เวลาเลยเข้าวันใหม่มาได้ไม่นานสุริยะมณฑลก็กลับถึงบ้าน เขาถอดเสื้อสูทตัวนอกออกพาดไหล่พร้อมผิวปากอย่างอารมณ์ดี ตอนนี้ชายหนุ่มอยากอาบน้ำอุ่นให้สบาย แล้วลงไปนอนกอดพระจันทร์ด้วยตัวหอมๆให้ชื่นใจ แล้วพรุ่งนี้เขาจะขอเกงานสักวัน จะพาพระจันทร์ไปเที่ยวที่เกาะลัมมา เดินเล่นที่ริมชายหาดห่งเซ็งเหย่ ดูวิถีชีวิตผู้คนที่ไม่ต้องเร่งรีบแบบคนเมือง เดินลงเท้าไปเรื่อยๆบนผืนทรายนุ่มๆ จากนั้นค่อยพาไปหาอะไรอร่อยๆทานที่ฝั่งเกาลูน... ชายหนุ่มวาดแผนการที่ตั้งใจจะทำเอาไว้สวยหรู ยิ่งพอนึกถึงหน้าคนชอบเที่ยวที่มักบ่นว่าเขาไม่ค่อยมีเวลาให้กำลังยิ้มแก้มปริยินดีกับการที่ได้เที่ยวสมใจสักทีแล้วมันก็อดที่จะต้องรีบสาวเท้าให้เร็วขึ้นไม่ได้ ไม่อยากจะปลุกคนกำลังป่วยให้ตื่นมากลางดึกตอนนี้หรอกนะ แต่ถ้าตอนหัวค่ำพระจันทร์ได้ดูถ่ายทอดสดงานในวันนี้แล้วล่ะก็อาจจะกำลังตื่นรอฟังคำอธิบายจากเขาอยู่ก็ได้...
สุริยะมณฑลรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่วันนี้ห้องนั่งเล่นนั้นเงียบเชียบผิดปกติ ดูท่าทางชิวชิว ซิมบ้า และเจ้าลูกหมาตาบอดคงถูกระเห็จออกไปนอนกับใครสักคนข้างนอกห้องล่ะมั้ง ชายหนุ่มคิดได้ดังนั้นก็ยกมือขึ้นแตะลูกบิดประตูห้องนอนของพระจันทร์ มันไม่ได้ล็อกเหมือนอย่างเคย ชายหนุ่มยิ้มกริ่ม ประตูไม้อย่างดีไม่มีส่งเสียงเอี๊ยดน่ารำคาญตอนเขาเปิดเข้าไป ภายในห้องยังคงมืดเหมือนทุกวัน แสงจันทร์ที่ทอส่องลอดเข้ามาบางๆเพราะโดนม่านบังไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสงสัยอะไร แต่เมื่อเขาลองสาวเท้าเข้าไปที่เตียง...สัญญาณของสิ่งมีชีวิตที่เขาจับไม่ได้เลยก็เริ่มเขย่าความรู้สึกสุริยะมณฑลให้ใจเต้นแรงขึ้นมาเล็กน้อย
ชายหนุ่มควานมือไปที่โต๊ะข้างเตียงแล้วเปิดไฟห้องอย่างคุ้นเคย แสงสว่างจากไฟกลางห้องติดพรึ่บ สาดแสงไปทั่วทั้งห้องรวมทั้งเตียงที่มีการคลุมผ้าเอาไว้อย่างดีราวกับมันไม่เคยมีคนนอนมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น...
“...พระจันทร์” เสียงสุริยะมณฑลแหบต่ำครางเรียกอีกคนดังก้องขึ้นในห้องที่เงียบสนิท ทว่ามันกลับไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตใดๆตอบรับ สายตาคมตวัดมองไปทางห้องน้ำก็นึกรู้ว่าพระจันทร์ไม่ได้อยู่ที่นั่นแน่ จึงรีบหมุนเท้ากลับไปที่ห้องฝั่งตัวเองแล้วเปิดประตูออก ไฟในห้องสาดแสงส่องภาพเตียงกว้างหลังใหญ่ซึ่งมีการคลุมผ้าห่มเอาไว้เรียบตึง เพื่อรอให้เจ้าของห้องได้สอดตัวลงไปนอนอย่างอุ่นสบายเริ่มทำให้หัวใจของสุริยะมณฑลเต้นอย่างผิดจังหวะ ชายหนุ่มเดินกลับไปที่ห้องของพระจันทร์อีกครั้งเพื่อสำรวจทั้งห้องน้ำและตู้เสื้อผ้าให้เห็นกับตา ว่ามันต้องไม่ใช่อย่างที่เขาคิด...แต่ทว่าที่ตู้เสื้อผ้านั่นเองที่ทำให้เขาค้นพบความผิดปกติอย่างจริงจังเมื่อข้างที่เอาไว้ใส่ชุดแขนยาวของพระจันทร์กลับว่างโล่ง ราวกับไม่เคยมีเสื้อตัวใดแขวนอยู่ในนั้นเลย
“...ไม่...” เสียงครางแหบต่ำหลุดออกมาแค่คำเดียว ในหัวเต้นตุ้บ ขณะที่หัวใจเริ่มเต้นรัวเร็วอย่างผิดจังหวะ สุริยะมณฑลเอามือจับไปที่หัวใจของตัวเอง เมื่อความรู้สึกวูบโหวงก่อนงานจะเริ่มในช่วงหัวค่ำมันกลับเข้ามาเล่นงานเขาอีกครั้ง และดูเหมือนว่าครั้งนี้มันจะมากกว่าเดิมเสียด้วยสิ
“ตี้เฉิน!!!!!!!! ใครก็ได้...ใครก็ได้ที่อยู่ข้างนอก!! เข้ามาที่นี่เดี๋ยวนี้!!!!”
เสียงร้องตะโกนที่แทบจะเป็นเสียงคำรามดังลั่นออกมาจากห้องนอนของพระจันทร์ ตี้เฉินที่นอนอยู่ชั้นเดียวกับเจ้านายเป็นคนแรกที่กระโดดลงจากเตียงนอนแล้ววิ่งเข้าไปหาต้นเสียง แม่บ้านสาวใหญ่เองที่ก็นอนไม่หลับเป็นอีกคนที่รีบวิ่งขึ้นไปชั้นสองของบ้านอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ยังมีเจ้าบ้านใหญ่อย่างคุณศิลาและรังสิมันต์ที่ลงรถมาทันได้ยินเสียงคำรามดังลั่นของสุริยะมณฑลที่รีบตามขึ้นไปอีกด้วย
ตี้เฉินที่เป็นคนแรกที่ก้าวเท้าเข้าไปในห้องของพระจันทร์ก็ถูกสุริยะมณฑลคว้าคอเสื้อเข้าหมับทันทีอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว แรงกระชากที่ไม่เบามือเลยบ่งบอกให้รู้ว่าร่างสูงใหญ่ตรงหน้านั้นคงเส้นสติเอาไว้แทบจะไม่อยู่แล้ว ตี้เฉินเองที่แม้จะทำงานกับสุริยะมณฑลมานานยังต้องมือสั่นไม่กล้าแม้แต่จะเอาไปจับมือของสุริยะมณฑลที่ดึงคอเสื้อเขาเอาไว้แน่นจนแทบจะหายใจไม่ออก ดวงตาสีนิลคมเข้มดั่งขุมนรกจ้องเขม็งมาที่เขาอย่างต้องการคาดคั้นเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เขารู้ออกมาให้หมด
“บอกมา...พระจันทร์...อยู่ที่ไหน” ตอนแรกตี้เฉินคาดหวังที่จะได้ยินเสียงขู่ตะคอกที่ดังลั่นราวฟ้ากัมปนาทแบบเมื่อครู่ แต่น้ำเสียงเย็นเยือกที่ได้ยินตอนนี้กลับน่ากลัวกว่าเป็นหลายสิบเท่านัก
“คะ...คุณหนู...คุณ...”
“ฉันถาม...ว่าพระจันทร์...อยู่ที่ไหน! รีบตอบมา...ก่อนที่ฉันจะอดทนไม่อยู่” น้ำเสียงเย็นเยือกและสั่นไหวถามซ้ำ ตี้เฉินที่หายใจแทบไม่ออกเพราะแรงดึงคอเสื้อตอบได้แบบตะกุกตะกัก
“คะ...คุณหนู...ไม่...อยู่...ที่..นี่...”
“ฉันถามว่าเมียฉันอยู่ไหน!!!! แกพาเมียฉันไปซ่อนไว้ไหน!!! ห๊ะ!! ไอ้ตี้เฉิน!!” พร้อมกับที่สิ้นสุดคำเรียกชื่ออีกฝ่าย สุริยะมณฑลก็ประเคนหมัดใส่เข้าแก้มซ้ายตี้เฉินเข้าจังๆจนร่างที่สูงใหญ่พอกันล้มฟุบลงไปกระแทกกับขอบเตียงดังปึ้ก คุณแม่บ้านสาวใหญ่ที่เข้ามาทันเห็นฉากนั้นรีบยกมือขึ้นมาปิดปากเพื่อกลั้นเสียงหวีดร้องตกใจของตนเอง แต่ก็ไม่กล้าจะก้าวเท้าเข้าไปช่วยตี้เฉินเมื่อสายตาดุดันแสนน่ากลัวของสุริยะมณฑลที่หล่อนไม่เคยได้เห็นฉายชัดว่าถ้าเขายังไม่ได้คำตอบจากตี้เฉิน ก็อย่าหวังเลยว่าใครจะได้ตัวมันกลับไปในสภาพศพที่มีแขนขาครบ!
“ฉันหวัง...ให้แกดูแลหัวใจของฉัน...แล้วดูที่แกทำ แกทำหัวใจฉันหายไป...แกทำได้ยังไงวะ!!!” เพราะตี้เฉินเองฟังพูดภาษาไทยได้คล่อง สุริยะมณฑลจึงใส่อารมณ์ลงไปในคำพูดอย่างสุดความรู้สึกที่มันปะทุขึ้นมาอยู่ตอนนี้
ร่างสูงใหญ่ทำท่าจะเข้าไปซ้ำกับลูกน้องคู่ใจที่ทำงานด้วยกันมานาน แต่ดีที่รังสิมันต์ไวพอจะเข้าไปเหนี่ยวตัวพี่ชายตัวเองเอาไว้ได้ ตี้เฉินจึงได้จังหวะพอให้ลุกขึ้นยืนใหม่ แม้จะมีท่าทางเซไปด้านข้างเพราะแรงต่อยเมื่อครู่ทำเอาร่างกายปรับสมดุลไม่ทันก็ตาม
“ใจเย็นน่าอาทิตย์! พระจันทร์จะหายไปไหนได้ เขาป่วยอยู่ไม่ใช่รึไง!” รังสิมันต์ที่พยายามช่วยเกลี้ยกล่อมพี่ชายตัวเองเอามือล็อกคอกับแขนของสุริยะมณฑลไว้ แต่คนที่ร่างสูงใหญ่พอกันกลับเอาแต่สบัดตัวออกจากการเกาะกุมจนคนเป็นน้องชายเองก็ยังต้องเซ
“ใช่!! พระจันทร์กำลังป่วย...กูกลับมาก็ควรจะเห็นเขานอนอยู่บนเตียง แต่ดู...ดูนี่สิ...ไหน เมียกูอยู่ไหน...ตอบมาสิ...ตอบมาเซ่!!! อยู่กันทั้งบ้านขนาดนี้แต่ตอบกูไม่ได้งั้นเหรอว่าเมียกูหายไปไหน...ใครเอาพระจันทร์ของกูไป!...หายไปไหน...พระจันทร์หายไปไหน!!!”
“คะ...คุณหนู...ไม่อยู่แล้วค่ะ คุณหนูไม่อยู่แล้ว ฮึก...ฮือ...คุณหนูไปแล้ว...” แหม่มที่เอามือปิดปากเอาไว้ตอนที่เห็นภาพสุริยะมณฑลระบายอารมณ์ลงกับตี้เฉินค่อยๆพูดออกมาทั้งน้ำตานองหน้า หล่อนเองก็ตกใจกับสภาพของสุริยะมณฑลที่ดูจะขาดสติอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอย่างที่สุด
“ป้าแหม่ม...ได้โปรด...อย่าโกหกผม ที่เสื้อผ้าเขาหายไป เป็นเพราะเขาแค่ออกไปนอนกับเพื่อนเขาสักคนใช่มั้ย ป้าแค่อยากล้อผมเล่นก็เลยเอาผ้ามาคลุมเตียงพระจันทร์ ให้ผมเข้าใจผิดว่าพระจันทร์เขา...หนีผมไป ป้าแหม่ม...ตอนนี้พระจันทร์อยู่ที่ไหน ผม...ผม...” น้ำเสียงราวคนจะขาดใจเสียให้ได้ทำให้ป้าแหม่มต้องก้าวเข้าไปเอามือลูบหลังลูบไหล่ คนที่แสดงอารมณ์โกรธใส่คนอื่นแต่ตัวเองกลับสั่นอย่างหนาวเหน็บ หล่อนเองก็รู้สึกเสียใจไม่น้อยที่สุดท้ายกลับทำให้สุริยะมณฑลต้องมีสภาพเป็นอย่างนี้ แต่จะทำอย่างไรได้ จะให้กลับไปแก้ไขอะไรตอนนี้มันก็ไม่ทันอีกต่อไปแล้วเหมือนกัน
“คุณผู้หญิง...พาคุณหนูพระจันทร์...ไปอังกฤษแล้วค่ะ” น้ำเสียงแผ่วเบาและอบอุ่นของป้าแหม่มที่สุริยะมณฑลคุ้นเคย กำลังแปรเปลี่ยนเป็นมีดอาบยาพิษที่ค่อยๆกรีดลงบนหัวใจของเขาช้าๆ มันไม่เจ็บ...ไม่เจ็บเลยสักนิดเดียว...ก็แค่กำลังถูกตัดขั้วหัวใจออกช้าๆแบบนี้น่ะ
“...เมื่อไหร่” น้ำเสียงทุ้มๆแหบต่ำเปล่งถามออกมาอีกครั้ง
“เมื่อวานค่ะ...ตอนหัวค่ำ ตอนที่งานแถลงข่าวของคุณกำลังเริ่มพอดี...”
“แม่...งั้นเหรอ...หนีไปอังกฤษกันใช่มั้ย...ถ้างั้น...ตี้เฉิน! รีบจองตั๋ว...”
“ไม่ได้นะคะคุณยะ! คุณท่านสั่งไว้ว่าห้ามคุณตามไปเด็ดขาด...”
“ไปจองตั๋วให้ฉันตี้เฉิน...ฉันต้องการตั๋วที่เร็วที่สุดที่มี ไม่งั้นก็ติดต่อนักบินของเรา เอาเครื่องของเราขึ้นแทนก็ได้...” สุริยะมณฑลไม่มีท่าทีที่จะรับฟังแม่บ้านใหญ่อีกต่อไป แม้ว่าจะเพิ่งลงมือทำร้ายลูกน้องตัวเองไปหมาดๆด้วยความเกือบขาดสติ แต่ตอนนี้ลูกน้องของเขาที่พอจะช่วยได้ก็มีแค่ตี้เฉินคนเดียว จะขอช่วยน้องชายที่ยอมปล่อยให้เขายืนดีๆก็ไม่แน่ใจว่าจะได้รับความร่วมมือหรือไม่ ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นลูกรักของแม่มากกว่าเขา...ทว่าตี้เฉินที่ได้รับคำสั่งกลับยืนนิ่งไม่ยอมปฏิบัติตาม ตี้เฉินนั้นทำใจเอาไว้แล้ว คืนนี้ถ้าฟันไม่หักหรือซี่โครงไม่แตกเขาคงจะไม่ได้กลับไปนอนล่ะ แต่เขาปฏิบัติตามคำสั่งนี้ของสุริยะมณฑลไม่ได้จริงๆ...
“คุณยะคะ...คราวนี้คุณท่านโกรธจริงๆ ที่พวกคุณๆไม่ยอมบอกอะไรเกี่ยวกับงานแต่งงานในครั้งนี้ให้พวกท่านรู้เลย...ประกอบกับอาการป่วยของคุณพระจันทร์ คุณหญิงท่านก็...”
“ป้าแหม่ม...พอทีไปช่วยผมเก็บกระเป๋า ให้เสร็จทันภายในครึ่งชั่วโมงนี้นะ...”
“คุณยะคะ! คุณหญิงบอกเอาไว้ว่า...ถ้าคุณยะตามไปที่อังกฤษด้วยเธอจะพาคุณหนูพระจันทร์หนีไปที่อื่นอีก แล้วคราวนี้จะไม่ยอมบอกด้วยว่าที่ไหน ที่สำคัญ...เธออยากให้เวลาคุณยะได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง คิดแล้วก็พิจารณาว่าคุณหนูพระจันทร์น่ะคือคนที่ใช่แล้วก็คู่ควรสำหรับคุณแล้วจริงๆรึเปล่า...”
“จะใช่หรือไม่คู่ควรมันไม่ใช่สิ่งที่แม่จะมาตัดสิน!! อนาคตนับต่อไปจากนี้...ผมเป็นคนกำหนดมันเอง ต่อให้เทวดาหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์มาลิขิต! แล้วในเมื่อทุกคนที่บ้านนี้ก็รู้ดีกันอยู่แล้วว่าคนในอนาคตที่ผมเลือกจะให้เดินไปด้วยกันคือพระจันทร์...แล้วทำไมถึงไม่มีใครเห็นใจผมบ้าง! ทำไมไม่ห้ามแม่!!”
“ป้า...” สาวใหญ่สะอึกสะอื้นพูดไม่ออก ตอนนี้อารมณ์ของสุริยะมณฑลกำลังพาลไปลงกับทุกสิ่ง ซึ่งหล่อนเองก็เข้าใจดีว่าสาเหตุนั้นคงเกิดมาจากความเสียใจที่สุริยะมณฑลได้รับรู้ว่าเป็นแม่ของเขาเองที่มาแยกหัวใจกับร่างกายของชายหนุ่มให้ออกห่างจากกัน
“อาทิตย์ สงบใจหน่อย...แกก็รู้ว่าป้าแหม่มกับคนในบ้านนี้เขาคัดค้านแม่แกได้ที่ไหน ใจเย็นๆนะ พ่อจะให้คนของพ่อช่วยจองตั๋วไปอังกฤษให้แกเดี๋ยวนี้แหละ” นายใหญ่ศิลาที่ยืนมองเหตุการณ์เงียบๆอยู่นานเอ่ยขึ้น ฝ่ามือใหญ่ที่หยาบกร้านไปตามเวลายกโทรศัพท์เครื่องหรูระยับขึ้นเตรียมกดโทรออก แต่ทว่าเสียงร้องคัดค้านจากแม่บ้านเก่าแก่ก็ดังขึ้นขัดการกระทำนั้นทันที
“ไม่ได้!! ไม่ได้นะคะนายท่านใหญ่...คุณหญิง...คุณหญิงเธอโกรธมากจริงๆ เธอบอกว่านอกจากจะตัดแม่ตัดลูกกับคุณยะแล้ว ยังจะหย่ากับนายท่านใหญ่ด้วย...ถ้าหากนายท่านให้ความร่วมมือกับคุณยะให้ได้พบคุณหนูพระจันทร์...” คนพูดเอ่ยอย่างหวาดๆเมื่อเห็นสายตาจ้องถมึงทึงมาทางหล่อนของท่านเจ้าบ้านใหญ่ หล่อนรีบร้อนค้นกระดาษขยุกขยิกในซองสีน้ำตาลที่หล่อนพกมาด้วยออกมากางให้ทุกคนดู “...ใบหย่าฉบับนี้เธอเซ็นต์ต่อหน้าป้า รอแค่ให้นายท่านใหญ่เซ็นต์การหย่าก็จะเสร็จสมบูรณ์ เธอฝากบอกมาว่า...หากนายท่านเห็นเธอเป็นเพียงแค่ภรรยาที่เอาไว้เชิดหน้าชูตากับสังคมภายนอก แต่ไม่ใช่คู่คิดที่เอาไว้เชิดหน้าชูใจไว้ในบ้านด้วยก็ขอหย่าเสียจะดีกว่า เธอทนไม่ได้ที่จะอยู่เป็นหัวหลักหัวตอของใคร...คุณหญิงเธอ...”
“พอ!! พอ...พอ...พอที นี่คุณหญิงกำลังคิดบ้าอะไรอยู่!! ใครใช้ให้เอาเรื่องหย่าบ้าบอแบบนี้มาขู่ผมกัน! ได้...ถ้าเล่นกันขนาดนี้ผม...” หนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เริ่มมีผมสีดอกเลาแซมเบาบางรีบกดเบอร์โทรออกของภรรยาสุดที่รักในทันที เสียงตอบรับจากปลายสายที่บอกว่าอีกฝ่ายนั้นปิดเครื่องทำให้หนุ่มใหญ่อารมณ์เสียหนักถึงขนาดปาเครื่องมือสื่อสารสุดสำคัญทิ้งลงพื้นดังเปรี้ยง ! ขนาดรังสิมันต์และสุริยะมณฑลยังต้องแอบสะดุ้ง เมื่อเจอภาคโหดพอกันของผู้เป็นบิดาซึ่งปกติแล้วจะเป็นคนที่นิ่งที่สุดในบ้านมาตลอด
...แต่ก็นั่นล่ะ เรื่องเดียวที่ทำให้นายท่านใหญ่ศิลาเดือดได้ก็มีเพียงเรื่องเดียว...เรื่องของภรรยาสุดที่รัก...คุณหญิงดารกานต์ แม่ของเขานั่นเอง... รังสิมันต์คิดแล้วก็ค่อยๆถอนหายใจออกมาอย่างอึดอัด ชายหนุ่มหันมองไปทางพ่อแล้วก็พี่ชายอย่างปลงๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่มาที่นี่เขายังไม่เจอน้ำฟ้า ภรรยาสุดที่รักของเขาเหมือนกัน...
“ป้าแหม่ม...แล้วน้ำฟ้าไปไหน หนูลินด้วย...ทำไมผมไม่เห็น”
“ทั้งสองคนก็ไปด้วยค่ะ...ฮึก...ไปอังกฤษพร้อมคุณท่านกับคุณหนูพระจันทร์ค่ะ...” ป้าแหม่มตอบไปสะอื้นไป หล่อนปาดน้ำตาข้างแก้มแล้วพยามกลั้นสะอื้น ถึงจะเสียใจจนต้องร้องไห้แต่หล่อนก็แอบสะใจอยู่ลึกๆ ทุกคนในบ้านนี้ต่างก็สงสารคุณหนูพระจันทร์กันทั้งนั้น แม้กระทั่งตี้เฉินเองยังเป็นคนขับรถพาทุกคนไปถึงสนามบินด้วยตัวเอง ก็ช่วยไม่ได้นี่...ในเมื่อทั้งสามคนนี้ต่างทำอะไรลงไปโดยไม่สนใจคนที่อยู่ข้างหลังเลยว่าจะรู้สึกอย่างไร แม้ว่าสุดท้ายมันจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่พระจันทร์ น้ำฟ้า และคุณหญิงดารกานต์คิดและเข้าใจ แต่ตอนนี้มันก็สายเกินไปเสียแล้ว...
“เอาล่ะ...ในเมื่อพวกนั้นหนีพวกเราไปได้เราก็ไปตามกลับมาได้เหมือนกัน...ก็เอาสิ! หย่าเป็นหย่า...พ่อก็ไม่ยอมแม่แกเหมือนกัน...ไม่ยอมฟังให้ดีก็ด่วนทำอะไรลงไปโดยไม่บอกกันสักคำแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน!”
“นายท่านคะ ดิฉันว่าใจเย็นๆ รอฟังข่าวอยู่ที่นี่ให้ทั้งสองทางใจเย็นลงกว่านี้ก่อนจะดีกว่านะคะ คุณหญิงท่านไม่ได้คิดจะตัดขาดกันไปเลย เธอบอกว่าจะโทรมาหาดิฉันทุกวันเพื่อเล่าเรื่องราวความเป็นไปที่โน่นให้ฟัง ดิฉันว่าเธอคงแค่อยากพักและขอเวลาอยู่กันตามประสามากกว่า...เพราะสิ่งที่ทุกท่านทำลงไปเมื่อวานน่ะส่งผลกระทบทางด้านจิตใจกับทั้งสามคนนั้นมากนะคะ...”
“แล้วยังไง...ป้าจะให้ผมรอฟังข่าวทางโทรศัพท์จากแม่อย่างเดียวงั้นเหรอ...ไม่...ผมทนไม่ไหวแน่...” สุริยะมณฑลเค้นเสียงออกจากลำคอออกมาอย่างเย็น เพราะตอนนี้ในลำคอของเขามันช่างฝืดเฝื่อนเสียเหลือเกิน
“ก็ถือเสียว่าเป็นการลงโทษตัวเองไปก็แล้วกันนะคะที่ปิดบังแล้วก็ไม่ยอมบอกอะไรกับคุณพระจันทร์ จนเธอเห็นข่าวแต่งงานของคุณแล้วเข้าใจผิดจนเก็บเอาไปนอนคิดมาก...อุ๊บ!”
“ป้าแหม่ม...หมายความว่าที่ผมสั่งให้ปิดข่าวนั่นมันไม่ได้ผล...ใช่มั้ย” นัยน์ตาของสุริยะมณฑลวาวโรจน์ขึ้นมาแว่บหนึ่ง น้ำเสียงคุกรุ่นทำให้สาวใหญ่วัยเกือบชราต้องกลืนน้ำลายเอื๊อกแต่ก็ยอมพยักหน้ารับแต่โดยดี
“...พวกเราพยายามจะปิดแล้วนะครับแต่ก็ไม่ทัน เธอมาทันเห็นหนังสือพิมพ์เช้าฉบับนั้นเสียก่อนก็เลยเข้าใจไปว่าบอสกับเหม่ยเฟิ่งจะแต่งงานกันจริงๆ”
“หึ...หึหึ ถ้างั้นก็ไม่แปลก หากพระจันทร์เห็นข่าวนั้นแล้วแต่ไม่ได้ดูการถ่ายทอดสดงานเมื่อคืน...อา...” หลังจบประโยคชายหนุ่มสบถคำหยาบออกมาเสียงดัง ไม่รู้ว่าตอนนี้ต้องโกรธคนในบ้านหรือว่าจะต้องโกรธตัวเองมากกว่ากันดี
“เอาเป็นว่าตอนนี้พวกคุณน่ะใจเย็นๆลงก่อนนะคะ ขืนไปเจอกันตอนนี้ป้าคิดว่ามันคงจะไม่มีอะไรดีขึ้นมาด้วย รอให้ทางโน้นเขาติดต่อมาก่อน แล้วพวกคุณก็ค่อยอธิบายให้พวกเธอฟังว่างานแต่งงานเมื่อคืนน่ะมันไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ บางทีถ้าพวกเธอเข้าใจแล้วอาจจะกลับมาเองก็ได้นะคะ”
และเพราะทางออกที่ป้าแหม่มเสนอมานั้นเป็นทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้ที่พวกเขาควรจะทำ วันรุ่งขึ้นโทรศัพท์บ้านที่วางอยู่ในห้องรับแขกจึงมีค่าราวกับทองคำ เมื่อทั้งสามคนลุกขึ้นมาเฝ้าตั้งแต่ตอนเช้าราวๆตีห้า ทั้งๆที่กว่าเครื่องบินจะแลนดิ้งลงจอดก็ประมาณเกือบเที่ยงตามเวลาไทย ป้าแหม่มส่ายศีรษะมองหนุ่มๆของบ้านที่คิดว่ามีอำนาจเสียล้นมือ แต่เอาเข้าจริงๆแล้วกลับอยู่ภายใต้อาณัติของภรรยากันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่คุณศิลาที่เป็นเจ้าบ้านใหญ่ จะสั่งใครหันซ้ายหันขวาอย่างไรก็ได้ แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอดคุณหญิงดารกานต์
บอกตรงๆว่าสงสารก็สงสาร แต่ทุกคนที่อยู่บ้านหลังนี้ก็ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่สมควรจะยื่นมือให้ความช่วยเหลือทั้งสามเจ้าบ้านนี้เด็ดขาด และไม่สมควรจะปริปากบอกทั้งสามหนุ่มด้วยว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้นไม่ผิดไปจากที่คุณหญิงดารกานต์คาดการณ์ไว้เลย ใบหย่านั่นก็เป็นสิ่งที่คุณหญิงเธอเตรียมเอาไว้ก่อนล่วงหน้ารวมทั้งบทสนทนาโต้ตอบอะไรต่างๆนั่นก็ด้วย หล่อนต้องยืนท่องบทสคริปต์เกือบตายว่าถ้าโดนทั้งคุณยะ คุณตะวันและคุณศิลาถามอย่างนี้ต้องตอบแบบไหน ทำอย่างไรถึงจะสามารถรั้งผู้ชายทั้งสามคนนั้นไม่ให้ตามไปอังกฤษได้
...เฮ้อ เกือบจะไม่รอดแน่ะ...นางคิดแล้วถอนหายใจแรงๆอยู่หน้าเตา มือก็คนหม้อกล้วยบวชชีไปสมองก็คิดมากเรื่องเจ้านายของตัวเองไป...เอาเถอะ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดเถอะเนอะ...
“คุณท่านคะ คุณตะวัน คุณยะทานอาหารว่างก่อนนะคะ ป้าทำกล้วยบวชชีมาให้ค่ะ...” หล่อนยกถาดกล้วยบวชชีเข้ามาเสิร์ฟเจ้านายทั้งสามด้วยตัวเองพร้อมเอ่ยเชิญชวนให้เจ้านายลองทาน แต่กลับมีแค่รังสิมันต์เท่านั้นที่ยอมรับถ้วยไปทาน
“กลิ่นหอมน่าทานดีนะครับป้าแหม่ม...ขอบคุณครับ” รังสิมันต์เอ่ย ก่อนจะยกถ้วยกล้วยบวชชีขึ้นมาดมแล้วตักทาน รสชาติความอร่อยถึงจะรู้สึกว่ามันไม่เท่าฝีมือเมียเขาที่เคยทำให้ทานแต่กระนั้นรสมือที่คุ้นปากแต่เด็กก็ทำให้ชายหนุ่มออกปากชมอยู่ดี จากนั้นจึงค่อยเชิญชวนพ่อและพี่ชายให้ลองทานดู
“พ่อครับ ทานสักหน่อยมั้ยครับ อร่อยนะฮะ...เมื่อเช้าพ่อก็ทานข้าวไปนิดเดียวเอง” ชายหนุ่มยกถ้วยของหวานให้กับบิดา คนเป็นเจ้าบ้านใหญ่ถอนหายใจออกมาหนักๆ ยื่นมือไปรับแล้วตักทานเพราะไม่อยากให้เสียน้ำใจลูกชาย เห็นดังนั้นแล้วรังสิมันต์จึงยกถ้วยสุดท้ายไปคะยั้นคะยอให้พี่ชายทานต่อ “ส่วนพี่น่ะเมื่อเช้าก็ไม่ยอมทานอะไรเลย...สักถ้วยสิพี่ อ่ะ...เดี๋ยวผมป้อนเลยก็ได้”
“หยุด ไม่ต้อง...เอาออกไปไกลๆเลย ป้าแหม่ม...มันบูดหรือว่าไหม้รึเปล่า ทำไมกลิ่นมันแปลกๆ” จู่ๆพอรังสิมันต์ตักชิ้นกล้วยเข้าไปจ่อที่ปากพี่ชายตัวเอง คนโดนบริการก็กลับผลักมือหนานั้นออกไปไกลตัวพร้อมกับยกแขนอีกข้างขึ้นมาปิดจมูก ก่อนจะมีท่าทางผะอืดผะอมจะอาเจียนมิอาเจียนแหล่ แม่บ้านใหญ่มองอย่างงงๆก็ในเมื่อกล้วยบวชชีถ้วยนี้หล่อนก็เพิ่งยกลงจากเตาร้อนๆเลยทีเดียว
“พี่เป็นอะไร เครียดลงกระเพาะรึเปล่า เมื่อเช้าก็ลุกขึ้นมาอาเจียนตั้งแต่ตีสี่พลอยทำผมตื่นไปด้วยเลย...ผมว่าพี่ไปหาหมอหน่อยดีกว่ามั้ย” คนเป็นน้องชายเอ่ยถาม เมื่อเห็นท่าทางทรมานของคนเป็นพี่ชายบนโซฟา คนถูกชวนไปพบแพทย์ยกมือส่ายปฏิเสธ ก่อนจะเอามือข้างเดิมมานวดคลึงที่ระหว่างคิ้ว ยอมรับว่าร่างกายตัวเองวันนี้ไม่ค่อยสู้จะดีนัก คงอาจจะเพราะเครียดและนอนดึกมาหลายวันติดต่อกัน แถมยิ่งมาเจอสถานการณ์ที่ทำให้สภาพจิตใจย่ำแย่เข้าไปอีกร่างกายเขาเลยรับไม่ไหว เพราะงั้นต่อให้เขาเป็นผู้ชายที่แข็งแรงขนาดไหนก็สามารถล้มป่วยได้ไม่แปลกหรอก
“ขอยาแก้ปวดให้พี่สักสองเม็ดก็พอ...” ชายหนุ่มเอ่ยบอกน้องชายเป็นการตัดบทเรื่องไปพบแพทย์ คนรู้จักพี่ชายดีจึงได้แต่ถอนหายใจ แล้วจึงตักกล้วยคำสุดท้ายเข้าปาก
----------------------------------------------------------
ตัดฉับ!!!! >___< เพราะตัวอักษรมันเกินแล้วค่าาาา เหอๆ
ที่เหลือยกยอดไปตอนต่อไปเน้อค่ะเจ้าาาาา