Dahlia 24มันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆที่ผมกลับคอนโดหลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้วมาเจอคนข้างห้องซึ่งบอกว่าเพิ่งกลับมาที่นี่เป็นวันแรกในรอบสัปดาห์เหมือนกัน ผมกับภูมินทร์เจอกันหน้ามินิมาร์ทใต้คอนโด กับกระดาษฟูกขนาดกลางซึ่งสามารถพับเป็นลังได้เกือบสิบอันที่ขโมยมาจากออฟฟิศ ส่วนดาราหนุ่มถือถุงของกินพะรุงพะรัง มีคนที่ไม่คิดว่าจะอยู่ด้วยยืนเท้าเอวหน้าหงิกด้านหลัง พอพี่นิคเห็นผมก็ยิ้มจางๆให้ ก่อนแย่งของในมือมินมาถือแล้วสั่งให้พระเอกหนุ่มมาช่วยผมหิ้วลัง
“จะย้ายออกเหรอวะ?”
ภูมินทร์ถามหลังจากช่วยเอาลังเข้ามาในห้อง พี่นิคแยกไปห้องข้างๆ บอกว่าเดี๋ยวจะเตรียมมื้อเย็นให้จะได้ทานด้วยกัน ส่งมินมาช่วยผมเก็บของหลังจากที่รู้ว่าวันนี้พี่เอิร์ธติดธุระด่วนที่โรงงาน จะตามมาอีกทีตอนค่ำๆ ผมพยักหน้า ทิ้งตัวลงโซฟาพลางนึกว่าของอะไรที่จะทิ้งเอาไว้ที่นี่ดี
“กะให้ปล่อยให้เช่า คอนโดใกล้มหาวิทยาลัยหานักศึกษามาเช่าไม่ยากหรอก”
“มึงจะกลับไปอยู่บ้าน?”
“เปล่า ไปอยู่กับพี่เอิร์ธ”
ภูมินทร์เลิกคิ้วขึ้น ไหวไหล่ทำปากเบะแสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบใจ “มึงแน่ใจแล้วว่างั้น?”
“เออ”
“ขอให้มันดีกับมึงแบบนี้ตลอดไปแล้วกัน”
“กูถือว่าเป็นคำอวยพร ว่าแต่มึงกับพี่นิคเถอะ ยังไงวะ”
หน้าหล่อเหลาของพระเอกเขี้ยวงามไม่เปลี่ยนสี ตอบลอยๆว่าก็ไม่มีอะไร ก่อนเปลี่ยนประเด็นมาเป็นแลมโบกินี่ที่มันเพิ่งถอยมาเมื่อวันก่อนซึ่งตอนนี้จอดนิ่งสนิทไว้ในอาคารจอดรถของคอนโด ตอนแรกผมก็กะจะออกไปดูอยู่เหมือนกัน แต่คิดว่าต้องเก็บของเลยเอาไว้ก่อน ยังไงผมกับมินคงได้เจอกันบ้าง เพราะต้องจัดการเรื่องห้องอีกหลายวัน เพิ่งแจ้งนิติบุคคลไปว่าจะปล่อยห้องให้เช่า ข้าวของนี่ก็ว่าจะทยอยย้ายไปทีละลังสองลัง ไม่ได้ขนไปทั้งหมด พวกเฟอร์นิเจอร์ยังทิ้งไว้ให้คนเช่าได้ใช้ต่อ
ทั้งๆที่ห้องผมค่อนข้างจะเรียบ กล่าวคือเหมือนไว้ซุกหัวนอนอย่างเดียวแต่เอาเข้าจริงพอนั่งนึกว่ามีอะไรที่ต้องย้ายไปบ้างก็แทบเอาเท้าขึ้นก่ายหน้าผาก โชคดีที่ห้องพี่เอิร์ธกว้าง อีกทั้งที่นั่นเป็นบ้าน พวกหนังสือกับจานชามจะถูกจัดแยกไว้เป็นสัดส่วนไม่น่าจะทำให้รกเท่าไหร่ ก่อนหน้านี้ผมไปขออนุญาตกับแม่พี่เอิร์ธมาแล้ว รายนั้นยินดีนักหนาบอกว่าจะได้ไม่เหงา เสาร์อาทิตย์แม่จะไปเข้าวัดฟังธรรมก็ไม่ต้องห่วงเรื่องร้านยาด้วยเพราะคงฝากให้ผมเฝ้า อะไรจะดีปานนั้น ได้สะใภ้เข้าบ้านแล้วยังจะเป็นคนงานให้อีก พูดถึงตรงนี้แล้วขนลุกนิดๆ บอกตรงๆแบบแมนๆเลยว่าผมอาจเป็นผู้ชายเซ็กส์เสื่อมไปแล้วตั้งแต่คบกับพี่เอิร์ธ ไม่เคยนึกถึงตัวเองในสภาพตกเป็นเบี้ยล่างหรือรุกเร้าอีกฝ่ายด้วยซ้ำ ไอ้เรื่องช่วยตัวเองน่ะยังทำอยู่ครับ เพียงแต่ไม่ได้ลงลึกไปถึงภาพพี่เอิร์ธครวญคราง แม้รู้ดีว่าลองคบกันในลักษณะแบบนี้มันต้องมีใครล้มใครบ้าง กระนั้นเวลาถูกแม่เรียกว่าสะใภ้ มันก็ยังจั๊กจี้หัวใจไม่หาย ยอมรับว่าตัวเองง้องแง้งและตัวเล็กกว่า แต่มั่นใจว่าสภาวะบนเตียงมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับทางนั้น ถึงเวลาค่อยตัดสินแล้วกันว่าใครจะคว่ำใคร แต่ผมยังเชื่อว่าตัวเองเจนจัดเรื่องพรรค์นั้นพอตัว ไม่น่าเสียเชิงชายได้
“คิดอะไรอยู่วะ ทำหน้าตาเฮี้ยเหี้ย”
ภูมินทร์แทรกเสียงขึ้นมาในความคิด ผมสะดุ้งโหยงรีบบอกปฏิเสธว่าไม่ได้คิดอะไร สั่งให้มันพับกล่องแล้วหนีเข้าห้องมาเก็บเสื้อผ้าจากไม้แขวน และในตู้ที่ถูกยัดไว้อย่างเป็นระเบียบไปกองบนเตียง มีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่แต่ไม่น่าพอสำหรับทั้งหมด ดังนั้นบางส่วนต้องแยกไปใส่ลังบ้าง ผมได้ยินเสียงเคาะประตูจากด้านนอกเลยตะโกนบอกให้มินไปเปิด ซึ่งแขกที่เข้ามาใหม่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยคนเดิม พี่นิคยื่นหนังสือพิมพ์ให้มินใช้ห่อเครื่องแก้วตั้งแต่ถ้วยชามยันโคมไฟ ไอ้ดารานิสัยเด็กน้อยก็รับคำสั่งว่าง่าย ไม่น่าเชื่อว่าคาสโนว่าเรียกพี่อย่างมันจะถูกกำราบจากคนที่เคยไม่สนใจมันแม้หางตาแค่คนเดียว
“มีอะไรให้พี่ช่วยหรือเปล่ากันต์”
“ครับ ไม่เป็นไรครับพี่” ผมปฏิเสธด้วยความเกรงใจ พี่นิคใจดี แต่ลึกๆผมก็ไม่กล้ามองอีกฝ่ายเต็มตา เหตุผลที่พี่เอิร์ธบอกเลิกอีกฝ่ายมันค้ำคออยู่ จริงๆผมก็ยังรู้สึกผิดนิดๆที่เป็นตัวต้นเหตุทำให้พี่นิคเสียใจ
“หลังจากพี่ไป เอิร์ธก็ไม่ได้คบใครอีก เหมือนเป็นเรื่องพรหมลิขิตเลยเนอะ ที่ได้กลับมาเจอกันต์”
“...บังเอิญน่ะครับ”
“ดีแล้วแหละ พี่อยากเห็นเอิร์ธมีความสุข”
รอยยิ้มจืดเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายส่งมาให้หลังประโยคเรียบๆจบ ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากันไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อจากนี้ พี่นิคดูเป็นคนดี ใจเย็นและเรียบร้อยเหมือนที่ขุนเคยเล่า บางทีเมื่อก่อนผมอาจจะเป็นแบบนี้ ไม่รู้สิ แต่ผมไม่สามารถมองภาพตัวเองซ้อนทับอีกฝ่ายอย่างที่พี่เอิร์ธเคยบอกว่าดูเผินๆพี่นิคเหมือนกับผมได้จริงๆ
“เอิร์ธรักกันต์มากเลยนะ น่าอิจฉา”
ผมเงียบ มือยังพับผ้าใส่กระเป๋าต่อโดยเหลือบตามองอาคันตุกะเป็นพักๆ พี่นิคช่วยผมรื้อเสื้อผ้าออกจากไม้แขวนแล้วส่งต่อมาให้ผม
“พี่กับเอิร์ธเจอกันสมัยเรียน บางวิชาเอิร์ธต้องเรียนตัวนอกคณะ พี่เป็นTA เราคุยกันพักใหญ่ๆเลยกว่าจะตกลงคบหากัน เอิร์ธดูแลพี่ดีมาก ดีทุกอย่าง...” พี่นิคทิ้งประโยคไว้พักหนึ่งแล้วพูดต่อ “.....แต่พี่คงไม่ดีพอที่จะทำให้เอิร์ธเปิดใจ ลืมใครในนั้นได้”
“นี่นิค..คือ ผมขอโทษ.....”
“มันไม่ใช่ความผิดกันต์ซักหน่อย พี่รู้น่า...ที่มาพูดน่ะ เพราะพี่เป็นห่วงเอิร์ธ”
“..........................”
“กันต์รับปากพี่นะ...อย่าทำให้เอิร์ธเสียใจ”
ผมรู้ว่านั่นเป็นคำขอร้องจากคนที่ยังคงรักเจ้าของชื่อสุดหัวใจ เราสบตากันและพี่นิคเป็นฝ่ายยิ้มให้ผมอีกครั้งพลางจับมือผมไว้ แม้ไม่ได้ตอบแต่ผมคิดว่าอีกฝ่ายพอใจกับสีหน้าและแววตาที่ผมสื่อถึง เรานั่งพับผ้าลงกระเป๋าเงียบๆอีกพักใหญ่ก่อนอีกฝ่ายจะพูดถึงมินขึ้นมาให้ฟัง
“มินเป็นเด็กน่าสงสารนะ พี่เห็นตั้งแต่ยังตัวแห้งๆ ชอบนั่งสูบบุหรี่ที่ระเบียงห้อง พี่มีคอนโดอยู่ติดกับมินที่นึง เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเข้าไปแล้ว เมื่อก่อนห้องนี้พี่ผ่อนกับแฟน แต่ตอนเลิกกันเขาก็ไปแบบไม่มีอะไรติดไปเลย ห้องนั้นเลยตกเป็นของพี่ แต่ก็ไม่กล้าขายต่อหรือปล่อยเช่า กลัวว่าวันนึงถ้าหมอนั่นกลับมาทวงจะมีปัญหา คนนั้นพี่คบก่อนเจอเอิร์ธเป็นคนอารมณ์ร้าย ก่อนเลิกซ้อมพี่จนเข้าโรงบาล แล้วมินก็เป็นคนพาพี่ไปหาหมอ”
ผมนั่งฟังไม่ออกความเห็น เรื่องนี้เคยได้ยินจากมินมาแล้วครั้งหนึ่ง และพอฟังจากที่พี่นิคเล่าก็ไม่ผิดกัน
“น่าตลกมากคืออะไรรู้ไหม เจ้ามินน่ะ ร้องไห้เป็นเผาเต่า พี่เป็นแค่พี่ที่สนิทกันข้างห้องแท้ๆแต่หมอนั่นเอาแต่โทษตัวเองแล้วก็เสียใจ จากเดิมที่ติดพี่อยู่แล้วตอนออกจากโรงพยาบาลยิ่งเป็นไปใหญ่ ไม่กลับห้องตัวเองเลย พี่มองมินเหมือนน้องชายคนนึงมาตลอด แต่กันต์คงเคยได้ยินนะ บางทีความใกล้ชิดมันก็พาเราเตลิดไปถึงไหนต่อไหน พี่กับมินไม่ได้ใช้คำว่าแฟน แต่เราอยู่ด้วยกันในลักษณะนั้น จนพี่เจอเอิร์ธ ทั้งๆที่พี่ก็รู้ว่ามินคิดยังไง แต่พี่ก็กลับมีใจให้เอิร์ธ เหมือนเป็นเวรกรรมคือเอิร์ธก็รู้ว่าพี่คิดยังไง สุดท้ายเราก็ไม่สามารถบังคับหัวใจตัวเองให้รักคนที่แคร์เราที่สุดได้...”
“....พี่หักดิบมากเลย ไม่เคยเล่าให้มินฟังว่ากำลังคุยกับเอิร์ธอยู่ วันนึงที่คิดว่าต้องบอกเลยนัดมาเจอกัน มินทั้งโกรธ ทั้งชอคกับการปรากฏตัวของเอิร์ธทั้งๆที่เราอยู่ด้วยกันตลอดแต่พี่ก็มีคนอื่น แล้วจากความรู้สึกโกรธก็เปลี่ยนเป็นเกลียด เพราะสุดท้ายพี่ต้องมาร้องไห้เพราะคนที่มินขอไว้ว่าไม่ให้พี่ไป กันต์...เข้าใจมินนะ”
ผมพยักหน้า ไม่ได้เคืองอะไรมินแล้ว พี่เอิร์ธก็ด้วย มันง่ายมากสำหรับการให้อภัยใครในเมื่อจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเรา ผู้ชายอย่างผมไม่ผูกใจเจ็บเรื่องหยุมหยิมนานนักหรอก เคลียร์คือเคลียร์ จบคือจบ กระทั่งเสียงของหล่นด้านนอกทำให้ผมกับพี่นิคชะเง้อคอ เห็นเงาของมินไหวๆคงกำลังรื้อหนังสือในตู้ลงมา ผมเลยหันมาพูดกับพี่นิคต่อ
“แล้วพี่นิคกับมิน... ไม่ได้อยากละลาบละล้วงนะครับ แต่ว่า....”
“อย่างน้อยตอนนี้ก็คุยกันได้แล้ว... ส่วนอนาคต...เราอาจจะเป็นได้แค่พี่น้องกัน หรือมากกว่านี้ พี่ก็ตอบไม่ได้”
“........................”
“แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องเอิร์ธนะ รายนั้นเขาเป็นของกันต์ตั้งแต่ต้น และใจเอิร์ธ ก็ไม่เคยเปลี่ยนไปให้ใคร”
ทั้งๆที่พี่นิคกำลังพูดด้วยสีหน้าขมขื่น แต่ผมกลับรู้สึกฟูฟ่องขึ้นมาในใจอย่างไร้มารยาท พี่นิคช่วยผมเก็บของอีกพักใหญ่ภูมินทร์ก็เข้ามาง้องแง้งบ่นว่าหิว พี่เลี้ยงเด็กมืออาชีพจึงเลี่ยงไปเตรียมกับข้าวที่ห้องพระเอกหนุ่ม พอเพื่อนรุ่นพี่หายลับไปหลังบานประตูไอ้มินก็ชวนผมสูบบุหรี่ยิกๆ ผมเดินตามมันออกมา คุยกันสองสามประโยคได้ความว่าอีกสองสัปดาห์ต้องไปเปิดละครเรื่องใหม่ที่อิตาลี รอบนี้เจมส์ก็ไปด้วย มันเลยอึดอัดเพราะช่วงนี้ทางนั้นเริ่มติดต่อมันกลับมา ขณะที่มันกำลังค่อยๆพัฒนาความสัมพันธ์กับอาจารย์ไปทีละขั้น
“ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องยุ่ง ไม่เห็นจะยาก”
“แต่กูก็ทำงานด้วยกัน...อีกอย่าง ตอนเลิก น้องมันก็ไม่ได้ผิดอะไร....”
“แล้วมึงจะเอายังไง? ก็เลี่ยงไม่ได้อยู่ดีนี่”
ผมพ่นควันออกทางจมูก ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ผันสภาพมาเป็นศิราณีให้ไอ้หล่อได้ แต่จะให้พูดยังไง ผมก็ไม่ได้มีจิตใจเป็นกลางหรอกนะ ระหว่างพี่นิคกับเจมส์ ผมเชียร์พี่นิคสุดใจขาดดิ้นอยู่แล้ว
“แล้วจะให้กูช่วยอะไรมึง ได้คำปรึกษาไปก็ไม่ได้คิดจะเอาไปใช้”
“อย่าเพิ่งดุสิวะ” มินขมุบขมิบปาก ดีดบุหรี่ลงบนกระป๋องเบียร์ตัดครึ่งที่ผมวางไว้มุมๆระเบียงแล้วพูดต่อ “เป็นแฟนกูหน่อยดิ”
“เดี๋ยวกูยันตกระเบียง”
ผมตอบแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด ง้างขาเตรียมถีบประกอบฉาก ไอ้มินรีบตั้งการ์ดแล้วถอยหลังชิดลูกกรง “เฮ้ยๆ ใจเย็น กูหมายถึงแกล้งเป็นแฟนกูตบตาเจมส์หน่อย”
“กะให้กูโดนต่อยฟรีอีกรอบ? แล้วทีนี้มึงก็จะไปช่วยไอ้เปี๊ยกนั่นและไล่กูไปพ้นๆตาเหมือนครั้งที่แล้ว”
“ไม่ใช่เว้ย ครั้งก่อนกูจับมันไว้เพราะรู้ว่ามึงจะไม่สู้มันต่างหากเลยกันออกให้ก่อน เอาเข้าจริงมึงตัวใหญ่กว่าเจมส์ตั้งเยอะ ถ้าน้องมันมาระรานมึงจะซัดไม่เลี้ยงก็ตามใจเลย กูไม่ห้ามแล้ว แต่กูไม่อยากให้เจมส์ยุ่งกับพี่นิค มึงเข้าใจกูไหมวะ?”
“กูช่วยมึงแล้วกูได้อะไรตอบแทนนอกจากเสี่ยงเจ็บตัวฟรี?”
“มันต้องมีสิวะ มึงดูอย่างนิทานราชสีห์กับหนูสิ กูน่ะเป็นหนูทองคำที่จะช่วยมึงในอนาคตเลยนะเว้ย นะกันต์ ช่วยกูหน่อย”
ผมอัดบุหรี่เข้าปอดจนปลายเป็นสีส้มแดง ก่อนทิ้งที่เหลือลงในกระป๋องเบียร์ มองหน้าคนไหว้วานด้วยหางตา “ถ้าพี่เอิร์ธเตะก้านคอมึงกูไม่ช่วยนะ”
เพียงเท่านั้น เจ้าของเขี้ยวงามยิ้มสว่างจ้าจนน่าหมั่นไส้
ภูมินทร์กลับไปส่งนิธิกรก่อนเถ้าแก่โรงงานผลิตยาขนาดย่อมจะเดินทางมาถึง ผมสวมกางเกงตัวเดียวส่วนเสื้อเปียกเหงื่อถูกวางพาดไปบนโซฟาหนังหน้าโทรทัศน์ เผยให้เห็นสัดส่วนชัดเจน พี่เอิร์ธมองตาไม่กะพริบเมื่อเห็นเหงื่อกาฬไหลชะโลมตัวผมมันวาวจนต้องโบกมือผ่านตาหลายรอบถึงค่อยรู้สึกตัวพลางเกาท้ายทอยแก้เก้ แต่ก็ยังไม่วายลอบมองเป็นระยะๆ พี่เอิร์ธเหมือนเป็นคนขี้อายที่มีความทะลึ่งเป็นพฤติกรรมแฝงซึ่งผมคิดว่าน่ารักใช่เล่น เลยพยายามแกล้งอีกฝ่ายด้วยการเอาตัวไปป้วนเปี้ยนใกล้ๆ ทว่าพอสบตากัน ก็กลับเป็นตัวเองที่เขินสายตาร้อนแรงนั่นแล้วผละถอยออกมาตั้งหลักอยู่นานสองนาน สายตาของพี่เอิร์ธเหมือนกับว่าถ้าจับผมกินได้คงกินไปทั้งตัว
“วันนี้เอาแค่นี้ไปก่อนไหม? อย่างอื่นค่อยมาขนวันหลัง กันต์เหนื่อยแย่แล้ว”
เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางกวาดตามองลังประมาณห้าหกใบที่จุไว้ด้วยหนังสือและเสื้อผ้ารวมไปถึงของใช้จุกจิกระหว่างที่ผมกำลังเหม่อ เหนือกล่องกระดาษที่ถูกเขียนด้วยปากกาเมจิกลวกๆเพื่อแบ่งประเภทของภายใน ผมพยักหน้าลงหงึกหงักก่อนทิ้งตัวลงโซฟา พี่เอิร์ธเองก็เหงื่อท่วมตัวเหมือนกันหลังจากมาช่วยผมได้ชั่วโมงกว่าๆ
“น้ำอัดลมหน่อยไหม พี่ลงไปซื้อให้”
“โค้กนะ”
ผมตอบ ไม่นานหมอยาก็ถือคีย์การ์ดพร้อมกุญแจห้องลงไปมินิมาร์ทใต้คอนโด ผมเดินไปริมระเบียงจุดบุหรี่ขึ้นสูบ ปล่อยควันลองคลุ้งแล้วหลับตาเมื่อลมเย็นตีปะทะเม็ดเหงื่อให้ระเหย มองจากมุมตรงนี้จะเห็นตัวเมืองที่ประดับประดาด้วยแสงไฟชัดเจน ท้าวข้อศอกกับระเบียง เผลอผิวปากสบายใจเรื่อยเปื่อยกระทั่งเสียงประตูดังอีกครั้งเลยรีบทิ้งบุหรี่ก่อนพี่เอิร์ธจะมาเห็น
“ได้แป๊บซี่นะ โค้กหมด”
ผมเดินมารับน้ำอัดลมจากเจ้าของมือใหญ่ ทว่าคนตัวสูงกลับยื้อไว้ไม่ยอมให้ พอเงยหน้าสบตา พบว่าอีกฝ่ายจ้องเขม็งก็ต้องรีบหลบโดยอัตโนมัติ สัมผัสได้ถึงความไม่พอใจที่แฝงอยู่กับสีนิลราวเม็ดลำใยในกรอบตารีคู่นั้น
“พี่ได้กลิ่นบุหรี่”
“อืม...”
“พี่เคยขอแล้วใช่ไหม? ดูแลตัวเองเพื่อพี่หน่อยไม่ได้หรือไงกันต์?”
“ก็พยายามลดอยู่”
“พยายามลดหรือพยายามเลี่ยงสูบไม่ให้พี่รู้?”
ผมไม่ตอบ พี่เอิร์ธปล่อยมือจากกระป๋องน้ำอัดลมเย็นเฉียบแล้วเดินหนี ผมรีบวางเครื่องดื่มลงบนโต๊ะใกล้ๆตัวแล้วไปจับแขนอีกฝ่ายไว้ “ขอโทษ ไม่สูบแล้ว”
“กันต์อาจจะรำคาญ แต่พี่ว่ากันต์รู้ดีว่าทำไมทุกคนถึงอยากให้กันต์เลิก ทั้งพ่อแม่กันต์ ....ทั้งพี่”
“รู้แล้วว่าเป็นห่วง กันต์ขอโทษ อย่าโกรธสิ”
“พี่จะไม่โกรธเลยถ้ากันต์พยายามอย่างที่ปากว่า หรือยังไง?? ให้พี่สูบด้วยดีไหม อยากรู้เหมือนกันว่ามีอะไรดีนักถึงเลิกไม่ได้?”
“ไม่เอา...” ผมพูดเสียงอ่อน เดินไปกอดอีกฝ่ายจากด้านหลัง “...รู้แล้วว่าไม่ดี กันต์เลิกแล้วก็ได้ เดี๋ยวไปซื้อนิโคมายด์(หมากฝรั่งเลิกบุหรี่)ด้วยกันเลย อย่าโกรธนะ โอเคไหม?”
ผมได้ยินเสียงผ่อนลมหายใจหนักๆจากคนในอ้อมแขน พี่เอิร์ธพลิกตัวกลับมามองผมอีกครั้งพร้อมกับลูบหัวไปด้วย “ทำเพื่อกันต์ ทำเพื่อพ่อเพื่อแม่ แล้วก็เพื่อพี่นะ...เลิกเถอะ มันไม่ได้มีอะไรดีเลย”
ที่จริงผมก็ไม่ได้ติดบุหรี่ขนาดที่ต้องสูบวันละหลายๆมวนแต่ยอมรับว่าเวลาเครียดหรือเหนื่อยก็ชอบพึ่งพามันจนเป็นนิสัย แต่ถ้าสามารถซื้อความสบายใจของคนรอบตัวได้บางทีผมก็คิดว่าจะเลิกขาด เราสบตากันภายใต้ความเงียบพักหนึ่ง ก่อนผมจะค่อยๆขยับตัวขึ้นจูบพี่เอิร์ธ ดวงตารีใต้เลนส์แว่นไหวระริก พลางยกมือใหญ่ขึ้นประคองข้างแก้มไม่ให้ผละหนีเมื่อหมอยาเป็นฝ่ายทิ้งน้ำหนักจากริมฝีปากสู่ริมฝีปากบ้าง แขนแกร่งข้างที่ว่างตวัดรอบเอวเปลือยของผมจนชิด ในหัวอื้ออึง แต่หูกลับได้ยินเสียงของริมฝีปากยามสัมผัสกันหนักหน่วงชัดเจน
“พี่เป็นห่วงจริงๆนะ”
“รู้แล้ว”
เรากระซิบเสียงเบา ลมหายใจยังคลุ้งด้วยกลิ่นควันจางๆผสมเมนทอลแต่ผมไม่ได้ใส่ใจว่าอีกฝ่ายจะรังเกียจหรือไม่ ปลายนิ้วจับดึงคอเสื้อเชิร์ตที่ยังชื้นเหงื่อเข้าหาพลางย่ำเท้าให้คนตัวสูงเดินถอยหลัง ผมไล่จูบที่ริมฝีปากพี่เอิร์ธซ้ำๆ กระทั่งอีกฝ่ายสะดุดพนักพิงโซฟาล้มลงไปนอนโดยมีผมคร่อมอยู่ กลิ่นเหงื่อผสมโคโลญจน์ของพี่เอิร์ธ รวมทั้งความเป็นห่วงที่แสดงออกอย่างซื่อตรงทำให้หัวใจผมเต้นโครมคราม ผมเลื่อนมือไปดึงกรอบแว่นสายตาสีดำออก โดยที่พี่เอิร์ธเพียงประคองรอบเอวผมไว้แม่นมั่น ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ มือผมก็สอดเข้าไปใต้เชิร์ตสีอ่อน ปลดกระดุมและบังคับให้อีกฝ่ายถอดเสื้อออกเหมือนกันอย่างเอาแต่ใจ รู้สึกตัวอีกทีก็พบเจ้าของรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นอนสวมแค่กางเกงที่ปลดตะขอลงหมิ่นเหม่เบื้องล่างเท่านั้น
“.....กันต์..”เสียงทุ้มกระซิบแต่ผมกลับได้ยินชัด พี่เอิร์ธยันตัวลุกขึ้นนั่ง เลยกลายเป็นจากที่ผมคร่อมอีกฝ่ายไว้ในทีแรกจึงเอนกายนั่งบนตักกว้างอย่างช่วยไม่ได้ เราสบตากันเหมือนพยายามดึงอีกฝ่ายให้เข้าสู่อารมณ์ดิ่งลึก สัมผัสจากริมฝีปากที่กดยิ้มไม่น่าไว้ใจเมื่อครู่เกิดขึ้นอีกครั้ง ขณะที่ปลายจมูกคมไล่ดอมดมเกลี่ยปาดตั้งแต่แก้มระไปยังกกหู พี่เอิร์ธเลื่อนปากไปแตะแอ่งชีพจรผมด้วยปลายลิ้น มือที่โอบเอวในทีแรกเลื่อนสูงขึ้นกระทั่งนิ้วเรียวปัดผ่านยอดอกและสาละวนคลึงเค้นอยู่ตรงนั้น ความรู้สึกเหมือนถูกปลุกด้วยกระแสไฟฟ้าวิ่งปราดไหลวนจากเส้นประสาทลงต่ำสู่ช่องท้อง เหมือนมีบอลลูนยักษ์พองอยู่ในอก ผีเสื้อนับล้านๆตัวบินว่อนอยู่ในกระเพาะ ดวงตาที่ถูกสะกดเมื่อครู่พร่าเลือน หูแว่วเสียงเนื้อผ้าเสียดสีตามด้วยเสียงของหัวเข็มขัดกระทบพื้น ก่อนภาพจะจับอีกครั้งเมื่อเพดานถูกบดบังด้วยใบหน้าหล่อเหลาของรุ่นพี่คนสนิท
“.....กันต์ครับ..”เสียงทุ่มเอ่ยแหบพร่าเว้าวอนในที ผมใช้มือยกขึ้นปิดริมฝีปากบางของพี่เอิร์ธไว้ มันได้ผลคือชายหนุ่มไม่อ้อนขอผมด้วยเสียงกระเส่าหากแต่ไล่จูบจากฝ่ามือไปยังปลายนิ้ว จากนั้นก็ดันหน้าขาผมให้ยกชัน มือนุ่มตามแบบฉบับของเภสัชกรไล่เค้นไปบนสัดส่วนของผมเนิบนาบ อารมณ์วาบหวามเข้าจู่โจมเมื่ออีกฝ่ายปรนเปรอและเย้าแหย่อย่างรู้งาน ก่อนสติผมจะเตลิดเปิดเปิงไปมากกว่านี้ ดวงตากลมก็ปิดลงเมื่อถูกบังคับให้สมยอมด้วยความอ่อนโยนทั้งหมด พี่เอิร์ธจับมือผมให้โอบรอบคอแล้วโน้มตัวลงมาบดริมฝีปากด้วยกลีบปากนุ่มชื้น พลางส่งปลายลิ้นหวานแทรกผ่านเข้ามาเนิบนาบแต่ดุดันในทีให้ผมรู้จักถึงรสจูบอันดูดดื่ม เผ็ดร้อนและหอมหวาน จากนั้นปลายนิ้วทั้งสิบจะจิกลงกลางแผ่นหลังกว้างเมื่อถูกอีกฝ่ายผสานกายเข้าหาอย่างนุ่มนวล
“...อุก.....!!......”
......พี่เอิร์ธกำลังบอกว่ารักผมด้วยร่างกาย......
แน่นอน... เรื่องนั้นผมรู้ดี-west-
แด่อีกันต์ ได้กดพี่เอิร์ธไหมล่ะแก
วันนี้ลงเร็วและกลางวันแสกๆ ช่วงนีเสาร์อาทิตย์ออกตจว.ทุกสัปดาห์เลย เน็ตกลางคืนไม่วิ่งเลยขอกันตอนร้อนๆนี่แหละ
ฉันล่ะเกลี๊ยดเกลียดนายเอกเรื่องนี้ อยากได้พี่เอิร์ธไว้ครอบครองเอง บู่วววว
เจอกันภายในสัปดาห์หน้าถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดนะครับ
ปล. เรื่องนี้ใกล้จบแล้ว ยอดไลค์เพจถึง300 เดี๋ยวเอาสเปเชียลคู่มินมาลงคั่นเวลา (โปรโมทเบาๆ)
ขอบคุณทุกคนที่ทนความโลเลของนายเอกเรามาจนบัดนี้ อีก 2 -3 ตอนน่าจะจบแล้ว อุกรี๊ด อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนเน่อ
อยากให้ทุกคนมีความสุขกับการอ่านคร้าบบ บ บ บ