Dahlia 03ผมลืมตาขึ้นมาช่วงบ่ายแก่ๆของวันเสาร์ เสื้อผ้ายังทรงชุดเดิมปลดแค่กระดุมสองเม็ดกับตะขอกางเกงให้หลวมพอนอนสบาย สาบานครับว่าไม่ได้เมา และไม่ได้กลับมาดึกดื่นจนไม่มีแรงไปอาบน้ำหรอก ก็แค่นอนลืมตามองเพดานมืดๆของห้องนอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนผล็อยหลับในสภาพเน่าๆเท่านั้น ส่วนไอ้สาเหตุที่ทำให้ผมต้องตาค้างหลับลงซักเกือบๆตีสี่ได้ ก็เป็นตัวเดียวกันกับที่ไลน์มาหาให้ผมลืมตาตื่นนี่แหละ
Earth
said ตื่นหรือยัง
Gun
said ยัง
Earth
said ละเมอคุย?
Gun
said พี่เอิร์ธมีอะไร?
Earth
said วันนี้พี่ออกเวรสองทุ่ม เดี๋ยวไปหาที่คอนโดนะ
Gun
said กันต์ไม่ว่าง
ผมตอบไปแค่นั้น เห็นมันกดอ่านแล้วเงียบไปเลยยันตัวเองลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจ นอนดึกแล้วกล้ามเนื้อแม่งล้าทั้งคัวจริงๆ ผมยืดเส้นยืดสายพักใหญ่แล้วเดินมาเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตา อาบน้ำอาบท่า ต้องซักผ้าแล้ว ดองมาเกือบๆเดือน
ชีวิตชายโสดก็แบบนี้ครับ ทำในสิ่งที่คิดว่าจำเป็น กางเกงในหมดค่อยขนเสื้อผ้าส่งร้านซักรีด เปลืองสัตว์อะแต่จะให้เป็นคนทำอะไรเองน่ะฝันไปเถอะ งานแบบนี้ผมยกให้สุภาพสตรีเลดี้เฟิร์สครับ ว่าแล้วก็อยากมีแม่บ้านส่วนตัวมาดูแลเหมือนกันนะ ติดอยู่ตรงว่าจะไปหาจากไหนให้ถูกใจว้า
คิดพลาง ทำความสะอาดร่างกายตัวเองไปพลาง พอสระผมเสร็จก็ใช้ผ้าเข็ดตัวเช็ดหัวเดินออกจากห้องน้ำ ร่างกายส่วนอื่นปล่อยให้มันโตงเตงโทงเทงไป ห้องนี้อยู่คนเดียวจะไปอายใคร ที่จริงผมชอบด้วยซ้ำแก้ผ้าอยู่ห้องเนี่ย สบายตัวดี ไม่เปลืองชุดอีก พอผมเริ่มหมาดก็โยนผ้าพาดพนักพิงเก้าอี้เป็นการตาก ไปห้องครัวรื้อๆมาม่ากระป๋องออกมาได้ก็เสียบกาน้ำร้อน เปิดแชนแนลจีโอกราฟฟิคทิ้งไว้ให้มีเสียงช้างร้องแปร๋นปรั๋นเป็นเพื่อน กระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังเลยวิ่งเข้าห้องนอนไปใหม่ ใครวะ ไม่ได้เม็มเบอร์ไว้ โทรมาเรื่องงานนี่กูด่าจริงเหอะ มันวันเสาร์แห่งชาตินะครับ
“สวัสดีครับ”
“ทำอะไรอยู่?”“แก้ผ้ารอน้ำเดือดครับ กำลังจะต้มมาม่าแดก นั่นใครครับ”
“ฮะๆ อะไรของเราเนี่ย พี่เอง..”พี่เอง..พี่เอิร์ธ..ไอ้เชี่ยขุน!“ไปแต่งตัวก่อนไหม เดี๋ยวไม่สบาย พี่ถือสายรอได้”“อ่า ไม่เป็นไรพี่ มีอะไรหรือเปล่าโทรหากันต์เนี่ย”
“เย็นนี้กันต์ไปไหนเหรอ?”เวรละ.. สคริปสด! ผมตวัดลิ้นเลียปากนิดๆ กรอกตาใช้ความคิด ไปไหนดีวะ
“กันต์ว่าจะไปซื้อของเข้าคอนโดอะพี่ เนี่ยที่ห้องไม่มีอะไรเลย ต้องกินมาม่าแล้ว”
“อ้อ เหรอ งั้นเดี๋ยวรอพี่ก่อนนะ จะพาไป กันต์ไม่มีรถไม่ใช่เหรอ”“ไม่เป็นไรพี่ ตั้งไกล กันต์ไปเองได้ครับ”
“แต่พี่อยากไปหา โอเคนะ จะซื้ออะไรทำลิสท์ไว้เลย คนไข้มาแล้ว เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะครับ”เออครับ ตามสบายครับเดี๋ยวนะ.. ทำลิสต์ซื้อของใช้ในบ้าน นี่มันแม่บ้านชัดๆเลยครับพี่เอิร์ธธธธธธ ผมทำตาเหลือกมองโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายของตัวเองไปแลวด้วยอาการดิ้นเร่า แลกซ์เหี้ยอะไรวะชนกันต์ มึงโหลดช้าแรมต่ำอะไรขึ้นมาถึงปล่อยให้มันตีรันฟันแทงโป๊ะป๊ะโป๊ะเป้งได้ฝ่ายเดียว สุดท้ายมายืนอ้าปากพะงาบๆเพราะแย้งไม่ทัน อยากจะสำรอกความโง่เขลาของตัวเองออกมาจริงๆเลย
ผมเกาหัวแกรกๆ จะทิ้งตัวลงนอนเสียงกาน้ำร้อนก็ดีดให้ผมต้องแบกสังขารปลวกๆของตัวเองหยิบถ้วยกระดาษรักษ์โลกไปกดน้ำร้อนต้มมาม่ามานั่งกินหน้าทีวี เปลี่ยนช่องมาดูมวยไปกินมื้อแรกของวันไป พออิ่มก็เรอเบิ้กออกมาแล้วเอาช้อนส้อมไปดองรวมกับจานที่ยังไม่ได้ล้างเมื่อสามวันก่อนและปล่อยให้มันหมักหมมเข้าสู่วันที่สี่ ส่วนตัวเองก็หมุนตัวกลับมาทิ้งร่างลงบนโซฟานุ่มนิ่ม คว้าเอาบ็อกเซอร์ที่เคยใส่แล้วโยนไว้แถวนั้นมาสวมลวกๆกอดหมอนกาฟิวส์ยักษ์ที่ซื้อช่วงที่โลตัสลดราคาเหลือ199แนบอก หมอนโง่ๆนี่ผมมีสองใบ อีกใบเอาไว้กอดนอนบนเตียงเป็นสีส้มเหมือนกันทั้งคู่ ตอนตัดสินใจซื้อห้องนี้พี่เมก็เป็นอีกคนที่ยุให้ผมซื้อแทนเช่าหอเหมือนสมัยเรียน โดยพี่เมก็ซื้อห้องติดๆกันไว้ด้วยแต่เพราะส่วนใหญ่แล้วจะมาอยู่กับผมมากกว่าสุดท้ายห้องนั้นเลยปล่อยเช่าแล้วเปลี่ยนเป็นซื้อของใช้เข้ามาอยู่กินกับผมในช่วงหนึ่งแทน หมอนนี่ก็เป็นสมบัติหนึ่งในหลายอย่างที่พี่เมทิ้งไว้ดูต่างหน้า ไหนจะสลิปเปอร์ต่างไซต์ แก้วกาแฟคู่รัก ขวดพริกไทกับเกลือ โอย เรียกได้ว่าตอนลา หญิงสาวอายุมากกว่าแทบไม่เอาอะไรไปเลยนอกจากตัวและหัวใจ แถมไว้ด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสให้ผมหลาบจนบัดนี้ โชคดีอย่างเดียวของผมคือพี่เมไม่ได้ทิ้งผมไปมีคนใหม่ ยังเป็นอาจารย์เมธาวีคนเดิมคนดีให้ผมแอบรอลึกๆว่า บางทีเธอวันที่เธอเหงาเกินจะอยู่คนเดียวอาจจะ
หันกลับมาเข็มนาฬิกาค่อยๆหมุนไปเรื่อยเอื่อยในวันเสาร์ ผมหมดเวลากับการดูโทรทัศน์ก่อนขยับขยายเก็บเสื้อผ้าที่กองระเกะระกะตลอดวันทำงานลงตะกร้า กว่าจะเปิดม่านสีครีมน้ำตาลวันนี้ได้ก็พบว่าข้างนอกเป็นสีดำหลังพระอาทิตย์ตกดินเสียแล้ว ปกติของหน้าหนาว แค่หกโมงฟ้าก็มืด แต่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลอุณหภูมิไม่ยักจะลดมากพอให้รื้อเอาเสื้อกันหนาวมาใส่เหมือนสมัยประถม ว่ากันว่าโลกร้อนขึ้นท่าจะจริง
ผมเดินวนไปวนมาหาถุงเท้าที่ไม่ครบคู่อยู่พักใหญ่ ลอนดรีใต้คอนโดเปิดถึงสองทุ่มครึ่งดังนั้นควรขนผ้าลงไปซักก่อนร้านปิด สายวันอาทิตย์จะได้ไปรับผ้าคืนทันใส่วันจันทร์ แวะมินิมาร์ทข้างร้านซักผ้าซื้ออะไรมารองท้องสักหน่อยน่าจะพอดีกับเวลาที่พี่เอิร์ธบอกจะมาหา ไม่ได้ตั้งตารอหรอกครับ แต่พอนึกๆดูไปห้างแล้วชวนมันไปซื้อชุดไปงานแต่งก็ดีเหมือนกัน ผมมั่นใจว่ารสนิยมพี่แกน่าจะเวิร์คกว่าผมเยอะ แต่งเสร่อๆไปเดี๋ยวจะถูกไอ้จ๊อบเจ้าบ่าวขี้เต๊ะแขวะกลางงาน ผมกับมันไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่ ก็เจ้าสาวของมันเนี่ยผมเองก็เคยหม้ออยู่พักหนึ่งก่อนคบกับพี่เม รายนั้นพอรู้ว่าแฟนตัวเคยชะแว้บแอบคุยกับผมลับหลังก็กลายเป็นมองหน้ากันไม่ค่อยติด โชคดีที่ไม่ได้ไปถึงขั้นไหนต่อไหน พอผมตกลงปลงใจกับพี่เมก็เลิกยุ่งกับเอ้ขาด ระหว่างผมกับไอ้จ๊อบเลยกลายเป็นแค่เคืองกันนิดๆ นิดเดียวจริงๆ
“กันต์”เสียงเรียกคุ้นหูดังขึ้นก่อนเวลา ผมสวมเสื้อกล้ามตาห่านกับบ็อกเซอร์ลงมาส่งผ้าซัก ตอนนี้กำลังยืนรอลิฟท์ พอได้ยินพี่เอิร์ธเรียกก็หันกลับไปยิ้มแหย กอดตะกร้าผ้าสีฟ้าเอาไว้ “ไหนว่ามาสองทุ่มไงพี่”
“พี่แลกเวรน่ะ เห็นว่าเราต้องไปซื้อของ กลัวช้าแล้วห้างจะปิด เอาผ้าลงมาซักเหรอ?”
“ครับ งั้นเดี๋ยวพี่ขึ้นไปรอกันต์แป๊บนึงนะ ขอแต่งตัวหน่อย ไปชุดนี้คงไม่ไหว”
พี่เอิร์ธหัวเราะร่วนรุนหลังผมพอดีกับประตูลิฟท์ที่เปิดออก เมื่อวานพามาส่งหน้าคอนโดแต่ไม่ได้บอกห้อง วันนี้คงได้ข้อมูลมาจากไอ้ระยำขุนเลยกดเลขชั้นให้เสร็จสรรพ แถมพอถึงก็เดินนำหน้าไปหยุดที่ห้องผมโดยพลการอีกด้วย
“ไอ้ขุนบอกอะไรพี่มาบ้างเนี่ย”
“ก็บอกว่ากันต์โสด เพิ่งเลิกกับอาจารย์สอนมหาลัยอายุมากกว่าได้ครึ่งปีแล้ว”
ผมหัวเราะแล้วเถียง “เพิ่งเลิกแค่ห้าเดือนเอง ขุนแม่งโม้”
“มันปัดขึ้นมั้ง พี่นั่งรอที่โซฟานะ”
“เอาเลยพี่ รีโมทอยู่ตรงนั้นแหละ”
“เฮ้ย จะให้
เอาเลยเหรอ ใจร้อนว่ะ”
เป็นเรื่องปกติธรรมดาครับที่ผู้ชายจะพูดอะไรซันไลๆแบบนี้ออกมา ผมน่ะไม่ถือหรอกถ้าไม่ติดว่าไอ้คนพูดน่ะมันจ้องจะ
เอา ผมอยู่จริงๆ ด้วยอารมณ์เซ็งๆปนหมั่นไส้เลยถอดเสื้อกล้ามเหม็นเหงื่อออกมาม้วนแล้วปาใส่มัน พี่เอิร์ธหัวเราะร่วนแต่ยังไม่หยุดพูดจาทุเรศ “ถอดเสื้อยั่วอีกนั่น”
“พอเหอะพี่เอิร์ธ นั่งดูทีวีเงียบๆไปเลย”
ความสัปดนมันเติบโตตามอายุ เชื่อเถอะครับ เมื่อก่อนพี่เอิร์ธไม่ใช่แบบนี้นะ จะเป็นเหมือนคุณชายๆหน่อย พูดน้อย เรียบร้อย อบอุ่น กิริยาทะลึ่งทะเล้นนี่เพิ่งเห็นเหมือนกัน ไม่รู้ไปหัดมาจากไหน พวกหมอพวกเภสัชเขาน่าจะเรียบร้อยไม่ใช่เหรอ? หรือผมเข้าใจอะไรผิดไป??
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ คุณชายก็พาผมนั่งแคมรี่ไฮบริดจ์สีขาวออกจากคอนโด พี่เอิร์ธอารมณ์ดีเหมือนครั้งที่แล้วที่เจอกัน ทันทีที่จอดรถก็พาเดินเข้าซูปเปอร์ แม้ผมจะมาที่ห้างนี้บ่อยครั้งจนแทบจะสัปดาห์เว้นสัปดาห์ แต่ซื้อของเข้าห้องนี่ก็เลิกทำตั้งแต่อยู่ตัวคนเดียว พอได้มาจับรถเข็นก็อดไม่ได้ที่จะเขินหน่อยๆ ไม่รู้ว่าเพราะกำลังชอปปิ้งเหมือนพวกผู้หญิงหรือเพราะที่มากับอีกคนซึ่งเป็นผู้ชาย มิหนำซ้ำยังหล่ออีกด้วยกันแน่
“พวกอาหารกึ่งสำเร็จรูปเพลาๆหน่อยดีไหม ของพวกนี้กินมากๆเข้าจะอันตรายนะ”
ครับ คุณพ่อผมก้มลงสวดอาเมนให้ลังมาม่าที่ยกใส่รถเมื่อสองนาทีที่แล้วก่อนจะถูกหนุ่มแว่นยื้อมันกลับไปวางลงบนชั้นเดิม ของในรถเข็นตอนนี้มีแต่นม น้ำผลไม้ คุกกี้ ขนมปัง และธัญพืช มีถุงขนมก๊อบแก๊บจำพวกเลย์แผ่นเรียบสีเหลืองกับทาโร่นิดหน่อย บางทีแอบรู้สึกว่าคิดผิดหรือเปล่าที่ชวนพ่อหมอยามาชอปปิ้ง แต่เอาเถอะ ไว้ซื้อมาม่ากระป๋องใต้คอนโดไปตุนอีกทีวันที่มันไม่อยู่ก็ได้
“เอาอะไรอีกไหม กันต์กินผลไม้หรือเปล่า”
“แอปเปิลก็ดีครับ เก็บไว้ได้นาน”
ผมตอบ พอดีกับรถเข็นเลี้ยวไปยังโซนของสด ผลไม้จำพวกองุ่นเป็นอีกอย่างที่พี่เอิร์ธหยิบใส่ตะกร้านอกเหนือจากที่ผมเสนอ ทันทีที่ได้ของครบถูกใจคนมาด้วยก็เข็นรถไปจ่ายเงิน ผมรูดบัตรซื้อเผื่อมีแคชแบค หมดไปเกือบๆพัน
“เดี๋ยวกินอะไรเลยไหม จะสามทุ่มแล้ว ครัวในห้างจะปิดเสียก่อน”
“กันต์อยากได้เสื้อใส่ไปงานแต่งอะพี่เอิร์ธ”
“หืม? เพื่อนแต่งงานแล้วเหรอ “
“ครับ สิ้นเดือนนี้ กันต์ว่าจะซื้อเชิร์ตใหม่กับเนคไทค์ พี่เอิร์ธช่วยเลือกหน่อยสิ เดี๋ยวเสร็จแล้วพาไปเลี้ยงอาหารเวียดนามในซอย”
คนตัวโตหัวเราะร่า คงไม่คิดว่าผมจะเอาของกินมาล่อ ร้านค้าในห้างทยอยปิดบ้างแล้วแต่พี่เอิร์ธมีแบรนด์ประจำแนะนำ ซึ่งโชคดีของผมที่ว่าร้านนั้นยังไม่ปิด
“พี่ว่าเชิร์ตสีชมพูอ่อนกับเนคไทค์ลายนี้ก็ดีนะ”
เป็นภาพที่ไม่ค่อยน่ารักหรอกครับเวลาที่เห็นผู้ชายคนหนึ่งหิ้วถุงก๊อบแก๊บพะรุงพะรัง ส่วนผู้ชายอีกคนยกเสื้อเชิร์ตแขนยาวสองตัวขึ้นมาเทียบกันในร้านขายเสื้อแบรนด์ พนักงานขายยังยิ้มกรุ้มกริ่มด้วยซ้ำตอนที่พี่เอิร์ธพยักเพยิดไปยังตัวสีหวาน แทนที่จะเป็นอีกตัวซึ่งเป็นสีเหลืองนวล
“สีเหลืองก็สวยนะ” ผมทำท่าลังเล ถึงยอมรับว่าเชิร์ตสีชมพูกับเนคไทค์เส้นนั้นจะเข้ากันได้ดีกว่าแต่ก็อดรู้สึกแปลกๆไม่ได้ คนมาด้วยสบตากับผมตรงๆแล้วยักยิ้ม “สีนี้แหละ เชื่อพี่”
ไอ้คนแนะมองด้วยสายตาแบบมีเลศนัย ผมจึงกลั้นใจหันไปถามพนักงานซ้ำอีกรอบ เจ้าหล่อนหัวเราะคิกคักกับตัวเองแล้วทำท่าเห็นดีเห็นงามไปกับพี่เอิร์ธ ไม่รู้ว่ามันดูดีเหมาะกับผมจริงหรือตอบส่งๆเพื่อเร่งปิดร้านกันแน่
กระนั้นสุดท้ายผมก็ยอมพยักหน้าซื้อเสื้อพร้อมเนคไทค์เส้นดังกล่าว แต่พอจะยื่นบัตรเครดิตให้พี่เอิร์ธกลับร้องฮื่อแล้วส่งบัตรของตัวเองให้พนักงานแทนโดยอ้างว่าตัวเองเป็นลูกค้าประจำ มีส่วนลดของแบรนด์นี้อยู่แล้วหน้าตาเฉย
“ไว้กันต์ค่อยคืนเป็นเงินสดดีกว่า”พี่เอิร์ธยิ้มสดใสบอก พนักงานคนเดิมเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมถุงกระดาษให้ผมรับไว้ จากนั้นก็พากันถือของพะรุงพะรังไปยังลานจอดรถ พี่เอิร์ธกดรีโมทให้ไฟหน้าแคมรี่คันเดิมกระพริบ วางถุงพลาสติกทั้งหมดไว้เบาะท้าย ส่วนผมก็นั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถกอดถุงเสื้อผ้าไปตามระเบียบ คาดเข็มขัดเสร็จรุ่นพี่ใจป๋าก็เลื่อนเกียร์เคลื่อนรถ ไม่วายหันมาถามอีกรอบเพื่อความมั่นใจ “กันต์อยากกินอะไรนะ? อาหารเวียดนามเหรอ?”
“ครับ มีร้านนึงอยู่ในซอยแถวๆคอนโด อร่อยสุดยอด พี่เอิร์ธลองไหม หรืออยากกินอย่างอื่นก็ได้นะ กันต์ไม่มายด์?”
“เอาสิ อาหารเวียดนามก็ได้” สารถีว่าง่าย พูดจบก็ยกมือออกจากเกียร์มาคว้าเอามือผมไปจับหน้านิ่ง
“กันต์ว่าไงพี่ว่างั้นแหละ”“งั้นกันต์ว่าพี่เอิร์ธปล่อยมือกันต์ดีกว่า”
“แต่อันนี้พี่ไม่เห็นด้วยว่ะ” ไม่ใช่แค่รั้น พี่เอิร์ธยังดึงมือผมไปจูบหน้าด้านๆ “วันก่อนยังไม่ตอบพี่เลย”
“ตอบอะไร?”
“ที่ถามว่าคิดถึงกันบ้างหรือเปล่าไง”
ความเงียบก่อตัวภายในห้องโดยสารแคบๆอีกครั้ง คราวนี้พี่เอิร์ธไม่ได้เค้นด้วยสายตา หากแต่ใช้เสียงลมหายใจบีบบังคับให้ผมพูดอะไรสักอย่าง
“กันต์มีแฟนมาสองคนหลังจากเรียนจบ ยังไม่พอกับคำถามนั้นอีกเหรอ”
ถ้าคิดถึง ถ้ายังลืมไม่ได้จะมีคนอื่นได้ไง...ผมเลี่ยงที่จะตอบ แต่พี่เอิร์ธก็ยังไม่ตั้งใจนึกถึงจุดประสงค์ที่ผมพูดแบบนั้น
“มันก็เป็นเรื่องที่จบไปแล้วไม่ใช่เหรอ แฟนกันต์น่ะ”
ผมถอนหายใจผ่านโพรงจมูกยาว เอาหัวพิงกระจกรถทั้งๆที่มือยังถูกอีกฝ่ายบีบเล่นอยู่
“กันต์ลืมมันไปหมดแล้ว เรื่องตอนนั้น...”
ผมเว้นวรรคให้อีกฝ่ายพักใจ เบือนสายตาออกไปยังท้องถนนที่ยังมีแสงของไฟรถคลาคล่ำสีแดงสลับเหลือง “อดีตของกันต์ที่จบไปแล้วมัน
คือกันต์กับพี่เอิร์ธต่างหาก”
ภาพที่สะท้อนจากกระจกรถเป็นเสี้ยวหน้าของชายหนุ่มอายุไล่เลี่ยกับผม ใต้แว่นกรอบดำสายตาคมจ้องออกไปไม่สิ้นสุดขณะที่กลีบปากกดยิ้มน้อยๆเหมือนสิ่งที่ผมพูดเป็นเรื่องน่าขันมากเกินกว่าจะเก็บมาใส่ใจ
“งั้นเรามาพิสูจน์กัน ว่ากันต์ลืมมันจริงๆหรือเปล่า”พี่เอิร์ธละสายตาจากท้องถนนมาสบกับผมครู่หนึ่ง และกลับเป็นตัวผมเองจะเป็นฝ่ายเบือนหนีแววตาอ่อนโยนนั่นก่อน สารถีจึงค่อยกวาดตากลับไปจ้องมองบนทางสายยาวอีกครั้ง
ถ้าบอกว่าเป็นการโกหกก็ไม่ใช่ พูดความจริงก็ไม่เชิง เรื่องราวระหว่างผมกับพี่เอิร์ธมันกำลังดำเนินไปสู่ธรรมนองคลองธรรมที่เหมาะสม ส่วนเรื่องของความปลาบปลื้มประทับใจนั่น ปล่อยมันไว้เป็นเพียงแค่เรื่องราวดีๆในชีวิตจะดีกว่า
ผมถอนหายใจอีกครั้ง มองนาฬิกาหน้าคอนโซลรถเป็นเวลาเกือบห้าทุ่ม โชคดีที่ร้านอาหารดังกล่าวกำหนดปิดครัวตอนเที่ยงคืน ดังนั้นเมื่อรถเทียบจอดที่ลานจอดหน้าร้าน จึงยังพอมีลูกค้าอยู่บ้างประปราย อาหารมื้อที่สองระหว่างเราไม่ได้อึดอัดเท่ามื้อแรก แต่ผมก็ยังไม่อาจหายใจได้ทั่วท้องอย่างที่ควร ถูกเล่นงานด้วยสงครามประสาทพักใหญ่ พอหนังท้องตึงได้ที่พี่เอิร์ธก็เรียกบริกรมาเก็บบิล ซึ่งทั้งๆที่ผมบอกว่าจะเลี้ยงแต่เภสัชกรหนุ่มก็เจ็บตัวไปตามระเบียบก่อนเดินนำผมกลับมาที่รถ
"ขอบคุณครับ"
เวลานี้แม้จะพยายามพูดอะไรสักอย่างทำลายเสียงเงียบที่น่าหนวกหูระหว่างเรา แต่ดูเหมือนจะเป็นเพียงการตบมือข้างเดียว เพราะอีกฝ่ายยังคงโนซิกแนล แคมรี่สีขาวเคลื่อนออกจากร้านอาหารมายังจอดบนลานจอดรถคอนโดในเวลาไม่นานนัก พี่เอิร์ธดับเครื่องรถแล้วหยิบถุงพลาสติกจากเบาะหลังเข้าสู่ตัวอาคารไม่ทันฟังคำทักท้วง เดินขึ้นลิฟท์กดชั้น กระทั่งไปหยุดยืนหน้าประตูห้องโดยไม่ปรึกษาหรือขออนุญาตใดๆให้ผมจนปัญญาจะขับไล่
ไม่ใช่รังเกียจอะไร แค่คิดว่ามันดึกเกินกว่าจะมานั่งเล่นที่ห้องผมแล้วก็เท่านั้น"จะค้างเหรอครับ"
ที่ถามแบบนั้นเพราะพอไขประตูห้องเข้าไปอาคันตุกะก็เดินเอาของกินไปเก็บในครัว อาหารสดและนมถูกลำเลียงเข้าตู้เย็นแบบไม่มีทีท่าว่าจะกลับ หากแต่คำตอบที่ได้รับกลับไม่ตรงคำถาม
"กันต์ไปอาบน้ำก่อนเถอะ"
พอเข้าโหมดสั่งนิ่งๆแบบนี้ผมก็หางลู่หูตกกันเลยทีเดียว เดินยีหัวยุ่งๆของตัวเองกลับเข้าห้องนอน คอนโดที่ผมอยู่เป็นห้องชุดที่มีห้องน้ำอยู่ข้างนอก พอหยิบผ้าขนหนูกับชุดนอนเสร็จก็ต้องออกมาใหม่ เห็นพี่เอิร์ธกำลังพับถุงพลาสติกเข้าเก๊ะตรงเคาท์เตอร์ครัวก็ไม่ได้ใส่ใจ เข้าไปอาบน้ำสระผม สวมเสื้อบอลกับบอกซ์เซอร์ให้สบายตัวสบายใจ เบื่อครับ ไม่ชอบอยู่ในห้วงอารมณ์ดราม่า พอล้างหัวเสร็จก็รู้สึกโล่งๆขึ้น กลับออกจากห้องน้ำมาอีกที คราวนี้เภสัชกรหนุ่มกำลังนอนดูทีวีอยู่บนโซฟาหน้าตาท่าทางดีขึ้นกว่าเดิมเหมือนกัน
"อาบน้ำไหมพี่เอิร์ธ"
"เดี๋ยวกลับไปอาบบ้าน"
"อ้าว กันต์นึกว่าพี่จะค้าง"
พี่เอิร์ธส่ายหัว เรียกผมให้ไปนั่งด้วย "เรื่องนี้สนุกดีนะ พี่ดูสามรอบแล้ว ลงไปนั่งพื้นไป เดี๋ยวเช็ดผมให้"
"เฮ้ย ไม่เป็นไร"
ถึงปากจะเถียง แต่พอหันไปเห็นตาดุก็ต้องยอมนั่งขัดสมาธิไปบนพรมหน้าโซฟาด้วยความจำนน พี่เอิร์ธโยนหมอนกาฟิวส์ให้ผมกอดขณะที่ตัวเองเริ่มละเลงมือบนหัวผมช้าๆ เมื่อก่อนพี่เมก็เคยเช็ดผมให้ นั่งท่าแบบนี้เลย แต่ไม่อยากจะเชื่ออย่างคือมือพี่เอิร์ธนิ่มกว่ามือพี่เมที่เป็นผู้หญิงอีก อาจเพราะอารมณ์ตอนที่ทำให้มันต่างกัน พี่เมติดจะหมั่นเขี้ยวเลยชอบแกล้งยีหัวผมแรงๆ ขณะที่พี่เอิร์ธเหมือนทำด้วยความเอ็นดู ทะนุถนอม
ผมถอนหายใจยาวอีกเฮือกใหญ่
มันก็ดีอยู่หรอก ถ้าพี่เอิร์ธเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ไม่ใช่หนุ่มแว่นตัวอย่างควายนี่อะนะ
-west-
สวัสดีวันอาทิตย์ยิ้มแฉ่งสีแดงสดใส
วันนี้แว้บมาบอกว่า ตัวละครยังออกไม่หมด อย่าเพิ่งนับศพทหาร
ปล. เตือนไว้หน่อยเรื่องนี้ไม่มีเทพบุตรค่ะ มีแต่เดวิลตัวน้อยๆ 5555+
เจอกันวันอาทิตย์หน้า รักนะคะคนดีของฉัน 