LOVE (extra) HIGH STORY – extra 04 – Goodnightหลังจากที่สองหนุ่มช่วยกันล้างจานกันเสร็จก็พากันไปนั่งดูโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่น กีต้าร์กดรีโมทเปลี่ยนช่องไปเรื่อยแต่ก็ไม่เจอรายการถูกใจเลยสักช่อง เพราะที่บ้านนี้ไม่ได้ติดเคเบิ้ลทีวีเลยมีแต่ฟรีทีวีช่อง 3 5 7 9 ตามที่ลุงดำเคยจูนไว้ให้เมื่อสมัยหลายปีที่แล้ว... ที่เปิดเจอเลยมีแต่ละครหลังข่าว แต่สองหนุ่มนี้เขาดูเสียที่ไหนล่ะละครเนี่ย ปกติก็ดูแต่หนัง สารคดี ซีรี่ส์ฝรั่งและการ์ตูนเท่านั้น... อ้อ มีดูข่าวบ้างพอให้รู้กระแสสังคม
นั่งๆ นอนๆ กันอยู่สักพักป้าเอียดก็เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า ท่าทางมื้ออาหารกับพวกคนงานคนสวนคงจะเป็นอะไรที่สนุกสนานเฮฮามากแน่ๆ... ป้าเอียดหันมายิ้มให้สองหนุ่มก่อนจะเดินเลี้ยวไปทางห้องครัว... หายเข้าครัวไปเพียงชั่วอึดใจก็เดินคิ้วขมวดออกมาตีไหล่กีต้าร์เบาๆ แล้วตัดพ้อเล็กๆ
“กีต้าร์ แย่งป้าล้างจานหมดเลย” ป้าเอียดกล่าวพลางค้อนตามองกีต้าร์
“อ้าว แล้วไม่ดีเหรอป้า” กีต้าร์ก็หันมาถาม ทำหน้าเป็นแมวงง
“ไม่ดีสิ เดี๋ยวป้าไม่มีงานทำกันพอดี”
“ฮ่าๆๆๆๆ ป้าเอียดไม่ต้องกลัวหรอก เพราะว่ายังไงแม่ก็ไม่ให้ป้าเอียดไปไหนหรอก”
“จ้า ป้าแก่ปูนนี้แล้ว ไปไหนไม่ได้แล้ว ต้องฝากผีฝากไข้ไว้กับตาดำกับคุณตุ้มนั่นแหละ... แล้วนี่ทำไมไม่ไปอาบน้ำอาบท่าให้สบายเนื้อสบายตัวกันก่อนเรอะ”
“อีกแปบน่ะป้า”
“เอ้า ตามสบายแล้วกันนะ ผ้าเช็ดตงผ้าเช็ดตัวป้าเตรียมไว้ให้หมดแล้ว อยู่ในตู้เสื้อผ้ากีต้าร์นั่นแหละ เอามาซักให้ใหม่ ลงน้ำยายปรับผ้านุ่มหอมฉุยเลย”
“ขอบคุณคร้าบบบบ”
“เอ่อ แล้วของโบ๊ทป้าก็เตรียมไว้ให้อยู่ในห้องรับรองนะลูก ห้องที่ติดกับห้องของกีต้าร์นั่นแหละ”
“อ้อ ขอบคุณครับป้า แต่จริงๆ แล้วไม่ต้องแยกห้องก็ได้ครับ พวกผมนอนด้วยกันได้” โบ๊ทกล่าวหน้านิ่ง แต่กีต้าร์เนี่ยสิ ฟังแล้วหันควับคอแถบหลุด ส่งสายตาขู่อาฆาตอย่างโจ่งแจ้ง
“แล้วจะไปนอนเบียดกันทำไมละค่ะ นอนเตียงใหญ่ๆ คนละเตียงไปเลย สบายดีออก” ป้าเอียดแกไม่ได้รู้สึกเอะใจอะไรกับคำพูดของโบ๊ทเลยสักนิด
“ใช่ๆๆๆๆๆๆ ฮ่ะๆๆๆๆ ป้าเอียดพูดถูก จะมานอนเบียดกันทำไม อึดอัดแย่เลย ฮ่ะๆๆๆๆๆๆ... เนอะป้าเนอะ”
“ค่ะ... เอาเป็นว่าป้าไม่กวนแล้วกัน พักผ่อนกันเยอะๆ นะคะ”
“ครับป้า”
ป้าเอียดกล่าวเสร็จก็เดินอารมณ์ดีออกไปนอกบ้าน คงจะกลับไปสนุกกับพวกคนงานคนสวนต่อแน่ๆ... ส่วนกีต้าร์ก็นั่งกดรีโมทต่อไป วนมันอยู่นั่นแหละทีวีไม่กี่ช่องเนี่ย
“หึหึ... ไม่มีช่อง Cartoon Network กับ Cartoon Club ให้ดูละสิ” ร่างสูงละสายตาจากเฟซบุคบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือในมือแล้วเหลือบมองรุ่นน้องร่างเล็ก
“ที่นี่ไม่ได้ติดเคเบิ้ลอ่ะ” กีต้าร์บ่นหน้าเซ็ง
“ก็บอกแล้วว่าให้ไปบ้านโบ๊ทก็ไม่เชื่อ”
“แหม ได้ทีเชียวนะ!”
“ฮ่ะๆๆๆๆ เห็นไหม ถ้าไปบ้านโบ๊ทนะ ป่านนี้เอ็งก็ได้นอนดู [กัมบอล] จอใหญ่ๆ สะใจไปแล้ว”
“ไม่เป็นไร ที่นี่ไม่มี ผมก็ไม่ดูก็ได้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่สักหน่อย... เอ๊ะ... นี่!!! ไอ้คุณโบ๊ท ผมไม่ใช่เด็กนะ ถึงจะเอาการ์ตูนมาล่ออ่ะ”
“ฮ่าๆๆๆๆ แต่ก็ได้ผลไม่ใช่เหรอ กร๊ากกกกกก”
“หนอยยยยย ไอ้!!!”
และในขณะที่กีต้าร์กำลังโวยวายอยู่นั่นเอง แม่ตุ้มก็เดินออกจากห้องมายังห้องนั่งเล่นในชุดนอน... ออกจากห้องมาก็ได้ยินเสียงคุ้นหูกำลังโวยวายดังมาจากทางห้องนั่งเล่น
“โวยวายอะไรกีต้าร์ ตัวเล็กๆ แต่เสียงดังจริงๆ เลยนะเรา” คุณนายตุ้มเดินยังไม่ทันถึงห้องนั่งเล่นดีก็ส่งเสียงลอยมาดุลูกชายก่อนซะแล้ว
“ไม่ได้โวยวายสักหน่อย” กีต้าร์แก้ตัวพลางหันหน้าไปทำหน้างอนใส่แม่
“ยังจะมาเถียงอีกนะเรา... แม่ว่าตอนเด็กๆ แม่ก็ไม่เคยเลี้ยงด้วยโทรโข่งหรือลำโพงนะ ฮ่ะๆๆๆๆ” แม่ตุ้มหัวเราะร่าไปกับมุขของตัวเอง โบ๊ทเองก็อดหัวเราะไปกับความขี้เล่นของแม่กีต้าร์ไม่ได้
“โหยยยย แม่อ่ะ ก็ทีวีไม่มีอะไรดูอ่ะ” กีต้าร์ยังแอบบ่น โบ๊ทเห็นก็ได้แต่แอบอมยิ้มกับท่าทางเด็กๆ ของไอ้เปี๊ยกแสบเวลาอยู่กับแม่
“ใครว่าไม่มีอะไรดู นี่ไง ใกล้ได้เวลาละครแล้ว” ว่าแล้วแม่ตุ้มก็หย่อนตัวลงนั่งข้างลูกชายก่อนจะฉวยรีโมทจากมือมาแล้วกดเปลี่ยนช่องไปที่ช่อง 3
“เรื่องไรอ่ะแม่”
“แรงริษยา กำลังมันส์เลยลูก”
“อ้อ แม่ผมก็ติดเรื่องนี้เหมือนกันครับ” โบ๊ทเอ่ยขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเป็นละครเรื่องเดียวกันกับที่แม่ของเขาก็ติดอยู่เหมือนกัน
“แปลว่าแม่ของโบ๊ทต้องสวยนะเนี่ย... ละครเรื่องนี้คนหน้าตาดีเขาดูกัน ฮ่ะๆๆๆๆ”
“ครับ ฮ่ะๆๆๆ”
“แหมๆๆๆ คุณนายตุ้มครับ ไม่ค่อยจะชมตัวเองแบบกระทบชิ่งเลยนะ... โอ้ยยย” กีต้าร์แซวแม่ตัวเอง เลยโดนตีแขนไปซะดังเพี๊ยะ
“ทำมาเป็นแซว เดี๋ยวเหอะ... ดูสิตาโบ๊ท มีลูกอยู่คนนึงก็เป็นซะอย่างนี้ ไม่น่ารักเลยเนอะ มา ตาโบ๊ทมาเป็นลูกแม่อีกคนดีกว่า จะได้มีลูกน่ารักๆ กับเขาซะบ้าง”
“โหยยยย แม่อ่ะ” ว่าแล้วก็เลยฉวยโอกาสทิ้งตัวไปนอนหนุนตักแม่ ถือว่าอ้อนไปในตัว
“ฮ่ะๆๆๆ ดูทำเข้า โตจนหมาเลียก้นไม่ถึงแล้ว ยังจะมาทำเป็นอ้อนแม่อีก...” แม่ตุ้มหัวเราะอารมณ์ดีไปกับท่าทางของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน
“ไม่ได้หรอก เดี๋ยวแม่ไม่รัก ฮ่ะๆๆๆๆ”
“ดูพูดเข้า... แล้วนี่เหนื่อยกันไหม ง่วงกันไหมลูก” แม่ตุ้มถามทั้งต้าร์และโบ๊ทพลางลูบหัวลูกชายอย่างอ่อนโยน
“ไม่อ่ะ ไม่เหนื่อย ไม่ง่วง” กีต้าร์ตอบพลางส่ายหัวอยู่บนตักอุ่น
“ไม่ครับ” โบ๊ทส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ
“งั้นก็ดูละครเป็นเพื่อนแม่กันก่อนเนอะ”
“ได้เลยแม่ แต่ขอค่าจ้างเป็นแกงอ่อมนะแม่”
“ฮ่ะๆๆๆๆ ลูกคนนี้นี่”
โบ๊ทนั่งฟังแม่ลูกเขาคุยกันอย่างสนิทสนมอบอุ่นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ จะว่าไปแม้กีต้าร์จะไม่ค่อยได้อยู่กับแม่ แต่ก็สนิทสนมกันดี... หรือระยะทางและความห่างไกลจะยิ่งทำให้สายสัมพันธ์ยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งทำให้เห็นคุณค่าของกันและกัน... แล้วถ้าเขากับกีต้าร์ห่างกันบ้างละ จะยังรักกันแบบนี้ไหม... คำตอบของกีต้าร์โบ๊ทคงเดาไม่ออก แต่ที่รู้คือตัวเขาเองนี่แหละที่จะเป็นเดือดเป็นร้อนหากต้องห่างกัน ดูได้ง่ายๆ จากตอนที่กีต้าร์บอกว่าจะกลับเชียงใหม่ แค่นั้นใจเขาก็มีคำตอบที่แน่วแน่โดยอัตโนมัติแล้วว่ายังไงเขาก็จะมาด้วย...
ผ่านไปเพียงสักพักละครหลังข่าวเรื่องโปรดของแม่ตุ้มก็เริ่ม... กีต้าร์ดูไปก็ถามไป... คนนั้นเป็นใคร คนนี้เป็นใคร ทำไมต้องทำแบบนั้น ทำไมต้องทำแบบนี้ ไอ้นั่นคืออะไร ไอ้นี่คืออะไร... ถามแรกๆ แม่ตุ้มก็ตอบดีอยู่หรอก แต่พอกีต้าร์เริ่มกลายเป็นหนูจำไม แม่ตุ้มก็เลยอดไม่ได้ที่จะลงไม้ลงมือให้หยุดถามสักที... ยิ่งนอนหนุนตักอยู่แล้วด้วย จะหนีไปไหนพ้น ฮ่าๆๆๆ
ละครดำเนินไปอย่างเข้มข้น คนที่ตั้งใจดูที่สุดก็คือแม่ตุ้ม โบ๊ทดูบ้างไม่ดูบ้าง แอบเล่นเฟซบุคเป็นระยะๆ ส่วนไอ้เจ้าเปี๊ยก หลังจากที่เลิกเป็นหนูจำไมก็นอนดูนิ่งเชียว... นิ่งจนโบ๊ทนึกสงสัย หันมาอีกทีก็เห็นว่าไอ้เปี๊ยกหลับพริ้มคาตักแม่ตุ้มไปเสียแล้ว
“โบ๊ท” พักฆษณาได้ไม่ทันไร แม่ตุ้มก็เอ่ยเรียกโบ๊ทขึ้นลอยๆ
“ครับ?”
“ขอบใจมากนะลูกนะ ที่ช่วยดูแลน้อง” แม่ตุ้มพูดด้วยร้อยยิ้มอบอุ่น มือนิ่มลูบหัวลูกชายอย่างถนุถนอม
“อ้อ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับแม่”
“ถ้าน้องทำอะไรให้เหนื่อยก็อย่าไปถือสาน้องนะลูกนะ ไอ้เจ้าเด็กคนนี้มันไม่ยอมโต ดูสิ โตขนาดนี้จนเป็นหนุ่มหมาลัยแล้ว ยังจะมาอ้อนแม่เป็นเด็ก 6 ขวบไปได้”
“ผมว่า... เขาอ้อนเป็นแค่กับคุณแม่นี่แหละครับ ฮ่ะๆๆๆ”
“ฮ่ะๆๆๆๆ งั้นเหรอลูก... แม่อยู่ไกล ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ตอนแรกก็พอจะอุ่นใจเพราะมีตาทีกับตาโจช่วยดู ตอนนี้มีโบ๊ทมาช่วยดูน้องอีกคนแม่ก็สบายใจ”
“แล้ว... ทำไมคุณแม่ถึงมาอยู่เชียงใหม่ละครับ” โบ๊ทไม่แน่ใจว่าเป็นคำถามที่ควรถามไหม แต่ก็ถามออกไป
“อ้อ... จริงๆ แล้วแม่ก็อยู่กรุงเทพแหละ เมื่อก่อนน่ะ... แต่เมื่อสัก 3-4 ปีที่แล้วคุณยายของกีต้าร์เขาไม่สบาย แม่เลยย้ายมาอยู่บ้านคุณยาย ก็บ้านหลังนี้แหละ สวนนี้ก็ของแก คนงานส่วนใหญ่ก็เป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่... พอคุณยายเสีย แม่ก็เลยต้องอยู่ดูแลสวนต่อ ไม่งั้นเดี๋ยวพวกคนงานก็ไม่มีงานทำ”
“แล้วต้าร์ไม่ยอมมาด้วยเหรอครับ”
“ก็ไม่เชิงหรอก... แต่แม่อยากให้เขาเรียนในกรุงเทพมากกว่า ตอนแรกก็หนักใจนะ เพราะเขาต้องอยู่ในกรุงเทพคนเดียว... แต่ตอนนั้นน้องก็ขึ้นม.ปลายแล้วล่ะ เขาก็สัญญากับแม่ว่าเขาจะอยู่คนเดียวให้ได้ บอกว่าแม่ไม่ต้องห่วง... แรกๆ ก็ห่วงนะ แต่หลังๆ มาเขาก็ทำให้แม่เห็นว่าเขาอยู่ได้ แม่ก็สบายใจขึ้นเยอะ”
“ครับ กีต้าร์เขาเก่งนะครับ คุณแม่ไม่ต้องห่วงเลยครับ”
“จ๊ะ ยังไงแม่ก็ฝากน้องด้วยนะ...”
“ครับ”
บทสนทนาจบลงเท่านั้นก่อนที่ช่วงพักโฆษณาจะจบ แม่ตุ้มดูละครต่อโดยที่มือยังลูบหัวลูกชายอย่างอ่อนโยน
.
.
.
เวลาผ่านไปจนละครจบ แม่ตุ้มลาโบ๊ทเข้านอนโดยที่ค่อยๆ เลื่อนหัวลูกชายออกจากตักอย่างเบามือก่อนจะหันไปขมุบขมิบปากบอกโบ๊ทว่า “ฝากน้องด้วยนะ”... ว่าแล้วคุณแม่ก็เดินออกจากห้องนั่งเล่นไป
“เปี๊ยก... ไอ้เปี๊ยก... ตื่น” โบ๊ทสะกิดรุ่นน้องร่างเล็กที่หลับพริ้มอยู่บนโซฟา
“อือ...อออออ” เปี๊ยกแสบส่งเสียงอือออมากจากลำคอ แต่ไม่ยักกะขยับกายหยาบ แถมยังนาบหน้าติดเบาะซะอีก
“ไปอาบน้ำนอนเหอะ ลุกเร็วเปี๊ยก” โบ๊ทปรับระดับจากแค่สะกิดมาเป็นเขย่า
“อือ รู้แล้วๆ” กีต้าร์กล่าวงึมงำพลางงัดตัวเองออกจากเบาะขึ้นมานั่ง แต่ก็ยังไม่ลืมตา
“ลุก มา... อาบน้ำแปบเดียวก็ได้นอนแล้วน่า” โบ๊ทพูดพร้อมกับฉุดแขนกีต้าร์ให้ลุกขึ้น
กีต้าร์เดินลากเท้าออกจากห้องนั่งเล่นโดยมีโบ๊ทเดินอยู่ไม่ห่าง เมื่อถึงห้องนอนกีต้าร์ก็เปิดประตูเข้าไป... โบ๊ทเดินตามเข้าห้องไปได้ไม่ถึง 5 วินาที กีต้าร์ก็หันควับกลับมามอง
“มองอะไร” โบ๊ทเอ่ยถามด้วยความสงสัยพลางเดินไปนั่งบนเตียงแล้ววางกระเป๋าเสื้อผ้าลงบนพื้นข้างๆ เตียง
“อย่ามาทำเนียนเลยคุณโบ๊ท ห้องคุณอยู่ข้างๆ เดินออกประตูแล้วเลี้ยวซ้าย”
“อ้าว ก็บอกป้าเอียดไปแล้วนี่ว่าจะนอนห้องเดียวกัน”
“ไม่เอา”
“ทำไมอ่ะ นอนคนเดียว เหงานะ”
“ตลกล่ะ คุณโบ๊ท... ไม่เอาอ่ะ นอนแยกแหละ เดี๋ยวแม่มาเห็น”
“...ต้าร์” โบ๊ทลดน้ำเสียงลงให้ฟังดูน่าสงสาร
“ไม่ต้องเลยยยย ไม่ต้องมาทำเสียงน่าสงสารเลย ผมไม่หลงกลหรอก... มาๆ เดี๋ยวผมถือกระเป๋าไปส่งหน้าห้องนะ” ไม่พูดเปล่า กีต้าร์เดินไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าของโบ๊ทแล้วเดินนำออกนอกห้องไป
โบ๊ทเดินตามหน้าเซ็งที่ไอ้เจ้าเปี๊ยกไม่ยอมใจอ่อน... แล้วคืนนี้เขาจะนอนหลับไหมเนี่ย
.
.
.
กีต้าร์อาบน้ำเสร็จก็ออกมานั่งเช็ดผมที่ปลายเตียง กวาดตามองไปรอบห้อง... นานแล้วที่ไม่ได้มาที่นี่ ทุกอย่างยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง... มองไปบนเตียงที่ไม่มีรุ่นพี่ร่างสูงก็รู้สึกผิดเล็กๆ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ก็นี่ไม่ใช่ที่คอนโดฯ ที่มีเพียงพวกเขาสองคน แต่ที่นี่มันคือบ้านที่มีแม่อยู่ด้วย ระแวงว่าถ้าโบ๊ททำอะไรทะลึ่งตึงตังขึ้นมา แม่จะสงสัยเอาได้... เมื่อครู่นี้ตอนเดินไปส่งโบ๊ทที่ห้อง ก็ไม่ได้พูดอะไร เดินออกมาเงียบๆ... โบ๊ทเองก็ไม่พูดอะไร ได้แต่ยืนมองกีต้าร์เดินกลับห้องไปโดยไม่ดื้อห้ามหรือรั้งตัวไว้ให้อยู่ด้วยกัน
ร่างเล็กทิ้งตัวลงนอนไปตามความยาวของเตียงแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือมากดพิมพ์ข้อความ... กดยิกๆ อยู่สักครู่ก็กดส่งก่อนจะโยนโทรศัพท์ไปบนเตียงแล้วนอนคว่ำหน้าดิ้นพราดๆ อยู่บนเตียง... พิมพ์เอง ส่งเอง เขินไปเองกับข้อความสั้นๆ ที่ตั้งใจส่งไปหารุ่นพี่ร่างสูง
.
.
“ฝันดีนะ”.
.
รอยยิ้มกว้างเกิดขึ้นบนใบหน้าหล่อใสของโบ๊ททันทีที่เห็นข้อความ อารมณ์น้อยใจเล็กๆ นั้นหายวับไปทันที... ข้อความเดียวที่ได้รับมา เขาอ่านซ้ำอยู่อย่างนั้นด้วยใจที่เต้นแรงไม่เป็นจังหวะ... ใจจริงอยากจะพิมพ์ข้อความส่งกลับไป แต่สุดท้ายก็ลบข้อความทิ้งแล้วเปลี่ยนเป็นโทรไปหาเลยดีกว่า
~ Cosa hai messo nel caffé che ho bevuto su da te? C’è qualche cosa di diverso adesso in me~
เสียงริงโทนโรศัพท์มือถือดังขึ้น ทำเอากีต้าร์หยุดดิ้นแล้วหันหน้าเหลือบตาไปมองโทรศัพท์ที่ทั้งสั่นทั้งส่งเสียงเรียกร้องความสนใจอยู่ไม่ไกล เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็ตกใจ เพราะชื่อที่ปรากฏอยู่บนจอไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นรุ่นพี่คนสนิทที่เขาเพิ่งส่งข้อความไปบอกให้ฝันดีเมื่อครู่นี้นี่เอง
“โหล” กีต้าร์กดรับโทรศัพท์ด้วยความรู้สึกเขินที่ยังไม่จางหาย... จะโทรมาทำไม รู้ไหมว่าเขิน
“...”
“โหล มีไร โทรมาแล้วทำเงียบนะ”
“ฮ่ะๆๆๆ ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากคุยด้วยอ่ะ”
“เว่อร์วะ”
“พูดงี้แปลว่าไม่คิดถึงกันบ้างเลยนะเนี่ย”
“ไม่คิดถึงหรอก เพิ่งห่างกันไม่ถึง 20 นาทีเอง บ้าป่าว”
“จริงอ่ะ? แล้วใครกันน๊า ส่งแมสเสจมาบอกให้ฝันดี”
“ก็คนนั้นไง คนที่หน้าตาดีๆ หล่อๆ อ่ะ”
“ฮ่าๆๆๆๆ ไอ้เกรียน”
“เดี๋ยวนะ แปบนึง”
“อือ”
กีต้าร์ขอเวลานอก เอาโทรศัพท์ยัดไว้ใต้หมอน แล้วลุกไปวิ่งรอบเตียงเพื่อตั้งสติ... รู้สึกอย่างกับคนที่เพิ่งจีบกันใหม่ๆ ทั้งๆ ที่ก็เลยวันเวลานั้นมาไกลโข... เอ่อ ต้องบอกว่าไม่เคยมีวันเวลาแบบนั้นเลยถึงจะถูก... เมื่อตั้งสติได้ก็กระโดดกลับขึ้นเตียง สูดหายใจลึกๆ แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู
“มาแล้ว”
“ไปไหนมา”
“ไม่บอก”
“บอกหน่อยดิ อยากรู้”
“ไม่เอา เขิน”
“ฮ่ะๆๆๆ ไม่ทำอะไรมา ทำไมต้องเขิน”
“ไม่บอก ยังไงก็ไม่บอก”
“ฮั่นแน่ ได้ยินเสียงโบ๊ทแล้วเกิดอารมณ์ละสิ ไปแอบชักกะโด้วมาใช่ไหมล่ะ”
“ไอ้บ้า ทะลึ่งล่ะ... ใครจะไปทำแบบนั้น แล้วถึงจะทำจริงมันก็ต้องนานกว่านี้ป่ะล่ะ”
“อืมมมม ไม่รู้สิ ทุกทีที่โบ๊ททำให้ก็ใช้เวลาไม่นานนะ”
“อ๊ากกกก ไอ้!!!”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ ล้อเล่นๆ... อืมมมมมม จะว่าไป เราเพิ่งเคยคุยโทรศัพท์กันแบบนี้เนอะ”
“อืม นั่นสิ”
“อาบน้ำยัง”
“อาบแล้ว... แล้วคุณโบ๊ทล่ะ อาบยัง”
“อาบแล้ว เพิ่งอาบเสร็จก็โทรมาเลยเนี่ย”
“มีไดร์เป่าผมป่าว คุณโบ๊ทผมยาว ผ้าเช็ดเฉยๆ คงไม่แห้งหรอก”
“ไม่มีอ่ะ เอ็งมาเช็ดให้หน่อยดิ”
“ไม่อ่ะ เอาหัวถูกับเตียงไปก่อนแล้วกัน ฮ่าๆๆๆๆ”
“ใจร้ายวะ”
“ไม่ต้องมาทำเสียงอ่อนเลย ในห้องมีพัดลมก็เปิดเป่าไปสิ เดี๋ยวก็แห้งแล้ว”
“อ้อ ใช่ๆ นั่นไงพัดลม เห็นแล้ว... ไม่ง้อเอ็งแล้ว ไปอ้อนพัดลมก็ได้” ไม่พูดเปล่า โบ๊ทเดินไปหยิบพัดลมออกมาตั้ง เสียบปลั๊กแล้วเปิดเป่าผม
“ฮ่าๆๆๆๆ โรคจิตวะ”
“ดูดิ มีแฟน แฟนก็ไม่สนใจ แล้วพอจะหันไปพึ่งพาพัดลม มันก็ดันมาส่ายหน้าใส่อีก น่าน้อยใจวะชีวิต”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เสี่ยวว่ะคุณโบ๊ท... พัดลมมันส่ายก็กดให้มันไม่ส่ายดิ ฮ่าๆๆๆๆๆ”
“ไม่เอาอ่ะ ปล่อยให้มันส่ายอยู่งี้แหละ เผื่อคนแถวนี้จะเห็นใจมาเช็ดผมให้ ไม่งั้นนอนแบบนี้ตื่นมาไม่สบายแน่ๆ เลย”
“เออ ให้ป่วยตายไปเลย จะได้เอาไปเป็นปุ๋ยต้นไม้ในสวน ฮ่าๆๆๆๆ”
“หึหึหึ ถ้าโบ๊ทตายไปจริงๆ นะ จะไปเป็นผีผ้าห่มหลอกเอ็งทุกคืนเลย หึหึหึ”
“ฮ่ะๆๆๆๆ ไอ้หื่นเอ้ยยยยยย”
บทสนทนาตามประสาคนรักกัน(?)ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ กีต้าร์นอนคุยโทรศัพท์อย่างอารมณ์ดีด้วยความรู้สึกจั๊กจี้ในอกอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน... นี่นะเหรอ ความรู้สึกเวลาที่แฟนกันเขาโทรหากันทุกวันทุกคืน... จั๊กจี้ชะมัด...
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เผลอแปบเดียวก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว... เมื่อเห็นนาฬิกา กีต้าร์ก็ออกอาการง่วงขึ้นมาซะงั้น เลยเกริ่นกับโบ๊ทไปว่าจะนอนแล้ว ซึ่งโบ๊ทก็ไม่ห้ามอะไร แต่ก่อนจะที่ได้บอกลากันในค่ำคืนนี้ อยู่ๆ ก็มีเสียงเคาะที่ประตูห้องของกีต้าร์
.
.
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก.
.
“เดี๋ยวนะคุณโบ๊ท มีคนมาเคาะประตู สงสัยเป็นแม่หรือไม่ก็ป้าเอียด” กีต้าร์บอกโบ๊ทที่อยู่ปลายสาย
“อืม”
กีต้าร์ลุกขึ้นจากเตียงไปเปิดประตู แต่คนที่ยืนอยู่หน้าประตูกลับไม่ใช่แม่ตุ้มหรือป้าเอียด แต่เป็นรุ่นพี่ร่างสูงที่ยืนยิ้มอยู่โดยที่ยังมีโทรศัพท์แนบอยู่ที่หู... โบ๊ทฉวยโอกาสตอนที่กีต้าร์กำลังงง แทรกตัวเข้าห้องมาแล้วปิดประตู
“ฮึ่ยยยยย มาทำไม” กีต้าร์พูดกรอกใส่โทรศัพท์ทั้งๆ ที่คนปลายสายก็ยืนอยู่ต่อหน้า ห่างกันเพียงฟุต
“มาบอกเกรียนแถวนี้ว่าฝันดี” โบ๊ทพูดพร้อมรอยยิ้มกว้าง... จะหล่อไปไหน
“ก็บอกทางโทรศัพท์ก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องมาเลย”
“ก็ถ้าบอกทางโทรศัพท์แล้วมันทำแบบนี้ไม่ได้อ่ะ...”
“เฮ้ย... อุ๊บบบบ”
หนุ่มรุ่นพี่ร่างสูงฉวยเข้าที่เอวของรุ่นน้องร่างเล็กแล้วดึงเข้ามาประกบจูบอย่างอ่อนโยน... สัมผัสอุ่นนิ่มที่นิมฝีปากกดและเน้นเป็นจังหวะซ้ำๆ ก่อนสัมผัสอุ่นนั้นจะเคลื่อนไปยังหน้าฝากใสของหนุ่มร่างเล็ก
“ฝันดีนะ”
โบ๊ทกล่าวพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้กีต้าร์ยืนหน้าแดงอยู่คนเดียว
.
.
“ไอ้บ้า”
.
.
นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่โบ๊ทได้ยินจากปลายสายก่อนจะตัดสายไป... ถึงกีต้าร์จะพูดมาแบบนั้น แต่เขาสัมผัสได้ถึงความเขินอายที่อยู่ในน้ำเสียง... ว่าแล้วก็ทิ้งตัวลงนอน วางโทรศัพท์ไว้ข้างหมอน ห่มผ้า และปิดโคมไฟข้างเตียง
ภาพสุดท้ายเป็นภาพของสองหนุ่มที่นอนอยู่ในห้องข้างๆ กัน หัวเตียงของทั้งสองหันชนกันโดยมีเพียงกำแพงกั้น... ห้องหนึ่งมีหนุ่มร่างสูงนอนหลับตาพร้อมรอยยิ้ม... ส่วนอีกห้องมีหนุ่มร่างเล็กนอนคลุมโปงด้วยหวังว่าจะปิดซ่อนหน้าแดงๆ นั้นไว้ให้มิดชิด
.
.
ปี๊ป ปี๊ป.
.
โทรศัพท์ของทั้งสองหนุ่มดังขึ้นเตือนว่ามีข้อความใหม่ ทั้งสองหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอ่านด้วยความตื่นเต้น คาดว่าจะเป็นข้อความของอีกฝ่ายหนึ่งส่งมาให้ แต่แล้วก็ต้องผิดหวังและทำหน้าเซ็งเมื่อข้อความที่ได้นั้นมีชื่อผู้ส่งลงท้ายตัวใหญ่ๆ ว่า FlapJack พร้อมข้อความที่ว่า
“โปรดติดตามตอนต่อไป” .
.
.
-------------------------------------
FlapJack Corner:
มาแบบเงียบๆ...
ปล. ผมยังมีชีวิตอยู่นะ