัญหันกลับไปเหวี่ยงกำปั้นเข้าใส่ใบหน้าของปรานต์อย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมทันที เสียง 'พลั่ก!' เพราะชายหนุ่มถูกต่อยจนกระแทกผนังเรียกความสนใจจากคนนอกห้องให้วิ่งมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะพากันร้องอย่างตกใจแล้วเข้ามาช่วยแยกเขาออกจากปรานต์ซึ่งไม่มีทีท่าจะโต้ตอบเลยสักนิด
"คุณเหม! พอเถอะครับ! เฮ้ย! ใครก็ได้ช่วยพาปรานต์ออกไปที!"หิรัญยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้ไม่เคยลืมเลือน เพราะนึกถึงขึ้นมาเมื่อไหร่ก็จะรู้สึกเจ็บแปลบที่มือเหมือนเพิ่งต่อยปรานต์ไปหมาดๆ ทุกครั้ง หลังจากที่เกิดเรื่องนั้นมีคนพาชายหนุ่มไปโรงพยาบาล ส่วนเขาต้องแต่งเรื่องไปนั่งอธิบายให้หัวหน้าฝ่ายบุคคลฟังโดยปกปิดเนื้อหาส่วนที่ปรานต์สารภาพความรู้สึกกับเขาไว้ ซึ่งไม่ง่ายเลยกว่าจะโน้มน้าวอีกฝ่ายให้เชื่อและเลิกสอบสวนเขาได้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ปรานต์ถูกสั่งพักงานทันทีเนื่องจากคณะผู้บริหารเห็นแก่หน้าหิรัญ แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อปรานต์ส่งจดหมายขอลาออกมาให้เขาเซ็นรับทราบ เมื่อสอบถามกับหัวหน้าฝ่ายบุคคลก็ได้รู้ว่าเพราะชายหนุ่มมีกิจการที่ต้องกลับไปสืบทอดเนื่องจากมารดาล้มป่วย
เท่านี้เองเหรอ...มาทำให้คนอื่นเจ็บใจแทบตายแล้วก็หนีไปรักษาแผลในที่ปลอดภัย ทิ้งให้เขาต้องสับสน ผิดหวังและไม่เข้าใจกับเรื่องที่ตัวเองมาจุดประเด็นไว้ให้เพียงคนเดียว
ตอนนั้นหิรัญลงชื่อในเอกสารโดยไม่คิดจะโทรไปถามไถ่คู่กรณีเลยสักคำ ความโกรธเป็นดั่งกำแพงทิฐิหนาที่ขวางกั้นเขาไม่ให้เป็นฝ่ายติดต่อไปก่อน ถึงแม้จะตระหนักว่าตนเป็นผู้ใหญ่กว่าและควรจะเป็นฝ่ายให้อภัย แต่เมื่อเวลาล่วงเลยมาจนถึงบัดนี้...เขาก็มองไม่เห็นเหตุผลที่จะโทรไปเพื่อปรับความเข้าใจอีกแล้ว
ปล่อยไปก็ดีเหมือนกัน หมอนั่นยังหนุ่มยังแน่นแถมยังมีอนาคต ส่วนเรื่องที่มาสารภาพรักกับเขาก็คงเป็นแค่ความผิดพลาดครั้งหนึ่งในชีวิตที่ไม่นานก็คงจะถูกลืม
ส่วนเขาเอง...ก็ควรจะใช้ชีวิตเพื่อเดินต่อไปข้างหน้าเช่นกัน...
++------++
และแล้ววันงานเลี้ยงปีใหม่ก็มาถึง
เนื่องจากงานครั้งนี้จัดในโรงแรมมีระดับ เหล่าพนักงานจึงแต่งองค์ทรงเครื่องกันมาอย่างไม่มีใครยอมใคร หลังจากแต่ละคนลงทะเบียนแล้วก็เดินเข้าไปนั่งตามโต๊ะที่จัดไว้ในห้อง
ค่ำคืนของงานเลี้ยงผ่านไปอย่างรื่นเริงด้วยเสียงดนตรีและการแสดงจากเหล่าพนักงาน หลังจากผ่านช่วงสำคัญซึ่งก็คือการจับสลากแลกของขวัญแล้วก็ยังมีการแสดงต่ออีก แต่ว่าหิรัญเริ่มรู้สึกเบื่อจึงลุกเดินออกไปด้านนอก
โรงแรมแกรนด์แอนเน่นี้เดิมเป็นที่ตั้งของโรงแรมที่ค่อนข้างเก่าแก่ แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการเทคโอเวอร์โดยเจ้าของใหม่ โดยนอกจากจะเปลี่ยนชื่อโรงแรมแล้วก็ยังทำการปรับปรุงทุกอย่างใหม่หมด อาคารเก่าบางส่วนถูกรื้อถอนเพื่อทำเป็นสวนหย่อมและลานจอดรถ ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสต่อกับปีใหม่เช่นนี้ก็มีการแขวนไฟประดับในโทนสีเย็นสบายตา หิรัญเห็นว่าสวนหย่อมดูสงบดีและไม่มีใครจึงเข้าไปเดินเล่น
สายลมยามค่ำพัดผ่านยอดไม้จนเกิดเสียงดังซู่ซ่า ไฟดวงจิ๋วๆ ที่แขวนประดับตามกิ่งไม้ไหวกระเพื่อมจนทำให้ดูราวกับมีฝูงหิ่งห้อยเรืองแสงเกาะกลุ่มกัน หนุ่มใหญ่สูดหายใจเข้าเต็มปอดแม้จะรู้ว่าต้นไม้คายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในยามค่ำ แต่มันก็ยังให้กลิ่นอายที่สดชื่นกว่ากลิ่นน้ำหอมสังเคราะห์ในห้องจัดเลี้ยงมากนัก
"งานเลี้ยงไม่สนุกเหรอครับ?"
เสียงที่ลอยมาจากมุมหนึ่งในเงามืดทำให้คนถูกทักสะดุ้ง หิรัญหันไปทางต้นเสียงและพยายามมองหาว่าคนถามอยู่ไหน แต่แล้วเมื่อเห็นโครงร่างอันคุ้นตาซึ่งยืนอยู่ในมุมสลัวใต้ต้นไม้ที่ริมสวน หัวใจที่เต้นรัวเพราะความตกใจเมื่อครู่ก็ค่อยผ่อนแรงลง เขาล้วงสองมือลงในกระเป๋ากางเกงก่อนจะยักไหล่
"เปล่า ก็เหมือนทุกปี"
"ฟังดูเหมือนน่าเบื่อนะครับ"
หิรัญเบนสายตาไปทางอาคารของห้องจัดเลี้ยง น่าเบื่องั้นหรือ...ก็อาจจะใช่ เขาทำงานกับบริษัทนี้มานาน สนิทสนมคุ้นเคยดีกับผู้บริหารทุกระดับและพนักงานทุกแผนก เกือบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของชีวิตเขาทุกวันนี้ถูกทุ่มให้กับงานทั้งที่มองไม่เห็นเป้าหมายอีกแล้วว่าทำเพื่อใคร แต่มันอาจยังเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขามีจุดประสงค์ในการตื่นนอนและใช้ชีวิตในแต่ละวัน และไม่ทำให้เขาเป็นโรคประสาทเพราะความว้าเหว่จากการอยู่คนเดียวก็เป็นได้
"...เข้าไปสิ หลายคนน่าจะดีใจที่เห็นนายมาร่วมงานเลี้ยง"
ร่างในเงามืดก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ถึงจุดซึ่งสว่างพอที่จะเอื้อให้หิรัญเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายได้ สายตาของคนวัยสี่สิบกว่าไม่ได้เฉียบคมเหมือนสมัยที่เขายังหนุ่มแน่นอีกแล้ว
"ผมไม่ได้อยากมาหาพวกเขา คนที่ผมอยากเจอมีแค่คนเดียว แล้วเขาก็ยืนอยู่ตรงนี้"
ท่ามกลางไอเย็นของอากาศในยามค่ำคืน กระแสความอบอุ่นสายหนึ่งลอยตามลมมาพร้อมเสียงของคนพูดและโอบล้อมหิรัญไว้ กระแสความอบอุ่นนั้นราวจะแทรกซึมเข้าไปถึงหัวใจของเขาที่ถูกน้ำแข็งห่อหุ้มนับจากวันที่แยกทางจากภรรยา
ตอนนั้นเขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะทิฐิ ความรู้สึกอยากชดเชย หรือความเหนื่อยล้าในใจกันแน่ที่ทำให้ยอมมองดูเธอจากไปโดยไม่เหนี่ยวรั้ง มาถึงตอนนี้ เขาตระหนักแล้วว่าเป็นเพราะต่อให้สามารถดึงเธอเอาไว้ได้สำเร็จ เขาก็คงทำให้เธอต้องเจ็บช้ำเพราะถูกลากกลับเข้ามาในวงจรเดิมๆ อย่างแน่นอน
"ลุงอายุสี่สิบกว่าที่บ้างานมันมีอะไรน่าหลงใหล ขนาดเมียที่แต่งกันมาเกือบยี่สิบปียังขอหย่าได้ แล้วกับคนที่อายุอ่อนกว่าเกินรอบแถมยังเป็นผู้ชายเหมือนกันอีก...มองยังไงก็มีแต่ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเห็นๆ"
หิรัญไม่ใช่คนเชี่ยวชาญในเรื่องความรัก ตอนที่หลงรักหญิงสาวซึ่งต่อมาจะเป็นภรรยานั้นก็เริ่มต้นจากรักข้างเดียว เขามุ่งมั่นจนกระทั่งเธอยอมหันมามองเขาและตอบตกลงแต่งงานในที่สุด แต่กลับเป็นเขาเองที่รักษาดวงใจเอาไว้ไม่ได้ การสูญเสียรักแรกและรักเดียวในชีวิตไปทำให้เขาไม่มั่นใจว่าตนมีคุณสมบัติจะเริ่มใหม่ในอายุเท่านี้
"ผมโดนหาว่าเป็นพวกชอบแหกคอกมาตั้งแต่เด็กแล้ว อะไรที่คนอื่นไม่คิดจะทำผมก็อยากทำ อะไรที่คนอื่นไม่เห็นค่าผมก็อยากได้ เพราะนั่นแปลว่าผมจะได้เป็นเจ้าของพร้อมสิทธิ์ขาดเพียงคนเดียว"
เสียงพูดนั้นดังใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับเสียงฝีเท้าบนผืนสนามหญ้าที่ดังชัดเจนขึ้นจากด้านหลัง เสียงลมหายใจที่ลอยเข้าหูบอกให้หิรัญรู้ว่าคนในเงามืดก้าวออกมาถึงจุดที่เขาสามารถเอื้อมมือถึงแล้ว
"ความขบถของวัยหนุ่มสินะ"
"ความยึดมั่นของคนที่มีความรักต่างหาก คุณเหม..."
เสียงที่เรียกชื่อเขาแกว่งเล็กน้อยเมื่ออ้อมแขนอุ่นยื่นมาโอบกอดจากด้านหลัง รั้งร่างของเขาให้อยู่ในอ้อมกอดของปรานต์อย่างง่ายดาย ปลายจมูกโด่งที่ตรงกับใบหูของเขาพอดีโน้มลงคลอเคลียบนเส้นผมขณะที่แผ่นหลังของเขาแนบชิดกับแผงอกแกร่ง
"ผอมลงอีกแล้วใช่มั้ยครับ?"
"ไม่เจอกันแค่เดือนกว่า จะผอมลงได้แค่ไหนกันเชียว"
หิรัญเอ่ยพลางหันหน้าไปอีกทาง เขาไม่ได้รังเกียจความรู้สึกยามถูกผู้ชายอีกคนโอบกอดเช่นนี้ แต่ว่า...เขาไม่ชิน และไม่คิดว่าจะปรับใจให้ชินได้โดยง่าย
"ผมรู้ ตั้งแต่ต้นปีคุณเหมก็ผอมลงตลอด ดูไม่มีชีวิตชีวาเหมือนตอนที่ผมเพิ่งเริ่มทำงานใหม่ๆ ด้วย ขนาดเวลาผมทำอะไรผิดยังไม่ดุว่าผมแรงๆ เหมือนเมื่อก่อนเลย"
น้ำเสียงตัดพ้อทำให้หิรัญหัวเราะพรืด "นายนี่รสนิยมมีปัญหาจริงๆ นะ แฟนคนก่อนๆ เคยบอกมั่งรึเปล่า..."
เนื่องจากเขาหันกลับไปหาโดยไม่รู้ว่าปรานต์หันตามเขาอยู่ก่อนแล้ว มุมปากของหิรัญจึงชนกับริมฝีปากของอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง ผู้สูงวัยกว่าชะงักเมื่อนัยน์ตาของทั้งคู่สบประสาน และเขาเห็นแต่ความต้องการ โหยหา อยากครอบครองที่สะท้อนในแววตาคมกล้าซึ่งกำลังโน้มใกล้เข้ามาทุกที
"คนเดียวที่พูดให้ได้ยินก็แฟนคนนี้แหละครับ"
ภาพแสงไฟบนต้นไม้พร่าเลือนมื่อหิรัญหลับตาลงรับจุมพิต เจ้าของอ้อมกอดเพิ่มแรงโอบกระชับเขามากขึ้นจากอ้อมกอดหลวมๆ ในตอนแรก ริมฝีปากที่บดลงบนริมฝีปากของเขาถ่ายทอดความคะนึงหาอย่างแน่วแน่เมื่อมั่นใจแล้วว่าจะไม่ถูกผลักไส
หลายอึดใจผ่านไปกว่าช่วงเวลาแห่งความหวานล้ำจะจบลง ริมฝีปากของทั้งสองแยกเป็นอิสระจากกันอย่างแช่มช้า รอยยิ้มที่ปรานต์มอบให้ยามที่หิรัญลืมตาทำให้ผู้สูงวัยกว่าทั้งหมั่นไส้และปลื้มใจที่ตนคือผู้ทำให้เกิดรอยยิ้มนั้น
"รู้หรือเปล่าว่าการให้ความหวังกับคนแก่เป็นบาป?"
"ถึงเกิดทีหลังก็ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นคนโลเลนี่ครับ คุณเหมเองก็แต่งงานตั้งแต่ตอนอายุยี่สิบแปดเท่าผมไม่ใช่เหรอ?"
ช่างยอกย้อนเหลือเกินนะไอ้หนู... หิรัญไม่ทันได้พูดตามที่คิดก็ถูกยกมือข้างซ้ายขึ้น เขามองปรานต์ล้วงมืออีกข้างเข้าไปหยิบบางสิ่งในกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตมาสวมบนนิ้วนางข้างซ้ายของเขาแล้วก็เลิกคิ้ว
แหวนทองคำขาวเนื้อเกลื้อง ไร้ลวดลายหรืออัญมณีตกแต่ง แต่กลับเปล่งประกายดุจแก้วเจียระไนอยู่บนนิ้วมืออันหยาบกร้านของเขา
"แหวนนี่..."
"ผมจะไม่พูดว่าขอใช้แหวนวงนี้ชดเชยแหวนวงที่ผมโยนทิ้ง แต่เพราะผมอยากให้สิ่งแทนใจกับคุณเหมเป็นเครื่องหมายการเริ่มต้นของเราสองคน ห้ามถอดออกเด็ดขาดนะครับ"
น้ำหนักของโลหะที่สวมอยู่บนนิ้วราวจะตอกย้ำคำมั่นที่ปรานต์มอบให้ หิรัญมองแหวนที่ติดอยู่บนนิ้วเนิ่นนานโดยไม่พูดอะไร สุดท้ายจึงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหมุนตัวกลับไปหาคนด้านหลัง นัยน์ตาที่สบกับเขาดูมีร่องรอยไม่มั่นใจราวกับยังรอคำตอบ เช่นเดียวกับริมฝีปากที่เม้มจนเป็นเส้นตรง หิรัญจำได้ดีว่าอีกฝ่ายมักทำสีหน้าเช่นนี้เสมอยามรอฟังคำชี้แนะจากเขา
"ขอโทษครับคุณเหม ผมพลาดเอง แทนที่จะได้ลูกค้ารายใหญ่เลยโดนคู่แข่งตัดหน้า"
"ไม่เป็นไรหรอกปรานต์ จำความผิดพลาดครั้งนี้ไว้ก็แล้วกัน คนเราล้มได้ก็ต้องลุกได้ อย่าให้เรื่องนี้กลายเป็นอุปสรรคในการไปคุยกับลูกค้ารายต่อๆ ไป เข้าใจไหม?"คนเราล้มได้ก็ต้องลุกได้...นั่นเป็นประโยคที่เขาพร่ำสอนพนักงานทุกคนมาตลอดรวมถึงปรานต์ยามที่ทำเรื่องผิดพลาด แล้วนับประสาอะไรหากในอนาคตเขาจะต้องเจ็บอีกครั้ง ตราบใดที่พวกเขาได้ใช้เวลาในปัจจุบันด้วยกันอย่างมีความสุขก็น่าจะดีพอแล้วมิใช่หรือ
"เราคงเริ่มต้นกันไม่ได้หรอกนะ ปรานต์"
นัยน์ตาของปรานต์เบิ่งกว้างเหมือนไม่เชื่อหู อ้อมแขนที่เมื่อครู่โอบรั้งร่างของหิรัญดูอ่อนแรงลงในทันใด ผู้สูงวัยกว่าจึงหัวเราะในคอก่อนจะยกแขนขึ้นคล้องคออีกฝ่ายแล้วโน้มใบหน้าเข้าหา
มีคนรักที่ส่วนสูงไม่ต่างกันมากแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน...
"เพราะถ้ามีแต่ฉันที่ใส่แหวน ก็ไม่มีหลักฐานผูกมัดว่านายเป็นของฉันเหมือนกันน่ะสิ"
สายลมเย็นหอบหนึ่งพัดผ่านสวนหย่อมจนกิ่งไม้เสียดสีกันเสียงดัง กระทั่งผิวน้ำในสระบัวก็กระเพื่อมไหว เส้นผมของคนสองคนปลิวยุ่งเพราะสายลมหอบนั้น กระนั้นริมฝีปากที่คลอเคลียกันราวได้พบบ่อน้ำหวานที่เอมโอชก็ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองไม่สนใจอากาศที่เริ่มเย็นลง และยังคงแสวงหาความอบอุ่นในอ้อมกอดของกันและกันอยู่นั่นเอง จนกระทั่งดวงจันทร์เริ่มเคลื่อนคล้อยบนผืนฟ้า ทั้งสองจึงยิ้มให้กันก่อนจะเดินเคียงกันออกจากโรงแรม ทิ้งสวนหย่อมอันเงียบสงบและบรรยากาศครื้นเครงของงานเลี้ยงปีใหม่เอาไว้เบื้องหลัง
ภายในห้องจัดเลี้ยงที่เหลือพนักงานเพียงไม่กี่คนเพราะทยอยกลับบ้านกันไปแล้ว คณะกรรมการจัดงานต่างช่วยกันเก็บข้าวของพลางก็คุยกันไปด้วย
"จบงานนี้ก็จะได้หยุดยาวซักที ว่าแต่ทำไมคืนนี้ไม่เห็นปรานต์เลยล่ะ ไหนคุณเจ้าของโรงแรมบอกว่าจะออกมาเจอพวกเราไม่ใช่เหรอ?"
"นั่นสิ อุตส่าห์ให้ห้องจัดงานเลี้ยงฟรีๆ ทั้งที่เคยมีเรื่องกับไดเร็คเตอร์ของบริษัทแท้ๆ จะบอกว่าเป็นคนมีน้ำใจหรืออยากอวดรวยดีล่ะเนี่ย"
"สงสัยไม่ว่างมั้ง ยังไงก็เก็บของให้เสร็จกันสักทีเถอะ ฉันอยากกลับบ้านจะแย่แล้ว"
ทิวาพรเอ่ยกับเพื่อนๆ ซึ่งเป็นกรรมการจัดงานด้วยกันก่อนจะหันไปเก็บอุปกรณ์ต่อ แต่บนมุมปากของหญิงสาวกลับมีรอยยิ้มประดับ เธอรู้ดีถึงสาเหตุที่ปรานต์ไม่มาร่วมงานในคืนนี้ เพราะว่าเจ้าตัวได้พบกับคนที่ตั้งใจจะมาพบที่สุดไปแล้วนั่นเอง
เนื่องจากเป็นเพื่อนบ้านกันตั้งแต่เด็ก ทิวาพรจึงรู้ว่าชายหนุ่มเป็นทายาทของแม่ม่ายเจ้าของเครือโรงแรมใหญ่มาโดยตลอด ตอนที่อีกฝ่ายเรียนจบปริญญาโทและมาขอคำแนะนำว่าอยากทำงานที่อื่นก่อนจะกลับไปสืบทอดงานของครอบครัว เธอจึงแนะนำให้มาสมัครงานที่บริษัทเพราะกำลังขาดคน และก็ได้รู้ว่ารุ่นน้องหนุ่มมีใจให้เจ้านายของเธอตั้งแต่มาเริ่มงานช่วงแรกๆ
หลังจากที่มีเรื่องกับหิรัญ ปรานต์จำใจต้องลาออกเพราะถึงกำหนดที่มารดาขอให้ไปสืบทอดกิจการพอดี แต่กระนั้นก็ยังคอยโทรสอบถามเธอถึงความเป็นไปของหิรัญอยู่ไม่ขาด เธอเองก็พอจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของเจ้านายหลังจากที่ปรานต์ลาออกไปอยู่เหมือนกัน พอสบโอกาสจึงติดต่อรุ่นน้องหนุ่มเรื่องสถานที่จัดงานเลี้ยงปีใหม่ เพราะมั่นใจว่านิสัยของหิรัญคงทำให้เจ้าตัวจำไม่ได้แน่ว่าโรงแรมนี้เป็นหนึ่งในสถานที่ซึ่งปรานต์เป็นผู้บริหาร
เมื่อครู่นี้หญิงสาวทันเห็นตอนทั้งคู่อยู่ในสวนหย่อมตอนที่ออกไปเข้าห้องน้ำ ท่าทีที่บอกให้รู้ว่าคงปรับความเข้าใจกันได้แล้วทำให้เธอเดินกลับมาที่ห้องจัดเลี้ยงอย่างสบายใจ ถึงแม้จะไม่อาจคาดเดาอนาคตว่าพวกเขาจะไปกันได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ แต่เธอก็ยินดีจากใจจริงที่เจ้านายและรุ่นน้องที่สนิทจะได้มีความสุขจากการมีใครบางคนคอยเคียงข้าง
ส่วนตัวเธอเอง...ถึงแม้ในใจส่วนลึกจะอิจฉา แต่ในเมื่อปลายปีเช่นนี้เป็นเวลาที่ควรปล่อยวางเรื่องเก่าๆ เธอเองก็คิดตกแล้วว่าจะตัดใจจากความรักข้างเดียวที่เก็บงำไว้มาหลายปี แล้วเปิดใจก้าวสู่บทใหม่ของชีวิตด้วยความหวังว่าสักวันคงจะได้พบใครคนนั้นของเธอบ้างเช่นกัน
Let the new chapter begin...
++---End---++
