รักรั่วๆของ..พรต&รัน
Part 17
(Special Run) “อะไรครับพี่ณี แน่ใจคุณคิมเอาไป” ผมปรือตามองแผ่นหลังกว้าง ไอ้รั่วยืนคุยโทรศัพท์ตรงระเบียงมองทะเล
มันไม่ปิดประตูสามารถฟังการสนทนาได้ชัดเจน คงคิดว่าผมยังหลับอยู่ล่ะมั้ง
“ไม่เป็นไร ผมถามเองดีกว่า พี่ณีไม่ต้องเอารูปผมไปตั้งแล้วนะครับ ปล่อยให้ว่างไปเลย”
วางสายเสร็จ มันยังยืนเหม่อมองออกไปไกล จมภวังค์นานพอสมควร คงมีเรื่องที่คิดไม่ตก เพียงแต่ผมไม่รู้เรื่องอะไร
“อ่ะ! ตื่นแล้วหรือมึง” ผมลุกจากเตียง สวมบ็อกเซอร์เหมือนมันเปลือยอก
เดินอย่างเงียบกริบเข้าไปเกาะบ่า ทำให้มันรู้สึกตัวหันมาถาม
“อืม..ยืนทำอะไรตรงนี้วะ” ทำไม่รู้ไม่ชี้เหมือนเป็นปกติ
“กำลังดูทะเล พวกเราโคตรตลกมาทะเลเสือกไม่มีใครเล่นน้ำ” พูดก็จริงของมัน
มาทะเลพากันเน้นพักผ่อน ไม่ยักมีใครอยากเล่นน้ำ
“หรือมึงอยากลงทะเล” กะเวลาคงราวแปดโมงกว่านิดๆ
“ไม่ล่ะ..กูพูดไปงั้น เดินทางกี่โมงไอ้โต๋กับตะเกียงต้องขึ้นเครื่องบ่ายสามนี่หว่า”
ผมพยักหน้ารับ บอกกำหนดการเดินทางให้มันรู้ด้วย
“สิบเอ็ดโมง เก็บสัมภาระเถอะ อาบน้ำลงไปทานข้าวกัน นัดไว้เก้าโมงครึ่ง
ปานนี้พวกมันคงตื่นจัดการตัวเองเรียบร้อยหมดแล้ว” ชวนไอ้รั่ว
“ไปดิ” ผมกอดคอมันกลับเข้าด้านใน แยกย้ายช่วยกันเก็บเสื้อผ้าจัดกระเป๋า เหลือชุดสำหรับเดินทางคนละชุด
เสื้อยืดกางเกงซาฟารีเช่นเคย เน้นสบายไม่พิถีพิถันเท่าไหร่ พวกมันเองคงใส่ไม่ต่างพวกผม
ยกเว้นไอ้โต๋กับตะเกียงต้องขึ้นเครื่องคงให้ดูเป็นทางการนิดหน่อย
เรียบร้อยแล้วเราตีคู่กันมาห้องอาหารรับรองลูกค้า เดินมาถึงพวกมันอยู่พร้อมหน้า
จิบกาแฟรองท้องด้วยของว่างเบาๆ ไม่เน้นอาหารหนัก แค่พยักหน้าทักทายก่อนแยกไปตักของกิน
ที่จัดแบบบุฟเฟต์สองคนไอ้รั่ว ได้ตามต้องการค่อยเดินมาสมทบพวกมัน ซึ่งเว้นที่ว่างให้ผมเรียบร้อย
“หลับสบายดิ ล่อคนสุดท้ายเลยมึง” ไอ้ต้าร์ยักคิ้วทักทายไอ้รั่วแถมคำพูดกึ่งแหย่
“มึงคิดว่าไง” มันไม่ตอบแต่ยักคิ้วกวนกลับ พาพวกที่นั่งอมยิ้มตาม
“เปล่า! อย่างน้อยระลึกบ้าง ทริปเพื่อนฝูงไม่ใช่ทริปฮันนีมูนห่าพรต” ไอ้ต้าร์แซวไม่เลิก ผมรู้มันหาเรื่องแหย่ไอ้รั่วให้อาย
เลยไม่คิดผสมโรงปะทะฝีปากพวกมัน นอกจากทักทายพวกที่เหลือ สนใจกินอาหารแค่นั้น
“โว๊ะๆ! ห่าพรตโด๊บไข่ดาวสองลูกเว้ยเห้ย! กะกู้พลังงานที่สูญเสียขนาดนั้นเลย ไอ้รันล่อใบเดียว
แสดงว่าเมื่อคืนมึงเสียพลังวัดเยอะเหรอรั่ว” คราวนี้เป็นไอ้หน่องแซวไอ้รั่ว ขณะมันกำลังตัดแบ่งไข่ดาวเข้าปาก
ไอ้รั่วชะงักนิดค่อยเคี้ยวแล้วกลืน ยกน้ำจิบวางช้อนกับมีดอย่างใจเย็น จ้องหน้าไอ้หน่องนิ่งแล้วสวนกลับเสียงเรียบ
“เหี้ยไรเสือกเรื่องบนเตียงกูวะ อยากรู้ให้ไอ้รันเอามึงดูไหม..สัด!” ผมแทบสำลักขนมปังไข่ดาว
ดันพูดไม่คิด บ้าชิบ! ถามกูไหมเอามันลงหรือเปล่า..สัดพรต!
“ฮะฮ่า โชคดีเป็นกูนะพรต กูไม่รับคำท้ามึงแน่ มึงกล้าท้าไอ้หน้าขาวพนักงานบริษัทมึงไหม คนที่แจมโต๊ะเราคืนนั้น
รับรองมันแถมทองให้มึงยังได้..กล้าเปล่าล่ะ” ไอ้พวกนี้ดูพฤติกรรมพลัสออกหมด ใช้ปั่นประสาทยั่วไอ้รั่วเฉย ชอบแกล้งมันจริง
“มึงอย่าไอ้หน่อง กูรู้กำลังหาวิธีทำให้กูประสาทเสีย คนอย่างกูเชื่อใจไอ้รันมันเว้ย!”
ไอ้รั่วยืดอกยักคิ้วท้าทายใหญ่ พูดเต็มปากเชื่อใจผม เผลอยิ้มแก้มแตกกับพฤติกรรมเหมือนเด็กของมันจนได้
“ครวย! อวยผัวได้หน้าชื่นตาบาน เออ! ไอ้รันมันดีกูยอมแพ้ก็ได้วะ” ไอ้หน่องส่ายหัวเอือมระอา
เมื่อไม่สามารถปั่นประสาทไอ้รั่วสำเร็จ ยุติการหยอกไว้แค่นั้น หันมาสนใจคุยเรื่องทั่วไป ไอ้กานถามเป้าหมายเดินทาง
ของไอ้โต๋กับตะเกียง น้องดูมีออร่าเปล่งประกายวิบวับ ส่วนไอ้หล่อเทพก็คึกคักเป็นพิเศษ เห็นเพื่อนรักแล้วดีใจแทน
มันเอาใจใส่ตะเกียงเหมือนเงาไม่ห่างตัวจริงๆ ตาคมเข้มมีเสน่ห์สามารถทำให้สาวละลายได้ ไม่ยักชายตาแลใครเลย
นอกจากตะเกียงคนสวย ยอมรับเพื่อนผมรักมั่นคงสุดๆ
“ถึงแล้วไลน์บอกพวกกูด้วย” ผมพูดกับไอ้หล่อเทพ มันพยักหน้า พวกเราพร้อมใจมาส่งมันขึ้นเครื่อง
เสร็จมื้อเช้าพอดีได้เวลาเช็กเอ้าท์ ยกสัมภาระขึ้นรถ มุ่งหน้ามาสุวรรณภูมิส่งไอ้โต๋กับตะเกียง ถึงก่อนเวลาสามสิบนาที
ตอนนี้พวกเรากำลังยืนส่งมันเข้าเก็ท
“พวกมึงดูแลตัวเองด้วยอย่าดื่มเยอะ พรุ่งนี้ต้องกลับกันแล้ว เก็บเรี่ยวแรงไว้บ้างนะพวก” มันเตือนรวมๆ
พวกเพื่อนเดินเข้าไปสวมกอดไอ้โต๋ ก่อนผละมาลูบหัวตะเกียงอย่างเอ็นดู ยกเว้นผม ไอ้บอมย์ ไอ้รั่ว ตะเกียงเป็นฝ่ายสวมกอด
โดยไอ้หล่อไม่ห้าม น้องชินกับการกอดทักทายพวกเรา แต่คนอื่นๆ ไอ้โต๋ไม่อนุญาตมั้ง ถึงได้แต่ลูบหัวจับมือเป็นการบอกลา
หลังคู่รักสุดสวาทของกลุ่ม พาร่างลับหายเข้าไปที่พักผู้โดยสาร
เราก็แยกย้ายขึ้นรถตรงดิ่งเข้ากรุงเทพฯ ไปยังบ้านพวกผมต่อเลย
“อะไรนะครับพี่ณี เอาอย่างนี้พี่ณีต่อสายพลัสให้ผมหน่อย” ไอ้รั่วรับโทรศัพท์ ผมขับรถ สีหน้ามันดูเป็นกังวล
“มีปัญหาอะไร..พรต” ถามอย่างเป็นห่วง
“เดี๋ยวกูเล่าให้ฟัง” มันบอกแบบนี้ผมไม่เซ้าซี้ ไม่นานปลายสายก็คุยกับมัน ผมต้องอาศัยปะติดปะต่อเอาเอง
“พลัสรู้ใช่ไหม เงื่อนไขที่เราตกลงกันพรุ่งนี้คุณคิมต้องส่งงานพี่ เงินที่เบิกล่วงหน้า 50% ฝ่ายบัญชีโอนให้แล้ว
คุณคิมไม่ยอมมาทำต่อแบบนี้ เขาต้องการอะไร พลัสพอจะบอกได้ไหม” มันพูดเสียงนิ่ง
“พี่ไม่มีเบอร์คุณคิม พลัสต่อสายหาเธอแล้วประชุมสายกัน พี่จะรอในสายนะครับ”
มันหันมองผม แววตาเหมือนมีเรื่องคิดหนัก ผมนิ่งรอมันเป็นคนบอกรายละเอียดอย่างใจเย็น
“รัน!..มึงไม่โกรธนะ ถ้ากูทำเรื่องที่มึงไม่ชอบใจเท่าไหร่ เพื่อรักษาผลประโยชน์ไม่ให้งานเสียหาย”
ผมเงียบ แม้ไม่รู้ว่าเรื่องที่มันพูดถึงคืออะไร แต่ก็เดาว่าคงไม่ใช่เรื่องดี
“ไว้กูค่อยเล่า” มันตัดบท หลังผมมองถนนไม่เอ่ยอะไรไป
“ทำไมคุณไม่ทำให้เสร็จครับ” ไอ้รั่วกรอกเสียงไป คงเป็นการประชุมสายกับคุณคิมแล้ว
“ผมรับปากภายใต้เงื่อนไขว่า คุณต้องส่งงานผมพรุ่งนี้ วันนี้ไม่เข้าบริษัท งานคุณยังไม่เสร็จสมบูรณ์นี่ครับ”
ทั้งคู่กำลังอ้างข้อตกลงต่อกันอยู่
“คุณคิม..ผมไม่ใช่คนไม่รักษาคำพูด ที่คุณขอไม่อยู่ในเงื่อนไขซึ่งเราเคยตกลงกันนี่ครับ คุณกำลังบังคับผมอยู่”
ไอ้รั่วมีสีหน้าหนักใจเกินปกติ คงเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสพอสมควร น้อยครั้งที่จะเห็นหน้าหล่อเครียดขึง
“ตกลงยืนกรานให้ได้ ถ้าผมยอมคุณจะทำให้เรียบร้อยพรุ่งนี้เที่ยง แน่ใจไม่มีลูกเล่นอะไรอีก”
มันเงียบ ปล่อยให้อีกฝ่ายคุย
“ผมเชื่อตามที่คุณบอก แต่ผมมีเงื่อนไขเช่นกัน ให้ช้อยคุณเลือกแค่น้ำพริกปลาทูกับขนมจีนน้ำยา
นอกจากสองรายการนี้ผมไม่โอเค” ยิ่งฟังยิ่งอยากรู้สุดๆ
“แล้วแต่คุณจะคิด ผมไม่ใช่หนุ่มโรแมนติก คุณคิดเอาเองรูปลักษณ์ภายนอกมาเป็นตัวชี้วัดไม่ได้หรอกครับ
คุณอาจดูผิดตกลงจะเลือกอะไร..ขนมจีนน้ำยา ครับแล้วเจอกัน” มันวางสาย พร้อมกับสีหน้าลำบากใจชัด
“รัน..เย็นนี้กูมีนัด” กว่าจะยอมเอ่ยปาก
“มึงรับนัดไม่ได้ เย็นนี้เลี้ยงส่งเพื่อน มึงเป็นเจ้าบ้านนะพรตทำไมไม่ปฏิเสธวะ” ผมแย้งทันควัน
“กูทำไมได้จริงๆ” มันตอบเสียงอ่อย
“คุณคิม” ถามสั้นๆ มันพยักหน้ารับ
“เรื่องเป็นมายังไง พร้อมจะบอกกูหรือยัง” มันสูดหายใจลึก หันมองหน้าผมชำเลืองมันแวบ ก่อนมองถนนหูคอยฟังมันเล่า
“ฟังแล้วมึงไม่โกรธ รับปากก่อนดิ” เล่นแบบนี้ ต้องหันไปจ้องตรงๆ สายตามันเว้าวอนให้รับปาก เห็นแล้วสงสารจนได้
จำต้องพยักหน้าอย่างไม่มีทางเลือก หวังว่าคงไม่ร้ายแรงหรอกมั้ง
“พูดดิ กูไม่นับการพยักหน้า” เสือกไม่พอใจ รู้สึกมันจริงจังเป็นพิเศษ
“ตกลง..กูรับปากไม่โกรธ บอกได้หรือยัง” สีหน้ามันดีขึ้นไม่มาก
หน้าคมเข้มหันไปมองถนน ขยับปากเล่าความเป็นมาด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง
“คุณคิมเป็นเพื่อร่วมรุ่นกู” มันเริ่มประโยคแรก ผมถึงกับคิ้วขมวด ฟังแล้วไม่เข้าใจ
“เดี๋ยว! เป็นเพื่อนร่วมรุ่นมึงสมัยไหน” ถ้าเพื่อนมหา’ลัย ผมแน่ใจว่ารู้จักดี
ทำไมจะจำไม่ได้ มั่นใจว่าไม่มีผู้หญิงในคณะและต่างคณะหน้าตาอย่างคุณคิม
“มัธยมต้น โรงเรียนเก่าพวกเรา” มัธยมต้น มีสิทธิ์ที่ผมไม่รู้จัก เพราะผมเป็นรุ่นน้องไอ้รั่วหนึ่งปี
แถมช่วงนั้นเราต่างเป็นคู่อริกันไม่ได้สนิท เขม่นกันเสียมากกว่า
“แล้วยังไง”
“เธอเคยชอบกู”
“ห๊ะ! ว่าไงนะ” ถึงกับเผลอกำพวงมาลัยแน่น ก่อนตั้งสติหลังมันโพล่งออกมาแบบนี้
“ถ้ามึงพอจำได้ ม.ต้น กูป๊อบมากครองตำแหน่งแชมป์หนุ่มฮ๊อตสองปีซ้อน ก่อนไอ้โต๋จะล้มกูตอนม.3
มีสาวๆ รุ่นพี่รุ่นน้องมาชอบกูไม่น้อย” ผมนิ่งแทนการยอมรับ เพราะมันก็ฮ๊อตจริงๆ
“แล้วยังไง” ได้แต่เร่งประเด็นสำคัญ
“คิมคือหนึ่งในนั้น กูคือรักแรกของเธอ” ผมเงียบ มันก็เงียบเป็นครู่
“กูจำไม่ได้ว่าเคยรู้จัก จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นผู้หญิงคนไหน ยิ่งเจอตอนนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
กูไม่รู้เธอเป็นใคร กระทั่งคืนที่ไปเลี้ยงที่ผับ เธอขอคุยกับกูเป็นการส่วนตัว ท้าวความเรื่องราวหนหลัง"
“ตกลงเป็นมายังไง กูต้องการรู้เงื่อนไขข้อตกลงของมึงกับเขา มึงไปรับปากอะไร อย่าบอกกูว่ามึงให้ความหวังเขา”
ผมเข้าประเด็นไม่เยิ่นเย่อให้เสียเวลา ขืนรอให้มันพูดคงอีกนานกว่าจะเข้าเรื่อง ไม่ใช่สาระสำคัญ หากมีผู้หญิงชอบมัน
ที่ผ่านมามีตลอดเมื่อหน้าตารูปลักษณ์ของมันหล่อขนาดนี้ ไม่มีสิคงเป็นเรื่องแปลก
“กูเคยนอนกับเธอตอนม.3 ครั้งแรกของเธอ” ผมอึ้ง หลังฟังจากมัน
“ไหนบอกจำไม่ได้ว่าเธอเป็นใคร” ย้อนทันควัน
“กูจำไม่ได้จริงๆ ถ้าเธอไม่ท้าวความว่าเธอคือยัยแว่นหน้าจืดคนนั้น กูมีอะไรด้วยเพราะลูกบ้า
รับคำท้างี่เง่าของเพื่อนในกลุ่มคึกคะนองชั่ววูบ” เผลอกำพวงมาลัยมือเกร็ง พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ฉุน
เรื่องมันผ่านมาเป็นสิบปี อยากรู้สาเหตุมากกว่า
“มึงรับคำท้าทำไมพรต” อดถามไม่ได้จริงๆ
“วาเลนไทน์ เธอนำจดหมายรักกับเค้กที่ทำเองมาสารภาพกู ถือเป็นผู้หญิงใจกล้าคนหนึ่ง
ดันพิเศษตรงที่เธอไม่สวยเด่นดูจืดชืดธรรมดาทั่วไป เหมือนพวกเนิร์ดด้วยซ้ำ กูเห็นท่าทางพยายามแสดงความกล้า
บอกรักกูต่อหน้าเพื่อนก็ทึ่งในความมั่นใจ รับจดหมายขนมเธอไว้ กำลังอ้าปากปฏิเสธว่าไม่สามารถรับความรู้สึกดีๆ
ของเธอไว้ได้ เพื่อนปากหมาดันแซวขึ้นมาเสียก่อน ‘หน้าอย่างเธอไปตายแล้วเกิดใหม่ ไอ้พรตถึงจะเอา’ สีหน้าแววตาที่มั่นใจ
อาจหาญของเธอสลดทันตา ก่อนน้ำตาจะร่วงพราวกูทำอะไรไม่ถูกเลยตอนนั้น ความตั้งใจที่จะพูดปฏิเสธแต่แรกกลืนหายในคอ
หันตวาดเพื่อนเหี้ยปรามมันไปอย่างลืมตัว
“ไอ้พงษ์ มึงไม่ใช่กูเสือกจะรู้อะไรรสนิยมกูวะ..สัด” คำพูดที่ต้องการรักษาน้ำใจเธอไว้ กลายเป็นปัญหาของกูทีหลัง
“อ้าว! พูดแบบนี้แสดงว่ามึงไม่รังเกียจยัยแว่นหน้าจืดดิ ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่ขืนคำน๊าพรต” มันดันย้ำกูต่อหน้าเธอ
พอกูหันไปสบตาเธอที่น้ำตาคลอเบ้าจ้องกูอย่างคาดหวังอีกต่างหาก กูซึ่งตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ปฏิเสธก็ไม่ได้กลายเป็นกลืนน้ำลายตัวเองที่พูดไปหมาดๆ พานไม่มีทางออก
“เออ!..ใครว่ากูรังเกียจวะ” เธอยิ้มทั้งน้ำตา ส่วนกูแม่งใบ้แดก แต่ก็แอบดีใจที่ทำให้เธอยิ้มได้
มันไม่จบแค่นั้นไอ้สัดพงษ์ซึ่งกูมารู้ที่หลัง มันคบกูเพราะความอิจฉา ทำเนียนมาสนิทเพื่อจ้องแทงข้างหลัง
ทำลายชื่อเสียงกูอยู่ตลอดเวลา กูไม่คิดว่ามันจะคิดกับกูแบบนี้ ทำให้ตกอยู่ในอุบายที่มันสร้างขึ้นแบบไม่มีทางหนี
“พูดแต่ปากกูไม่เชื่อ อย่าทำเป็นพระเอกน่าพรต ถ้ามึงไม่ได้คิดจริง”
มันวางกับดักล่อ กูหลุดปากไปแล้ว ถือทิฐิไม่ยอมเหมือนกัน มันจ้องกูอย่างท้าทายไปด้วย
“ใครบอกกูพูดแต่ปาก กูจะทำให้มึงเห็น ว่ากูไม่ได้รังเกียจ” เผลอท้าไม่ยอมแพ้
มึงก็รู้นิสัยชอบเอาชนะกูแก้ไม่หาย อีกครั้งที่ทำให้เกิดปัญหา
“ถ้างั้นมึงคบกันดิ” พอมันยืนกรานกูไม่เหลือทางเลือก หันมาจ้องเธอดันมองกูลุ้นคำตอบอยู่
คิดในใจไม่ใช่เรื่องเสียหาย กูไม่ใช่ไก่อ่อนไม่เคยคบผู้หญิงนิ ไม่ใช่หนุ่มน้อยบริสุทธิ์เคยนอนกับผู้หญิงมาแล้ว
จะยากอะไรทำเป็นคบไปก่อน ค่อยบอกเลิกทีหลังคงไม่เป็นไร
กูกับเธอจึงตกลงคบกันท่ามกลางสักขีพยาน ไอ้พงษ์ทำลายกูสำเร็จ และมันนั่นแหละนำเรื่องนี้ไปป่าวประกาศ
ทำให้ความนิยมเรทติ้งกูตกใช้เวลาไม่ถึงอาทิตย์ ไอ้โต๋ชิงตำแหน่งของกูในที่สุด ระหว่างนั้นกูกลับต้องหวานอมขมกลืน
เนียนเป็นแฟนเธอโดยไม่มีทางเลือก
จังหวะอังที่กูหมายตาแต่แรกขึ้นเป็นดัมเมเยอร์มือหนึ่งดาวโรงเรียน และย้ายมาห้องกูพอดี
ยอมรับชอบอังซึ่งมีแต่หนุ่มมารุมจีบ กูดันมีชะงักคือคิม ตอนนั้นเธอใช้ชื่อเล่นว่าเค้ก ทำให้กูไม่สะดวกออกหน้าจีบอัง
ส่วนไอ้พงษ์มันเดินหน้าเต็มสตรีม สนใจอังเหมือนเยาะเย้ยกูด้วย ช่วงนั้นกูกับมันเริ่มเห็นหางกันแล้ว
พอมันเห็นความนิยมกูร่วงก็ตีตัวห่าง วางก้ามเป็นพี่ใหญ่ในรุ่นขึ้นแทนตำแหน่งกูเฉย
โชคกูยังดีเพื่อนแท้คือพวกไอ้วิน ไอ้ชัด ไอ้ต้าร์ ไอ้หน่อง ไม่มีใครทิ้งกู ช่วยกอบกู้ศักดิ์ศรีกูคืนด้วยการยกกูเป็นหัวหน้า
กลุ่มเหยี่ยวเวหา พวกมันแต่ละตัวก็เด่นไม่น้อย ทำให้กลุ่มกูกู้ชื่อเสียงแย่งซีนกลับมาได้ อังมีทีท่าสนใจกูเช่นกัน
ไอ้พงษ์เห็นแบบนั้นกัดกูไม่ปล่อย ฟ้องอังว่ากูมีแฟนอยู่แล้ว ยังมาหลอกอังอีก
กูทนสายตาตั้งคำถามของอังไม่ได้ จึงรับปากว่าไม่เกินสองวันกูจะเป็นอิสระ และจะกลับมาขอคบเธอเป็นแฟน
ให้เธอไว้ใจให้โอกาสกูด้วย ทำให้กูต้องตัดสินใจทำในสิ่งที่ผิดพลาด ไปเคลียร์กับเค้กเปิดอก
นัดเธอมาพบเย็นวันถัดมา เธอเองก็มีเรื่องคุยกับกูเช่นกัน เรามาตามนัดที่สวนสาธารณะ
เธอให้กูเริ่มก่อน พูดแทบไม่กล้ามองหน้าเธอ หลังบอกเหตุผลว่ากูต้องการเลิกกับเธอ
ยอมให้เธอตบตีหรือด่าตามความพอใจ กูรับผิดเต็มที่ เธอน้ำตานองหน้า ขอกูเผยสเป็กผู้หญิงในอุดมคติ
บอกให้เธอรู้หน่อย เธอต้องการรู้ความจริงไม่ปกปิด
ขอร้องแบบนี้ กูยอมง้างปากพูดตรงข้ามบุคลิกเธอหมด ทั้งที่ในหัวกูไม่ได้มีสเป็กห่าเหวไว้ด้วยซ้ำ
แค่อยากให้เธอตัดใจไปซะ ล่อสเป็กหญิงห้าว ออกแนวอาร์ตมั่นใจตัวเองสูง ดูคล่องตัวเป็นผู้หญิงเก่ง
สวยพอประมาณแค่นี้กูก็โอเคแล้ว
เธอยิ้มรับกับคำตอบกู ก่อนบอกกูว่า เธอไม่มีทางลืมดันรักกูไปแล้ว แต่จะยอมทำให้กูสบายใจเลิกกับกู
โดยมีเงื่อนไขให้กูทำตามคำขอเธอข้อ คือนอนกับเธอทิ้งทวนคืนนี้
ทีแรกกูอึ้งตกใจสุดๆ ไม่คิดว่าผู้หญิงที่ดูเนิร์ด จะกล้าขอกูแบบนี้ แต่แววตาใต้กรอบแว่นจริงจังไม่ล้อเล่น
แถมไม่แสดงความลังเลให้เห็น ที่จริงกูปฏิเสธแล้วด้วยไม่อยากสร้างตราบาปให้เธอ กูต้องการให้เธอเจอคนที่ดี
และมอบสิ่งมีค่านี้กับเขา ทั้งที่ก่อนหน้ากูไม่แคร์เรื่องหลับนอนกับผู้หญิง ต่างกับเธอที่กูไม่อยากทำสักนิด
เธอดันขอร้องจริงจัง หลังกูลังเลยืนกรานปฏิเสธ ทิ้งไม้ตายสุดท้ายว่าเธอตั้งใจมาบอกลา ครอบครัวเธอต้องย้ายไปญี่ปุ่น
เธอกับกูไม่มีโอกาสเจอกันอีกแล้ว เป็นการย้ายกะทันหันซึ่งกูไม่รู้รายละเอียดมากนัก ระยะเวลาที่เราคบหากันช่วงสั้น
เมื่อเจอขอร้องแบบนี้ กูพานใจอ่อนได้เสียกันที่คอนโดกูแหละ ครั้งเดียวหลังจากนั้นกูไม่เจอเธออีกเลย
เหตุการณ์สำคัญขนาดนั้นทำไมไม่จำ ความจริงควรบอกไม่เคยลืม เพียงแต่เค้กกับคิมต่างกันราวฟ้ากับเหว
ใครไปรู้เธอเก็บสเป็กผู้หญิงกูไปเปลี่ยนแปลงตัวเอง ยอมทำเรสิกรักษาตาไม่สวมแว่น แต่งตัวอาร์ตเรียนศิลปะ
กลายเป็นคนมั่นใจโผงผาง กูถึงไม่รู้สึกเอ๊ะใจสักนิด
กูคบกับอังเป็นแฟนเปิดเผย พร้อมกำหราบไอ้พงษ์จนมันไม่กล้าเรียนที่นั้น ย้ายออกตอนขึ้น ม.4
กลุ่มกูกับมึงเริ่มตั้งตัวเป็นคู่แข่งตอนนั้น ก่อนไอ้โต๋จะแย่งอังแฟนกูไปเป็นกิ๊กมัน เรื่องราวทั้งหมดอย่างที่กูเล่า
“เธอจำมึงได้สินะ เงื่อนไขอะไรที่ต้องการจากมึง อย่าบอกจะให้มึงเป็นแฟนเหมือนครั้งนั้น
กูต้องการรู้ว่าอะไรที่เธอใช้เป็นข้อแลกเปลี่ยน” ผมถามเป็นชุด หลังไตร่ตรองดูแล้ว
“มึงวิเคราะห์ถูกบางส่วน เธอยื่นเงื่อนไขขอจูบกับกูแลกงานเพ้นท์
ที่เราจำเป็นต้องให้เสร็จภายในสัปดาห์นี้ ก่อนไปญี่ปุ่น” ผมอึ้ง
“ขอจูบมึง หมายความว่าไง” ถามให้แน่ใจว่าที่ได้ยินไม่ได้หูฝาด
“อืม..เธอขอจูบกู เพื่อแลกกับผลงานสุดฝีมือ กูไม่มีทางเลือกเพราะเวลากระชันชิด
สำคัญงานนี้เป็นการโชว์ผลงานมึงให้พ่อแม่กูภูมิใจอีกด้วย ไม่อยากให้เกิดปัญหา จึงรับปากไป
เริ่มเห็นว่าเธอรุกล้ำความเป็นส่วนตัวกูมากขึ้น นั่งทำงานห้องกูไม่ใช้ห้องที่เตรียมให้ ล่าสุดขโมยรูปกูในกรอบ
ที่ตั้งโต๊ะทำงานหน้าตาเฉย ไม่บอกใครสักคน พี่ณีเพิ่งโทรบอกกูเมื่อเช้า เล่นแง่ไม่เข้าไปเก็บงานที่เหลือ
เพื่อยื่นข้อเสนอให้กูไปดินเนอร์แลกเปลี่ยน กูถึงไม่สามารถอยู่สังสรรค์เย็นนี้” นี่คือปัญหาทั้งหมด ผมมึนตึ๊บหลังรู้ความจริง
“มึงไม่จำเป็นต้องทำตามที่เธอสั่ง” ผมแย้ง
“หากกูปฏิเสธงานก็ไม่เสร็จ เราไม่สามารถหาใครมาทำได้ทัน ต่อให้หาได้ใช่จะแทนฝีมือเธอจนดูเนียน
นักวาดนักเพ้นท์ลายเส้นไม่เหมือนกัน ยิ่งงานฝีมือแฮนด์เมคด้วยล่ะก็ มึงรู้ดีเราไม่มีเวลาแก้ปัญหาแล้ว
นอกจากกูยอมทำตามเงื่อนไขเธอ” ผมหาข้อโต้แย้งมาหักล้างไม่ได้ เป็นครั้งแรกที่ฉายากุนซือเทพ
ไม่สามารถแก้ปัญหาตัวเอง ข้อจำกัดที่มันบอกล้วนเป็นอุปสรรคที่ไม่สามารถปฏิเสธหรือมองข้ามจริงๆ
“เรื่องนี้พลัสรู้เห็นเป็นใจหรือเปล่า” ประเด็นนี้ก็ไม่อยากมองข้าม
“กูไม่รู้ คิมไม่ได้พูดถึง” ผมเงียบ มันตอบแบบนี้แสดงว่าไม่มีข้อมูล
“ตกลงมึงจะไปตามนัด ทำไมต้องเลือกน้ำพริกปลาทูหรือขนมจีน”
“เธอต้องการดินเนอร์ร้านอาหารญี่ปุ่นหรืออิตาเลี่ยน กูไม่รับปากยื่นเงื่อนไขกูจะกินน้ำพริกปลาทูหรือไม่ก็ขนมจีน
ดินเนอร์กับเธอ หากไม่ตกลงกูก็ไม่ไป ทั้งที่ลุ้นฉิบหายว่าเธอจะยอมหรือไม่ คนที่ถือไพ่เหนือกว่าเป็นเธอ
ดันเลือกขนมจีนกูกะพาแดกข้างทางแหละ หรูหราห่าเหวอย่ามาคาดหวัง” มันยังมีมุมให้ผมยิ้มจนได้
“มึงไม่คิดว่าเธอโวย เล่นแง่ไม่ส่งงานพรุ่งนี้” ผมตั้งประเด็นให้คิด
“กูคิดไว้แล้ว ลึกๆ มั่นใจเธอลงทุนเข้าหากูขนาดนี้ แสดงว่าฝังใจความหลังไม่น้อย หรืออาจมากทีเดียว
กูอาศัยข้อได้เปรียบเป็นตัวดึงเกม..อย่างน้อยกูยังมีสิ่งที่เธอต้องการ คือจูบของกูเป็นเงื่อนไขสุดท้าย
เกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเธอส่งงานซึ่งเสร็จสมบูรณ์ให้กูเรียบร้อยเท่านั้น" ผมหน้าชา หรือมันจะรักษาสัญญาจูบเธอจริงๆ
ต่อให้เป็นจูบจะว่าไม่รู้สึกคงโกหก ผมหวง...
“มึงจะยอมจูบเหรอพรต” ถามด้วยน้ำเสียงพร่า
“เรื่องนั้นเป็นปัญหากูเถอะ กูเป็นคนก่อสมควรต้องรับมือ อย่าลืมที่เราสัญญากัน..เชื่อใจกู”
มันยืนยันหนักแน่นจ้องผมไม่วางตา เพื่อต้องการให้ผมรับปาก
“กูเชื่อใจมึง ยอมเล่าให้กูฟังแสดงให้เห็นว่ามึงไว้ใจกู แต่กูยังคาใจ ทำไมมึงไม่บอกให้กูรู้แต่แรก
ปิดบังมีความลับทำไมหึ” หางเสียงใส่อารมณ์ไปพอสมควร
“กูไม่อยากให้มึงกังวล เรากำลังไปเที่ยวรับหน้าเพื่อนฐานะเจ้าบ้าน ขืนมึงหน้ายุ่งอารมณ์ขุ่นคงไม่หนุก
กูไม่อยากบอก ที่บอกมึงตอนนี้เพราะมันชักเลยเถิด ตัดสินใจพูดแม่งดีกว่า ยังไงคืนนี้สังสรรค์คืนสุดท้าย
ไอ้โต๋กับตะเกียงก็ไม่อยู่ กูมั่นใจมึงคงไม่งี่เง่าทำบรรยากาศล่มจนเพื่อนเอ๊ะใจ” มันพูดมาก็มีเหตุผล
ถ้ารู้แต่แรกอาจไปคิดหาทางแก้เพื่อตัดปัญหาไม่ให้คิมมาวุ่นวาย คงไม่มีอันทำอะไร แย่สุดคงหมดสนุก
ทำลายบรรยากาศที่ตั้งใจมาเที่ยวกับเพื่อนครั้งนี้อย่างมันพูดจริงๆ มุมความคิดของไอ้รั่วที่ใครต่างมองว่ารั่ว
เว้นเสียแต่เพื่อนสนิทคุ้นเคยมานาน จะรู้มันไม่ใช่คนโง่ ฉลาดคิดลึกซึ้ง ความคิดของมันบางทีเราคิดไม่ถึง
มองเป็นเรื่องตลกรั่วๆ ทั้งที่เถียงไม่ได้ด้วยซ้ำ เช่นกรณีนี้..
“หากเธอขอให้มึงนอนด้วย เอาไง” ไม่ใช่ผมคิดเยอะคิดมากเกินไป มาถึงขั้นนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้
“คึคึ! สบายใจได้ จูบยังไม่ถึงเวลา ห่าเหวอะไรข้ามขั้นให้กูปี้วะรัน..กูรู้มึงห่วงกูเสียท่า กูไม่ใช่วรพรตคนเดิม
ขี้ใจอ่อนคนนั้น ตอนนี้กูคือวรพรตคนใหม่เปลี่ยนไปเยอะ เธอเองจากยัยแว่นจืดเนิร์ดยังเปลี่ยนได้ขนาดนี้
แล้วกูไม่เปลี่ยนบ้างหรือไง เวลาผ่านคนเราเปลี่ยนไม่มากก็น้อย รู้มึงกังวลเอาเป็นว่าถึงเวลาหากเธอจะให้กูทำจริงๆ
กูรับปากจะพูดตรงๆ ถึงสเป็กและรสนิยมส่วนตัว” มันทิ้งท้ายให้ผมอยากรู้ อดใจถามไม่ได้
“มึงจะบอกยังไงวะ” ทันเห็นมันยิ้มเจ้าเล่ห์ เหมือนมีแผน ก่อนจะพูดบอกกลับมาว่า
“กูจะบอกรสนิยมไม่เหมือนเดิม จากอกตูมเอวคอดมีมดลูก สวยมั่นใจ กลายเป็นกล้ามตึงสูงใหญ่ขนพรึ่บ
มีลักยิ้มบวกเขี้ยวเสน่ห์ หล่อกระจายชนิดเห็นแล้วแสบตาในออร่าความหล่อไปเลย สำคัญมีดุ้นมหึมาไว้กระแทกตูดด้วย
ถ้าเธอเปลี่ยนตัวเองได้ กูจะยอมนอนอีกครั้ง..ฮะฮ่าๆๆ” ผมขำพรืดหัวเราะจนท้องแข็ง หลังฟังคำพูดเกี่ยวกับสเป็กปัจจุบันของมัน
นี่เล่นเอาลักษณะเด่นของผมไปเป็นตัวอย่าง ไม่ให้หัวใจฟูคับอกพร้อมกับขำหลังนึกหน้าของคุณคิม หากเธอได้ยินมันพูดแบบนี้
จะแสดงสีหน้ายังไง ไม่ช็อคตาเหลือกเลยเหรอ ฮะฮ่าๆๆ..เรื่องเครียดมันยังสามารถปิดท้ายให้ผมหัวเราะจนได้
ไม่ให้รักมันผมจะรักใครได้ คงต้องปล่อยให้ไป ด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียวสั้นๆ ที่เรามีให้กันตลอดมา.. ‘รักและ..เชื่อใจ'
มาอย่างอึมครึม ปิดท้ายขำพี่พรตท้องแข็ง
นึกถึงเราเจอผู้ชายที่แอบรัก มาเปิดเผยสเป็กแบบนี้จริงๆ
คงอึ้งตาเหลือก ตกใจไปไม่กัน 5555!!!
พี่พรตเปี้ยนไป๋แล้ว พี่พรตเปี้ยนไป๋ กร๊ากกก!!
Luk.