บทที่ 9 นับตั้งแต่เหตุการณ์ที่กระท่อมคืนนั้น ก็ผ่านมาอาทิตย์กว่าแล้ว พะพายยิ่งเป็นห่วงพะภูมากกว่าเดิมจนแทบไม่ยอมให้กระดิกตัว แต่เขาจะทนงอมืองอเท้าไม่ได้ เงินที่ยืมเกต์มาคราวก่อนก็ต้องรีบหาไปใช้
จากการถกเถียงกันอย่างยาวนาน สุดท้ายก็จบลงตรงที่ พะพายยินยอมให้เขาทำงานที่ร้านอาหารญี่ปุ่นในซอยแถวบ้านเท่านั้น เพราะเป็นสถานที่ที่ใกล้พอจะอยู่ในสายตาของเธอ อีกอย่าง เธอก็เคยทำงานที่นั่นมาก่อน หลังจากตกลงกันได้แล้ว ก็ถูกจัดการพาไปหาเจ้าของร้านและฝากฝังซะดิบดี โดยมีข้อแม้ว่าให้ทำงานเก็บเงินพอไปจ่ายคืนเกต์เท่านั้น ดูจะเป็นพี่สาวที่ขี้เป็นห่วงเกินไปจริงๆ แต่การยอมให้เขาได้ช่วยแบ่งเบาภาระบ้างก็ถือว่าดีมากแล้ว คราวนี้จะได้หาเงินไปคืนเกต์ให้จบๆ ไม่ต้องทนฟังเสียงจิกกัดเรื่องนี้จากติอีก..
พูดถึงคนชื่อติ... ถึงแม้ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา เขาจะแวะเวียนไปกวนใจที่วิไลวิทย์เหมือนอย่างเคย แต่ที่ผิดแปลกไปก็คือ การที่ไม่สามารถมองหน้าหรือสบตาผู้ชายคนนั้นตรงๆได้ เหตุก็เพราะไอ้จูบบ้าๆที่โรงพยาบาลนั่นแหละ ทำให้ต้องเสียน้ำยาบ้วนปากไปเกือบครึ่งขวด แถมความรู้สึกแปลกๆมันก็ไม่ยอมหายไปอีกต่างหาก กว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ก็เพิ่งเมื่อวันก่อนนี้เอง
คิดถึงแล้วก็น่าโมโหชะมัด กีรติที่เคยบอกว่าเกลียดเด็กผู้ชาย ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ซะแล้วล่ะ ถึงแม้ท่าทีหลังจากนั้น จะกลับมาร้ายเหมือนเดิมยังไง แต่จูบตอนนั้นมันก็คือเรื่องจริงนะ เรื่องจริงที่ว่าหัวหน้ากลุ่มนักเลงที่ใหญ่ที่สุดในวิไลวิทย์ ขโมยจูบจากเด็กผู้ชายอย่างเขา! จูบ...ที่ไม่ใช่แค่ปากแตะปาก เป็นจูบที่เขาไม่เคยทำกับใครมาก่อนเลย มันทั้งน่าตกใจ แล้วก็.....
“เฮ้ย” รีบส่งเสียงขึ้นเตือนตัวเองไม่ให้ฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ ก่อนจะหันไปไล่พะพายให้กลับบ้าน ในหัวตอนนี้ควรจะมีเพียงเรื่องงานพิเศษเท่านั้นสิ!
จิน เจ้าของร้าน ท่าทางใจดีมาก เป็นคนรับปากกับพะพายว่าจะดูแลเขาอย่างดี แถมยังลงทุนมาสอนงานให้เขาด้วยตัวเองอีกต่างหาก พอตกเย็น พนักงานทุกคนก็เริ่มแยกย้ายกันไปเตรียมตัวตามหน้าที่ของแต่ละคน เพื่อรอต้อนรับลูกค้าในช่วงวันหยุด
ร้านอาหารญี่ปุ่นในบรรยากาศเป็นกันเอง มีชื่อร้านสวยๆว่า ฮิคาริ ที่แปลว่าแสงสว่าง ตั้งอยู่ภายในซอยขนาดใหญ่อันเต็มไปด้วยร้านอาหารหลากหลาย มีเวลาเปิดปิดร้านสองกะด้วยกัน คือช่วงเช้าถึงบ่าย และอีกทีคือช่วงเย็นถึงค่ำ ได้ยินมานานว่าเป็นร้านที่เน้นการบริการเป็นเลิศ อาหารรสชาติดีเยี่ยม สมกับราคาที่แพงหูฉี่ ความกังวลต่างๆนาๆมันเพิ่งจะแล่นเข้ามาก็ตอนที่ป้าย OPEN ถูกพลิกออก พร้อมกับที่ลูกค้าเริ่มทยอยกันเข้ามานั่นแหละ
พนักงานทั้งชายหญิงต่างสวมชุดยูกาตะดูสวยงามทุกคน รุ่นพี่ที่ทำงานท่าทางคล่องแคล่วจนน่าประทับใจ ไม่ว่าลูกค้าแบบไหนผ่านประตูเข้ามา ก็ต้อนรับได้อย่างดีเยี่ยม ไม่มีขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อย รอยยิ้มใจดีจากจิน ยังพอบรรเทาอาการตื่นเต้นในตัวพะภูลงได้บ้าง จนเมื่อประตูร้านเปิดออกอีกครั้ง พร้อมร่างสูงของชายหนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งทำเอาพนักงานทั้งร้านผวากันไปเป็นแทบ
“ธ..ธร ยินดีต้อนรับครับ”
จินรีบรุดเข้าไปหาลูกค้าปริศนาทันที ก่อนจะผายมือไปยังห้องส่วนตัวด้านในสุดของร้าน ถ้าได้ยินไม่ผิดรู้สึกว่าหมอนี่จะชื่อ ธร หรืออะไรสักอย่าง ระหว่างที่เดินไปตามทางไม้ สายตาน่ากลัวของคนคนนั้นก็จับจ้องมายังพะภูที่ได้แต่ยืนนิ่ง ในมือกอดเมนูอาหารเอาไว้แน่น คุณลูกค้าท่าทางน่าเกรงขามค่อยๆเหยียดยิ้มออกมา ก่อนจะหันไปกระซิบอะไรบางอย่างกับจิน
พอเดินไปส่งลูกค้าเข้าห้องเรียบร้อยแล้วก็รีบวิ่งกลับมาหาพะภูหน้าตั้ง จินมีท่าทีกระอักกระอ่วนเล็กน้อย กว่าจะยอมเปิดปากขอร้องคำโตออกมา
“พะภู ช่วยไปดูแลลูกค้าคนเมื่อครู่หน่อยได้ไหม?”
“เอ๊ะ ผมเหรอครับ? แต่ว่า...” ไม่ใช่แค่เป็นพนักงานใหม่ แต่ดูเหมือนคนคนนั้นจะมีรังสีน่ากลัวแผ่ออกมา จนไม่อยากเข้าใกล้เลยจริงๆ
“เขาเอ่ยปากขอมาแบบนี้น่ะ... คนคนนั้นเป็นลูกชายของนักธุรกิจใหญ่ ชื่อธร ถึงจะเป็นแค่เด็กนักเรียนแต่ก็กุมอำนาจน่ากลัวไว้ อย่างเช่น...การเป็นเจ้าของที่ดินของซอยนี้ทั้งหมด ฉะนั้นขอร้องล่ะ แค่วันเดียว แล้วพี่จะจ่ายเงินพิเศษให้นะ”
จินรีบอธิบายยาวเยียด น้ำเสียงลนลานเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ทำเอาคนฟังถึงกับไม่กล้าปฏิเสธ เลยได้แต่ยอมโดนลากให้เข้าไปในห้องญี่ปุ่นขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ถูกกันออกมาจากโซนอื่นอย่างชัดเจน จนแทบไม่ได้ยินเสียงจากภายนอกเลย
มีพนักงานอีกคนกำลังจดรายการอาหาร ทั้งที่มือทั้งสองข้างสั่นระริก สักพักก็รีบก้มหัวเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้เขายืนเอ๋ออยู่อย่างนั้น ผู้ชายท่าทางน่ากลัวบนเบาะรองนั่งแบบญี่ปุ่น หันมามองเขาด้วยสายตาที่แปลไม่ออก ทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความกดดันประหลาดจนแทบอยากจะอาเจียน
ทุกองค์กระกอบบนใบหน้าเรียวนั้นราวกับถูกบรรจงคัดมา ทั้งริมฝีปากสีส้มธรรมชาติ จมูกโด่งเป็นสัน ไปจนถึงดวงตาคมสีเทาหม่น อะไรกัน ใส่คอนแทคเลนส์สีนั้นยิ่งเสริมให้ดูน่ากลัวเข้าไปอีกไม่ใช่เหรอ ผมสั้นซอยต่ำสีน้ำตาล ถูกเซตยุ่งๆมาด้านหน้า ดูไม่สมเป็นนักเรียนอย่างที่ว่าสักนิดเดียว ยิ่งร่างกายสูงโปร่ง กับกล้ามเนื้อที่แสดงออกมาผ่านเนื้อผ้าก็ยิ่งดูโตเกินวัย ไม่ได้ต่างอะไรจากสามหัวขบวนแห่งกลุ่มกีรติเลยแม้แต่น้อย
“นั่งสิ”
เสียงทุ้มดังขึ้นเรียกให้พะภูตื่นจากภวังค์ มือใหญ่ตบลงบนเบาะข้างตัว แทนที่จะเป็นที่นั่งตรงกันข้าม เขาค่อยๆปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ ก่อนจะคลานเข้าไปนั่งที่เบาะดังกล่าว พยายามขยับให้มีช่องว่างระหว่างกันมากที่สุด
“ฉันชื่อธรนะ นายชื่ออะไร?”
“เอ่อ..ผม ชื่อพะภูครับ”
“พะภูอายุเท่าไรหรอ?”
“16 ครับ” บรรยากาศชักไม่ดีเมื่อธรเอาแต่ตั้งคำถาม พลางเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ขึ้นทุกทีๆ ยังไม่มีวี่แววว่าอาหารจะเข้ามาเสิร์ฟ และคงไม่มีใครกล้าเข้ามากวนโดยไม่จำเป็นด้วย
“อ่า แล้วเรียนอยู่ที่ไหนล่ะ?”
“ธารวิทยาครับ”
“เอ๊ะ ธารวิทยาหรอ เป็นลูกชายตระกูลไหนน่ะ?”
ว่าแล้วเชียวว่าจะต้องมีปฏิกิริยาแบบนี้ อย่างที่รู้กันว่าธารวิทยาเป็นโรงเรียนผู้ดี มีแต่คุณหนูคุณชาย กับเหล่าคนมีเงินเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าศึกษา ความจริงนี้ไม่ได้ต่างกับวิไลวิทย์สักเท่าไร เพียงแค่ทางนั้นออกจะให้อิสระนักเรียนมากเกินไป จนกลายเป็นแหล่งซ่องสุมของเหล่าทายาทที่ยึดเรื่องอำนาจมากกว่าปัญญาไปซะอย่างนั้น
“เปล่าครับ ผมเป็นแค่นักเรียนทุนน่ะ”
“อย่างนั้นเอง ฉันเรียนอยู่ที่วิไลวิทย์ ว่างๆก็แวะมาบ้างสิ”
“ห๊ะ!?”
เผลอส่งเสียงออกไปจนอีกฝ่ายถึงกับมีสีหน้างุนงง ดูเหมือนคำว่าวิไลวิทย์จะส่งผลกระทบกับเขาเอามากๆเลย แต่ที่น่าแปลกใจจนต้องร้องออกไปก็เพราะว่า เขาไม่เคยเจอธรที่โรงเรียนเลยสักครั้งเดียว ทั้งที่แวะไปบ่อยซะจนจำหน้านักเรียนส่วนใหญ่ได้เกือบหมดแล้วแท้ๆ
“มีอะไร?”
“คือ..ผมก็ ไปที่วิไลวิทย์อยู่บ่อยๆนะครับ แต่ว่าไม่เคยเห็นคุณเลย”
“อ้าวเหรอ พอดีญาติฉันที่ต่างประเทศเขาป่วย เลยต้องไปอยู่ด้วย เพิ่งกลับมาได้ไม่นานน่ะ”
“อ๋อ..ครับ”
“แล้วเด็กอย่างนาย ไปทำอะไรที่วิไลวิทย์ล่ะ?”
“เอ่อ...”
ดวงตาคมหรี่ลงรอคำตอบ อะไรบางอย่างบอกพะภูว่าไม่ควรจะพูดชื่อของติออกไปเลย ขณะที่ความรู้สึกกลัวกำลังจุกแน่นอยู่ตรงลำคอ เสียงเลื่อนประตูไม้ก็ดังขึ้น ขัดจังหวะบทสนทนาอันชวนอึดอัดนี้ไว้ก่อน คนตัวเล็กลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะตรงเข้าไปช่วยพนักงานคนอื่นนำอาหารมากมายมาวางเรียงรายบนโต๊ะ ธรเลิกสนใจที่จะซักถามต่อ และเริ่มคีบข้าวปั้นหน้าปลาดิบเข้าปาก
“นายจะกินด้วยก็ได้นะ”
“มะ..ไม่ได้หรอกครับ”
“แต่ฉันกินไม่หมดหรอก”
“ก็แล้วจะสั่งมาทำไมล่ะครับ!?”
ทั้งห้องเงียบสนิทจนได้ยินเสียงหายใจชัดเจน ข้าวปั้นที่ถูกคีบขึ้นมาหล่นไปอยู่บนจาน ขณะที่ธรกำลังผงะกับการถูกขึ้นเสียงใส่ ส่วนพะภูที่เผลอตะคอกออกไปตามนิสัย ก็เริ่มทำท่าเหมือนอยากฆ่าตัวตายเต็มทนแล้ว
“ขะ ขอโทษครับ! ขอโทษจริงๆครับ แบบว่า..คือ...ผมไม่ได้ร่ำรวย เลยไม่ค่อยอยากเห็นใคร กินของทิ้งๆขว้างๆ อ๊ะ! ไม่ใช่นะครับ ผมไม่ได้จะว่า..ตะ แต่ อ๊า~~~” คนตัวเล็กรีบยกมือยกไม้กันพัลวันพลางอธิบายเสียงสั่น แต่ยิ่งพูดก็ยิ่งแย่ สีหน้าที่ไม่แสดงสีหน้าใดๆของธรตอนนี้มันน่ากลัวยิ่งกว่าอะไรซะอีก ไม่เห็นมีลางบอกเลยว่าวันนี้คือวันตายของเขาน่ะ!
“..ฮุ...”
“เอ๊ะ?”
“ฮ่ะๆๆ...อุฟ.. โทษที”
คนตัวใหญ่โบกมือไปมา สีหน้าอ่อนลงกว่าเดิมจนน่าประหลาดใจ เสียงหัวเราะที่หลุดลอดจากปากทำเอาพะภูถึงกับงงเต๊ก ความกลัวเมื่อครู่ค่อยๆจางไปทีละน้อย กลับกลายเป็นความหงุดหงิดที่แทรกตัวเข้ามาแทน ทำไมต้องพยายามกลั้นหัวเราะขนาดนี้ด้วย สิ่งที่เขาพูดไม่ใช่มุกตลกสักหน่อย! หลอกให้กลัวจนแทบหัวใจวาย ที่ไหนได้ มานั่งหัวเราะกันแบบนี้ แย่ชะมัด!
“ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหัวเราะนาย แต่ไม่ค่อยมีคนกล้าขึ้นเสียงใส่ฉันแบบนี้หรอก”
พะภูได้แต่จ้องหน้าธรโกรธๆ แก้มสองข้างป่องขึ้นมาด้วยว่าหงุดหงิด ใบหน้าน่ากลัวของลูกค้าคนนี้ไม่ได้ส่งผลใดๆกับเขาอีกแล้วนับตั้งแต่โดนหัวเราะใส่อย่างเสียมารยาท
“ก็แค่รู้สึกประทับใจนิดหน่อยน่ะ ขอโทษที แล้วฉันจะห่อกลับไปให้คนที่บ้านแล้วกัน” ธรขอโทษแล้วขอโทษอีก ก่อนจะยื่นนิ้วมาจิ้มแก้มของพะภูให้กลับมาเป็นอย่างเดิม
บรรยากาศในห้องดีขึ้นอย่างน่าประหลาด ดูท่าว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจะดำเนินไปได้ดีเกินคาด เพราะความผิดพลาดของพะภูแท้ๆ ความจริงธรก็ไม่ใช่คนน่ากลัวอย่างที่จินหรือพนักงานคนอื่นต่างคิดกันไปเองเลย ถ้าเขาแสดงด้านนี้ออกมาให้ใครต่อใครเห็นเสียตั้งแต่ทีแรก ก็คงดูเป็นมิตรมากทีเดียว
“ฉันดีใจนะที่นายตะคอกฉันน่ะ”
“หา?”
มาโซคิสม์ อะไร?
“แบบว่า ใครๆก็เอาแต่กลัวฉัน น่ารำคาญจะตาย”
“ก็คุณธรทำให้คนอื่นกลัวเองไม่ใช่เหรอครับ”
“เรียกพี่ธรสิ ฉันอยู่ม.6 เองนะ แล้วฉันก็ไม่ได้ทำให้ใครกลัวด้วย แค่ปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นไม่เก่งเท่านั้นเอง”
แบบนี้ไม่ใช่แค่ไม่เก่งแล้วมั้ง ต้องเรียกว่าแย่ขั้นรุนแรง การวางตัวที่ดูเป็นใหญ่ สีหน้าเรียบเฉย กับแววตาคมเฉียบจนน่าพรั่นพรึง ทุกอย่างที่เขาแสดงออกมา ถ้าใครไม่กลัวก็บ้าแล้ว! ทั้งที่ความจริงก็หัวเราะออกมาได้อย่างง่ายดายแท้ๆเลย
“ครับๆ พี่ธร”
คนตัวสูงหันไปตักอาหารอีกไม่กี่คำก็เรียกเก็บเงิน พร้อมนำของที่เหลือมากมายใส่กล่องกลับบ้านตามที่บอก เอาจริงๆ หมอนี่มาทำอะไรกันแน่!
“เอ่อ ธร.. เรื่องค่าเช่าที่...”
จินแทรกตัวเข้ามาในห้อง พอดีกับที่พนักงานคนอื่นกำลังยกห่ออาหารมาวางบนโต๊ะ สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีจากเจ้าของร้านทำเอาพะภูนึกเป็นห่วง ธรไม่สนใจสิ่งที่จินพูดสักเท่าไร เพียงแต่ตอบกลับด้วยคำถามแปลกๆ
“พะภูเลิกงานกี่โมง?”
“เอ๊ะ ก็.. ประมาณ 4 ทุ่ม”
“งั้นค่าเช่าของเดือนนี้ แลกด้วยเวลาทำงานของหมอนี่แล้วกันนะ”
“หะ?”
ทั้งจินและพะภูต่างส่งเสียงไม่เข้าใจออกไปพร้อมกัน ธรกดโทรศัพท์เรียกลูกน้องในชุดสูทเข้ามาแบกอาหารทั้งหมดไป ก่อนจะคว้าข้อมือเล็กของพะภูไว้ และบังคับลากออกมาจากร้าน ท่ามกลางความตกใจของลูกค้าและพนักงานคนอื่นๆ เสียงตะโกนเรียกของจิน หรือแม้แต่เสียงร้องโวยวายของพะภูก็ไม่ได้ทำให้ธรยอมปล่อยมือแต่อย่างใด กว่าจะรู้ตัวก็ถูกพามาหยุดอยู่หน้ารถเก๋งสีดำด้านคันหรูเสียแล้ว
“นี่มันอะไรกันครับ!?”
“ก็บอกไปแล้วไง ว่าวันนี้จะขอรับตัวนายไป แลกกับค่าเช่าที่ของร้านฮิคาริเดือนนี้”
“อะไรกัน? ผมไม่รู้เรื่องด้วยสักหน่อย แล้วยัง...” พะภูใช้โอกาสนี้สะบัดมือออกจากการเกาะกุม พลางก้มลงมองสภาพตัวเอง ถูกลากออกมาทั้งที่ยังสวมชุดยูกาตะของร้านอยู่เลย แถมรองเท้าก็ไม่มีอีกต่างหาก บ้าที่สุด!
“เอาน่า ไปนั่งรถเล่นเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”
“ไม่ครับ ผมจะกลับไปทำงาน”
“พะภู” มือใหญ่ตามมาคว้าข้อมือเล็กไว้อีกครั้ง พวกลูกน้องสองสามคนของธรเริ่มขยับเข้ามาล้อมทั้งคู่ไว้ ผู้ชายคนนี้ยังไงกันแน่ จะดีหรือจะร้าย ไม่เห็นเข้าใจเลย!
“เฮ้ย!”
จู่ๆก็มีเสียงตะคอกที่แสนคุ้นหูดังขึ้นด้านหลัง เมื่อหันไปก็พบผู้ชายสามคน กำลังยืนทำหน้าโหดมองมาทางนี้ ธรค่อยๆคลายแรงบีบที่มือ ทำให้พะภูสลัดแขนออกมาได้ ดวงตาสีซีดทอประกายความโกรธเกลียดบางอย่างออกมาจนน่าขนลุก บรรยากาศมาคุถูกพัดเข้าปกคลุมทั่วบริเวณแบบไม่ให้ตั้งตัว
“ทำไมพะภูถึงอยู่กับไอ้ธรได้?”
คำถามแรกหลุดออกมาจากปากเจ้าของเรือนผมสีทอง ซึ่งทำท่าจะเข้ามาคว้าตัวพะภูไว้ แต่กลับถูกธรรุดหน้ามาขวางซะก่อน สายตาคมจ้องไปที่ทั้งสามคนสลับกับใบหน้าซีดเผือดของพะภูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุดหัวเราะในลำคอออกมา น้ำเสียงเสียดหูฟังดูร้ายกาจดังขึ้นชัดเจน
“นี่คือเหตุผลที่นายไปวิไลวิทย์บ่อยๆงั้นเหรอ?”
------------------------------------
แงงงง้ เปิดเทอมแล้วเด้อ!
อาจจะมาอัพช้าขึ้นนะคะ TT
อย่าเพิ่งทิ้งกันไปล่ะ
เราก็จะไม่ทิ้งไปเลยเหมือนกัน
จะพยายามหาเวลามาแต่งต่อให้ได้