[6]
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อุ้ก..อึก..แค่กๆๆๆ”
“เออ สำลักให้ตายไปซะ ไอ้เหี้ย!” ผมสาปส่งไอ้หมอเวรที่หัวเราะมากเกินไปจนกลายเป็นสำลักหน้าดำหน้าแดง หลังจากฟังผมเล่าเรื่องระทึกขวัญเมื่อคืนก่อนให้ฟัง ผมนั่งสูบบุหรี่รอให้มันไอจนพอใจหรือไม่ก็หัวเราะอีกรอบให้ขาดใจตายไปเลย ขณะที่ใจประหวัดนึกไปถึงไอ้ตัวต้นเหตุที่ทำให้ผมกลายมาเป็นตัวตลกของเพื่อนด้วยความเซ็งในอารมณ์
ก็หลังจากไปว่ายน้ำผ่อนคลายและตบท้ายด้วย..เอ่อ..จูบ..อีกนิดหน่อย.. เฮ้อ พูดแล้วก็งงตัวเอง นี่ผมทำไปได้ยังไงวะ? จูบกับหลานตัวเองเนี่ยนะ? แถมยังเป็นเด็กผู้ชายอีก โอยย กู เมาคลอรีนหรือไงวะ? สาบานได้เลยว่าตลอดชีวิตสามสิบปีไม่เคยมีเรื่องแบบนี้อยู่ในสมอง แต่! แต่ผมก็ทำไปแล้ว แถมยังทำจนมัน..เอ่อ..นะ ไม่อยากจะคิดเลยว่าตอนที่มันจัดการตัวเอง มันคิดถึงใคร.. เหอๆๆ สยองชิบหาย
โอยยย ไม่คิดๆๆ แล้วหลังจากนั้นนะ พอกลับมาถึงห้องผมก็นั่งรอเคลียร์เรื่องที่มันริอาจทำตัวเป็นนักสืบเมียน้อยสะกดรอยผมไปจนถึงร้านอาหาร สักพักมันก็ตามกลับเข้ามาด้วยท่าทีกระมิดกระเมี้ยนจนน่าถีบ ทั้งที่ไม่อยากจะคิดแต่ก็อดคิดอีกไม่ได้ว่ามึงเอากูไปทำระยำอัปรีย์ทางความคิดถึงไหนต่อไหนมาวะ? แมร่งเอ๊ย! แล้วกูจะคิดทำเหี้ยอะไรเนี่ย?!
และก็เพราะห้ามความคิดพิลึกๆ ของตัวเองไม่ได้นี่ล่ะ สุดท้ายผมก็ไม่ได้พูดเรื่องที่ตั้งใจไว้กับมัน ผมกลับเข้าห้องตัวเองเพราะทนเห็นอาการตอแหลประหนึ่งเพิ่งเสียสาวของไอ้เก้าไม่ได้ มันแยงลูกกะตา แล้วไมเกรนก็พาลจะขึ้นเอาง่ายๆ สุดท้ายของสุดท้ายผมก็เลยต้องมาระบายให้ไอ้เหี้ยหมอมันหัวเราะเยาะอยู่นี่ไง บอกได้เลยว่าผมไม่อายหรอกที่ต้องเล่าเรื่องบ้าๆ นี่ให้มันฟัง เพราะผมไม่เคยมีความลับกับมันอยู่แล้ว แต่ผมเครียดมากกว่า ถ้าไม่ได้เล่าให้มันฟังน่ะสิ เส้นเลือดในสมองผมคงได้มีปริแตกกันบ้างล่ะ
“พอใจยัง?” ผมถามไอ้หมอที่ดึงตัวเองกลับมาสู่โหมดผู้คนปกติได้แล้ว
“เออๆ ขอบใจมากเลย ช่วงนี้คนไข้แม่งทำกูเครียด กำลังกลัวๆ อยู่เลยว่าระหว่างคนไข้กับกูใครจะไปก่อนกัน แต่ดูท่ามึงจะทำให้กูอายุยืนไปอีกนานว่ะ ไอ้คุณปู่” แล้วมันก็ระเบิดหัวเราะออกมาอีกรอบ
“ด้วยความยินดี” ผมกรอกตาเซ็งๆ “กูขอค่าตอบแทนเป็นคำแนะนำดีๆ สักข้อสองข้อก็พอ”
“เอางี้..” ไอ้หมอลุกจากเก้าอี้ประจำตำแหน่งของมันมายืนพิงโต๊ะข้างๆ เก้าอี้ผม
“..........” ผมเหลือบตาขึ้นมองมันอย่างรอฟังคำตอบ
“ถ้ามึงกลัวโดนมันล้วงตับ” มันยิ้มมุมปากนิดๆ เสริมความมั่นใจ “มึงก็ชิงจับมันกินตับก่อนดิ”
“หา?” เล่นเอาบุหรี่ที่คาบไว้เกือบหลุดออกจากปาก
“ตับเด็กอ่ะ.. หวานนะมึง” มันตบไหล่ผมปุๆ ก่อนจะโดนผมชกใต้เข็มขัดไปที
“ไอ้.เหี้ย.ปู่.กู..โอย.น้องกู..” มันค่อยทรุดลงไปนั่งหน้าเขียวหน้าแดง
“กามจริงๆ นั่นหลานกูนะเว้ย” ผมเอาตีนยันมันส่งอีกที ตอนนี้มันเลยนั่งพับเพียบเรียบแต้อยู่บนพื้น ถ้ามีพวกพยาบาลโผล่เข้ามาตอนนี้คงได้ทำหน้าพิลึกกันล่ะ
“เออ แล้วหลานมึงไม่กามเลย จ้องจะแดกตับปู่มันน่ะ” ไอ้หมอเขวี้ยงค้อนวงเบ้อเริ่มใส่ผม แล้วค่อยๆ พยุงสังขารตัวเองกลับเก้าอี้ส่วนตัว
“มันเด็กน้อย ความยับยั้งชั่งใจมันเลยอาจลดน้อยตามอายุ แต่มึงอ่ะแก่แล้ว แถมยังเป็นหมอโรคจิตด้วย..”
“จิตแพทย์เว้ย เรียกให้มันดีๆ แบบนั้นความหมายมันเพี้ยนนะ”
“จะเพี้ยนได้ไง ก็กูหมายความตรงตัว มึงมันโรคจิต ถ้าไม่โรคจิตมึงไม่แนะนำกูแบบนั้นหรอก มีอย่างที่ไหนยุให้กูปี้หลานตัวเอง”
“เออ งั้นกูแนะนำใหม่ก็ได้ ถ้ามึงลำบากใจจับไอ้เก้าปี้ไม่ได้ มึงก็ยอมให้มันปี้ซะ สิ้นเรื่อง เลิกเครียด”
“มึงออกไปต่อยกับกูหน้าโรง’บาลเลยดีกว่าว่ะ” ผมกวักมือเรียกมัน แต่มันกลับหัวเราะออกมาซะงั้น
“มึงดูจริงจังไปนะไอ้ปู่ กูว่า” แล้วจู่ๆ มันก็เริ่มเข้าสู่โหมดจิตแพทย์ ทำเอาผมตั้งตัวเกือบไปทัน มันกอดอกมองผมอย่างพินิจพิเคราะห์ราวกับกำลังอ่านใจ
“จะไม่ให้จริงจังได้ไง ก็ไอ้เก้ามันกำลังคิดจะเปลี่ยนความสัมพันธ์จากปู่หลานเป็นผัวเมีย มึงก็รู้”
“ส่วนมึงก็รู้เหมือนกันว่าเรื่องแบบนี้มันตบมือข้างเดียวมันไม่มีทางดังหรอก ต่อให้ไอ้เก้ามันพยายามแทบตาย แต่ถ้ามึงไม่เล่นด้วยสักอย่าง อะไรมันก็ไม่มีทางเปลี่ยน ของแบบนี้มันต้องร่วมด้วยช่วยกัน และมึงก็กำลังทำแบบนั้น กูเห็นปากมึงบ่นๆๆ แล้วก็บ่น แต่สิ่งที่มึงทำคืออะไร? มึงตามใจมัน ..ทุกอย่าง! มันอยากจีบ มึงก็ให้จีบ มันอยากจูบ มึงก็ให้จูบ มันเรียกมึงออกไปดูมันทำบ้าๆ บอๆ มึงก็ดั้นด้นไป มันร้องไห้ มึงก็เสือกแพ้น้ำตา กูไม่เห็นว่ามึงจะขัดใจมันจริงจังได้สักครั้ง แล้วแบบนี้จะโทษใคร? เป็นมึงเองนะที่ทำให้มันได้ใจ แล้วก็เคยตัวอย่างทุกวันนี้น่ะ”
“.........” ผมชักคิด นี่ผมเป็นอย่างไอ้หมอโรคจิตมันพูดมาเหรอวะ?
“ยอมรับความจริงเถอะไอ้ปู่ ลึกๆ แล้วมึงไม่ได้รังเกียจความสัมพันธ์ในรูปแบบที่ไอ้เก้ามันอยากให้เป็นหรอก” ไอ้หมอจ้องตรงๆ เข้ามาในลูกกะตาผม ส่วนผมก็จ้องตรงๆ เข้าไปในลูกกะตาของมันเช่นกัน
“เหรอวะ?” ผมพูดดอกมาในที่สุด..
ผมกลับมาถึงคอนโดแบบมึนๆ งงๆ ยังสับสนกับตัวเองไม่หาย ว่าผู้หญิงเข้าใจยาก ว่าวัยรุ่นเข้าใจ วันนี้เพิ่งจะรู้.. ว่าตัวกูเองก็เข้าใจยากเหมือนกัน เออว่ะ สิ่งมีชีวิตที่มีชื่อเรียกว่ามนุษย์นี่มันช่างเข้าใจยากจริงๆ
“หือ?” พอไขกุญแจเปิดประตูห้องเข้ามาก็ต้องแปลกใจ ทำไมห้องมืด? ก้มมองนาฬิกาข้อมือ สี่ทุ่มกว่าแล้ว ทำไมไอ้เก้าไม่อยู่ห้อง? เป็นไปไม่ได้ที่มันจะอยู่แต่ไม่ยอมเปิดไฟ ถ้ารู้ว่าผมยังไม่กลับมา
ผมกดเปิดไฟทั่วห้อง ก่อนจะเดินไปดูที่ห้องไอ้เก้า เห็นโพสต์อิทแผ่นเล็กๆ แปะเอาไว้หน้าประตูว่าไปติวหนังสือบ้านไอ้เควิล ..ไอ้เด็กฝรั่งขี้นกที่อยู่กลุ่มเดียวกับมันนั่นล่ะ
ติ๊งต่องๆๆๆๆๆๆๆ~
เสียงกดกริ่งหน้าประตูรัวๆ แบบโคตรไร้มารยาททำเอาผมคิ้วกระตุก รีบเดินจ้ำพรวดๆ ไปกระชากประตูเปิดอย่างหงุดหงิดในอารมณ์
“นี่โคตรพ่อโคตรแม่มึงสอนให้กดกริ่งบ้านคนอื่นแบบนี้หรือไงห๊ะ ไอ้เด็กเปรต!” เห็นหน้าก็ด่าทันทีเลยล่ะผม ไอ้เด็กเปรตที่ว่ามันยังจิ้มนิ้วค้างอยู่ที่กริ่งอยู่เลย แบบนี้สินะที่เขาเรียกกันว่าจับได้คาหนังคาเขา แต่พอเจอผมด่าก็อย่าคิดว่ามันจะสะดุ้งสะเทือน ไม่มีหรอก ยังยืนยิ้มหน้าเป็นน่าโบกกะโหลกให้ผมอีกต่างหาก
“แล้วโอโต้ซังโอก้าซังของดินโอจี๊ซังสอนให้ทักทายคนอื่นแบบนี้เหรอฮะ..โอ๊ะอิอิอิอิตัย” ไม่ต้องสงสัยว่าท้ายประโยคมันร้องทำไม ก็ผมตบกะโลกมันไงล่ะ เด็กเปรตจริงๆ
“ลามปามนะ ไอ้ซุย” ผมมองเลยไอ้เด็กญี่ปุ่นไซส์หมากระเป๋าไปข้างหลัง ก็เห็นไอ้เก้ามันยืนง่อนแง่นตาปรือๆ โดยมีไอ้ฝรั่งเควิลกับไอ้ตี๋เล้งช่วยกันพยุงปีกคนละข้าง
“เอาหลานอากงคืนไปเลย แม่งตัวหนักอย่างกะควาย อากงเลี้ยงมันด้วยอะไรเนี่ย?” ไอ้เล้งมันบ่นขณะเอาไอ้เก้าไปหย่อนทิ้งบนโซฟา ตัวมันสูงกว่าไอ้ซุยแค่นิดหน่อย เล็กกว่าไอ้เก้าเยอะ ส่วนไอ้เควิลนั้นสูงไล่เลี่ยกับไอ้เก้า และมันก็ยังคงไร้ปากเสียงเช่นทุกครั้งที่ผมเจอมัน ผมจำไม่ได้แล้วล่ะว่าได้ยินเสียงมันครั้งสุดท้ายตั้งแต่เมื่อไหร่
“ไปทำอะไรกันมา?” ผมพยักพเยิดไปทางไอ้เก้าที่นอนบ่นงึมงำอยู่บนโซฟา แล้วหันมามองหน้าไอ้เควิล ไอ้เล้ง จนมาจบที่ไอ้ซุย
“ติวหนังสือบ้านวิล” ไอ้ซุยชี้นิ้วโป้งไปทางไอ้เควิล
“เล้งอยากลองทำ ‘บลัดดี้ แมรี่’ วิลก็เลยสอน” ไอ้เควิลชี้นิ้วโป้งไปที่ไอ้เล้งบ้าง เออเว้ย วันนี้ผมได้ยินเสียงมันแล้วว่ะ รู้สึกครอบครัวไอ้เด็กนี่จะทำธุรกิจเกี่ยวกับผับกับบาร์ล่ะมั้ง
“ส่วนไอ้เก้ามันอยากลองชิม” ไอ้เล้งชี้นิ้วโป้งไปที่ไอ้ตัวบนโซฟา
“อย่าบอกนะว่ามันเมาเพราะแดกคอกเทลผู้หญิงพรรค์นั้น?” ดูจากสภาพแล้วมันเมาแน่ๆ แหล่ะ แต่ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าไอ้เก้ามันจะคออ่อนปานนั้น ถึงมันเพิ่งจะสิบเจ็ดก็เหอะ แต่ปีหน้าก็จะเข้ามหาลัยแล้วนี่หว่า ส่วนตัวผมนั้นจำได้ว่าเริ่มแตะแอลกอฮอล์ตั้งแต่ยังไม่จบ ม.ต้นเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ส่งเสริมให้เด็กๆ ทำตามนะครับ คิดซะว่าผมเป็นตัวอย่างของเด็กไม่ได้แล้วกัน
“ช่ายยยยย” ไอ้ตามตัวพยักหน้าพร้อมกัน
“มันกินไปกี่แก้ว?” ผมนึกสงสัย ว่ากันตามจริง ถึงบลัดดี้แมรี่จะเป็นแค่คอกเทล แต่ก็มีส่วนผสมของวอดก้าอยู่ประมาณหนึ่ง ถ้ากินไปหลายแก้วก็มีสิทธิ์มึนได้เหมือนกัน
“สองแก้ว” ไอ้ซุยกับไอ้เล้งตอบพร้อมชูสองนิ้ว ส่วนไอ้เควิลสองสองนิ้วอย่างเดียวแต่ไม่ตอบ
“อ่อนมาก” ผมว่า
“สุดๆ อ่ะ” ไอ้ซุยผสมโรง
“โคตรๆ เลย” ไอ้เล้งเอาด้วย
“..........” ไอ้เควิลพยักหน้าหงึกๆ
“หมดหน้าที่ของซุอิแล้ว” ไอ้ซุยออกตัว
“กลับแล้วนะอากง” ไอ้เล้งออกตาม
“.........” ไอ้เควิลยังพยักหน้าหงึกๆ เหมือนเดิม
“เออ กลับดีๆ กันล่ะพวกมึง” ผมเดินออกมาส่งพวกมันหน้าประตู
“หวัดดีคร้าบบบ” พวกมันยกมือไหว้แล้วกลับไป
“เก้า.. ไอ้เก้า” ผมเอาตีนเขี่ยๆ มัน แต่มันก็ยังบ่นงึมๆ งำๆ ไม่รับรู้ของมันต่อไป ผมเลยตัดสินใจเข้าไปพยุงพามันกลับไปนอนห้องของตัวเอง จะว่าไปก็หนักอย่างที่ได้เล้งมันบ่นเหมือนกันนะเนี่ย มึงยังเป็นแค่วัยรุ่นไม่ใช่เหรอวะ ทำไมหนักขนาดนี้?
ตุ้บ!
“เฮ้ย!” ผมที่ตั้งใจจะทิ้งมันลงไปบนเตียงของมัน แต่มันกลับรั้งคอผมให้ทิ้งดิ่งลงไปกับมันด้วย
“อือ หนัก” เสียงมันบ่นพึมพำ ดิ้นขลุกขลัก ซึ่งก็น่าจะเป็นอย่างนั้นอยู่หรอก เพราะตอนนี้ผมกำลังนอนทับมันไงล่ะ แล้วก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากจะลุกนะ แต่ผมลุกไม่ได้ต่างหาก ก็ไอ้เก้ามันเล่นล็อคคอผมด้วยแขน ล็อคเอวผมด้วยขา นี่มันคิดว่าผมเป็นหมอนข้างมันหรือไง? แล้วมึงจะบ่นทำซากอะไรวะในเมื่อมึงไม่ยอมปล่อยกูเอง
“อึดอัด งืมๆ” นั่น มันยังบ่นอยู่
“มึงก็ปล่อยกูซิวะ!” ผมล่ะอยากตะโกนให้หูมันแตก แต่ก็ขี้เกียจเลี้ยงหลานพิการ เลยได้แต่ตวาดใส่มันเบาๆ ไปตามเรื่องราว
“อืม ปู่ดิน แจ๊บๆ” มันพลิกตัวเป็นตะแคง แล้วก็เอาผมไปนอนกกไม่ยอมปล่อย คงกะใช้แทนหมอนข้างถาวรแน่นอนคืนนี้ ผมพยายามแงะมันออกจากตัว แต่มือมันก็เหนียวปานลูกหลานตุ๊กตา ยื้อยุดปลุกปล้ำกันไปจนผมชักไม่แน่ใจแล้วว่ามึงเมาจริงหรือเมาดิบกันแน่วะ ไอ้เก้า?!
“ไอ้เก้า ถ้ามึงยังไม่เลิกเล่น กูจะโกรธจริงๆ แล้วนะ” พอเริ่มจับไต๋มันได้ ผมก็ใช้ลูกขู่ทันที
“งึมๆ” มันยังตีเนียนอยู่
“กูจะนับแค่สามนะ ถ้ามึงไม่ยอมปล่อย พรุ่งนี้เตรียมเก็บของออกจากบ้านกูไปเลย หนึ่ง.. สอง.. สะ”
พรึ่บ!
ในที่สุดกันก็ยอมปล่อย แล้วมันก็พลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้ผม จากนั้นก็นิ่ง.. นิ่งจนผมแปลกใจ นิ่งจนผมเริ่มสังหรณ์ใจ ผมรีบเดินอ้อมเตียงไปอีกฝั่ง แล้วก็เห็นมันนอนน้ำตาไหลพรากๆ อยู่ อะไรอีกวะเนี่ย?!
“ไอ้เก้า?” อย่าบอกนะว่ามึงเป็นพวกเมาแล้วร้องไห้น่ะ
พรึ่บ!
มันพลิกตัวหนีผมไปอีกฝั่ง ผมก็เลยต้องเดินอ้อมกลับมาอีกฝั่ง และมันคงจะทำแบบเดิมอีกรอบ ถ้าผมไม่รีบสกัดดาวรุ่งเอาไว้อีก
“เลิกปัญญาอ่อนสักที ลุกมาคุยกับกูดีๆ ดิ๊ มึงเป็นเหี้ยอะไร?” ผมซึ่งหมดความอดทนพูดเสียงดัง
มันใช้สองตาแดงก่ำจ้องมองผมด้วแววเสียใจน้อยใจระคนกัน ก่อนจะหันหลังให้อีกรอบ คราวนี้ผมไม่ตามแล้ว แต่ผมทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง กะจะคุยกับมันทั้งที่หันหลังให้นั่นล่ะ
“เก้า..”
“ปู่ดินไล่ผม..” มันพูดเสียงเบาจนผมต้องขยับเข้าไปฟังใกล้ๆ
“ว่าไงนะ?”
“ปู่ดินไม่เคยไล่ผมมาก่อน” คราวนี้ผมได้ยินชัดเจน
“เออ ก็แล้วกูจะไปทำแบบนั้นทำไม?”
“แต่เมื่อกี๊ปู่ดินทำ”
“กูก็แค่ขู่..” ผมไม่อยากจะยอมรับเลย ว่าผมใจอ่อนให้มันอีกแล้ว ให้ตายสิ
“ถึงขู่ผมก็เสียใจ”
“มึงอย่าเยอะ”
“ปู่ดินขู่ว่าจะไล่ แปลว่าปู่ดินคิดมันอยู่ในหัว”
“กูไม่ได้คิด”
“ไม่งั้นปู่ดินไม่ขู่แบบนี้หรอก ไม่งั้นปู่ดินไม่ออกปากแบบนี้หรอก ปู่ดินไม่อยากอยู่กับผมขนาดนั้นเลยเหรอ? ปู่ดินอยากไล่ให้ผมไปให้พ้นๆ ขนาดนั้นเลยเหรอ? ผมน่ารำคาญมากเลยเหรอ?” มันพลิกตัวกลับมาทางผม จ้องมองผมด้วยแววตาแสดงความตัดพ้อต่อว่า
“เออ! มึงมันน่ารำคาญ แต่กูไม่เคยคิดจริงๆ เรื่องที่จะไล่มึง ..ก็เออ! กูมันพูดไม่คิด มึงพอใจหรือยัง?” ผมยอมรับอย่างหงุดหงิด ..คือหงุดหงิดกับตัวเองน่ะ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ทุกที? ทำไมผมถึงแข็งใส่ไอ้เด็กผีนี่ไม่ตลอดรอดฝั่งสักทีวะ?
“จริงๆ นะ?” มันเอื้อมมือมาดึงแขนเสื้อผม ตาใสแป๋วรื้นน้ำตามองผมอย่างมีความหวัง
“เออสิ มึงมันน่ารำคาญจริงๆ”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นดิ” มันเบะปาก
“เออ กูปากพล่อย กูไม่เคยคิดไล่มึงไปไหนหรอก” ผมยกมือนวดขมับตัวเองเบาๆ
“ผมรักปู่ดิน” มันยิ้มกว้าง แต่ผมอึ้งครับ มือที่นวดขมับถึงกับชะงักค้าง มันวกมาเรื่องนี้ได้ยังไงวะเฮ้ย?!
“เออๆ” ผมพยักหน้าส่งเดชอย่างไม่รู้จะว่าไง เตรียมลุกจากเตียง แต่ก็ถูกดึงชายเสื้อเอาไว้อีก
“คืนนี้นอนห้องผมนะ” มันอ้อน ซึ่งผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันวกมาเรื่องนี้อีกได้ยังไง?
“พ่องดิ ได้คืบจะเอาเป็นไมล์นะมึง” แล้วผมก็ออกจากห้องนั้นมาเลย..
ผมกลับห้องมาอาบน้ำ แล้วก็นั่งพิมพ์งานก๊อกแก๊กๆ ไปได้ไม่กี่บรรทัด ประตูห้องก็ถูกเคาะ ตามมาด้วยการถือวิสาสะเปิดเข้ามาเองของไอ้เก้าในชุดนอนลายหมีพูห์ทั้งที่ตัวอย่างกับหมีควาย มันเดินกอดหมอนคู่ใจที่ใส่ปลอกลายเบนเทนมาใบหนึ่ง
“คืนนี้ผมขอนอนด้วยนะครับ” ผมตอบคำถามให้คิ้วที่เลิกสูงขึ้นของผม
“เหตุผลล่ะ?” ผมถามพลางหันกลับมาสนใจงานของตัวเองต่อ
“ก็ผมอยากนอนกับปู่ดิน”
“นี่มึงยังไม่สร่างอีกหรือไง? กลับห้องมึงไปซะ” ผมตอบอย่างไร้เยื่อใย
“ทำไมอ่ะ?”
“ก็แล้วทำไมมึงไม่ไปนอนห้องตัวเองล่ะวะ?”
“ก็ในห้องผมไม่มีปู่ดินนี่นา”
“..........” เออนะ มึงตอบมาแบบนี้ แล้วกูจะโต้ไปแบบไหนล่ะนี่
“ให้ผมนอนด้วยนะครับ” เสียงมันดังใกล้มากจนผมหันไปมอง แต่ยังไม่ทันระบุพิกัดของมันได้ ปากผมก็ไปฟาดกับแก้มของมันเข้าซะก่อน
“มึง!” ผมตกใจ ผงะออก
“ว้าว โชคดีจัง” ส่วนมันยืดตัวขึ้นตรง เอามือลูบแก้มตัวเอง สีหน้าเพ้อๆ ลอยๆ
“เฮ้ย..” ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดมากกว่านั้น ไอ้เก้าก็หมุนตัวกลับหลัง แล้วกระโดดลงไปบนเตียงอย่างดีอกดีใจเหลือแสน
“คืนนี้ฝันดีแล้ว ไอ้เก้า” มันนอนหลับตาพริ้ม แถมยังเอาหมอนข้างของผมไปนอนกอดอย่างถือวิสาสะอีก
“..........” แล้วผมจะทำอะไรได้ นอกจากถอนหายใจแบบยาวๆ แล้วกลับมาทำงานของตัวเองต่อ ก็ขืนออกไปไล่เดี๋ยวมันก็ได้น้ำตาแตกอีกพอดี
แม่งเซ็ง เลี้ยงหลานวัยรุ่นอารมณ์อ่อนไหว ละเหี่ยใจจริงๆ กู..
TBC. 
เอ๊.. หรือกูจะเชื่อคำแนะนำของไอ้หมอดีวะ?
