(ต่อ)
“มาแล้วๆ ทางนี้เลยไอ้อินปีศาจ ทำไมมาช้าจังวะ?”
พอพี่อินพาผมกับตะนอยมาถึงร้านที่นัดกันไว้ พี่ผู้ชายใส่แว่นคนหนึ่งก็ลุกขึ้นกวักมือเรียกไปนั่งที่โต๊ะใหญ่ ดูเหมือนทุกคนจะมากันเกือบครบแล้ว
วันนี้มีเลี้ยงรวมทั้งหมดสี่สาย เพราะกลุ่มพี่ปีห้ากลุ่มนี้เคยมีกันอยู่สี่คน ก่อนจะมีพี่สองคนลาออกไปตั้งแต่ตอนปีสองด้วยเหตุผลบางอย่าง สายรหัสของพี่สองคนนั้นจึงถูกโอนมาให้พี่อีกสองคนที่เหลืออยู่ช่วยดูแล ตอนนี้ก็เลยมีสมาชิกนั่งล้อมโต๊ะกันอยู่เกือบยี่สิบคน
สายรหัสปีห้าของผมเป็นหนึ่งในคนที่ลาออกไป ส่วนของตะนอยเป็นหนึ่งในสองคนที่ยังอยู่
“โทษทีพี่ พอดีผมเป็นกรรมการให้คะแนนโชว์สปิริตด้วยน่ะ เลยต้องอยู่ดูจนคณะสุดท้าย”
ตอนแรกพี่อินบอกจะมารอรับพวกเรา แต่สุดท้ายพวกเราต่างหากที่ต้องไปรอพี่อิน
“ตัวเล็กนั่งนี่เลย” หลังจากยกมือไหว้พวกรุ่นพี่รอบโต๊ะ พี่อินก็ดึงเก้าอี้ตัวถัดจากของพี่ให้ผมนั่ง
“ขอบคุณฮะ”
“ใส่คะแนนเสร็จก็รีบชิ่งมาเลยเนี่ย เขายังไม่ประกาศผลกันเลยด้วยซ้ำ ว่าแต่พี่เหอะ ไหนว่าได้สปอนเซอร์ดีจากอิตาลีวะ แล้วไหงพามาเลี้ยงหมูกระทะแทนที่จะเป็นบุฟเฟ่ต์โรงแรมหรูล่ะเนี่ย?”
“เออเฮีย ยังไม่ตายก็ริจะอมตังค์แล้วหรือไง?” ตะนอยที่เพิ่งหย่อนก้นนั่งข้างผมพูดขึ้น
“เฮ้ยฝู กูขอเตะญาติผู้น้องมึงได้ไหม?” พี่แว่นหันไปถามพี่ผู้ชายตาตี่ผิวขาวซีดเหมือนสีน้ำนมที่นั่งหัวเราะอยู่ข้างกัน
“เอาดิ ถ้ามึงไม่กลัวมันสวนกลับอ่ะนะ”
คนนี้คงเป็นลูกพี่ลูกน้องที่ตะนอยเคยพูดถึง เวลายิ้มจะเห็นตาเหลือแค่ขีดเดียว ดูใจดีต่างกับพี่แว่นที่ดูเป็นแบบฉบับของผู้ชายกระล่อน
“ตกลงมันยังไง พี่ปอ? ทำไมถึงไม่เป็นโรงแรม?” พี่อินทวงถามพี่แว่นอีกครั้ง
“ก็ถ้ากูพาไปโรงแรมหรู แล้วพวกมึงจะได้มานั่งกินหมูกระทะแบบบ้านๆ กันแบบนี้ไหมล่ะ? คิดสิคิด อย่ามีหัวไว้แค่กั้นหู”
“โหยยย” มีหลายเสียงโวยวายหลังได้ฟังคำตอบสุดแถนั่น
“แม่งกวนส้นตีน” พี่ผู้ชายท่าทางเรียบร้อย ติดกระดุมเสื้อจนถึงคอ สะพายย่ามสีส้มแบบของพระ พูดพึมพำดังมาจากฝั่งตรงข้าม
พี่เขาชื่อพี่บุญโฮ เป็นสายรหัสปีสี่ของผมเอง
ผมจำสายรหัสของผมได้ทุกคน
หลังต่อปากต่อคำกันพอหอมปากหอมคอ ก็เป็นช่วงเวลาของการแนะนำตัว เพราะปีหนึ่งกับปีห้าเพิ่งจะเคยเจอกันครั้งแรก พี่แว่นปีห้าแนะนำว่าตัวเองชื่อพี่ปอ เป็นสายรหัสของตะนอย พี่ตาตี่ญาติของตะนอยชื่อพี่ฟงฝู ส่วนสายรหัสปีห้าของผมชื่อพี่ฟ้า ตอนนี้อยู่อิตาลี
“น่ารักจังเลย~ มีแฟนหรือยังจ๊ะ?” พี่ปอทำท่าเพ้อๆ ตอนผมแนะนำตัว ก่อนจะโดนพี่ฟงฝูตบหัวจนแว่นเอียง
“พี่ฟ้าที่ว่านี่คือเจ้าของตำนานเดือนเดือดใช่ไหมคะ?” เพื่อนร่วมรุ่นของผมคนหนึ่งถามพวกรุ่นพี่
“ใช่แล้วจ้ะ น้องจี๊ด” พี่ปอเป็นคนตอบ
“พี่เขาเป็นคนยังไงเหรอ ทำไมเข้ามาแค่ไม่ถึงสองปีก็ทิ้งเรื่องเล่าเอาไว้เต็มคณะเลย”
“เรื่องดีๆ ทั้งนั้น” พี่บุญโฮแค่นเสียงขึ้นจมูก
“เป็นคนยังไงงั้นเหรอ..อืม..” คนถูกถามทำท่าคิดหนัก
“มันอธิบายเป็นภาษามนุษย์ไม่ได้หรอกน้อง” พี่ฟงฝูช่วยตอบ
“ต้องเจอเองเท่านั้นถึงจะเข้าใจ” พี่ปอพยักหน้าหงึกๆ
“ตอนพี่เข้ามา พี่ฟ้าแกก็ออกไปแล้วล่ะ” พี่อินบอกผมขณะคีบเนื้อคีบผักใส่จานให้
“ขอบคุณฮะ”
“จนทุกวันนี้กูก็ยังไม่รู้เลยว่ามันมาเรียนเภสัชทำไม”
พวกรุ่นพี่เริ่มคุยกันเอง
“แล้วพวกพี่ล่ะ ทำไมถึงมาเรียนคณะนี้?” ใครสักคนถาม
“ครอบครัวกูเป็นเภสัชมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ที่บ้านก็เปิดร้านขายยาด้วย” พี่ฟงฝูบอก
“บ้านกูทำบริษัทนำเข้ายา แล้วมึงล่ะ ไอ้อิน?” อันนี้พี่ปอ
“มันดูหล่อดีนะผมว่า” พี่เก๊กหน้าหล่อตอบ
“ไอ้บ้านี่ไร้สาระจริงๆ” แล้วก็ถูกรุมขว้างก้านผักใส่
จากนั้นคำถามนี้ก็กระจายไปรอบโต๊ะ
“แล้วตัวเล็กล่ะ ทำไมเลือกคณะนี้? คุณพ่ออยู่คณะสถาปัตย์นี่นา” พี่อินหันมาถามผมบ้าง
“เป็นอาจารย์เหรอ?” ผมยังไม่ทันตอบ ก็มีคำถามใหม่จากใครสักคนก่อน
“ใช่พี่ อาจารย์ผู้ชายที่ตัวสูงๆ เซอร์ๆ แล้วก็ยังไม่แก่มากน่ะ”
“อ๋อ อาจารย์ธัช”
“พี่ฝูรู้จักด้วยเหรอ?”
“กูมีเพื่อนอยู่คณะนั้น ได้ยินว่าเป็นที่ปลาบปลื้มของนักศึกษาสาวมาก ว่าแต่มีลูกโตขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?” พี่ฟงฝูพูดพึมพำกับตัวเองในตอนท้าย
“เออ น้องเพชรรู้หรือเปล่าว่าสายรหัสน้องเพชรน่ะ คนในคณะเขาเรียกกันว่าสายกระสือนะ” จู่ๆ หัวข้อสนทนาก็ถูกพี่ปอเปลี่ยนไปแบบกะทันหัน
“เหรอฮะ?” ผมหันไปมองหน้าคนพูด
“ทำไมเหรอเฮีย?” ตะนอยถาม
“ก็สายนี้น่ะไม่เคยมีคนปกติมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษแล้วไงล่ะ ดูอย่างเฮียฟ้าของมึงก็ได้ แล้วไหนจะไอ้เอี้ยโฮที่นั่งทำหน้าประหนึ่งคนบรรลุธรรม แต่คำพูดคำจาน่าป้อนตีนนั่นอีก มึงมองเห็นความปกติในตัวมันไหม?”
“.........” เห็นแต่ความขัดแย้งแปลกๆ
“เจ๊มี่ที่อยู่ปีหกก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน เจ๊แกมีฉายาว่าสวยสังหาร ถ้าโลกนี้มีผู้หญิงอย่างแกเยอะๆ ผู้ชายอย่างเราคงหันไปเอากันเองหมดอ่ะ โหดเหี้ยมเกินบรรยาย”
“.........” คนนี้ผมยังไม่เคยเจอ
“ใช่ ไอ้อินนี่ก็อีก หน้าตาแม่งชวนให้กระทืบตั้งแต่แรกเห็น แต่พอเปิดปากพูดดันเป็นมิตรเกินความจำเป็น”
“แล้วมันไม่ดีหรือไงพี่?”
“ไม่ดี! ก็มึงเสือกหล่อกว่ากู หมั่นไส้แม่ง”
“แถมยังดูไม่ค่อยออกอีกว่าเป็นคนยังไงกันแน่”
“.........” ผมก็ดูไม่ออก บางทีพี่ก็เหมือนเล่น บางทีพี่ก็เหมือนจริง
บางทีพี่ก็เหมือนมีอะไรมากกว่าที่แสดงให้เห็น
“ครับ?” พี่เลิกคิ้วเมื่อเห็นผมหันไปมอง ผมส่ายหน้าว่าไม่มีอะไร
จากตอนแรกที่คิดว่าคงแค่เข้ามาจีบเหมือนคนอื่นๆ แต่ตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจ
“จริงพี่ รู้จักกับมันมาเกือบยี่สิบปี ผมยังไม่แน่ใจเลยว่าตกลงมันเป็นคนยังไงของมัน” พี่ผู้ชายใส่แว่นอีกคนพูดบ้าง
“อ้าว ไอ้นนท์ คนอื่นน่ะไม่เท่าไหร่ แต่เมียเก่าเมียเก็บอย่างมึงทำไมถึงพูดงั้นวะ?”
“สัดอิน กูบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เลิกเล่นมุขนี้ แฟนกูก็นั่งหัวโด่อยู่นี่ มึงเห็นไหม?”
“ตามสายเลยค่ะ หยอดกันเยอะๆ ก็ดี จะได้มีวัตถุดิบไปแต่งนิยาย” พี่หมิงที่เพิ่งถูกระบุว่าเป็นแฟนกับพี่แว่นพูดหน้าตาเฉย
“เออ กูว่าไอ้หมิงนี่แหล่ะน่ากลัวที่สุดในบรรดาทายาทกระสือ ทั้งที่ตอนเห็นหน้ามันครั้งแรกกูนึกว่าเชื้อสายนี้จะสูญสิ้นหลังหมดรุ่นไอ้อินแล้วแท้ๆ”
“อย่างไอ้หมิงเขาเรียกว่าอะไรนะ?” พวกรุ่นพี่เริ่มเปิดประเด็นใหม่
“สาววาย”
“ชมรมคนนิยมตรูด”
“แม่งสยองชิบเป๋ง”
“พี่ฝูเป็นพวกมีอคติทางเพศเหรอคะ?”
“กูไม่ได้อะไรกับเกย์นะ แต่กูสยองผู้หญิงที่ชอบสอดส่องเรื่องรูตรูดชาวบ้านอย่างมึงนี่แหล่ะ”
“ไปพูดแบบนั้นเดี๋ยวเรื่องหน้ามันก็เอาพี่ไปแต่งเป็นเมียน้อยเสี่ยหรอก”
“มึงหุบปากไปเลยไอ้นุช”
“ไอเดียดีนะคะ”
“พวกมึงหยู๊ดดดดดดด!!”
“เออ กูสงสัยอยู่เรื่อง ไอ้นนท์กับไอ้น้องหมิง เวลาที่พวกมึงจูบกัน แว่นมันไม่ชนกันเหรอวะ? แม่งสี่ตาทั้งคู่เลยนี่หว่า” แล้วพี่ปอก็เปลี่ยนประเด็นไปอีก
“เวลาเฮียฝูไม่ใส่คอนแท็ค เฮียก็ต้องใส่แว่นเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?” จู่ๆ ตะนอยก็แทรกขึ้น
“เออ แล้วเกี่ยวอะไรกับกูวะตี๋?” พี่ฟงฝูดูงงๆ
“ก็เวลาเฮียปอจูบเฮียฝู แว่นมันเคยชนกันบ้างหรือเปล่าล่ะ?”
สิ้นเสียงตะนอย เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นรอบโต๊ะ
“ไอ้เอี้ยตี๋!! มึงน้องกูป่ะเนี่ย? กูกับไอ้ปอไม่ได้เป็นผัวเมียกันนะแสรดดด!!” พี่ฟงฝูโวยวายพลางขว้างผักขว้างเนื้อใส่น้องชาย หลายชิ้นก็พุ่งมาทางผม โชคดีที่พี่อินคอยบังไว้ให้
“ไม่เป็นไรนะ” พี่ถามผมยิ้มๆ ผมส่ายหน้าแทนคำตอบอีกครั้ง
“อ้าว ไม่ใช่หรอกเหรอคะ? ท่าทางพวกพี่สองคนชวนให้จิ้นดีออกแท้ๆ น่าเสียดายจัง”
“มึงเอาแฟนมึงไปเก็บเดี๋ยวนี้เลย ไอ้เอี้ยนนท์!” แล้วเป้าของพี่ฟงฝูก็เปลี่ยนไปทางแฟนพี่หมิงบ้าง
“ส่วนน้องเพชร..” พี่ปอที่นั่งหัวเราะจนต้องถอดแว่นเช็ดน้ำตาเมื่อครู่ จู่ๆ ก็เปลี่ยนอารมณ์มาชี้หน้าผมด้วยท่าทางขึงขัง
“ฮะ?”
“เจ้าคือทายาทคนใหม่”
“.........” ทายาทกระสือน่ะเหรอ?
“น่ารักจังเลย~ อยากมีแฟนหรือยังจ๊ะ?” แล้วพี่ปอก็เปลี่ยนเป็นเพ้ออีก ตามด้วยโดนพี่ฟงฝูตบหัวจนแว่นเอียงอีกเช่นกัน
“เหมาะมาก” ตะนอยกับเพื่อนร่วมรุ่นที่ชื่อน้องจี๊ดมองหน้าผมแล้วพูดแบบนั้นพร้อมกัน
“.........” ทายาทกระสือน่ะนะ..
“ส่วนสายมึงเขาเรียกว่าสายไอ้แว่น” พี่ฟงฝูชี้หน้าตะนอยบ้าง “ทั้งเชี่ยปอ เชี่ยโอ เชี่ยนนท์ เชี่ยตุ้ย แล้วก็มึง ไอ้เชี่ยตี๋ แว่นทั้งก๊ก”
“.........” จริงๆ ด้วย
แต่เลนส์แว่นพี่ปอดูใสกว่าของคนอื่น เหมือนใส่เอาเท่ห์เฉยๆ
“จริงๆ แล้วกูไม่จำเป็นต้องใส่หรอก แต่ตอนเข้ามาปีหนึ่ง กูเห็นทั้งสายเป็นเด็กแว่นกันหมด กูก็เลยแว่นบ้าง ไม่อยากตกเทรนด์” พี่ปอเฉลยจบก็ถูกเพื่อนเอาต้นผักบุ้งฟาดหัว โทษฐานไร้สาระ
“แล้วสายเฮียล่ะ?” ตะนอยถามญาติผู้พี่ของตัวเอง
“สายกูเขาเรียกว่าสายคนหน้าตาดี” พี่ฟงฝูตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ถุ๊ย!!!” มีเสียงถ่มถุยจากรอบโต๊ะ
“กล่องอะไรตั้งอยู่หลังพี่ปอน่ะ เห็นตั้งแต่ตอนมาแล้ว” ใครสักคนทัก
“เออ เกือบลืมแล้วไหมล่ะ” พี่ปอสะดุ้งลุกจากเก้าอี้ หันไปหยิบกล่องสีขาวขนาดใหญ่ๆ แบนๆ มาแจกจ่ายให้สายรหัสของผมทุกคน
“เอาไปพวกมึง ของขวัญจากคุณชายฟ้าประทาน มอบให้แก่ทายาทกระสือของมันทุกคน ..นี่จ้ะ ของน้องเพชรผู้น่ารักกล่องนี้”
กล่องที่ผมได้มา บนฝามีลายมือหวัดๆ เขียนว่า Diamond
“ไดมอนด์เหรอ..” พี่อินชะโงกหน้ามาอ่านตัวอักษรบนกล่องของผม
ผมเลยชะโงกไปดูของพี่บ้าง ..Intouch
“ฟ้ามันคงสะกดคำว่าเพชรไม่ถูกน่ะ อย่าถือสามันเลยนะ” พี่ปอบอก
“ไม่เป็นไรฮะ ฝากขอบคุณพี่ฟ้าด้วยนะฮะ ..อุตส่าห์ให้มา”
“น่ารักจังเลย~ รับพี่เป็นแฟนไหมจ๊ะ?” พี่ปอออกอาการเดิม แล้วก็โดนตบหัวแว่นเอียงเหมือนเดิม
“หน้ากากคาร์นิวัล?!” พี่หมิงร้องอุทาน ในมือมีหน้ากากแฟนซีรูปร่างประหลาดประดับดอกไม้สีม่วงหรูหรา
ผมลองเปิดของตัวเองดูบ้าง ข้างในมีหน้ากากแบบครึ่งหน้า สีขาวล้วน ประดับเพชรเทียมเม็ดเล็กๆ เป็นลวดลายคล้ายปีกผีเสื้อ ติดช่อขนนกสีขาวไว้ฝั่งหนึ่ง ..บางที Diamond ที่ว่า อาจจะหมายถึงไอ้นี่ก็ได้
“....!!...” ตอนหันไปมองคนข้างๆ เกือบผงะ เพราะอีกฝ่ายหันมาพอดี พร้อมกับหน้ากากแบบครึ่งหน้าที่ตรงส่วนจมูกยื่นยาวงองุ้มคล้ายเหยี่ยว ตกแต่งด้วยโทนสีทองกับสีดำ ดูมีมนต์ขลังทรงพลังแปลกๆ
“เท่ห์เปล่า?” เสียงพี่อินดังมาจากหลังหน้ากาก
“ก็ดีฮะ”
“ฟังดูไม่จริงใจเลย”
“ทำนองนั้นแหล่ะฮะ”
ถ้าพี่ใส่ชุดคลุมสีดำกับห้อยดาบสีเงินด้วยคงจะดูเข้ากันมากกว่านี้ เหมือนตัวละครในเกมส์ที่เคยเล่น ..แต่เป็นตัวร้าย
“ใจร้ายอีกแล้ว..”
“พี่อินเท่ห์จังเลยค่ะ” ใครสักคนพูดแบบนั้น
“ของมันแน่อยู่แล้วครับน้องอร” พี่ตอบเข้าข้างตัวเองแล้วหัวเราะ
น้องอรที่ว่าก็หัวเราะคิกคัก ผมเห็นเธอพยายามเรียกร้องความสนใจจากพี่หลายครั้งแล้วตั้งแต่มาถึงร้าน
“.........” น้องอรคนนี้เป็นเพื่อนกับแพตตี้คนนั้น ...ผมจำได้
“วางๆ ตี๋ มันไม่เหมาะกับมึงหรอก ให้น้องเพชรเขาใส่ดีกว่า” พี่ฟงฝูบอกตะนอยที่หยิบหน้ากากของผมไปลองทาบหน้าตัวเองดู
“ไหนน้องเพชรลองใส่ให้ดูหน่อยสิจ๊ะ พี่อยากเห็นจัง” เสียงเพ้อๆ ของพี่ปอทำให้ผมต้องยกหน้ากากขึ้นทาบหน้าตัวเองบ้าง
“อ๊า น่ารักที่สุดเลย~ ตกลงเป็นแฟนกับพี่นะจ๊ะ..โอ๊ยย พวกมึง..”
คราวนี้ไม่ใช่แค่พี่ฟงฝู แต่พี่อินก็ร่วมผสมโรงทำร้ายร่างกายพี่ปอด้วย
“โอ๊ยๆๆ หยุด!! เมียกูน่ะไม่เท่าไหร่ แต่มึงเป็นใครเนี่ยเชี่ยอิน คิดจะปีนเกลียวกูเรอะ?”
“ไอ้สัด! ใครเมียมึง” และคราวนี้พี่ปอก็ถูกพี่ฟงฝูตบจนหน้าจิ้มลงไปในตะกร้าผัก เงยขึ้นมาอีกทีมีผักนู่นนี่ติดแว่นขึ้นมาเต็ม เล่นเอาหัวเราะท้องแข็งกันเกือบทั้งโต๊ะ
“พี่เริ่มเข้าใจอารมณ์ผมเวลาที่ถูกไอ้อินมันตู่เรียกแบบนั้นแล้วใช่ไหม?” แฟนพี่หมิงถามพี่ฟงฝู
“เออว่ะ กูว่ากูพอเข้าใจละ ว่าแต่ทำไมไอ้อินมันถึงเรียกมึงแบบนั้นวะ?”
“มันคงอยากได้ผมเป็นเมียล่ะมั้ง”
“มึงนินทากูระยะเผาขนเลยนะ เมียนนท์”
“เอิ่ม.. แล้วมึงคงไม่คิดว่าเชี่ยปอมันจะอยากได้กูเป็นเมียบ้างหรอกใช่ไหม?” พี่ฟงฝูมองไปทางเพื่อนที่กำลังดึงเศษผักออกจากขาแว่นด้วยสายตาหวาดระแวง
“มันก็ไม่แน่หรอกค่ะพี่ฝู ไม่เคยได้ยินประโยคนี้เหรอ เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ..น่ะ” เสียงเรียบๆ ของพี่หมิงทำเอาคนที่ผิวซีดอยู่แล้วยิ่งดูซีดหนักกว่าเก่า
“ว่าแต่หน้ากากคาร์นิวัลนี่มันเป็นของขึ้นชื่อของเวนิสไม่ใช่เหรอ?” พี่บุญโฮทำหน้าสงสัย ในมือถือหน้ากากแฟนซีแบบเต็มหน้า พื้นสีขาว ทาสีตรงตาและแต่งด้วยผ้าโทนสีส้ม
“เออ แล้วไงวะ?” พี่ปอถามกลับ
“เท่าที่ผมเคยได้ยินมา บ้านพี่ฟ้าเขาอยู่เนเปิลส์ไม่ใช่หรือไง?”
“หรือมึงจะให้กูหอบพิซซ่าสูตรต้นตำหรับมาล่ะ?”
“คงเน่าก่อนมาถึงพวกเราพอดี”
“คืองี้.. เมื่อต้นปีไอ้ฟ้ามันพาน้องสาวมันไปเที่ยวงานคาร์นิวัลที่เวนิส แล้วน้องมันก็เกิดไปถูกอกถูกใจไอ้หน้ากากประหลาดๆ พวกนี้เข้า พอกลับถึงบ้านก็เลยลองทำหน้ากากขึ้นมาเอง”
“ซื้อเอาไม่ง่ายกว่าเรอะ?”
“กูก็คิดงั้น แต่ไอ้ฟ้ามันบอกว่าน้องมันอยากทำหน้ากาก ไม่ได้อยากได้หน้ากาก อย่าทำหน้าแบบนั้น กูก็งงเหมือนพวกมึงนั่นแหล่ะ เอาเป็นว่าตอนนี้ในบ้านมันมีหน้ากากที่ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรอยู่เกือบร้อยอัน โชคดีที่น้องมันเบื่อที่จะทำแล้ว ไม่งั้นคงล้นบ้าน”
“สรุปว่าพี่ฟ้ามันแค่อยากหาที่ทิ้งหน้ากากว่างั้น”
“โหย ไอ้โฮ มึงไม่เห็นหรือไงว่ามันใส่กล่องมาให้อย่างหรู แถมยังเลือกมาซะตรงคาแรคเตอร์พวกมึงแต่ละตัวขนาดนี้ ช่วยเห็นถึงความตั้งใจดีของมันหน่อย ไม่งั้นกูจะบอกให้มันส่งคนมายิงทิ้งแม่งทั้งสายเลย ..ยกเว้นน้องเพชรนะจ๊ะ”
“แล้วพี่ฟ้ารู้ได้ไงว่าอันไหนจะเหมาะกับใคร ตั้งแต่ผมลงไปพี่แกก็ไม่เคยเจอเลยนี่นา”
“กูก็บอกมันสิ มึงโง่เปล่าเนี่ย? อ่ะ กูรู้ว่ามึงกำลังคิดอะไร ไอ้อิน จะถามว่ากูรู้จักน้องเพชรมาก่อนหน้านี้ได้ไงทั้งที่เพิ่งกลับจากยุโรปใช่ไหม? บอกให้ก็ได้ว่ากูฟังมาจากไอ้ฝูอีกที”
“กูเคยไปด้อมๆ มองๆ แถววันที่น้องปีหนึ่งมารายงานตัวน่ะ พอตอนหลังรู้ว่าน้องเพชรคนดังได้เป็นสายรหัสมึง กูเลยสไกป์ไปบอกไอ้ปออีกที ..ว่าแต่ไม่น่าเชื่อเลยนะว่านี่จะเป็นฝีมือของเด็กออทิสติก” พี่ฟงฝูจับหน้ากากของพี่หมิงพลิกดู
“เอ๊ะ น้องพี่ฟ้าเป็นออทิสติกเหรอคะ?”
“อือ”
ผมก้มมองหน้ากากของตัวเอง ..ฝีมือเด็กออทิสติก
“กูก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตกลงน้องมันเป็นออทิสติกหรือเด็กอัจฉริยะกันแน่ มึงรู้ไหมว่าน้องมันไม่ได้คิดแบบหน้ากากพวกนี้ขึ้นเองหรอก เป็นแบบที่ไปเห็นมาจากงานคาร์นิวัลทั้งนั้น ฟ้าบอกตอนแรกก็นึกเอะใจอยู่ว่าหน้ากากที่น้องทำมันดูคุ้นๆ ตา พอลองไปเอารูปที่ถ่ายในงานมาดูก็เห็นว่าเหมือนกันเป๊ะ รายละเอียดทุกอย่างเก็บได้หมดไม่มีตกหล่นเลยสักเม็ด และประเด็นคือน้องไม่เคยดูรูปพวกนั้น”
“หมายความว่าน้องแกดึงแบบออกมาจากความทรงจำล้วนๆ?”
“ใช่ ความจำล้วนๆ ทั้งเกือบร้อยอันนั่นเลย”
“สุดยอด..” เสียงคนรอบๆ โต๊ะพึมพำ
ผมก้มมองหน้ากากของตัวเองอีกครั้ง ..สุดยอด
“แล้วที่สำคัญที่สุด.. น้องมันแม่งน่ารักเอี้ยๆ เห็นแล้วอยากรับเป็นภาระไปตลอดชีวิตเลยว่ะ”
“เอาดิ ถ้ามึงเบื่อที่มีหัวไว้แค่กั้นหูแล้ว ก็ไสไปให้ไอ้ฟ้ามันระเบิดทิ้งได้เลย”
“แล้วพี่มานะไม่ฝากอะไรมาให้ผมกับพวกน้องๆ บ้างเหรอ?” รุ่นพี่คนหนึ่งทวงถาม ..คงหมายถึงพี่ปีห้าอีกคนที่ลาออกไปพร้อมพี่ฟ้า
“ของไอ้มานะ?” พี่ปอทำหน้าเหมือนกำลังนึก “..อ๋อ ก็ค่าอาหารมื้อนี้ไง ค่าอาหารมื้อนี้ไอ้มานะมันบอกว่าจะออกให้ทั้งหมด ถ้าพวกมึงกลัวจะน้อยหน้าพวกสายกระสือ พวกมึงก็แดกเข้าไป แดกให้เยอะๆ เอาให้ท้องแตกตายไปเลย เดี๋ยวกูส่งบิลไปเก็บที่ไอ้มานะเอง ..และกูเชื่อว่ามันคงยินดีที่จะจ่ายค่าทำศพให้พวกมึงด้วย กรณีที่มีใครตายคากระทะ”
“สนุกหรือเปล่า?” พี่อินที่คอยเทคแคร์อยู่ข้างๆ ตลอด ก้มกระซิบถามผมระหว่างที่ทุกคนกำลังหัวเราะเฮฮากับเรื่องเล่าของคนนั้นคนนี้
“คิดว่าเป็นงั้นฮะ”
“จะยิ้มจะหัวเราะไปกับคนอื่นบ้างก็ได้นะ ไม่ต้องกั๊กหรอก” ตาร้ายๆ ดูเป็นประกายขึ้นมาทันที
“เปล่ากั๊กสักหน่อย”
“แน่นะ?”
“ฮะ”
“ยิ้มหน่อยน่า”
“.........”
“อ่ะ..อื้ม..” พอเห็นพี่จะอ้าปากจะพูดอีก ผมก็เลยคีบไส้อ่อนที่ไม่กินยัดใส่ปากพี่ไป ตอนแรกพี่ดูตกใจ แต่แค่แป๊บเดียวก็เปลี่ยนเป็นหลับตาพริ้ม เคี้ยวแบบพิธีกรรายการอาหารของญี่ปุ่น
“อืม..อร่อยที่สุด ไม่เคยกินอะไรอร่อยขนาดนี้มาก่อน น้ำตาจะไหล ..ขออีกชิ้นได้ไหมครับ?”
“.........” ตลกบริโภคของแท้เลย
“อ้าาาา...” พี่ส่งเสียงแบบเด็กๆ แล้วชี้ไปในปากที่อ้ารอของตัวเอง
“อุก!” นี่ก็เป็นเสียงพี่อีกเหมือนกัน แต่หลังจากโดนพี่ปอเอาต้นผักบุ้งทิ่มเข้าไปในคอแทนไส้อ่อน “แค่ก..แค่ก..”
ผมยื่นแก้วน้ำให้พี่ที่กำลังสำลักหน้าดำหน้าแดง
ถ้าไม่นับสายรหัสของตัวเอง วันนี้ผมก็จำคนเพิ่มได้อีกตั้งหลายคน ทั้งฟี่ปอ พี่ฟงฝู แฟนพี่หมิง(ชื่ออะไรแล้วนะ?) เพื่อนที่ชื่อน้องอร แล้วก็..แพตตี้
TBC.