Chapter :: 04 :: ที่หลบภัย“จะทำอะไร?” ผมหันไปมองคนที่อยู่ดีๆ ก็มาคว้าข้อเท้ากัน
“ขอดูหน่อย”
เมื่อกี๊ตะนอยยังนั่งเกร็งข้อสอบอยู่ตรงโต๊ะอ่านหนังสืออยู่เลย ส่วนผมนอนอ่านการ์ตูนอยู่บนเตียง วันหยุดถ้าไม่มีใครมารับไปไหน ผมก็มักจะมาขลุกอยู่ห้องตะนอยแบบนี้
“ดูอะไร?” ผมยันตัวลุกขณะถูกอีกฝ่ายดึงจนไถลไปอยู่ปลายเตียง
“หน้าแข้งนั่นไง สีน่าเกลียด” ตะนอยนั่งขัดสมาธิบนพื้น ผมนั่งห้อยขาเท้าแขนอยู่ปลายเตียง
“ก็มันช้ำ” ผมก้มมองหน้าแข้งสีช้ำเลือดช้ำหนองของตัวเอง
“เพราะนายเงียบเกินไป ยัยพวกนั้นมันถึงได้ใจแกล้งเอาเรื่อย” ตะนอยบ่นพลางเปิดตลับยาแก้ฟกช้ำ ควักเนื้อครีมออกมาป้ายลงบนรอยช้ำแล้วถูวนเบาๆ
“พูดแบบนี้อีกแล้ว”
เมื่อวานระหว่างเดินขึ้นบันไดไปห้องเรียน มีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งหยอกล้อกันตามหลังมา ตอนนั้นตะนอยไปห้องน้ำ เลยเหลือผมอยู่คนเดียว พวกนั้นเล่นผลักกันไปมาจนมีคนหนึ่งเซมากระแทกผม ผมล้มหน้าแข้งกระแทกกับขั้นบันได โชคยังดีที่ไม่กลิ้งตกลงไป พวกนั้นพูดขอโทษทั้งที่หน้าตาไม่สำนึกผิดสักนิด
มีสองคนในกลุ่มที่ผมจำได้ดี ..แพตตี้กับอร
“ก็มันจริง” ตะนอยแกล้งจิ้มหนักๆ ลงไปบนรอยช้ำ
“เจ็บ..”
“จะเสแสร้งเป็นคนดีไปจนถึงเมื่อไหร่?” คนถามเงยหน้าขึ้นมองผมจริงจัง มือยังไม่ปล่อยจากขา
“.........” ผมเสตามองกองหนังสือการ์ตูนบนโต๊ะญี่ปุ่น
ยังมีอีกสองสามเล่มในนั้นที่ยังไม่ได้อ่าน
“เพชร..” เสียงของตะนอยถูกแทนที่ด้วยเสียงริงโทนโทรศัพท์มือถือ
“ใครวะ...เออ..เออ...เดี๋ยวลงไปเอา”
“ใคร?” ผมเงยหน้ามองที่คนลุกไปหยิบคีย์การ์ดบนโต๊ะหนังสือ
“ไอ้แต๊กน่ะ มันเอาแผ่นเกมส์มาคืน เออ เดี๋ยวว่าจะออกไปซื้อข้าวเลย จะฝากซื้อหรือจะไปด้วยกัน?”
“เอาข้าวหมูแดง”
“ข้าวหมูแดงอีกแล้ว โอเค งั้นเดี๋ยวมา” แล้วตะนอยก็ออกจากห้องไป..
ผมอ่านการ์ตูนจบไปสองเล่ม ว่าจะอ่านโน้ตย่อวิชาชีวะที่ตะนอยทำไว้สำหรับเตรียมสอบกลางภาคอาทิตย์หน้าก็เกิดขี้เกียจกะทันหัน เปลี่ยนใจมานอนเล่นเกมส์ในโทรศัพท์แทน เล่นไปเล่นมาก็ชักง่วง ตะนอยยังไม่กลับ สงสัยคิวที่ร้านข้าวจะยาว ก็เลยงีบไปนิดนึงก่อนที่เสียงริงโทนคุ้นหูจะดังขึ้น
หน้าจอโชว์ชื่อพี่นท
“ฮะ?”
“น้องเพชร นัดดูหนังวันพรุ่งนี้พี่ขอเลื่อนได้ไหมครับ? พอดีงานพี่เร่งน่ะ ไว้เป็นอาทิตย์หน้าได้ไหม?”
“อาทิตย์หน้าผมเริ่มสอบแล้ว”
ตะนอยบอกว่าจะไปติวกับเพื่อนแล้วก็รุ่นพี่ที่คณะ คงไปดูหนังไม่ได้
“งั้นรอให้น้องเพชรสอบเสร็จเราค่อยไปดูหนังกันดีไหม? ไปกินข้าว ไปซื้อของ ฉลองสอบเสร็จไปในตัวเลย”
“ก็ได้ฮะ”
“น้องเพชรไม่โกรธพี่นะ?”
“ไม่หรอกฮะ”
“.........”
“พี่นท?” เห็นอีกฟากสายเงียบไป ผมเลยลองเรียก
“ฮื่อ น้องเพชรว่าง่ายแบบนี้มันก็น่ารักดีอยู่หรอก แต่พี่ว่าน้องเพชรกลับมาเป็นน้องเพชรคนเดิมดีกว่านะ”
“.........”
“น้องเพชร?”
“พี่นททานข้าวกลางวันหรือยังฮะ?”
“ครับ? อ๋อ กำลังจะทานครับ พี่ลงมาทานข้าวก็เลยถือโอกาสโทรหาน้องเพชร แล้วน้องเพชรล่ะทานหรือยัง?”
“เพื่อนกำลังลงไปซื้อให้ฮะ”
“ตะนอยน่ะเหรอ”
“ฮะ”
“จริงสิ พี่เพิ่งนึกออก กว่าจะถึงตอนที่น้องเพชรสอบเสร็จ คอนโดพี่คงตกแต่งเรียบร้อยพอดี ไว้เราไปดูคอนโดพี่ด้วยกันนะครับ”
“ฮะ”
พี่นทเคยบอกว่าเพิ่งซื้อคอนโดที่ทำเลอยู่กึ่งกลางระหว่างที่ทำงานกับมหา’ลัยของผม
“มาแล้วๆๆ” เสียงตะนอยดังตามหลังเสียงไขกุญแจห้องเข้ามา
“เสียงเพื่อนกลับมาแล้วเหรอ? งั้นพี่ไม่กวนละ ทานข้าวให้อร่อยนะครับ เดี๋ยววันหลังพี่โทรไปใหม่”
“บายฮะ”
“หวัดดี เพชร” มีเพื่อนร่วมรุ่นหน้าตาคุ้นเคยเดินตามหลังตะนอยเข้ามาด้วย สองมือหิ้วถุงเซเว่นถุงใหญ่
“หวัดดี” ผมพยักหน้ารับ
คนนี้ชอบเข้ามาคุยด้วยบ่อยๆ ..ชื่ออะไรแล้วนะ?
“ไล่ก็ไม่กลับ เสล่อตามขึ้นมาด้วย” ตะนอยชี้นิ้วโป้งไปทางคนที่กำลังจัดแจงหาที่วางถุงขนม
“พูดอะไรไร้น้ำใจแบบนั้นวะนอย? ..เรายังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลย ขอมากินด้วยคนนะเพชร นี่ขนม เราซื้อมาฝาก มีนมรสกาแฟกับแคร็กเกอร์ไส้ครีมด้วยนะ อ้อ มีโค้กแล้วก็พวกสแน็คอื่นๆ ด้วย” เพื่อนคนนั้นรื้อขนมออกมาวางบนโต๊ะญี่ปุ่นที่ตะนอยกวาดหนังสือการ์ตูนลงหมดแล้ว
“แสนรู้หูกระดิกจริงนะมึง” ตะนอยว่า
ผมเห็นสองคนนั้นใช้เท้ายันกันไปมาใต้โต๊ะ
“.........” ผมคลานลงจากเตียงมาร่วมวงด้วย แต่พอเอื้อมมือจะไปหยิบขนมขบเคี้ยวก็ถูกตะนอยตีมือเอาซะก่อน
“กินข้าวก่อน” คนพูดหยิบห่อข้าวมาวางตรงหน้า ตามด้วยโค้กอีกหนึ่งกระป๋อง
ผมเลือกเปิดกระป๋องโค้กก่อน พอแกะห่อข้าวออกก็เห็นข้าวหมูแดงที่มีหมูกรอบปนมาด้วย
“หมูแดงมันหมดแค่นั้น ป้าคนขายแกก็เลยใส่หมูกรอบมาให้ด้วย ก็กลัวๆ อยู่ว่าจะกินหรือเปล่า ไม่เห็นเคยสั่งสักที”
“กิน” ผมพยักหน้าแล้วเริ่มตักข้าวใส่ปาก
ตะนอยก็ทำแบบเดียวกัน แต่เพื่อนอีกคนยังเก้กังมาตั้งแต่เมื่อครู่ มองมาทางผมที ก้มมองข้าวตัวเองทีอยู่แบบนั้น
“เป็นห่าอะไรของมึงไอ้แต๊ก?”
“.........” อ๋อ ชื่อแต๊กน่ะเอง
แต๊กอะไรนะ คลับคล้ายคลับคลาว่ามีสองพยางค์ แต๊กแต๊ก แต๊กต๊อก..
อ้อใช่ ต๊อกแต๊ก
“เอ่อ..นอย..” อยู่ดีๆ ต๊อกแต๊กก็เอียงหน้าไปกระซิบกระซาบข้างหูตะนอย
“ห๊ะ กางเกง?” พอตะนอยอุทานออกมาแบบนั้นแต็กก็รีบเอามือปิดปาก
“.........” ผมนั่งจ้องมองทั้งคู่จนตะนอยง้างมือต๊อกแต็กออกจากปากตัวเองได้สำเร็จ
“ก็แค่เพชรใส่กางเกงสั้น มึงอย่ามาทำเป็นหื่น” ตะนอยโพล่งออกมาด้วยท่าทางรำคาญ
“เชี่ยยยย ไม่ใช่!!” คนถูกแฉรีบโบกมือปฏิเสธ หน้าแดงแปร๊ด
“.........” ผมเอื้อมมือไปหยิบผ้าแพรที่ใช้ห่มตอนนอนเล่นอยู่บนเตียงมาคลุมขาตัวเอง
กางเกงที่ผมใส่มันก็สั้นมากพอสมควร แต่คิดว่าไม่ได้ออกไปนอกหอเลยไม่สนใจจะเปลี่ยน แล้วมันก็ใส่สบายดี ตะนอยเองก็ดูจะชินแล้ว ไม่นึกว่าจะมีใครมาสนใจมองแบบนี้
“เห็นไหม เพชรกลัวมึงแล้ว”
“ไม่ใช่นะเพชร ไม่ใช่! เราแค่ถามตะนอยว่าเพชรใส่กางเกงขาสั้นแบบนี้มาเล่นที่ห้องประจำเลยเหรอ แค่สงสัย ไม่ได้คิดอะไรไม่ดีเลยนะ จริงๆ นะเพชร เราไม่ได้คิดลามกนะ เอ้ย เราไม่ได้คิดอะไรเลย ไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น จริงๆ”
“.........” ผมกระชับผ้าแพรห่อคลุมช่วงครึ่งล่างของตัวเองเอาไว้หมด
“ยิ่งแก้ยิ่งแย่” ตะนอยหัวเราะลงคอ
“เชี่ยนอยทำกูเสียหมาหมด ดูเพชรระแวงกูเลยเห็นไหม?”
“หน้ามึงมันไม่น่าไว้ใจตั้งแต่แรกแล้ว”
“หน้ากูเนี่ยนะ?”
“มีอย่างที่ไหน เห็นเพื่อนใส่กางเกงสั้นหน่อยก็จ้องเอาๆ ไอ้หื่น”
“ไม่ได้จ้องเอาๆ สักหน่อย อย่ามาใส่ไคร้นะไอ้แว่น”
“ไอ้โคตรหื่น!”
“ไอ้แว่นโอตาคุ!”
“.........” ผมเริ่มตักข้าวกินท่ามกลางเสียงทะเลาะล้งเล้งของสองคนนั้น..
“น้องเพชรรรรรรรรร” พอเดินเข้ามาในโรงอาหารรวม พี่คนหนึ่งในกลุ่มพี่อิน(เทวดา)ก็ตะโกนเรียกดังลั่น กวักมือให้ไปนั่งด้วยกัน ..มีแต่คนหันมามอง
“ไง ตัวเล็ก วันนี้สอบไปกี่วิชาแล้ว?” พอไปนั่งด้วยพี่อินก็ถาม
“สองฮะ คณิตกับภาษาอังกฤษ”
“ทำได้ไหม?”
“พอได้ฮะ”
“เอ็งล่ะ ตะนอย?” พี่แว่นแฟนพี่หมิงถามตะนอยบ้าง
“สบายมากเฮีย หลับตาข้างเดียวก็ทำได้”
“ถุ๊ย! แน่จริงมึงหลับสองข้างเลยดิไอ้นอย ไอ้ขี้คุย” รุ่นพี่คนที่ส่งเสียงเรียกผมเมื่อครู่เป็นคนพูด
“แบบนั้นก็ไม่เห็นกระดาษคำตอบพอดีดิเฮียก๊อง โง่เปล่าเนี่ย?”
“กูต่อยมึงได้เปล่าเนี่ย สัด! เห็นเล่นด้วยหน่อยชักลามปามนะมึง”
“ทำไมตอนอยู่ปีหนึ่งกูไม่ชิลล์เหมือนไอ้ตะนอยมั่งวะ? กูแม่งรู้สึกว่ามันยากเอี้ยๆ มาตั้งแต่แรก จนตอนนี้กูก็ยังคิดว่ามันยังยากเอี้ยๆ อยู่ หรือกูจะมาผิดทางวะนนท์?”
“มึงถามกูแบบนี้มาสามปีแล้วนะ ต๊ะ”
“กูว่ามันก็คงจะถามแบบนี้ไปจนครบหกปีนั่นแหล่ะ เชี่ยนี่แม่งขาดความอบอุ่น”
“ฮ่าๆๆๆ”
“กินอะไรดี?” ตะนอยสะกิดถามผมที่มัวแต่ฟังรุ่นพี่คุยกัน
“อืม..” ผมหันไปมองร้านอาหารที่ตั้งอยู่รอบๆ “ก๋วยเตี๋ยวเรือ”
“น่าสนใจ กำลังเบื่อข้าวแกงอยู่เหมือนกัน”
จากนั้นเราทั้งคู่ก็ไปต่อคิวจนได้ก๋วยเตี๋ยวเรือแบบพิเศษเพิ่มไข่ต้มมาคนละชาม จังหวะที่เดินกลับจนเกือบจะถึงโต๊ะ เท้าผมก็ไปสะดุดกับขาใครบางคนที่นั่งอยู่โต๊ะก่อนหน้า ผมเสียหลักทำก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ ในชามกระฉอกไปราดไหล่พี่อินที่นั่งอยู่ในรัศมีพอดี ..มีเสียงร้องตกใจและเสียงฮือฮาดังขึ้นรอบบริเวณ
“พี่อินเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ? โดนลวกตรงไหนบ้าง รีบไปล้างดีกว่าค่ะ” นอกจากเสียงถามไถ่ของพวกเพื่อน ก็มีเสียงแหลมๆ ของอรที่รีบปรี่เข้ามาดูอาการพี่ ..เธอลุกมาจากโต๊ะก่อนหน้า
“.........” ผมหันกลับไปมองที่โต๊ะนั้น เห็นแพตตี้กำลังนั่งอมยิ้มอยู่ พอเห็นผมมองเธอก็ลุกจากที่นั่งบ้าง
“ไม่ระวังเลยนะเพชร” แพตตี้พูดยิ้มๆ ขณะเดินผ่านหน้าผมไปดูอาการพี่
“รีบไปล้างเหอะว่ะอิน” พี่ผู้หญิงในกลุ่มบอก คนอื่นก็เออออเห็นด้วย พี่อินมองมาทางผมแว้บนึงก่อนจะลุกไปตามแรงดึงของอร
แพตตี้เดินกลับไปนั่งที่ตัวเอง
“น้องอรนี่ดูกระตือรือร้นจังเลยแฮะ ท่าว่าจะตกหลุมไอ้อินอีกคน” พี่ผมสีชารำพึงตามหลังสองคนนั้นไป
“ทำไมกูไม่เกิดมาหล่อแบบมันมั่งวะ?”
“มึงก็ไปลองเกิดใหม่อีกสักหนสองหนดิก๊อง เผื่อจะดีขึ้น”
“แล้วถ้าแย่กว่าเดิมจะทำไงวะ น้อยหน่า?”
“ก็ตายแล้วเกิด ตายแล้วเกิดจนกว่าจะดีไง มันต้องมีสักชาติแหล่ะที่เป็นของมึง”
“ชาติหมาไงล่ะ”
“เชี่ยต๊ะ มึงออกไปต่อยกับกูข้างนอกเหอะ”
“นั่งลงก่อน” ตะนอยที่เพิ่งเดินตามมาถึงกดไหล่ผมเบาๆ
“น้องเพชรเป็นไงบ้าง ตกใจเลยสิเรา” พี่ผู้หญิงหันมาถามผม
“สะดุดอะไร หืม?”
“ไม่รู้ฮะ ผมขอโทษ” ผมวางชามก๋วยเตี๋ยวลง มือยังสั่นอยู่เล็กน้อย
“ขอโทษพวกพี่ทำไม ไปขอโทษไอ้อินนู่น แต่ถึงน้องเพชรจะเอาทั้งชามคว่ำลงบนหัวมัน มันก็คงไม่โกรธหรอก เชื่อพี่” แฟนพี่หมิงพูดยิ้มๆ
“ผมไม่ได้ตั้งใจ”
“ใครๆ ก็รู้น่า” พี่ผมสีชาพูดกลั้วหัวเราะ พี่ผู้หญิงลูบหัวผมเบาๆ
“เดี๋ยวเราไปซื้อก๋วยเตี๋ยวมาให้ใหม่” ตะนอยบอกก่อนเดินกลับไปทางร้านก๋วยเตี๋ยว
“.........” ผมนั่งได้เดี๋ยวเดียวก็ผุดลุกขึ้น
“น้องเพชรจะไปไหน?” พวกรุ่นพี่ถามงงๆ
“เดี๋ยวมาฮะ” ผมรีบเดินออกมาจากตรงนั้น
กลับไปที่คณะซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก ขอยาทาแผลพุพองจากอาจารย์ที่รู้จักกัน ตั้งใจจะกลับไปดูพี่อินที่ห้องน้ำแถวโรงอาหาร แต่พอดีหางตาเหลือบไปเห็นอรยืนอยู่หน้าห้องน้ำชายใต้ตึกคณะเข้า เลยคิดว่าพี่อินก็น่าจะอยู่ที่นี่ด้วย
“มาทำไม?” อรก้าวมาขวางเมื่อเห็นว่าผมจะเดินเข้าไป
“ฉี่” ผมตอบในจังหวะที่มีรุ่นพี่คนหนึ่งเดินสวนออกมาพอดี
อรจึงต้องหลบให้ผมเข้าไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
“อ้าว ตัวเล็ก?” พี่ที่ยืนเปลือยครึ่งท่อนอยู่หน้ากระจกเลิกคิ้วใส่เงาสะท้อนของผม ห้องน้ำใต้ตึกคณะช่วงนี้ดูเหมือนจะล้างผู้คน ..เหลือแค่ผมกับพี่
“นี่ฮะ” ผมยื่นหลอดยาให้ พี่ทำหน้างงตอนแรก แต่พอเห็นว่าเป็นยาอะไร ตาร้ายๆ ก็ดูเป็นประกายวิบวับขึ้นมา
“ใช้ยังไงเหรอ?”
“ทาตรงที่โดนลวกฮะ” ผมเหลือบมองไปแถวไหล่พี่ก็เห็นรอยแดงเป็นปื้น ยิ่งผิวพี่ขาวเท่าไหร่ รอยแดงก็ยิ่งชัดขึ้นเท่านั้น
“ทาไม่เป็น” พี่เบะปาก
“อยากให้ทาให้ก็พูดมาตรงๆ ก็ได้ฮะ” ผมถอนหายใจ ขยับเข้าไปใกล้พลางหมุนฝาหลอดเปิด
“ชอบจังคนรู้ทัน” พี่หัวเราะชอบใจ
“ปกติเขาต้องพูดว่าเกลียดไม่ใช่เหรอฮะ? ..เกลียดคนรู้ทัน” ผมเริ่มป้ายยาไปตามไหล่ของพี่ มันเป็นไหล่ซ้าย
“ก็พี่ชอบของพี่นี่นา จะมาบังคับให้เกลียดได้ไง” พี่ยืนนิ่งให้ผมไล้มือไปตามรอยแดง มีเพียงหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงตามแรงหายใจ
“จะเกลียดก็ได้นะฮะ”
“ไม่เกลียดหรอก” พี่ทาบมือลงบนมือผมที่ลูบมาถึงตำแหน่งหัวใจพอดี
“.........” มันเต้นแรงจนน่ากลัวว่าอกพี่จะช้ำ
“ไม่เกลียดหรอก” พี่ยังพูดย้ำคำเดิมจนผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง
“.........”
“ได้ยินใช่ไหม?”
“.........” ไม่แน่ใจว่าหมายถึงเสียงพูดหรือเสียงหัวใจในอก
“ยังไงพี่ก็ไม่เกลียดตัวเล็กหรอก” ตาร้ายนั่นเลิกฉายประกาย แต่ก็ไม่ได้กลับไปดูร้ายกาจ มันเหมือนมีแววมุ่งมั่นบางอย่างที่ผมไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร
“เดี๋ยวก๋วยเตี๋ยวอืด” ผมดึงมือออกจากมือพี่
“อะไร?” พี่เหมือนตั้งตัวไม่ทัน
“เดี๋ยวก๋วยเตี๋ยวอืด” ผมพูดซ้ำ “ตะนอยบอกจะไปซื้อมาให้ใหม่ ป่านนี้คงได้แล้ว นี่ยาฮะ ที่เหลือทาเองแล้วกันนะฮะ”
“ตัวเล็ก เฮ้ยตัวเล็ก!”
ผมเดินจ้ำออกมาโดยไม่สนใจเสียงเรียกของพี่ ไม่สนใจเสียงของอร เดินจ้ำมาจนถึงโรงอาหาร จนถึงโต๊ะตัวเดิม พวกรุ่นพี่สลายตัวไปหมด เหลือตะนอยนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่คนเดียว แพตตี้ก็ไม่ได้อยู่ที่โต๊ะใกล้ๆ แล้ว
“นึกว่าจะต้องกินเองซะแล้ว” ตะนอยเลื่อนก๋วยเตี๋ยวอีกชามมาให้
“.........”
“เป็นไร?” เพื่อนเงยหน้าจากชามเมื่อเห็นผมยังนั่งนิ่ง
“เปล่า” ผมจับตะเกียบ ลงมือคีบเส้นหมี่ขาวเข้าปาก “เปรี้ยว”
“โทษที หนักมือไปหน่อย”
ผมพยักหน้าแล้วกินต่อ
“.........”
ตกใจหมด.. ทำไมพี่ถึงพูดแบบนั้นนะ?
“หนังสนุกหรือเปล่าครับ?” พี่นทหันมาถามตอนที่เรากำลังเดินออกจากโรงหนัง
“ก็ดีฮะ” หนังอนิเมชั่นผจญภัยที่คนไทยทำ ..ก็สนุกดี
“พี่ก็ว่าดีเหมือนกัน ทำออกมาได้ดีกว่าที่คิดไว้ซะอีก เนื้อเรื่องก็แทบไม่มีช่วงที่น่าเบื่อเลย”
“ฮะ” ผมพยักหน้าเห็นด้วย
“อืม หลังจากนี้น้องเพชรอยากไปซื้ออะไรอีกหรือเปล่า?” พอเห็นผมส่ายหน้าแทนคำตอบ พี่นทก็พูดต่อพร้อมรอยยิ้มกว้าง “งั้นเราไปซุปเปอร์กันนะ เดี๋ยวเย็นนี้พี่จะแสดงฝีมือทำอาหารให้น้องเพชรทานเอง”
“แน่ใจว่าทานได้นะฮะ?”
เมื่อก่อนมันไม่เคยทานได้เลย แม้แต่ไข่เจียวก็ไหม้ไม่มีชิ้นดี
แต่ผมก็กินมาหมดแล้ว ถึงตอนนี้เลยมีภูมิคุ้มกันดีกว่ามนุษย์ทั่วไปไม่มากก็น้อย
“สี่ปีที่อเมริกาไม่สูญเปล่าแน่นอน” พี่นทยกนิ้วโป้งเพิ่มความมั่นใจ
“.........” ผมก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้น
พี่นทใช้เวลาพักใหญ่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อเลือกซื้อวัตถุดิบในการประกอบเมนูเด็ด เห็นยืนอ่าน(ฉลาก)แล้วอ่านอีกเพื่อให้มั่นใจว่าได้ส่วนผสมไม่ผิดไปจากตำราที่เคยศึกษามา กว่าพวกเราจะมาถึงคอนโดใหม่เอี่ยมของพี่นทตะวันก็เริ่มคล้อยลงมากแล้ว
“เป็นไงครับ คอนโดใหม่ของพี่?”
พอเปิดประตูห้องเข้าไป พี่นทก็ภูมิใจนำเสนอทันที
เป็นห้องที่ดูเรียบหรูลงตัวแบบง่ายๆ ใช้โทนสีน้ำตาลขาวในการตกแต่ง แบ่งพื้นที่ใช้สอยเป็นสัดส่วนชัดเจน เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นเท่าที่จำเป็น
พื้นปูด้วยไม้ปาร์เก้..
“.........” ดูเหมือนเพิ่งจะย้ายเข้ามาอยู่ได้แค่ไม่กี่วัน กลิ่นไม้กลิ่นสีจางๆ ยังคงอบอวลอยู่
“น้องเพชรชอบหรือเปล่าครับ?”
พี่นทเข้ามากอดไว้หลวมๆ ผมจากทางด้านหลัง
“สวยดีฮะ”
“น้องเพชรเคยบอกว่าอยากมีบ้านหลังเล็กๆ ที่มีระเบียงกว้างๆ แล้วก็ต้องปูพื้นด้วยไม้ปาร์เก้ เพราะมันทำให้นึกถึงบ้านเก่าที่เคยอยู่กับแม่พลอย..”
ผมหันไปมองคนพูด พี่นทยิ้มบางพลางกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง
“ระเบียงของที่นี่ไม่กว้างเท่าไหร่ แต่ผนังทางแถบนี้เป็นกระจกทั้งหมด พี่เลยคิดว่าคงจะพอทดแทนกันได้ น้องเพชรคิดว่ายังไงครับ ที่นี่พอจะใช้ได้ไหม?”
“.........” ผมแหงนหน้ามองอีกฝ่ายที่ใช้มือลูบแก้มผมเบาๆ
“มาอยู่ด้วยกันนะครับ ให้พี่ได้ดูแลน้องเพชรเหมือนเมื่อก่อน.. ไม่สิ พี่สัญญาว่าจะดูแลให้ดีกว่าเมื่อก่อน ตอนนี้พี่มีงาน มีเงิน มีบ้านเป็นของตัวเอง พี่มีความพร้อมทุกอย่างที่จะดูแลน้องเพชรได้ด้วยตัวของพี่เองแล้ว ให้โอกาสพี่อีกสักครั้ง.. เรามาอยู่ด้วยกันนะครับ”
“.........”
“อยู่ด้วยกันแค่สองคน เหมือนที่น้องเพชรเคยพูดบ่อยๆ ไง”
“.........”
“น้องเพชร.. ไม่อยากอยู่กับพี่แล้วเหรอ?” เป็นครั้งแรกที่ดวงตาสีน้ำตาลอบอุ่นของพี่นทฉายแววหวั่นไหว
“ผม..ไม่รู้”
“น้องเพชร?”
“พี่นทบอกว่าคิดถึงผมคนเก่า พี่นทคงชอบผมคนเก่ามากกว่า แต่ผมคนนี้จะไม่กลับไปเป็นแบบเก่าอีกแล้ว..”
ความหมั่นไหวในแววตาของพี่นทอาจทำให้กำแพงที่ผมเพียรสร้างพังทลาย แล้วตัวตนที่แสนเปราะบางของผมก็จะกลับมา...มาทำร้ายใครต่อใครอีก
ผมตัดใจดึงสายตาลงมาไว้ที่กระดุมเสื้อของพี่นทแทน
“น้องเพชร..”
“พี่นทคงไม่อยากอยู่กับผมหรอก ..ผมไม่เหมือนเดิม”
“ความรู้สึกที่มีต่อพี่ก็ด้วยเหรอ?” พี่นทใช้สองมือประคองหน้าผมให้กลับไปสบตากันเหมือนเดิม
“.........” ยิ่งผมเงียบก็ยิ่งรับรู้ถึงแรงสั่นน้อยๆ จากสองมือที่แนบแก้มอยู่ พี่นทค่อยๆ ก้มลงมาจรดริมฝีปากลงบนปากผม เพียงแผ่วเบา แล้วผละออก
“น้องเพชรไม่รักพี่แล้วเหรอ?” ตอนนี้แม้แต่เสียงของพี่นทก็สั่นไปด้วย
“กรี๊ดดดดดดดดดด ตานท!!!” เสียงกรีดร้องของผู้มาใหม่ทำให้เราสะดุ้งและผละออกจากกันโดยอัตโนมัติ
“แม่!”
ป้านี.. แม่ของพี่นทคือคนที่ยืนตัวสั่นอยู่หน้าประตู
“แม่จะมาทำไมไม่โทรมาบอกก่อนล่ะครับ?” พี่นทก้าวเข้าไปหาป้านีอย่างใจเย็น แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ยอมเย็นด้วย
“ถ้าแม่โทรบอกก่อนแล้วจะได้มาเห็นอะไรแบบนี้เรอะ?!” ป้านีปัดมือพี่นทออกให้พ้นทาง แล้วก่อนที่ใครจะได้ตั้งตัว ฝ่ามือเย็นๆ ก็เข้ามากระทบแก้มผมจนสะบัดหันไปตามแรง
“แพศยา!!”
“แม่!!” พี่นทรีบเข้ามาดึงป้านีออกห่างจากตัวผม แต่ป้าก็ดิ้นไม่ยอมง่ายๆ ส่งเสียงโวยวายคล้ายคนเสียสติ
ผมยกมือขึ้นกุมแก้มข้างที่โดนตบ มันชาจนแทบไม่รู้สึกเจ็บ รสแปร่งปร่าที่ลิ้นสัมผัสได้ทำให้รู้ว่ามีสักแห่งข้างในที่เลือดไหลออกมา
“แก! แกทำให้น้องสาวฉันเป็นบ้าไปคนแล้ว ตอนนี้ก็จะมาทำให้ลูกชายฉันเป็นบ้าไปอีกคนงั้นเรอะ ไอ้เด็กนรก! ทำไมแกไม่ตายๆ ตามแม่แพศยาของแกไปสักทีนะ!!”
“แม่!!!”
“อย่ามาขึ้นเสียงใส่แม่นะตานท ที่แกกลับมาเมืองไทย ที่แกขอแยกออกมาอยู่คนเดียว ทั้งหมดนี่ก็เพราะมันใช่ไหม? เพราะมารยาของมันใช่ไหม?!”
“หยุดเถอะครับแม่ เรื่องนี้ผมตัดสินใจเอง น้องเพชรไม่รู้เรื่อง แล้วก็เลิกว่าน้องเพชรกับแม่ของน้องเสียๆ หายๆ สักที มันไม่มีเหตุผลเลยนะครับ”
“เหตุผลเรอะ? ถึงแม่เอาเหตุผลร้อยแปดอะไรมาพูดตอนนี้แกก็คงไม่ฟังหรอก เพราะแกกำลังหน้ามืดตามัวอยู่กับมันไงล่ะ ช่วงที่แกอยู่อเมริกา มันก็ออกจากบ้านไปอยู่คนเดียว แกไม่รู้หรอกว่ามันออกไปมั่วกับใครมาบ้าง”
“แม่! นี่มันชักจะเลอะเทอะไปกันใหญ่แล้วนะครับ ..น้องเพชร! น้องเพชร เดี๋ยวก่อน น้องเพชร!!”
“ตานท อย่าไป!”
“น้องเพชร!!”
ผมวิ่งออกจากห้องมาโดยไม่สนใจเสียงเรียกของพี่นท เสียงโวยวายของป้านี ผมวิ่งลงมาจนถึงข้างล่าง วิ่งออกไปตามถนน จนถึงป้ายรถเมล์ ผมขึ้นรถเมล์ พอขึ้นไปสักพักก็ลง แล้วต่อรถคันใหม่ แล้วก็ลงต่อรถคันใหม่อีก ทำแบบนั้นไปเรื่อยๆ จนพระจันทร์ลอยสูงเหนือหัว
ผมไม่รู้แล้วว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน..
“.........” ผมนั่งเหม่อมองผู้คนผ่านไปหน้าป้ายรถเมล์ ในหัวว่างเปล่า ไม่มีอะไรอยู่.. ไม่สิ ผมไม่อยากให้มีอะไรอยู่ ผมไม่อยากรับรู้ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกของพี่นท ของป้านี หรือของตัวผมเอง ผมไม่อยากรู้ทั้งนั้น ผมไม่..
ไม่ไหว..
ไม่ไหวแล้ว..
ยังไงก็หนีไม่พ้น..
แม่..
แม่พลอย..
เพชรกำลังจะแตกสลาย..
“อ้าว ดูสิว่าเราเจอใคร?”
ผมเงยหน้าขึ้นมองคนพูด เสียงคุ้นๆ กับหน้าหวานๆ ที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางสีจัดจ้านกว่าทุกครั้งที่เคยเจอ ใส่เสื้อผ้ารัดรูปโชว์เนื้อหนังแตกต่างจากที่เคยเห็น
“.........” แพตตี้..
“เพื่อนเพชรสุดฮอตของเรานี่เอง มาทำอะไรแถวนี้เหรอจ๊ะ? หรือว่ามาล่าเหยื่อ”
“.........” อร..
“เก็บแต้มน่ะไม่เหมือนเก็บแสตมป์หรอกนะ ถึงสะสมไปก็เอาไปแลกอะไรที่เซเว่นไม่ได้หรอก”
“ฮ่ะๆๆๆ แหม พูดถูกใจ”
“เพื่อนแพตเหรอ? หน้าตาดีชะมัด ชวนไปด้วยกันสิ” ผู้ชายคนหนึ่งยื่นหน้าเข้ามามองผมใกล้ๆ ผู้ชายอีกสองคนก็ทำแบบเดียวกัน
“ก็ลองชวนดูสิ คนนี้เขาคงไม่ปฏิเสธหรอก”
“ออกจะชอบ ขอให้เป็นผู้ชายเถอะ”
“ว้าว จริงเหรอ? คืนนี้ไม่เสียเที่ยวแล้วกู” ผู้ชายคนนั้นหันไปร้องดีใจกับกลุ่มเพื่อน ก่อนหันกลับมาชวนผม “งั้นไปเที่ยวด้วยกันนะครับ ชื่อเพชรใช่ไหม ผมชื่อพอร์ช แหมฟังคล้องจอง ต้องเป็นคู่แท้แน่ๆ เลย”
“เราชื่อต้าร์นะเพชร”
“ไม่ต้องเลยต้าร์ คนนี้ยกให้พอร์ชไป”
“โธ่อร เราก็แค่แนะนำตัวให้รู้จักกันไว้เฉยๆ”
“ยังไงก็ไม่ได้ย่ะ เพชรเขายิ่งเสน่ห์แรงๆ อยู่”
“ก็สมควรหรอกนะ”
“ต้าร์!”
“ล้อเล่นจ้า อรของต้าร์น่ารักที่สุดแล้ว โอ๋ๆๆ”
“ว่าแต่เพื่อนแพตคนนี้ไม่ได้เป็นใบ้นะ? ไม่เห็นพูดอะไรเลยสักคำ”
“เดี๋ยวคืนนี้ลองก็รู้เองว่ามีเสียงหรือเปล่า?”
“ว้าย พูดอะไรน่าเกลียดน่ะแพต ฮ่ะๆๆ”
“เพชรเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่งน่ะ แต่จะทำอะไรเก่งนี่พอร์ชต้องพิสูจน์เอาเองแล้วล่ะ”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง งั้นก็ไปกันเหอะ เดี๋ยวพาไปสนุกเนอะ” ผู้ชายคนเดิมหันมาชวนยิ้มแย้มพร้อมคว้าข้อมือผมแล้วออกแรงดึง
ถ้าเป็นตอนนี้.. แม้เพียงแรงลมแผ่วเบาจากปีกของแมลงปอ ผมก็พร้อมจะล่องลอยไป
“จะพาเด็กคนนั้นไปไหนน่ะ?” เสียงเย็นๆ ของใครคนหนึ่งทำให้ทุกคนหันไปมองพร้อมกัน ..รวมทั้งผมด้วย
“.........” ผู้ชายหน้าสวยคลับคล้ายคลับคลา สายตาเย็นชาไม่แพ้น้ำเสียง ยืนอยู่ริมฟุตบาท ที่ด้านหลังมีรถสีดำคันใหญ่จอดนิ่งสนิทอยู่
“คุณเป็นใคร?”
“ผมเป็นคนที่นัดกับเด็กคนนี้เอาไว้ ..ขอเขาคืนให้ผม” ผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้
“อะไรวะเนี่ย? นัดคนอื่นเอาไว้แท้ๆ ดันยอมเดินตามมาเฉยเลย” ผู้ชายที่จับข้อมือผมหันมามองด้วยสายตากึ่งผิดหวังกึ่งตำหนิ สุดท้ายก็ยอมปล่อยมือผมแล้วเดินหงุดหงิดไปหากลุ่มเพื่อนที่ยืนยิ้มเยาะรออยู่
“มานี่” ผู้ชายหน้าสวยไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาฉวยข้อมือผมแล้วลากไปยัดใส่รถสีดำคันใหญ่ทันที
“.........” ผมถูกผลักเข้ามาที่เบาะด้านหลัง ในนั้นมีผู้ชายใส่แว่นท่าทางใจดีนั่งอยู่ก่อนแล้ว ส่วนคนที่ลากผมมาเมื่อครู่เดินอ้อมไปนั่งประจำที่คนขับ
รถสีดำค่อยๆ เคลื่อนตัวออกสู่ถนนอย่างนุ่มนวล
“สวัสดี น้องเพชรใช่ไหม?” ผู้ชายใส่แว่นที่นั่งข้างกันทักทายผมด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“.........” ผมพยักหน้าแทนคำตอบ สมองกำลังพยายามค้นหาว่าเคยเจอคนคนนี้ที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า
“นึกแล้วเชียว” คนได้คำตอบพยักหน้าเบาๆ แล้วมองไปทางคนขับ
“เด็กงี่เง่า” กระจกสะท้อนสายตาเย็นชาไม่เปลี่ยนแปลงของคนขับให้เห็น
“อย่าเสียมารยาทแบบนั้นสิคุณจี้” ผู้ชายใส่แว่นปราม
“.........” คุณจี้..
ผมมองเลยออกไปยังเส้นทางที่รถกำลังมุ่งหน้า แล้วเพิ่งนึกได้ว่าควรพูดอะไรบ้าง
“จะพาไปไหนเหรอฮะ?” ผมหันมาถามคนที่นั่งข้างๆ
“อืม ที่หลบภัยน่ะ”
“.........” ผมพยักหน้ากับคำตอบ เบนสายตากลับไปที่ถนนข้างหน้าอีกครั้ง
ที่หลบภัย..
TBC.