สนามรัก..นักบอล
Part 21 ตั้งแต่ถูกจูบที่สนาม กระทั่งขึ้นห้องอาบน้ำ จนมานั่งประจันหน้า ลูกดิ่งยังไม่กล้าสบตาพี่ตรงๆ รุ่นพี่ตัวโตเข้าใจความรู้สึก
จึงไม่คิดพูดอะไรที่ทำให้รุ่นน้องหน้าใสเขินอายหรือวางตัวลำบากไปกว่านี้
โยโย่ให้แม่บ้านจัดมื้อค่ำมาส่งให้ที่ห้อง
“ทานข้าว..ครับ” รุ่นพี่เอ่ยชวน ลูกดิ่งกลับหายใจลำบาก
“ครับ” ขานเสียงเบา มือจับช้อนตักข้าวเข้าปากท่าทางดูเกร็งไปเลย แทบไม่แตะอาหาร
เหมือนจงใจกินแต่ข้าวเปล่า โยโย่จำต้องลงมือบริการตักไปวางใส่จานให้เอง
“อ๊ะ!” แค่เห็นหลังมือพี่ ลูกดิ่งมีอาการผวาเล็กน้อย
“เป็นอะไร” จากที่วางเฉย หนุ่มหน้าเข้มถึงกับรวบช้อน ตัดสินใจคุยกับรุ่นน้องดีกว่า
“ปะ..เปล่าครับ” ลูกดิ่งสั่นหัวปฏิเสธ ไม่ยอมเงยหน้าสบตาด้วย
“ดิ่งครับ..มองพี่” เป็นการออกคำสั่งครั้งแรก ไม่พูดแบบนี้เขาคงไม่มีทางได้เห็นดวงตาเรียวสวย
เพื่อจะคาดเดาว่ารุ่นน้องคิดอะไรอยู่
ลูกดิ่งถอนหายใจ ยอมเงยหน้ามองรุ่นพี่ สบตาแวบเดียวรีบเฉก้มลงมองจาน..ดันไม่กล้าสู้หน้าดื้อๆ
เขารู้สึกแปลกๆ อธิบายไม่ถูก
“มองพี่สิครับ” คราวนี้หนุ่มหน้าใส ที่ใครต่างลงความเห็นเป็นเด็กดี กำลังดื้อกับรุ่นพี่เข้าแล้ว
ลูกดิ่งไม่ยอมทำตาม นั่งหน้าแดงหูแดงเห่อลามทั่วหน้าทันตา แอบเม้มปากอีกด้วย..นิ้วที่จับช้อนเกร็งแน่น
โยโย่สังเกตกิริยารุ่นน้องไม่กะพริบ ลดน้ำเสียงให้อ่อนลง..
“มองหน้าพี่..ครับ” เขาตัดสินใจคุย ไม่เช่นนั้นอาจยุ่งยากลุกลามกลายเป็นปัญหา
ลูกดิ่งยังไม่ยอมมองรุ่นพี่ โยโย่ใจเย็นเกินคาด ตาคมจ้องหน้าน้องนิ่ง..
แววตาอ่อนแสง..ฉายความเอ็นดูออกมาชัดเจน
เป็นใครก็คงวางตัวลำบาก อึดอัดกับสถานการณ์ที่เพิ่งเจอมาหมาดๆ ลูกดิ่งก็เช่นกัน
เมื่อโยโย่เดินหน้าบุกประชิด ถ้าไม่ชัดเจนกับการกระทำ ให้รู้ว่ามีจุดประสงค์อะไรแน่
รุ่นน้องย่อมสับสนไม่รู้ควรวางตัวยังไง ยามอยู่ด้วยกันลำพังแบบนี้
หากปล่อยคาราคาซัง ลูกดิ่งอาจถอยห่างสร้างช่องว่างที่ยากจะเชื่อมให้เป็นความคุ้นเคยได้อีก
ประสบการณ์สอนให้เขารู้ ของแบบนี้ปล่อยให้ผ่านไป โดยรอให้เวลาเป็นตัวแก้ไขไม่ได้เป็นอันขาด
“พี่ไม่ขอโทษ กับสิ่งที่ทำไป” น้ำเสียงราบเรียบแต่หนักแน่นจริงจัง
คนฟังยังคงเกร็งนิ้วจับช้อนไว้แน่น เหมือนอาศัยมันเป็นที่พึ่ง
“พี่ไม่ได้ทำเพราะนึกสนุก ทุกอย่างออกจากใจ” โยโย่พูดต่อ เหมือนคุยอยู่คนเดียว
ทั้งที่กำลังพูดให้คนร่วมโต๊ะ ที่เอาแต่ก้มหน้าไม่หือไม่อือนิ่งเป็นหุ่นฟัง มีเพียงอาการหูเหอแดงจัดเท่านั้น
ทำให้เขารู้ลูกดิ่งกดดันมาก บรรยากาศดูหนัก..อึมครึมไปแล้ว
“ดิ่ง..เราต้องคุยกันครับ” โยโย่เอื้อมมือวางทาบหลังมือรุ่นน้อง ตบหลังมือเบาๆ
ถือวิสาสะคลายนิ้วดึงเอาช้อนออกอย่างนิ่มนวล แล้วเอามือของน้องมากุมไว้เสียเอง
“ฟังพี่..แล้วกรุณาช่วยตอบพี่ด้วย ถ้าไม่อยากพูดแสดงท่าทางให้พี่รู้หน่อยนะครับ
อย่าทำเหมือนพี่กำลังคุยอยู่กับตัวเอง ดิ่งรู้สึกสับสนใช่ไหม ว่าพี่ทำแบบนั้นไปทำไม?”
โยโย่เว้นช่วงให้รุ่นน้องบอก ไม่ถึงอึดใจลูกดิ่งผงกหัวแทนการยอมรับ ยังไม่ยอมเงยหน้ามองพี่ตามเคย
“พี่..ชอบ..ดิ่ง” รวบรัดชัดเจน ลูกดิ่งเผลอเงยหน้ามองพี่ตาค้าง
ดวงตาเรียวเบิกกว้างอย่างตกตะลึง หลังได้ยินคำสารภาพซึ่งหน้า
“ฟังไม่ผิดหรอกครับ..พี่ชอบดิ่ง..คบกับพี่ได้ไหม” ลูกดิ่งกะพริบตาปริบๆ สีหน้าเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“เป็นแฟนกันนะ” รุกไล่กระชั้นชิด ในหัวลูกดิ่งมึนตึ๊บ! สับสนตีกันวุ่น
แต่กลับมีคำถามเด่นชัด..ทำให้หลุดปากโดยไม่เสียเวลาคิด
“พี่หมอผานิตล่ะครับ พี่กำลังนอกใจหมออยู่” โยโย่พยายามสร้างบรรยากาศโรแมนติก
ถึงกับหลุดหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ ยอมรับเขาไม่ได้ขำคำพูด แต่ขำความคิดของลูกดิ่ง
สถานการณ์แบบนี้ยังมีแก่ใจนึกถึงความรู้สึกของคนอื่นอีก แทนที่จะถามเรื่องเกี่ยวกับตัวเอง
หรือไม่ก็ถามสาเหตุ..เป็นเพราะอะไรเขาถึงคิดแบบนี้ ดูจะเข้าท่ากว่าเสียอีก
“หึหึ!..ดิ่งกังวลเรื่องนี้อยู่เหรอ ถ้าพี่ไม่ติดปัญหานี้แล้ว ดิ่งยอมคบกับพี่ใช่ไหม..หืม”
แม้จะหัวเราะ แต่คนตัวโตหน้าหล่อไม่ยอมปล่อยโอกาสหลุดลอยง่ายๆ รีบทึกทักเหมาเอาดื้อๆ
“ผมไม่ได้พูดแบบนั้น ผมเป็นผู้ชาย..ยังไม่เคยมีแฟน ยิ่งเป็นผู้ชายด้วยแล้ว ผม..คือ...ผม”
เหมือนหาคำพูดไม่เจอ
“ดิ่งกำลังลำบากใจ เพราะพี่เป็นผู้ชาย” โยโย่ถามหน้าหล่อกลั้วยิ้ม
บรรยากาศอึมครึมตอนแรก ดูเบาบางลงเหมือนสองคนนั่งให้คำปรึกษากันเสียอย่างนั้น
“พี่คิดว่าไม่แปลกหรือครับ..หรือพี่เป็น” รุ่นน้องไม่กล้าพูดต่อ
“พี่เป็นเกย์” โยโย่เติมประโยคเสียเอง ลูกดิ่งไม่ตอบ แต่ก็ไม่ปฏิเสธ แสดงว่าเขาเดาความคิดได้ถูกจุด
“ใช่พี่ยอมรับ พี่เคยมีคนรักเป็นผู้ชายสมัยตอนเรียนอยู่มัธยมปลาย หลังจากนั้นไม่เคยคบผู้ชายอีก
ก่อนหน้ามีผู้หญิงประปราย..ที่เออ..ที่ผู้ชายส่วนใหญ่เขาหาประสบการณ์ พี่ไม่เคยมีแฟนเป็นตัวตน
ไม่มีพันธะผูกพัน พี่ไปเรียนเมืองนอกมีอิสระ ดิ่งเข้าใจใช่ไหม” โยโย่เลือกอธิบายให้น้องทำความเข้าใจไปอย่างช้าๆ
“ครับ” ลูกดิ่งรับคำเบาๆ เรื่องผู้ชายมีอะไรกับผู้หญิงเป็นเรื่องปกติ
โรงเรียนเขาเพื่อนในห้องคั่วผู้หญิง คุยโวสนุกปากเลยด้วยซ้ำ
“ไม่มีใครเคยค้างร่วมเตียงเหมือน..ดิ่ง” พอพี่พูดจบ ลูกดิ่งหน้าแดงแปร๊ดตามมาทันที
“แต่ผมเป็นน้องแทคพี่นี่ครับ ความจริงผมนอนฟูกก็ได้นะ”
รุ่นน้องยังคงมีเหตุผลมาหักล้าง แถมดูลุกลนไปแล้ว
“ไม่เกี่ยวนอนฟูกหรือบนเตียง ในเมื่อดิ่งค้างกับพี่..จัดเป็นคนพิเศษ พี่เคยตั้งสัตย์กับตัวเอง
จะไม่นอนร่วมเตียงกับใคร ยกเว้นคนที่พี่รักเท่านั้น” พอรุ่นพี่ยืนยันแบบนี้ ลูกดิ่งพานก้มหน้างุดจนคางชิดอกไปแล้ว
“จำที่พี่ปฏิเสธประธานสโมสรวันแรกได้ไหม ว่าไม่รับเป็นพี่เลี้ยงใคร
พี่บอกไม่สะดวกให้ใครอยู่ร่วมห้องด้วย หลายคนมองว่าพี่มีโลกส่วนตัวสูง ไม่ชอบวุ่นวายสุงสิง
ถูกเพียงส่วนเดียว..ประเด็นหลักพี่ไม่พร้อมที่จะกลืนน้ำลายตัวเอง เมื่อเลี่ยงไม่ได้ ก็แค่คิดว่าเดี๋ยวคงหมดหน้าที่
สุดท้ายพี่ฝืนความรู้สึกที่รุกล้ำเข้ามาในใจไม่ได้ ถึงตัดสินใจทำตามความต้องการตัวเองไป
ทีนี้รู้แล้วใช่ไหม ว่าสิ่งที่พี่ทำไม่ใช่แค่นึกสนุกเล่น พี่จริงจังกับมัน..ดิ่งให้โอกาสพี่ได้ไหมครับ”
มือที่ถูกกุม รับรู้ถึงแรงบีบกระชับยืนยันไปด้วย ลูกดิ่งใบ้กินไปชั่วขณะ ถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจ
“แล้วหมอผานิตล่ะครับ ทำแบบนี้หมอไม่เสียใจหรือพี่”
วกกลับมาประเด็นคาใจ แสดงให้รู้ว่า..รุ่นน้องกังวลไม่เลิก
“เอาเป็นว่าดิ่งปล่อยเป็นธุระของพี่ สบายใจได้ วันนี้ดิ่งไม่มีคำตอบไม่เป็นไร พี่ไม่เร่งรัด
แค่ดิ่งรับรู้ไว้ก็พอ อย่าถึงกับปิดกั้น ลองเปิดใจเรียนรู้กันไปก่อนได้ไหม ถ้าดิ่งรับไม่ได้จริงๆ พี่จะยอมถอยออกมาเอง”
คำพูดฟังดูไม่บีบคั้นกดดัน ช่วยลูกดิ่งหายใจสะดวกกว่าเดิมมากโข
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่เขาโดนผู้ชายสารภาพรัก ที่โรงเรียนมีไม่น้อยทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง แต่เขากลับไม่รู้สึกอะไร
ปฏิเสธอย่างรักษาน้ำใจ พอเป็นรุ่นพี่ที่ยึดเป็นไอดอล เขาชื่นชอบนิสัยบวกความสามารถพี่โย่มาก
ฝันว่าสักวัน..จะเป็นอย่างพี่เขาให้ได้
พอเจอคนที่ตัวเองศรัทธาสารภาพรักซึ่งหน้า ขอคบในฐานะคนรัก บอกตรงๆ ลูกดิ่งไปไม่เป็น
จะปฏิเสธก็รู้สึกโหวงๆ พอคิดว่าพี่จะเสียใจ อาจส่งผลกระทบความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน
จนเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมก็ใจหาย
ครั้นจะให้ตอบรับเขาก็ค้านตัวเอง เขาเป็นผู้ชายที่ยังชื่นชอบสรีระผู้หญิง
แม้จะแอบเขินความเพอร์เฟกในรูปร่างพี่โย่ ซึ่งสาวกรี๊ดทั้งประเทศ
แต่เล่นมาขอคบอย่างไม่คาดฝัน..ก็พูดไม่ออกไปไม่เป็นเหมือนกัน
สำคัญเขาไม่แน่ใจว่ารู้สึกแบบไหน สับสนปนกันไปหมด จนแยกไม่ออกบอกไม่ถูก
ขอพักเรื่องนี้ไว้ก่อน อย่างน้อยพี่โย่พูดเองไม่เร่งรัด ให้เวลาเรียนรู้กันไป..เขาเป็นเด็กรุ่นใหม่
เรื่องแบบนี้ใช่รับไม่ได้ เพียงแต่ไม่คิดจะเจอกับตัว แถมผู้ชายคนนี้..เป็นถึงดาวยิงอันดับหนึ่งเสียด้วยนี่สิ
เป็นเรื่องเหลือเชื่อมากกว่า พานไม่แน่ใจเกินยอมรับเป็น ‘เรื่องจริง’ บางทีพรุ่งนี้อาจแค่ฝัน
พอตื่นมาพี่โย่คงถามเขา ‘เป็นไงครับ..เซอร์ไพรส์มากไหม..ดิ่ง’ ถ้าเป็นแบบนั้น
ไม่รู้ว่าหน้าแตกหรือควรดีใจ ตอนนี้ขอเลือกที่จะเงียบ..วางเรื่องทั้งหมดไว้ก่อน
“ทานข้าวครับพี่” รุ่นน้องยิ้มให้พี่อย่างเคย เพียงแต่รอยยิ้มละไมหวานจับใจที่คุ้นตา
ดูเขินอายขาดความมั่นใจไปทีเดียว โยโย่ยกยิ้มให้ไป รุ่นน้องเนียนดึงมือออกช้าๆ
จับช้อนตักไก่ผัดเม็ดมะม่วงใส่จานของรุ่นพี่
“ทานสิครับ” แถมคะยั้นคะยอโยโย่อีก รุ่นพี่เห็นความพยายามของลูกดิ่ง
ที่ตั้งใจทำบรรยากาศระหว่างพวกเขาไม่อึดอัด ยอมให้ความร่วมมือ จ้วงข้าวเข้าปากเคี้ยวด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย..
โดยไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ ได้เพียงเท่านี้ เขารู้สึกดีใจที่ลูกดิ่งไม่ถึงกับสร้างกำแพงป้องกันเข้าใส่...
มื้อค่ำระหว่างสองหนุ่มต่างวัย ความรู้สึกในใจคงไม่เหมือนเดิมแล้ว แต่พวกเขาวางตัวปกติ
ทำเหมือนทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ไม่นำมาก่อปัญหาให้เกิดความกระอักกระอ่วนระหว่างกัน
ที่เหลือคงต้องรอดูพี่โย่จะทำยังไงต่อ..และลูกดิ่งจะตอบรับความรู้สึกรุ่นพี่ได้หรือไม่?
>
>
>
“นอนยัง..หมอ” เป็นอีกคืนที่ยุทธหลบมาโทรหาผสุ ปล่อยพี่เลี้ยงอยู่ในห้องนอนลำพัง
โดยเกรียงไม่ถามซอกแซกมากความให้ลำบากใจ
[นอนแล้ว..จะรับโทรศัพท์นายหืม] ยุทธคิ้วกระตุก หลังผสุกวนใส่
“คนเขาตั้งใจดี อย่าทำเสียบรรยากาศ” ลืมความอายก่อนโทรหาคนปลายสายเสียสนิท
เมื่ออารมณ์อยากฟาดวาจาตีฝีปากแทรกขึ้นมาแทน
[พูดไม่ถูกตรงไหน นายมากกว่า..ถามไม่คิด] ผสุย้อนได้เจ็บๆ คันๆ
“เอาดีๆ หมอ..ทำไมคุยดีบ้างไม่ได้” ยุทธถอนหายใจเบาๆ
ยอมอ่อนให้ผสุก่อน ทั้งที่ปกติเคยลดราวาศอกให้ใครที่ไหน
[จิ๊!..นายมีอะไร] ผสุจิ๊ปาก แต่ก็ยอมปรับโทนเสียงอ่อนลง
“ขอบคุณนะ” เขาตั้งใจพูดคำนี้ รู้สึกดีที่ผสุส่งผ้าเย็นให้ที่สนาม
[นายทำฉันงง ขอบใจเรื่องอะไร อย่าทะลึ่งแบบเมื่อวาน] ผสุรีบดักคอทันที
ไม่อยากได้ยินว่ายุทธใช้เขาสร้างจินตนาการขณะทำร้ายตัวเอง
“อะไรวะอุตส่าห์ตั้งใจขอบคุณ ในหัวมีแต่เรื่องนี้เหรอหมอ คนทะลึ่งไม่ใช่ผมเสียล่ะมั้ง
หมอเองหรือเปล่าคิดอะไรกับผมอยู่” พูดจบรอยยิ้มผุดตามมา หลังนึกถึงสีหน้าผสุไปด้วย
[บ้าเหรอ! ฉันเนี่ยะนะคิดอะไรกับนาย หลงตัวเองแล้วเกรียน]
ผสุปฏิเสธลิ้นพัน ยุทธฟังยังรู้สึกขำปนอยากแกล้ง ท่าทางมีพิรุธ
“โห! ทำไมต้องเสียงดัง เหมือนวัวสันหลังหวะเลยนั่น ไม่คิดก็ไม่คิดดิ แต่อาการหมอผิดปกติ
คำพูดผมแทงใจดำสิท่า” หากยุทธอ่านใจผสุได้ล่ะก็ คงหัวเราะน้ำตาเล็ด ตอนนี้ปลายสายหน้าแดงก่ำ
สบถในใจอย่างหัวเสีย ‘มึงเป็นหมอดูหรือไงฟ่ะ!’ จะว่าไม่คิดก็เหมือนโกหก
เขาดันติดตาภาพหน้าท้องแกร่งขึ้นเป็นลูกระนาดเหงื่ออาบมันขลับ
เผลอจินตนาการหวาดเสียวปอยขนสะดือที่ลับหายขอบกางเกงอีกต่างหาก
[มีเรื่องพูดแค่นี้ใช่ไหม วางล่ะนะ] คนที่หาทางไปไม่ถูก
มีวิธีเดียวคือยุติการสนทนาที่ชักจะกลายเป็นลูกไล่เสียดื้อๆ
“รังเกียจกันมาก ถึงไม่อยากคุย” ยุทธน้ำเสียงตัดพ้อแกมน้อยใจไปอย่างตีบทแตก
ทั้งที่สีหน้ากลั้วยิ้มเจ้าเล่ห์น่าหมั่นไส้สุดๆ นี่ถ้าผสุเห็นเข้า คงไม่ลังเลกระโดดถีบขาคู่แน่
[เป็นบ้าอะไร กินยาผิดหรือนาย] ผสุหลงกล รู้สึกไม่ค่อยดีหลังได้ยินประโยคตัดพ้อของยุทธ
“กินยาผิดคงไม่ใช่ เป็นบ้าใกล้เคียงสุด” ยุทธยังคงเล่นลิ้น
หน้าคมหุ่นล่ำเปลือยช่วงบนนุ่งกางเกงนอนลายทางผ้าฝ้ายขายาวตัวเดียว
ยืนพิงกรอบประตูระเบียง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หูแนบโทรศัพท์
เป็นความบันเทิงก่อนนอนที่ทำให้เขารู้สึกดีพิลึก
[รู้ตัวด้วย..ฉันแนะนำนายควรไปพบจิตแพทย์เสียเนิ่นๆ] ผสุยิ้มแล้วตอนนี้
จะว่าไปการได้คุยกับยุทธ ทำให้เขาสนุกเหมือนกัน คงเพราะไม่ต้องสรรหาคำสุภาพวางมาดอะไรนัก
เป็นตัวของตัวเองเต็มที่ ไม่เหมือนต้องคุยกับเป้าหมายที่เล็งจีบ คอยทำตัวสุภาพดูดี
แต่รายนี้ไม่ต้องสวมบทพระเอก นึกจะพูดหรือใส่อะไรจัดเต็ม เขาจึงรู้สึกสบายใจและสนุกอย่างที่เป็น
“ไปก็ไม่มีประโยชน์ ผมรู้สาเหตุที่ทำให้ใกล้บ้า เพราะจิตผมตอนนี้มันไม่ปกติ
ไม่ต้องใช้จิตแพทย์บอกอาการหรอกหมอ” ยุทธปฏิเสธวิเคราะห์อาการตนเองอย่างรู้ตัว
[เพิ่งรู้..นายเป็นหมอโรคจิตให้ตัวเองได้ด้วย] ผสุกลั้นขำหน้าแดงก่ำ ตลกคำพูดยุทธ
มีที่ไหนรู้ตัวด้วยจิตไม่ปกติ ยอมรับหน้าด้านๆ
“จะยากอะไร อาการแบบนี้ใครก็เป็น หมอเองก็เหอะ..เผลออาจเป็นมากกว่าผมอีก
ยิ่งวัยเจริญพันธุ์เป็นวันไม่รู้กี่รอบ” ผสุชักแปลกกับอาการที่ยุทธบอกเสียแล้ว
[เกี่ยวอะไร..จิตฉันปกติ..ไม่เพี้ยนอย่างนายก็แล้วกัน เชิญนายเป็นคนเดียวเหอะ
อย่าแพร่เชื้อแถวนี้ บ้าป่ะจู่ๆ บอกคนอื่นเป็นโรคจิตเหมือนตัวเอง] ผสุชักหน้าตึง เมื่อโดนยุทธว่าเขาจิตพอกัน
“จิตหงุดเงี้ยว กระเจี๊ยวหงุดหงิด อย่าบอกหมอไม่เคย ชักว่าวไม่เป็น ปิกกระปู้ไม่แข็ง
ถ้าไม่เข้าข่ายอาการแบบนี้ ยอมรับก็ได้หมอไม่โรคจิตแน่ แต่หนักกว่านั้น
เขาเรียกหย่อนสมรรถภาพทางเพศขั้นรุนแรง มะเขือเผารู้จักไหม เป็นผัวใครไม่ได้หรอก
ถ่างตูดเป็นเมียได้แค่อย่างเดียว..ฮะฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะสะใจของยุทธ ทำเอาผสุถึงกับตัวสั่นปากสั่น
อยากให้คนพูดอยู่ตรงหน้า เขาจะบีบลูกกระเดือกให้ตาเหลือกเลยคอยดู
[เด็กเปรต..นรกส่งมาเกิดชัดๆ สนุกใช่ไหมโทรกวนประสาทฉันก่อนนอนแบบนี้
ฉันไม่ว่างสนุกด้วย คนเรียนหมอต้องใช้สมองหนัก แล้วนายมาทำสมาธิฉันปั่นป่วนทำไม..ไอ้กร๊วก!”
ตอนนี้ผสุสติหลุดปรี๊ดแตกแล้ว หลังเจอประโยคฮุกจุกลิ้นปี่ของยุทธเข้า
“โอ๋ๆ..ขอโทษคร๊าบ!!..คุณหมอผู้อารีย์ เพราะรักดอกจึงหยอกเล่น ผมแค่อยากขอบคุณจริงๆ
วันนี้หมอมีน้ำใจให้ผ้าเย็น ที่พูดไม่ได้มีเจตนาทำให้หมอเครียด ใครจะกล้าทำให้คนที่กำลังจีบเกลียดเล่า”
ประโยคนี้หลุดจากปากโดยไม่ตั้งใจ ไปของมันเอง พอรู้ตัวยุทธถึงกับทึ้งหนังหัวเอานิ้วใส่ปากกัดไปแล้ว
ออกอาการเขินหน้าแดงเหมือนคนบ้า
ส่วนคนฟังตะลึงไปหลายวิ อึ้งตาค้างทบทวนคำพูดยุทธในหัวไปมาวนอยู่หลายรอบ
ไร้ซึ่งการตอบรับ..จนยุทธปรับอารมณ์เขินของตัวเองได้ เรียกชื่อเขานั่นแหละ ผสุถึงมีสติกลับมาสู่ปัจจุบัน
“หมอ..ยังอยู่ในสายหรือเปล่า”
[อืม] ขานเสียงเบาหวิว
“นึกว่าสายหลุด เห็นเงียบไปดื้อๆ”
[นายจีบฉันเหรอ] ผสุถามสิ่งคาใจ..ในประโยคช็อกโลก
“อ่านะ..ไม่มั้งเวอร์จิ้นเหรอถึงดูไม่ออก ผู้ชายที่ไหนจะโทรหาแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิท” ยุทธกลับตอบอ้อมๆ
[ฉันเป็นเกย์รุก..นายพร้อมจะรับเหรอ] เอาล่ะสิ ผสุย้ำจุดยืนอีกครั้ง
“พนันได้ไหม” ยุทธดันชวนพนันเฉย
[พนันอะไร] ผสุงงตาแตก
“ถ้าผมติดนักเตะสโมสร หมอต้องยอมให้ผม..รุก” คนฟังอึ้งกิมกี่
[เกี่ยวอะไร..นายติดไม่ติดทำไมต้องให้ฉันรับ] สวนทันควัน
“อ้าว!..แลกกับความพยายามผมไง” ยุทธใช้เหตุผลฟังดูทะแม่งๆ
[ถ้านายไม่ติดขึ้นมาล่ะ] ผสุไม่สนใจเหตุผลยุทธ แค่อยากรู้หากไม่ติดจะเป็นยังไง
“ผมยอมให้หมอ..รุก” คนฟังยิ้มชั่วร้ายทีเดียว การติดใช่จะติดง่ายๆ
แม้จะยอมรับว่ายุทธเล่นดีโดดเด่นไม่น้อย แต่คนอื่นก็ใช่ย่อย
[ห้ามคืนคำ..เตรียมล้างตูดรอเลยเกรียน..นายจะลืมหน้าร้องขอแต่หลังไปตลอดชีวิต
กลับไปเป็นแมนไม่ได้ชัวร์] เตือนด้วยความหวังดี ลองโดนสอยตูดขี้คร้านจะติดใจ
“ขอบใจคำแนะนำ คงจะจริงเป็นแมนไม่ได้ชัวร์ ร้องขอเข้าข้างหลังท่าเดียว
อย่าลืมสัญญาประชาคมระหว่างเรา..หมอ” แต่ยุทธหมายถึงคนเตือนมากกว่า
ที่ไม่สามารถเป็นรุก..โดนทะลวงประตูหลังหันกลับไม่ได้
[เออ] ขานรับเหมือนผู้กำชัยเหนือกว่า ทำเอายุทธทรุดลงไปกุมท้องเกร็งอย่างขำสุดๆ
“ฮะฮ่าๆๆ..ฝันดีครับ..มักที่หรอ” ยุทธพูดทั้งที่หัวเราะไปด้วย
[หรออะไรของนายอีก..] ผสุไม่เข้าใจ
“มักที่หรอ..ก็หมอที่รักไง..คึคึ!” เป็นผสุที่หน้าร้อนฉ่า
[ฝันดี..เกรียน] รีบบอกแล้วรีบวางสาย ตอนนี้ขอหลบไปทำให้หน้าหายจากอาการแทบสุกเสียก่อน
ไอ้เกรียนบ้าขยันทำความดันเลือดเขาสูบฉีดดีจริงๆ...ผสุบ่นกับตัวเองลำพัง
ส่วนคนที่ถูกกล่าวถึง กลับยิ้มเหมือนคนบ้า จนเกรียงที่เดินออกมาหาน้ำดื่มยังชะงักนิ่ง
ยืนมือเท้าเอวมองอาการน้องแทคที่นั่งกุมท้องพิงกรอบประตูหัวเราะน้ำตาเล็ด ค่อยส่ายหัวให้ช้าๆ..
“ประสาทขึ้นทุกวัน..ท่าจะอาการหนักแล้วมึง..ไอ้ยุทธ” แต่ไม่สนใจถามสาเหตุ
ว่าน้องแทคทำอะไรมานั่งกุมท้องหัวเราะบ้าคลั่ง เลี่ยงเดินไปหาน้ำกินตามความตั้งใจแต่แรก..
ดีอย่างที่เกรียนตัวพ่อ เป็นคนไม่ค่อยวุ่นวายเรื่องส่วนตัว ได้แต่มองและตั้งคำถามตามที่เห็น
ทำให้ยุทธไม่ต้องอึดอัดใจ หากต้องมานั่งตอบคำถามรุ่นพี่ เกรียนตัวพ่อกับเกรียนตัวลูก เข้ากันได้ดีเลยทีเดียว...
มาตามนัดแล้วค่ะ เจอกันอีกทีวันเสาร์นะคะ
ตอนนี้ไม่มีอะไรมาก ตอนหน้าเริ่มจะมีแล้วนะคะ
แต่ยังไง ก็เชื่อในพี่โย่..ว่าจะดูแลปกป้องน้องได้..จริงไหม
