ตอนที่ 28ธันว์ “นลิน ไอ้นน พวกมึงช่วยสำรวจตัวกูหน่อยสิ ว่ามีอะไรผิดปกติ กระดุมกูก็ติดครบ ซิปก็ไม่ได้ลืมรูด ทำไมไอ้พวกนั้นถึงมองกูยิ้มๆวะ” ผมสะกิดเรียกเพื่อนสนิทพร้อมกระซิบประโยคดังกล่าว พลางก้มสำรวจตัวเองอีกครั้ง ด้วยนึกแปลกใจกับสายตาของบรรดาเพื่อนร่วมคณะที่มองมาทางผมยิ้มๆ ตั้งแต่ผมเดินเข้ามาในห้องบรรยาย
“ธันว์ มึงไม่ต้องหาความผิดปกติในตัวหรอก ไม่รู้จริงๆอ่ะว่าพวกมันมองมึงทำไม”
ผมขมวดคิ้วส่ายหน้าให้ไอ้นนทันที เพราะถ้าผมรู้คงไม่ถามพวกมันหรอก แต่ผมต้องฮึดฮัดเบี่ยงตัวหลบมือไอ้นลินที่ยื่นมายีหัวผม จะด่ามากก็ไม่ได้ด้วยไม่อยากเป็นจุดเด่นไปมากกว่านี้ เพราะแค่นี้ผมก็รู้สึกถึงสายตานับสิบๆคู่ที่มองมาแล้ว
“ฮึๆ มึงนี่น้า ไม่สมกับเป็น ‘เมียมาเฟีย’ เลย”
“ไอ้นลิน!” ผมเรียกชื่อเพื่อนสนิทตัวแสบเสียงหลง
แม้สิ่งที่ไอ้ผู้หญิงบ้ามันพูดจะเป็นเรื่องจริง แต่สมควรมั้ยที่จะประกาศให้คนอื่นเค้ารู้กันทั่วน่ะ และดูท่าไอ้นลินจะไม่สำนึกครับ เพราะมันยังคงยกยิ้มเจ้าเล่ห์ยักคิ้วใส่ตาผมได้อยู่ ทั้งๆที่ผมเองกลับแก้มร้อนผ่าวพูดอะไรไม่ออก เมื่อเจอสายตาล้อเลียนรอบตัว
“โอ๋ๆ ไม่งอนเค้านะตะเอง และเลิกอายได้แล้วพ่อคุณ ตอนนี้ทั้งคณะไม่แค่เฉพาะรุ่นเรานะ เผลอๆทั้งมหาลัยแล้วมั้ง ใช่มั้ยไอ้นน!?...คนเค้าลือกันให้แซ่ด ถึงฉากประกาศรักและฉากจูบดูดดื่มของมึงกับเฮียหลี่ผิงในงานวันเกิดกู มีแต่คนบ่นเสียดายนะมึงที่ไม่ได้มาร่วมงาน กูนี่โดนต่อว่าจนหูชา หาว่าไม่ยอมชวน จนพวกมันไม่ได้เห็นฉากที่เค้าเล่าลือกันกับตาตัวเอง ฮุๆ” ไอ้ผู้หญิงบ้าหัวเราะป้องปากใส่ด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้ แต่ผมที่ได้ยินประโยคของมันนี่สิ ตกใจแทบตกเก้าอี้แล้วเหอะ
ผมอ้าปากค้างกับคำบอกเล่าของไอ้นลิน แต่ผมต้องหุบปากและก้มหน้าหลบตาล้อเลียนของพวกมันแทบไม่ทัน เมื่อผมได้ยินประโยคต่อผมของไอ้นน ด้วยทั้งน้ำเสียงและท่วงทำนองของการพูด ที่ไอ้นนพยายามเลียนแบบเจ้าของประโยคตัวจริง
“ ‘ถ้าไม่มีคนในอ้อมกอดฉันคนนี้...หวางหลี่ผิงแห่งหวางหย่งกังคงไม่รู้จักคำว่า ‘รัก’...ฮิ้วววว ฮ่าๆๆ” เสียงโห่ร้องที่ดังขึ้นนั้น ผมไม่รู้หรอกว่าใครมันเป็นเจ้าของบ้าง เพราะมันดังอื้ออึงคับห้องบรรยาย
แถมผมที่ยังไม่กล้าเงยหน้าสบตาใครอีกด้วย จะมีปัญญาที่ไหนไปแยกแยะว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร จึงได้แต่ยอมรับชะตากรรม ทั้งๆที่หน้าร้อนแทบระเบิดและจิกเสื้อแทบขาด แต่หัวใจกับพองโตแถมมุมปากยังยกยิ้มได้อีกแน่ะ
หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งเสียงหัวเราะคิกคักและเสียงกระซิบกระซาบออกแนวอิจฉาก็ซาลง เมื่ออาจารย์ประจำภาควิชาฝึกงานเดินเข้ามาในห้อง และเริ่มบอกถึงกำหนดการในการพรีเซน เพื่อสรุปงานโครงการอย่างไม่รีรอ ผมจึงได้โอกาสเงยหน้าจากพื้นโต๊ะบรรยายและถอนใจอย่างโล่งอก แต่ต้องสะดุ้งกับสายตารู้ทันสองคู่ของเพื่อนสนิทที่นั่งประกบ ผมที่ทำอะไรมันสองตัวไม่ได้ จึงได้แต่ส่งสายตาคาดโทษให้เท่านั้น ซึ่งไม่มีผลอะไรกับมันสองคนเลยสักนิด
วันนี้นักศึกษาชั้นปีสุดท้ายคณะวิศวะมีนัดกับอาจารย์ประจำภาควิชา เพื่อมารับทราบกำหนดการพรีเซนโครงการหลังจากจบการฝึกงานช่วงสามเดือน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีกลุ่มของผมรวมอยู่ด้วย การกลับมาเจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาของบรรดาเพื่อนร่วมชั้นปีอีกครั้ง ทำให้เพื่อนหลายๆคนตื่นเต้นดีใจ ซึ่งสังเกตได้จากหน้าตาแช่มชื่นของพวกมัน ตอนที่ผมก้าวเข้าห้องบรรยายมาใหม่ๆ แต่ไม่นับรวมตอนที่พวกมันหันมาเห็นผมนะครับ เพราะสายตาแต่ละคนนี่ไม่ธรรมดา ไม่เช่นนั้นผมคงไม่เอ่ยถามเพื่อนสนิททั้งคู่แบบที่พวกคุณได้ยินกันหรอก
แต่ท่ามกลางความตื่นเต้นดีใจของพวกเรา คงมีเพื่อนจำนวนไม่น้อยซึ่งรวมถึงผมเองด้วยที่รู้สึกใจหาย เพราะหากผ่านพ้นการพรีเซนในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้าไปแล้ว พวกเราคงหาเวลาได้ยากที่จะกลับมารวมกันได้อีกครั้ง ด้วยต้องเตรียมตัวสอบ ก่อนจะต้องแยกย้ายกันทำงาน เมื่อถึงเวลาของการเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว
“ขอกูพักสักสามวันนะ สัญญาเลยวันที่เหลือกูจะพลีกายให้กลุ่มเรา” ไอ้นนหรี่ตาส่งแววตามุ่งมั่นเกินร้อยสำทับคำพูดตัวเองให้ผมและนลิน
“กูรู้นะว่าสามวันที่ว่า มึงจะทำอะไร ไปฉลองกับไอ้พี่เบสอ่ะดิ ชิ!...หมั่นไส้” ไอ้นลินปลายตาค้อนส่งให้ไอ้นน แต่ไอ้นนกลับไม่สนและยักคิ้วยกยิ้มกวนให้มัน ยืนยันได้ว่าไอ้นลินนั้นรู้จริง
ผมได้ยินไอ้นนมันบ่นมาสักพักแล้วครับ ว่ามันกับไอ้พี่เบสไม่ค่อยได้ใช้เวลาร่วมกัน เพราะต่างฝ่ายต้องฝึกงาน ซึ่งมันเองก็มุ่งมั่นไว้แล้วว่าหลังจบการฝึกงานจะพาที่รักมันไปพักผ่อน คงเป็นสามวันที่มันเอ่ยปากขอนี่ล่ะนะ ซึ่งผมก็แอบเห็นด้วยกับไอ้นนนะครับ ไหนๆช่วงฝึกงานแสนสาหัสก็ผ่านไปแล้ว ได้เวลาชาร์ตแบตสักสามวันก่อนเตรียมลุยงานพรีเซนก็คงจะดีไม่น้อย ผมจึงเอ่ยปากอนุมัติข้อเสนอของไอ้นนออกไป
“เหอะ! นี่ก็อีกคน อิจฉาคนมีแฟนซะจริง!” สิ้นคำผมเท่านั้นแหละครับ ไอ้ผู้หญิงขี้อิจฉาก็ส่งค้อนมาให้ผมพร้อมคำเหน็บเบาๆทันที
“มึงก็หาแฟนกับเค้าสักคนสิ จะได้ไม่ต้องอิจฉาพวกกู” ผมจึงยักคิ้วแซวไอ้นลินยิ้มๆซะเลย
ไอ้นนเองยังหลุดหัวเราะออกมา จากคำยอกย้อนของผม แต่ผมก็ต้องหุบยิ้มแทบไม่ทัน เมื่ออยู่ๆไอ้นลินที่แกล้งงอนด้วยการทำหน้าบึ้งๆ มันกลับยกยิ้มตาพราวใส่ผมซะงั้น
“กูรอเฮียหลี่ผิงอยู่นี่ไง เมื่อไหร่มึงจะเลิกกับเฮียกูว้า ฮ่าๆ...โอ๋ๆ เด็กน้อยไม่ทำหน้าบึ้งนะ กูล้อเล่น! เฮียหลี่ผิงประกาศซะขนาดนั้น ใครจะกล้า เฮียกูว่าไรนะไอ้นน...” ไอ้ผู้หญิงบ้ามันหันไปมองอีกคนที่มันเรียกหาทันที
ผมที่กำลังงอนมันอยู่เปลี่ยนอารมณ์แทบไม่ทัน และช้าไปที่จะเข้าตะครุบปิดปากไอ้นน
“ ‘ถ้าไม่มีคนในอ้อมกอดฉันคนนี้...หวางหลี่ผิงแห่งหวางหย่งกังคงไม่รู้จักคำว่า ‘รัก’...ฮิ้ววว ฮ่าๆ” ผมจำเสียงโห่ร้องนี้ได้แล้วครับ ที่แท้มันมาจากสองตัวเพื่อนสนิทของผมเอง
ชิ! ล้อได้ล้อไป ถึงอย่างไรผมก็คือคนที่ทำให้หวางหลี่ผิงคนนั้นรู้จักคำว่ารักล่ะน้า
หลังจากที่ไอ้สองตัวมันล้อผมจนเป็นที่พอใจแล้ว พวกเราต่างก็แยกย้ายกันกลับ ไอ้นนขอตัวไปรับที่รักมันที่คณะทันที ผมเองก็กำลังเดินไปที่จอดรถที่มีพี่อู๋รออยู่ ส่วนไอ้นลินก็ขอตัวกลับคอนโด เพราะมีนัดกับเฮียโจเซฟเรื่องบัตรคอนเสิร์ตอะไรนี่แหละครับ เห็นว่าเฮียโจเซฟจะเอาบัตรที่มันตามหาซื้อมานานมาให้
ใครจะรู้ว่าแม่สาวห้าวเค้าก็มีมุมแบ๊วๆ เครซี่นักร้องเหมือนสาวๆคนอื่นเค้าเหมือนกัน แต่คงไม่ใช่วง Chic แล้วล่ะครับ เพราะตั้งแต่วันนั้นไอ้นลินมันเป็นเดือดเป็นแค้นแทนผมมาก ถึงขั้นเลิกติดตามวงบอยแบนด์วงนี้ไปเลย เพียงเพราะนายซีอาร์มาชอบเฮียหลี่ผิงของมัน!
ส่วนผมในวันนี้ไม่ได้คิดอะไรเรื่องนายซีอาร์แล้วล่ะครับ เพราะเฮียหลี่ผิงทำตัวชัดเจนซะขนาดนั้น ผมคงไม่กล้าคิดเป็นอื่นไปได้ แต่ก็ทำให้ผมมั่นใจได้ว่าอาเฮียสุดหล่อจะมีผมเพียงแค่คนเดียว
ระหว่างที่ผมเดินตัวลอยอมยิ้มอยู่คนเดียว อยู่ๆมีใครไม่รู้เดินตัดหน้า จนผมผงะถอยหลังไปหลายก้าว และหลุดปากขอโทษตามความเคยชิน
“อ๊ะ! ขอโทษครับ...เฮ้ย! พวกแกจะทำอะไร อ่อย อะ (ปล่อยนะ)” แต่แล้วผู้ชายท่าทางไม่น่าไว้ใจ มันก็ย่างสามขุมเข้าหา แม้ผมจะโวยวายและยังไม่ทันหมุนตัวหนี มันก็ใช้ผ้าปิดกึ่งปากกึ่งจมูกของผม
ไม่ว่าผมจะดิ้นจะร้องยังไงก็ไม่อาจหลุดจากการจับกุมได้ ใจนั้นก็ร่ำร้องอยากให้พี่อู๋เดินมาตามผมตรงนี้ ในหัวก็คิดวุ่นวายไปหมด ว่าใครเป็นตัวการลักพาตัวผมครั้งนี้ ก่อนที่สติผมจะหลุดลอย ภาพใบหน้าหล่อเหลาของเฮียหลี่ผิงที่ประดับยิ้มก็ลอยวนอยู่ในห้วงความคิด
“เฮียหลี่...ผิง...ช่วยธันว์...ด้วย”
.................................
“โอยยย” อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเล่นงานผมจนต้องร้องโอดโอย ด้วยผมคงนอนท่าเดียวไม่ได้ขยับมานาน เมื่อผมกลับมานอนหงายและสามารถปรับสายตาได้ พร้อมความทรงจำสุดท้ายว่าตัวเองถูกลักพาตัวมา ทำให้
ผมผวาลุกขึ้นนั่ง จึงพบว่าตัวเองนั่งอยู่บนเตียงกว้าง ภายในห้องที่ผนังทาด้วยสีขาวล้วน ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ชิ้นอื่นนอกจากเตียงหลังนี้หลังเดียว และไม่มีหน้าต่างสักบานให้ผมได้รู้ว่าอยู่ส่วนไหนของฮ่องกง มีเพียงประตูที่ปิดอยู่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามันต้องล็อกอย่างไม่ต้องสงสัย แต่สภาพห้องก็ดูสะอาดสะอ้านเหมือนได้รับการทำความสะอาดมาอย่างดี
พอผมก้มมองตัวเองก็พบว่ายังอยู่ในชุดเดิมไม่มีอะไรบุบสลาย นอกจากนาฬิกาที่ข้อมือที่ทำให้รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว นอกนั้นก็ไม่มีอะไรติดตัวผมอีกเลย แต่ก็ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองหลับไปเกือบหกชั่วโมงเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าตอนนี้ที่คฤหาสน์หวางจะวุ่นวายแค่ไหน และเฮียหลี่ผิงจะเป็นอย่างไรบ้าง อาเฮียคงต้องควานหาตัวผมให้วุ่นอย่างแน่นอน แต่ระหว่างนี้ผมต้องหาทางเอาตัวรอดด้วยตัวเองก่อน ผมจะอ่อนแอนั่งรอความช่วยเหลืออย่างเดียวไม่ได้ แม้จะหวั่นใจไม่น้อยเพราะไม่รู้ถึงสาเหตุที่ผมโดนจับตัวมา
ผมตัดสินใจลุกจากเตียงก่อนแตะมือไว้ที่ผนังและออกเดิน เพื่อสำรวจว่ามีรอยต่อตรงไหนบ้าง แต่ก็ทำเอาผมสิ้นหวัง เพราะนอกจากประตูที่ปิดสนิทแล้ว ไม่มีส่วนไหนให้ผมเล็ดลอดออกไปจากห้องนี้ได้เลย ผมกลับมานั่งถอนใจอยู่บนเตียงและเริ่มปลงว่าไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากรอ รอให้ไอ้คนที่จับตัวผมมาเปิดเผยตัว และบอกในสิ่งที่มันต้องการ
ผมนั่งรอไม่นาน เมื่อได้ยินเสียงไขประตูดังขึ้น ก่อนจะมีผู้หญิงสวยสง่าในชุดกี่เพ้าแดงที่ผมเดาอายุไม่ได้เดินเข้ามา และหยุดยืนตรงหน้าผม แม้ใบหน้าจะงดงามดูอ่อนวัย แต่ผมว่าเธออายุไม่น้อยล่ะครับ สังเกตได้จากแววตาที่มันลุ่มลึกแฝงแววเด็ดขาด และอ่านไม่ออกว่าเธอกำลังรู้สึกเช่นไร ซึ่งแววตาแบบนี้หาได้ยากในผู้หญิงที่อายุน้อย
“นี่น่ะเหรอคนสำคัญของหวางหลี่ผิง” ผมลอบกลืนน้ำลายให้กับใบหน้าสวยที่กระตุกยิ้ม แต่แววตากับนิ่งสนิทไม่แสดงอารมณ์เช่นเดิม
คุณโปรดอย่าถามว่าผมคุ้นหน้าเธอมั้ย ตอบได้เลยครับว่าผมไม่แม้แต่จะเคยเห็นหน้าสักนิด แต่ไม่ต้องเดาว่าการลักพาตัวผมครั้งนี้ ต้องเกี่ยวกับเฮียหลี่ผิงอย่างแน่นอน และผมจะไม่มีวันต้องให้ตัวเองกลายเป็นเครื่องมือต่อรองให้คนรักต้องเดือดร้อน
“ผมไม่ใช่คนสำคัญของหวางหลี่ผิง คุณเข้าใจผิดแล้ว” แม้ใจจะแอบกระตุกที่กล่าวคำนั้นออกไป แต่ผมก็พยายามจ้องตาผู้หญิงตรงหน้าไม่หลบ เพื่อยืนยันในสิ่งที่พูด ซึ่งการกระทำของผมคงไม่มีผลอะไรนัก เพราะปรากฏรอยยิ้มเยาะเย้ยบนใบหน้าสวยสง่า
“ฮึๆ หึ! เดี๋ยวเราได้รู้กัน” ผมเม้มปากแน่นและจ้องตาคนตรงหน้าไม่มีหลบ แต่แอบหวั่นใจในคำทิ้งท้ายนั้นไม่น้อย
“ในเมื่อผมโดนลักพาตัวมา ผมว่าผมมีสิทธิ์ถามว่าคุณเป็นใคร” ไหนๆผมก็พอรู้ถึงต้นเหตุที่โดนจับตัวมาแล้ว จึงขอถามหน่อยเถอะว่าคนตรงหน้าเป็นใคร เผื่อจะพอเดาออกว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ที่ทำให้อีกฝ่ายแค้นเคืองเฮียหลี่ผิงนักหนา จนถึงขั้นจับผมมาเป็นเครื่องต่อรองแบบนี้
“ปากกล้าดีจริงๆ...แต่ได้เวลาอาหารแล้ว เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง” ผมเหวอกับเธอตรงหน้า ที่อยู่ๆก็เปลี่ยนเรื่องไม่ยอมตอบในสิ่งที่ผมถาม
หลังจากยกยิ้มเยาะเย้ยเพื่อถากถางผมทั้งปากและแววตาแล้ว เธอหมุนตัวเดินกลับไปยังประตูที่เข้ามา ส่วนผมโดนเชิญแกมบังคับจากบอดี้การ์ดของเธอสองคน ให้ต้องออกเดินตามเธอออกไป
เมื่อออกมานอกห้องได้ผมลอบสำรวจสิ่งรอบตัว จึงได้รู้ว่าที่ๆผมอยู่ไม่ต่างจากคฤหาสน์ ด้วยมีห้องหับมากมาย แถมด้วยผู้คุ้มกันอีกเป็นโขยง เรื่องคิดจะหนีลืมมันไปได้เลย เอาแค่ผมหลุดไปถึงประตูใหญ่นั่นผมก็เก่งมากแล้วเหอะ ผมคงต้องเปลี่ยนแผน แต่จะเป็นแผนอะไรนั้นยังมึนตึบคิดไม่ออกครับ เอาเป็นว่าระวังตัวเองให้มากที่สุดเป็นพอ
“อาหารไม่ถูกปากรึไง” ผมเงยหน้าจากถ้วยซุปขึ้นมองเจ้าของเสียง แต่ยังไม่ทันตอบอะไร กลับได้เห็นแววตารู้ทันเข้าซะก่อน
“กลัวโดนวางยาพิษรึ ฮึๆ มันง่ายไป ฉันไม่ใช้แผนกระจอกแบบนั้นหรอก กินซะ” ผมอ่านง่ายขนาดนั้นเลยเหรอครับ
สุดท้ายก็ยอมตักซุปตรงหน้าเข้าปาก จึงได้รู้ว่าพ่อครัวที่นี่ฝีมือเยี่ยมไม่ต่างจากตระกูลหวาง จนเผลอตักเข้าปากจนหมดถ้วย ก็ผมหิวนี่ครับ ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่โดนจับตัวมาแล้ว พอได้กินผมก็เริ่มอารมณ์ดี จนเผลอยิ้มกับตัวเองขึ้นมา แต่คงไปสะดุดตาคนที่นั่งประจันหน้าเข้า
“หวางหลี่ผิงมีคนรักใสซื่อขนาดนี้เชียว ไม่น่าเชื่อว่าจะเลือกเด็กแบบนี้มาเคียงข้าง” ฟังแล้วปรี๊ดมากเหอะ แต่ผมต้องข่มอารมณ์โกรธไว้ ไม่อยากคิดอะไรก็แสดงออกไปซะหมด ให้อีกฝ่ายได้เยาะเย้ยว่าผมเป็นเด็กไปมากกว่านี้
ผมจึงพยายามข่มกลั้นด้วยการตัดชิ้นเนื้อสเต็กตรงหน้าและส่งเข้าปากเคี้ยวแรงๆ แต่ปฏิกิริยาของผมคงถูกใจคนตรงหน้ามาก เพราะเธอคนนั้นกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ชั่วแวบหนึ่งเมื่อได้เห็นใบหน้างดงามประดับยิ้มและแววตาพราวระยับ ผมอดคิดเปรียบเทียบเธอกับอากงไป๋หลงไม่ได้ เพราะในแววตานั้นมีแววเอื้อเอ็นดูผมไม่ต่างกัน แต่เมื่อผมจ้องเธอนานเข้าก็เหมือนเธอจะรู้ตัว กลับมาเก๊กหน้านิ่งตามเดิม ผมถึงกลับเผลอขมวดคิ้วพองแก้มยื่นปากน้อยๆใส่อย่างขัดใจ เพราะผู้หญิงสวยๆเข้ากับรอยยิ้มสดใสมากกว่าทำตาดุนี่ครับ
“รอยยิ้มหวานๆเข้ากับหน้าสวยๆของคุณมากกว่านะครับ” แม้ผมจะพูดไม่ดังนัก เพราะเกรงใจแววตาดุๆคู่นั้น แต่ผมก็อยากให้คนตรงหน้าได้ยิน ซึ่งดูท่าจะประสบผลเพราะเธอถึงกลับกระตุกยิ้มพอใจ แต่เหมือนยังฝืนๆคงไม่อยากให้ผมได้ใจน่ะครับ
แต่แค่นี้กลับทำให้ผมคลี่ยิ้มได้เต็มหน้า เพราะรู้สึกได้ว่าเธอก็เป็นผู้ใหญ่ใจดีคนหนึ่งเหมือนกัน และอาจจะมีอะไรผิดพลาดหรือเกิดความเข้าใจผิดบางอย่างขึ้น ทำให้ผมต้องโดนจับตัวมาแบบนี้
ผมเลือกที่จะระบายยิ้มใส่ตาเธออย่างอ้อนๆ เหมือนที่ทำกับบรรดาผู้ใหญ่ในครอบครัวที่เอ็นดูผม และผลก็ไม่ต่างกันนักกับยามที่อากงอาม่าเห็นรอยยิ้มแบบนี้ของผม สังเกตจากอาการชะงักนิดๆของเธอ ก่อนที่แววตาจะทอประกายอ่อนโยนจนผมเห็นชัด
คราวนี้เด็กน่ารักของเฮียหลี่ผิงอย่างผม จึงยิ่งฉีกยิ้มให้หลง! จนบรรยากาศรอบตัวที่ผมรู้สึกได้ มันผ่อนคลายไม่กดดันเหมือนแรกที่เราพบหน้ากัน แต่สายตาผมดันเหลือบไปเห็นบางอย่างเข้า
“รอยสักรูปปะการัง!?” รอยสักบนข้อมือด้านในของสาวใช้ที่กำลังรินน้ำส้มใส่แก้ว ทำให้ผมเผลอพูดเบาๆกับตัวเอง ก่อนเงยหน้าสบตากับผู้ร่วมโต๊ะอาหารหนึ่งเดียวของผม
แววตาที่เคยอ่อนโยนกลับแปรเปลี่ยนเหมือนเมื่อแรกเจอ ‘นิ่งสงบลุ่มลึก’ และเกือบทำผมผวา ก่อนผมจะค่อยๆประมวลผลและค้นหาความจำเกี่ยวกับรูปรอยสักปะการังนั่น
“โรงแรมที่กงอิน วางเพลิง รอยสักรูปปะการัง แก๊งจ้าว...จ้าวเพ่ยซาน!?” ชัดเลยคนตรงหน้าผมจะเป็นใครไปไม่ได้อีกแล้ว นอกจากจ้าวเพ่ยซานหัวหน้าแก๊งจ้าว ผู้อยู่เบื้องหลังการวางเพลิงโรงแรมในกงอินของเฮียหลี่ผิง
การที่ผมถูกจับตัวมาคงเพราะจ้าวเพ่ยซานต้องการแก้แค้นเฮียหลี่ผิง ที่กลับไปดัดหลังเธอจนเกิดความเสียหายมากมายขึ้น
“ฉลาดเหมือนกันนะเรา แต่ก็ดี ฉันจะได้ไม่เสียเวลาพูดให้มากความ” สิ้นเสียงเยาะหยันที่ไม่ต่างจากใบหน้าพร้อมอาการพยักหน้าน้อยๆของจ้าวเพ่ยซาน ผมก็โดนลูกน้องสองคนของเธอประกบข้างทันที
“เฮ้ย!” ผมร้องเสียงหลงเพราะโดนหิ้วปีก
“พามันไป!” จ้าวเพ่ยซานใช้น้ำเสียงแข็งกร้าวสั่งลูกน้อง ก่อนตวัดสายตามุ่งมั่นมาทางผม จนผมหนาวยะเยือก
‘เฮียหลี่ผิงมาช่วยธันว์เร็วๆนะ ธันว์กลัว!!’
........................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
แหมะ! เด็กน่ารักของมาเฟียใหญ่จะขี้อ้อนเกินไปแล้วเนอะ
หน้าสิ่วหน้าขวานน้องธันว์ของเฮียหลี่ผิงยังจะอ้อน แต่ก็เป็นเสน่ห์
ของเจ้าตัวเค้าล่ะ เพราะดูท่านางจิ้งจอกพันปีจะถูกใจเด็กน่ารักคนนี้ไม่น้อย
ส่วนเจ้าของเด็กน่ารักจะเป็นยังไงบ้างน้อ เมื่อรู้ว่าน้องโดนลักพาตัวไป
ถ้าอยากรู้ ติดตามกันได้ในวันอังคารค่ะ
+1และเป็ดสำหรับทุกเม้นท์ ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ

ปล.มาม่ามาเบาๆกลิ่นจางๆ สัญญา
