-18-
วริยานั่งมองใบหน้าด้านข้างของแฟนเก่าตนเองที่เอาแต่ถอนหายใจมาตั้งแต่ถึงมหาวิทยาลัย เธอไม่เคยเห็นภรัณยูเป็นแบบนี้มาก่อน แม้กระทั่งในช่วงเวลาที่คบกัน เธอไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะหลังจากวันนั้นที่อยู่ ๆ แฟนของเธอก็โทรมาขอบอกเลิกเพราะที่จริงเขาแอบชอบพี่สาวของเธอแต่ไม่กล้าที่จะสารภาพความในใจ มันก็ผ่านมาได้สามวันแล้วที่ภรัณยูดูหมองเศร้าและกลับบ้านเร็วทุกวัน
“ฉันเป็นต้นเหตุสินะ” หญิงสาวเปรยระหว่างที่กำลังคุยเรื่องงานกันแล้วสมาธิของภรัณยูกลับล่องลอยออกไปนอกหน้าต่าง
“อะไรหรือ?” ภรัณยูได้ยินเสียงวริยาเพียงแว่ว ๆ แต่เขาก็รีบหันกลับมาพลางเลิกคิ้วถาม
“เรื่องที่ทำให้เธอไม่สบายใจอยู่ตอนนี้ไง ทั้งที่ฉันควรจะเป็นคนอกหักคนเดียว แต่กลับทำให้รัณเดือดร้อนไปด้วย” วริยาปิดหนังสือตรงหน้าลง “พรุ่งนี้เป็นวันหยุด พวกเราพักเรื่องโปรเจคสักวันแล้วไปหาเขาด้วยกันไหม? ฉันจะอธิบายให้เขาเข้าใจเอง”
“ไม่ต้องหรอก...ความจริงมันเป็นความผิดชอบฉันเองที่ทำตัวไม่ชัดเจนมาแต่แรก เพราะแบบนั้นเลยทำให้เขาไม่มั่นใจ” ยิ่งพูดภรัณยูก็ยิ่งดูห่อเหี่ยว “แต่ไม่เป็นไรหรอก ฉันคิดว่าถ้าคราวนี้ทำให้เขามั่นใจได้ ทุกอย่างก็คงจะดีเหมือนเดิมเอง คุณทีก็แค่...ต้องการเวลาน่ะ”
สิ่งที่ภรัณยูพูดไปเหมือนกับการหาข้ออ้างให้ตนเองรู้สึกมีกำลังใจเท่านั้น เพราะเมื่อเขาแวะเวียนไปหาที่ห้องเมื่อมีเวลาว่าง ก็มักจะพบประตูห้องที่ปิดสนิทเพราะเจ้าของไม่ต้องการต้อนรับแขกคนใด ซึ่งการเข้าไม่ถึงตัวอีกฝ่ายก็ทำให้ชายหนุ่มท้อแท้ไปบ้างเหมือนกัน ถึงอย่างนั้นภรัณยูก็ยังพยายามที่จะสลัดความท้อแท้ของตนเองออกไปและไปหานภทีป์ทีห้องเหมือนวันที่ผ่าน ๆ มา และในวันนี้...เขาก็ยังคงต้องผิดหวังกลับไปเช่นเดิม เพราะประตูห้องของนภทีป์ปิดสนิทและลงกลอนแน่นหนา ให้ความรู้สึกเย็นชาและอ้างว้างจนน่าเศร้า...
---------------------------->
ทางด้านนภทีป์เองก็หดหู่ไม่แพ้กัน เขาเอาแต่ขังตนเองอยู่ในห้องและใช้ชีวิตไปวัน ๆ ไม่แตกต่างจากที่ผ่านมาเลยแม้แต่น้อย
ทำไมมันถึงกลับมาที่จุดเดิมอีกนะ...
“ที...นายจะทำแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน?” รติเอ่ยถามเมื่อล่วงเข้าวันที่สี่ภรัณยูเทียวไปเทียวมาได้สามวันแล้ว และทุก ๆ วันก็ได้แต่ยืนมองประตู พยายามพูดเกลี้ยกล่อมทั้งที่รู้แก่ใจดีว่านภทีป์ไม่ได้ยินเสียงของตน ทำเช่นนั้นอยู่หลายชั่วโมงก่อนจะกลับไป ดูไปแล้วก็ทั้งน่าสงสารและน่าสังเวช แต่คนที่เป็นต้นเหตุกลับฝังตัวเองในความมืดและหลบหลังประตูห้องนอน
รติถอนหายใจแล้วร่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ ในท่ากอดเข่าแบบเดียวกัน
“นายจำได้หรือเปล่า...สมัยที่ฉันยังไม่ใช่แค่เพื่อนในจินตนาการของนาย เป็นคนจริง ๆ ที่ได้ไปโรงเรียนด้วยกันทุกวัน ตอนนั้นนายยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่ร่าเริงแจ่มใส ถึงจะดูหม่นหมองกว่าเด็กวัยเดียวกันหลายคนก็ตาม แต่นายก็ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ไม่ใช่หรือ?”
“...” นภทีป์ยังคงเงียบกริบ ไม่ยอมพูดอะไรและเป็นผู้ฟังอยู่ฝ่ายเดียว
“บางทีคงเป็นความผิดของฉันเองก็ได้ ที่ทำให้นายกลายเป็นแบบนี้”
คราวนี้นภทีป์หันมองสิ่งที่อยู่ข้างตัวพลางมุ่นคิ้วเล็กน้อยคล้ายกำลังส่งคำถามที่ไร้เสียง
“นายคิดว่าตัวเองคือคนที่ถูกทิ้งไว้เสมอใช่ไหมล่ะ เพราะทุก ๆ คนต่างก็ทอดทิ้งนายไปหมด และนอกจากพ่อกับแม่ของนาย ฉันก็คือคนแรก...ที่ทิ้งนายไป”
ดวงตาสีดำหลุบลงภายใต้แพขนตา นภทีป์เม้มปากแล้วซุกหน้าลงกับท่อนแขนเหมือนกำลังบอกว่าตนเองไม่ได้รู้สึกขัดแย้งกับความเห็นของอีกฝ่ายเลย เขารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ รู้สึกว่าตนเองเป็นฝ่ายถูกทอดทิ้ง เป็นฝ่ายที่ต้องเฝ้ารอและดิ้นรนอยู่เสมอ เพราะอย่างนั้นจึงได้รู้สึกเหนื่อย...จนอยากอยู่เฉย ๆ และไม่ต้องคิดอะไรอีก แค่ปล่อยให้เวลาผ่านไปก็เพียงพอ
“ขอโทษนะที...ที่ฉันไม่เคยบอกนายเลย ทั้งที่ฉันรู้มาตลอดว่าตัวเองเป็นอะไรและก้าวเข้าใกล้ความตายไปทุกขณะ ตอนที่ฉันอยู่โรงพยาบาลและได้แต่เฝ้ารอช่วงเวลาสุดท้าย นอกจากพ่อกับแม่ของฉันแล้วก็มีแต่นายที่แวะเวียนมาเยี่ยม คอยให้กำลังใจ และให้ความหวังว่าฉันจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้เหมือนที่ผ่านมา” รติเงยหน้าขึ้นมองเพดานที่ว่างเปล่า “ฉันยังเด็ก ยังใช้ชีวิตได้ไม่นานพอ มันทำให้ฉันกลัวที่จะต้องตายและได้แต่หลอกตัวเองว่าจะไม่เป็นอะไร เพราะอย่างนั้นฉันจึงไม่เคยพูดถึงมัน”
“นายบอกฉันตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา” เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่นภทีป์ยอมปริปาก แต่เสียงที่ล่วงผ่านลำคอก็เบาหวิวเสียจนแทบไม่เป็นคำ
“เพราะเรื่องนั้นนายถึงได้เกลียดฉันใช่หรือเปล่า? และเกลียดสิ่งที่ฉันทิ้งไว้ด้วย” ดวงตาของนภทีป์ไหวระริกเมื่อรติพูดถึงเรื่องนั้นขึ้นมา “อาจจะเป็นความเห็นแก่ตัวของฉันก็ได้ที่ตอนนั้นสนับสนุนให้นายวาดภาพนั้น และบอกว่าถ้านายชนะเลิศมันจะเป็นกำลังให้ฉันหายดีได้เหมือนกัน”
ภาพในหัวของนภทีป์เริ่มหมุนกลับไปในวัยเด็ก พวกเขาเป็นนักเรียนชั้นมัธยมต้นที่น่าจะมีอนาคตสดใส คนหนึ่งมีพรสวรรค์ที่ชัดเจน ส่วนอีกคนหนึ่งก็เป็นเด็กที่ทุกคนรักใคร่ แต่แล้ววันหนึ่งภาพที่วาดไว้ก็เริ่มปริร้าว เมื่ออาการป่วยซึ่งติดตัวมาแต่กำเนิดของรติกำเริบหนักและต้องเข้าโรงพยาบาลแต่ยิ่งวันอาการก็ยิ่งแย่ลงเพราะเจ้าตัวอยากจะใช้ชีวิตแบบคนปกติจึงไม่ยอมรักษาอย่างต่อเนื่อง
นภทีป์ในเวลานั้นเองก็ยังไร้เดียงสา...อยากให้เพื่อนหายดีจึงได้ยอมทำทุกอย่างกระทั่งการประกวดวาดภาพซึ่งตอนแรกไม่ได้นึกสนใจนัก เพียงเพราะเชื่อคำพูดที่ว่า หากตนชนะเลิศ รติก็คงมีกำลังใจต่อสู้และหายดีในไม่ช้า เขาไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งที่ทำลงไปทั้งหมดจะสูญเปล่า
ในวันที่ได้รับรางวัล นภทีป์ไม่ได้วิ่งไปกอดพ่อแม่เพราะเขาไม่มี เขาไม่ได้วิ่งกลับบ้านเพราะที่นั่นคงไม่มีใครยินดีกับเขา แต่กลับตรงดิ่งไปที่โรงพยาบาล เพื่อที่จะนำรางวัลไปมอบให้เพื่อนรักเพียงคนเดียวของตนด้วยความเชื่อว่ามันจะเป็นยารักษาและทำให้เพื่อนคนนี้กลับมาวิ่งเล่นกับตนเองได้อีกครั้ง ทว่า...ภาพวาดที่ปริร้าวได้แตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ เมื่อเขาพบกับเตียงอันว่างเปล่าและคำบอกเล่าทั้งน้ำตาจากพ่อและแม่ของรติว่าเขาเพิ่งจะลาจากโลกนี้ไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เอง
ตั้งแต่นั้นมา...นภทีป์ก็ไม่เคยมองภาพวาดภาพนั้นของตนเองอีกเลย...
มันได้กลายเป็นบาดแผลที่กรีดลึก คอยตอกย้ำเขาอยู่เสมอว่าโลกนี้โหดร้ายเพียงใด แม้ว่าจะคาดหวังอย่างสุดจิตสุดใจ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้
“ความจริงแล้ว...ฉันก็แค่อยากให้มันเป็นตัวแทนของฉัน เหมือนกับว่าฉันยังคงมีชีวิตอยู่ตราบใดที่นายยังคงมองดูมันด้วยความภาคภูมิใจ” รติคลี่ยิ้มบางดูไม่เข้ากับรูปลักษณ์ในเวลานี้แม้แต่น้อย แต่เป็นรอยยิ้มแบบเดียวกับที่เขายิ้มให้กับนภทีป์ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต “น่าเสียดายนะ...ที่มันกลับกลายเป็นสิ่งที่นายรังเกียจที่สุดในโลกนี้ แต่ฉันก็ยังดีใจที่มันได้นำคนที่ดีมาหานาย”
นภทีป์รู้ว่ารติกำลังพูดถึงภรัณยูจึงเงียบไปอีกครั้ง
“ทำไมนายถึงไม่ยอมฟังเขาล่ะ?” แต่ครั้งนี้ รติกลับถามคำถามที่ต้องการคำตอบ
...
คนที่ควรตอบเงียบอยู่นานราวกับกำลังรวบรวมคำพูดอย่างช้า ๆ เพื่อที่จะสามารถอธิบายในสิ่งที่ตนเองคิดออกมาได้อย่างครบถ้วน
“เพราะฉันพอจะเข้าใจ...ล่ะมั้ง...” นภทีป์เลือกคำตอบสั้น ๆ “ถึงจะไม่ใช่ภรัณยูก็เถอะ...ใครจะไปทำเรื่องน่าเกลียดกันสองต่อสองแล้วทิ้งของเกลื่อนกลาดแบบนั้น แถมยังกลับมาพร้อมพยุงอีกคนมาด้วย มองก็รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา ดังนั้น...”
...มันก็แค่การเข้าใจผิดชั่ววูบ
นภทีป์กลืนคำหลังลงคอไป แต่รติก็สามารถเดาได้ไม่ยาก
“แต่นายก็ยังขังตัวเองแล้วผลักภาระไปให้ภรัณยูเป็นคนสำนึกผิดแทนหรือ?”
นภทีป์รู้ว่าการกระทำของตนเองไร้สาระขนาดไหน และเหมือนกับการหนีความจริง เอาแต่อยู่กับตัวเองและทำเหมือนว่าเป็นความผิดของคนอื่น ปล่อยให้อีกฝ่ายต้องทุกข์ใจเพราะคิดว่าตนเองเป็นคนที่ทำผิดและสมควรได้รับการลงโทษ
แต่เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรนอกจากนี้
นภทีป์ยกมือทั้งสองขึ้นกุมหน้าแล้วขมริมฝีปาก
“...ฉันก็เป็นคนแบบที่ตฤณว่าจริง ๆ ไม่ใช่หรือ? เอาแต่โทษคนอื่น เอาแต่โทษโชคชะตา ได้แต่โกรธในสิ่งที่ตัวเองควบคุมไม่ได้ ทั้งเรื่องของพ่อแม่ ฉันโกรธพวกเขาที่ทิ้งฉันไป ทำให้ฉันต้องไปอยู่กับลุงที่ไม่ดูดำดูดีฉันสักนิด ฉันโกรธนายที่ตายไปทั้งที่ฉันไม่อยากให้เป็นแบบนั้น โกรธภาพวาดที่เป็นตัวแทนของนายที่ทำให้ฉันคิดถึงเรื่องนายอยู่ตลอด โกรธตฤณที่แย่งงานของฉันไปทั้งที่...ถ้าฉันกระตือรือร้นกว่านี้ ไม่ปล่อยให้ตฤณจัดการตามใจไปเสียทุกอย่างมันคงจะไม่เกิดขึ้น ทั้งคุณทินที่ไม่อยู่ข้างฉันในเวลาที่ต้องการ แค่เพราะเขาเองก็มีชีวิตของตัวเองเช่นกัน แล้วก็ยังภรัณยู...ฉันโกรธเขาเพียงแค่เพราะเขาเอาใจใส่คนอื่นแบบเดียวกับฉัน”
ถ้อยคำที่นภทีป์พูดออกมาทั้งหมด เหมือนกับการระบายความในใจที่สั่งสมไว้เป็นเวลานานจนกลายเป็นตะกอนสีดำที่อัดแน่น แม้จะเทน้ำลงไปสักเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมละลายหายไป และรอเวลาที่จะขยายตัวมากขึ้นและมากขึ้นจากตะกอนที่เกิดใหม่ในแต่ละวัน
“ฉันเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และได้แต่กลัวว่าสักวันหนึ่งภรัณยูจะเกลียดฉันและสุดท้ายก็ทิ้งฉันไปเหมือนกับคนอื่น ๆ”
“นายจะผลักไสทุกคนที่เข้าหาเพียงเพราะความกลัวของนายเองไม่ได้หรอกนะ” รติบินขึ้นไปบนบ่าแล้วลูบศีราะอีกฝ่าย “เพราะสุดท้ายก็จะเหลือนายเพียงลำพัง นายจะต้องอยู่คนเดียวไปตลอด มันไม่ได้แตกต่างจากการถูกทิ้งเลยไม่ใช่หรือ? ก็แค่คราวนี้นายเป็นฝ่ายทิ้งคนอื่นเท่านั้นเอง”
“ก็มีนายอยู่ไม่ใช่หรือไง...”
รติหัวเราะขื่นในคอเมื่อได้ยินคำนั้น
“ฉันเองก็ไม่ได้อยู่กับนายตลอดไปหรอก ที่จริง...ฉันอาจจะหายไปในเร็ว ๆ นี้ก็ได้ ตอนนั้นนายจะคิดว่าฉันทอดทิ้งนายอีกหรือเปล่า?”
นภทีป์เหลือบมองอีกฝ่ายและส่งสายตาถามถึงเหตุผล รติจึงถอนหายใจเฮือก
“มันมีเหตุผลนะที่ฉันซึ่งควรจะตายไปแล้วมาปรากฏตัวต่อหน้านายในช่วงเวลาที่นายโดดเดี่ยว ฉันมีตัวตนขึ้นมาเพราะความอ้างว้าง ความเหงา และความปรารถนาที่จะมีใครสักคนเคียงข้าง มีแต่ฉันที่ช่วยนายได้ เพราะอย่างนั้นฉันจึงได้มาที่นี่ เพราะว่านายต้องการฉันแม้ว่าจะไม่ได้อยากพบฉันเลยสักนิดก็ตาม แต่ว่า...นายจะไม่ต้องการฉันอีกต่อไปเมื่อนายไม่ได้รู้สึกว่าอยู่ตัวคนเดียวในโลกใบนี้”
“แต่ว่าฉัน...”
“นายชอบภรัณยูใช่ไหมล่ะ เพราะว่าชอบมากถึงได้โกรธที่รู้สึกว่าตนไม่ได้สำคัญไปมากกว่าคนอื่น ๆ และกับคนอื่น ๆ ที่นายโกรธ นั่นก็เพราะว่านายรักพวกเขา เพราะว่ารักถึงได้โกรธที่ไม่สามารถรักในแบบที่คาดหวังต่อไปได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนบางคนที่อยากอยู่ข้างนายนะ แล้วนายก็รู้ดี ตอนนี้นายถึงได้ไม่รู้สึกว่ามีตัวเองเพียงลำพัง นายก็แค่พยายามที่จะทำเหมือนว่าเป็นแบบนั้นเพราะว่ากลัว”
หลังจากรติพูดจบ ร่างกายนั้นก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป จากรูปกายคล้ายเด็กตัวเล็ก ๆ ก็ขยายออกกลายเป็นเด็กผู้ชายในวัยมัธยมต้นในแบบที่นภทีป์จดจำได้ รติในร่างกายเดิมของตนทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ เพื่อนในวัยเด็กและมองออกไปที่บานประตู
“ภรัณยูมาถึงแล้วนะ นายจะไม่ออกไปหาหน่อยหรือ?”
พร้อมกับประโยคคำถาม เสียงออดก็ดังขึ้น โดยปกติแล้วนภทีป์จะนั่งฟังเสียงออดจากประตูบานนั้นและซุกตัวอยู่ในห้องนอนโดยไม่ได้ออกไปเปิดรับ เพราะอย่างนั้นจึงไม่เคยรู้เลยว่าภรัณยูพูดอะไรบ้างตลอดช่วงสามวันที่ผ่านมา เขาได้แต่ภาวนาอยู่ในใจขอให้เสียงออดนั้นยังคงดังอยู่ทุกวัน มันเหมือนกับคำปลอบใจเดียวที่เขามีในเวลาอย่างนี้ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เสียงออดเงียบหายไป เมื่อนั้น...ภรัณยูก็คงจะจากไปอย่างไม่หวนคืน
รติวางมือลงบนบ่าแล้วบีบเบา ๆ
“ไม่เป็นไรหรอก ครั้งนี้ฉันสัญญา”
นภทีป์ไม่รู้ว่าตนเองจะเชื่อมั่นกับคำสัญญานั้นได้แค่ไหน แต่หากคิดดี ๆ แล้ว...เขาไม่อยากจะให้ภรัณยูจากไปเฉย ๆ แบบนี้ และคิดแต่ว่าตนเองเป็นคนที่ทำผิดทั้งที่ความจริงแล้วคนผิดคือเขา
เขามองไปทางรติ และเมื่อเห็นท่าทางการพยักหน้าอย่างมั่นใจจึงลุกขึ้นและเปิดประตูห้องนอนออกไป
ตอนแรก เสียงของภรัณยูไม่ได้ผ่านเข้ามาถึงหูของนภทีป์เลย แต่เมื่อไปยืนตรงหน้าประตู เสียงของอีกฝ่ายก็ชัดเจนขึ้น
“...ผมขอโทษ คุณที เปิดประตูหน่อยได้ไหมครับ ผมอยากจะอธิบายให้เข้าใจ...”
ภรัณยูเอาแต่เรียกชื่อของเขา และพูดซ้ำไปมาว่าขอโทษ ตลอดสามวันมานี้ ภรัณยูพูดแบบนี้อยู่เป็นชั่วโมง ๆ เลยหรือ?
ตอนที่นภทีป์แนบใบหน้ากับประตูเพื่อมองคนที่อยู่ด้านนอกผ่านตาแมว เขาก็เห็นชายหนุ่มคนเดิมที่เคยมาหาเขาและอ้อนวอนอย่างนี้ ภรัณยูยังคงเป็นคนที่มีความพยายามโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะทำตัวแย่แค่ไหนเหมือนเดิม ทั้งที่ตอนเจอกันครั้งแรก...เขาก็ไม่ใช่คนที่ให้ภาพลักษณ์ว่าเป็นคนดีสักเท่าไหร่เลย
“คุณที ผม...”
“พอแล้ว...”
ในที่สุด นภทีป์ก็เปล่งเสียงให้พ้นลำคอออกไปได้หลังจากยืนทำใจอยู่นานเกือบชั่วโมง และเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ภรัณยูได้ยินเสียงของคนที่ตนอยากจะพบ
ชายหนุ่มร่างเล็กเอื้อมมือไปที่ลูกบิดประตู แต่ก็ยังไม่วายหันกลับไปมองด้านหลังและเห็นว่ารติยังคงยืนอยู่ที่ประตูห้องนอนพลางส่งยิ้มให้ ทำให้นภทีป์ใจชื้นพอมากที่จะปลดกลอน บิดลูกบิดอย่างช้า ๆ และเปิดออกไปสู่โลกภายนอกซึ่งมีคนคนหนึ่งเฝ้ารออยู่
ภรัณยูนิ่งค้างไปนานก่อนจะเริ่มพูดอีกครั้ง
“คือว่าผม...”
“ก็บอกว่าพอแล้วไง...ฉันเข้าใจแล้ว...” นภทีป์มุ่นคิ้วแล้วเดินหลีกทางให้ แม้ต้องใช้เวลาพิจารณาอยู่สักพักเพราะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่ภรัณยูก็ไม่ลังเลที่จะตอบรับคำเชิญที่ไม่คิดว่าจะได้
แบบนี้ดีแล้วใช่ไหม?
นภทีป์ถามตัวเองแล้วหันหลังกลับเข้ามาในห้องโดยที่ภรัณยูเดินตามหลังมาติด ๆ ท่าทางของเจ้าตัวบ่งบอกว่ายังไม่มั่นใจเต็มร้อย ว่านภทีป์จะเข้าใจสิ่งที่ตัวเองอยากสื่อจริง ๆ จึงอยากจะหาโอกาสอธิบาย แต่นภทีป์ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นอีกแล้ว สำหรับเขา...การที่ภรัณยูมาที่นี่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เพราะนั่นแสดงถึงความเอาใส่ใจที่อีกฝ่ายมีให้ตน ซึ่งนั่นมันก็น่าจะเพียงพอแล้ว...ใช่ไหม...
พร้อมกับคำถามในใจ นภทีป์ก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังประตูห้องนอน ที่ซึ่งรติยืนอยู่ ทว่า...มันกลับว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ที่นั่น...
ไม่มีเลย...
‘แต่ว่า...นายจะไม่ต้องการฉันอีกต่อไปเมื่อนายไม่ได้รู้สึกว่าอยู่ตัวคนเดียวในโลกใบนี้’ มันหมายถึงอย่างนี้เองหรือ...
เมื่อใจของเขาเปิดรับใครบางคนอีกครั้ง เมื่อนั้นรติจะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป
“คุณที?”
เขาได้ยินเสียงภรัณยูเรียกจึงหันไปมองทั้งที่สมองยังเลื่อนลอย และรู้สึกคล้ายตื่นจากความฝันที่ดำมืดยาวนาน ทว่าสีหน้าของภรัณยูกลับไม่ได้แสดงถึงความยินดีแม้แต่น้อย มันระคนไปด้วยความประหลาดใจและคำถามมากมายที่แสดงออกทางดวงตา
“คุณที...ร้องไห้ทำไมหรือครับ?”
เอ๋?
นภทีป์ขยับมือขึ้นแตะใบหน้าตนเอง และพบว่ามันเปียกชื้นไปด้วยหยดน้ำ
“ผมขอโทษ คุณที ผมขอโทษ อย่าร้องไห้แบบนี้สิ” ภรัณยูดึงตัวเขาเข้าไปกอดจนแน่นเหมือนกับว่าอยากจะดูดกลืนเอาร่างกายของเขาเข้าไปพร้อมกับความเศร้าทั้งหมดที่อบอวลอยู่ตอนนี้
อุ่น...เหลือเกิน...
--------------------------------->