Chapter :: 02 :: พี่อิน(เทวดา)
“อาทิตย์แรกผ่านไปเป็นไงบ้าง? ชีวิตเด็กมหา’ลัยสนุกไหม?”
ตอนนี้ผมนั่งอยู่ในคอฟฟี่ช็อปไม่ไกลจากคณะของคุณป๋าเท่าไหร่
“ก็ดีฮะ ..ราบรื่นกว่าที่คิด”
“งั้นเหรอ ดีจัง วันก่อนป๋าผ่านไปแถวคณะหนู เห็นหนูกับเพื่อนตัวสูงๆ ที่ใส่แว่นกำลังเจรจาขออะไรบางอย่างกับกลุ่มรุ่นพี่เลย”
“ขอลองไขแม่กุญแจดูฮะ คนไหนที่เป็นพี่รหัสเรา ลูกกุญแจของเราก็จะไขแม่กุญแจของเขาออก”
“อ๋อ เล่นตามหาพี่รหัสกันสินะ น่าสนุกจัง แล้วหาเจอหรือยังล่ะ?”
“ยังเลยฮะ”
ถึงจะมีรุ่นพี่หลายคนมาเสนอตัวให้ลองไขเองโดยไม่ต้องไปเที่ยวขอร้อง แต่ก็ยังไม่ใช่ ..พี่รหัสตัวจริงคงไม่ทำแบบนั้นหรอก
“แล้วเพื่อนคนนั้นนิสัยดีไหม?”
“ฮะ ตะนอยใจดี”
“ชื่อตะนอยเหรอ.. อืม ชื่อน่ารักดี ไว้มีโอกาสแนะนำให้ป๋ารู้จักบ้างนะ”
“ฮะ แล้วคุณป๋าเป็นไงบ้าง เป็นหวัดหายดีแล้วเหรอฮะ?”
หลายวันก่อนคุณป๋าถูกหวัดเล่นงาน สภาพเลยดูไม่ได้เท่าไหร่ แต่วันนี้ดูดีขึ้นเยอะแล้ว โกนหนวดออกแล้ว แล้วก็ไปตัดผมมาด้วย ทำให้เห็นใบหน้าที่ดูอ่อนกว่าอายุจริงอยู่มาก
“อ๋อ หายดีแล้วล่ะ เพราะได้โจ๊กของหนูแท้ๆ เลย” คุณป๋าหัวเราะ
“มันจะเป็นไปได้ยังไงฮะ..”
ตอนที่รู้ว่าคุณป๋าป่วย ผมกลับไปบ้าน แล้วก็ต้มโจ๊กให้คุณป๋า วันต่อมาก็ไปอีก แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้ไปแล้ว คุณป๋าน่าจะหายเพราะยามากกว่า
“เป็นไปได้สิ ก็หนูคือกำลังใจสำคัญของป๋านี่นา ..อ๊ะ จริงสิ เมื่อวานคุณแม่พูดถึงหนูด้วยล่ะ” คุณป๋ายิ่งยิ้มหน้าบานกว่าเดิม
“งั้นเหรอฮะ” ผมก้มหน้ามองกาแฟเย็นชืดในแก้ว
“ไม่อยากรู้เหรอว่าคุณแม่พูดอะไร?”
“อะไรเหรอฮะ?”
มีมดตัวหนึ่งไต่ขึ้นมาบนขอบแก้ว แล้วก็พลาดร่วงลงไปในกาแฟ
“คุณแม่บอกกับเพื่อนๆ ว่า...มีลูกชื่อ น้องเพชร”
“.........” ผมใช้ช้อนที่วางอยู่ข้างแก้วตักมดตัวนั้นขึ้นมา เคาะลงบนผ้าปูโต๊ะลายลูกไม้สีขาว น้ำกาแฟซึมลงผืนผ้ากลายเป็นรอยเปื้อนสีน้ำตาลวงเล็กๆ
“คุณแม่คงอยากอวดหนูกับเพื่อนๆ”
“.........” มดตัวนั้นเดินทุลักทุเลไต่ขึ้นมาบนแขนของผม
“น้องเพชร..”
“.........” จู่ๆ มันก็หยุด แล้วฝังเขี้ยวลงมา ความเจ็บเล็กๆ แล่นลิ่วจากตรงนั้นไปยังประสาทรับรู้
“วันอาทิตย์นี้ถ้าหนูว่าง..”
“.........” ผมใช้นิ้วบี้ทีเดียวมันก็แปรสภาพเป็นก้อนกลมเล็กจิ๋ว
“เราไปหาคุณแม่ด้วยกันไหม?”
“.........” เสียงกรุ๋งกริ๋งหน้าประตูร้านดังขึ้น กลุ่มนักศึกษาเดินเข้ามาพร้อมกับลมวูบหนึ่งจากภายนอก ..เศษซากมดบนแขนผมปลิวหายไป
“น้องเพชร?”
“เอาไว้ก่อนแล้วกันฮะ อาทิตย์นี้ผมมีกิจกรรมที่คณะ” ผมหยิบเป้บนตักขึ้นสะพายบ่า
“งั้นเหรอ..” คุณป๋าดูซึมลงไป แต่แค่แป๊บเดียวก็รีบปรับสีหน้าให้ยิ้มแย้มเหมือนเดิม “คาบต่อไปหนูมีเรียนวิชาอะไรล่ะ?”
“จิตวิทยาพื้นฐานฮะ งั้นผมไปก่อนนะฮะ วันหลังจะมาหาใหม่”
“ตั้งใจเรียนล่ะ”
“บายฮะ”
“อ้าว ตัวเล็ก?” ผมเดินมาจนถึงหน้าหอสมุด จู่ๆ ก็มีใครบางคนร้องทัก
เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเป็นผู้ชายตัวใหญ่ ป้ายชื่อไม่มี คงเป็นรุ่นพี่ เพราะพวกรุ่นพี่จะแขวนป้ายชื่อเฉพาะเวลาทำกิจกรรม แต่รุ่นน้องต้องแขวนตลอดเวลาที่อยู่ในเขตมหา'ลัย
“มาหอสมุดเหมือนกันเหรอ?” ในมือพี่คนนั้นมีหนังสือเล่มหนาอยู่สองเล่ม
“เปล่าฮะ แค่ผ่านมา”
หน้าหล่อๆ กับตาร้ายๆ แบบนี้เหมือนจะได้เจออยู่เกือบทุกวัน ..ชื่ออะไรแล้วนะ?
พี่หันไปมองทางที่ผมเดินมา
“ไปหาคุณพ่อที่คณะสถาปัตย์มาอีกแล้วล่ะสิ?”
ผมแหงนมองหน้าพี่คนนั้นอีกครั้ง แววตาร้ายๆ เป็นประกายวิบวับ
“พี่ก็ต้องหาข้อมูลของคนที่กำลังตามจีบเอาไว้บ้างสิ ..แต่ตัวเล็กดูไม่เหมือนคุณพ่อเลยนะ คุณพ่อออกจะตัวสูง ดูเท่ห์ๆ เซอร์ๆ แต่ตัวเล็กตัวแค่นี้เอง แถมยังน่ารักมากซะด้วย”
อ๋อ พี่คนที่ประกาศว่าจะจีบออกมาโต้งๆ น่ะเอง ..ชื่ออะไรแล้วนะ?
“นี่ไม่คิดจะเขินสักหน่อยเหรอ?” พี่มองหน้าผมเหมือนคาใจอะไรหนักหนา
“ฮะ?”
“ก็พี่เพิ่งชมว่าเราน่ารักแบบซึ่งหน้าไปแหม่บๆ”
“ไม่ล่ะฮะ ใครๆ ก็พูดแบบนั้น” ไม่ได้หลงตัวเอง แต่เคยได้ยินจนชินแล้ว
“โอ้ววว ฮ่าๆๆๆ จริงๆ เลยนะเรานี่” พี่หัวเราะชอบใจเสียงดังจนคนแถวๆ นั้นหันมามอง
“แล้วนี่กำลังจะไปเรียนคาบต่อไปใช่ไหม?” พอหยุดหัวเราะ พี่ก็หันมาถาม
“ฮะ”
“วิชาอะไรล่ะ?”
“จิตวิทยาพื้นฐานฮะ”
“ที่อาคารเรียนรวมล่ะสิ งั้นเดินไปด้วยกันเลย พี่กะจะไปกินข้าวใต้ตึกนั่นอยู่พอดี”
ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู อีกไม่ถึงสิบนาทีก็จะหมดเวลาพักกลางวันแล้ว
ยังไม่ได้กินข้าวอีก..
“ก๋วยเตี๋ยวเรือที่นั่นอร่อยดีนะ ตัวเล็กเคยลองกินแล้วยัง?”
เอาแต่เรียก ตัวเล็กๆ มาตั้งแต่เมื่อกี๊แล้ว..
“หือ มีอะไรหรือเปล่า?” พี่หยุดเดิน ก้มมองหน้าผม
“ทำไมถึงไม่เรียกชื่อล่ะฮะ?” ผมหยิบป้ายชื่อที่คอยื่นให้พี่ดู
ป้ายเขียนว่า N’ เพชร
“อยากให้พี่เรียกชื่อเรางั้นเหรอ?”
“ก็คนมีชื่อนี่ฮะ”
“ทีเรายังไม่เรียกชื่อพี่เลย”
“.........” นั่นมัน..
“ไว้เรายอมเรียกชื่อพี่เมื่อไหร่ พี่ก็จะยอมเรียกชื่อเราเหมือนกัน” มุมปากพี่ยกขึ้น ตาร้ายดูแพรวพราวขณะยื่นข้อเสนอ
“แล้วพี่ชื่ออะไรล่ะฮะ?”
“เจ็บปวดที่สุด!” พี่ทรุดลงไปนั่งกับพื้น ทำสีหน้าเจ็บปวดเกินจริง
คนแถวนั้นพากันหันมองเราเป็นตาเดียว ..เดินไปก่อนดีไหม
“เฮ้อ.. ตามจีบมาทั้งอาทิตย์แล้ว แค่ชื่อเราเขายังจำไม่ได้เลย” พี่นั่งอยู่พักนึง ก่อนค่อยๆ ลุกขึ้น ปากก็รำพึงรำพัน
“ไหนใครว่าน้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน”
“ก็นั่นมันหินนี่ฮะ”
“อ้อ ลืมไป เรามันเพชรนี่นะ ต่อให้เอาน้ำกรดหยดทุกวันก็คงไม่ระคายเคืองเลยล่ะสิ”
“คงงั้นมั้งฮะ”
“แล้วถ้าพี่เอาน้ำใจหยดล่ะ?” พี่ทำหน้าตากรุ้มกริ่ม
“ลิเกจังฮะ”
“ฮ่าๆๆๆๆ” พี่เงยหน้าหัวเราะเสียงดังอีกแล้ว
“หยอดยังไงก็ไม่มีหวั่นสมเป็นเพชรจริงๆ”
“เขาบอกว่าวันนี้มีวิทยากรพิเศษมาบรรยาย อ๊ะ..” ตะนอยหยุดยืนอ่านประกาศบนบอร์ดด้านหน้าห้องเรียน ก่อนทำหน้าตาเหมือนติดใจอะไรบางอย่างในประกาศนั้น
“อะไร?” ผมชะโงกหน้าเข้าไปอ่านบ้าง
ในประกาศแจ้งว่าหัวข้อบรรยายวันนี้คือ จิตวิทยาในเด็กและวัยรุ่น โดยวิทยากรพิเศษชื่อ นายแพทย์เพลงพิณ ทามิยะ
“นามสกุลเหมือนคนรู้จักเลย” ตะนอยพึมพำ
ผมหันกลับไปอ่านนามสกุลของหมอคนนั้นอีกครั้ง ..ทามิยะ
“เข้าห้องกันเหอะ” ตะนอยรุนหลังผม
คุณหมอที่มาบรรยายเป็นผู้ชายใส่แว่น น้ำเสียงฟังดูนุ่มนวล ทว่าชัดถ้อยชัดคำ แล้วก็ไม่ได้ทำให้ง่วงสักเท่าไหร่ เนื้อหาที่ยกมาบรรยายก็ค่อนข้างน่าสนใจ ภาษาที่ใช้ก็ฟังเข้าใจง่ายดี ท่าทางสุภาพเรียบร้อยจนชวนให้คิดว่าคงไม่มีใครหน้าไหนกล้ามาทำหยาบคายใส่แน่ๆ
“ขอโทษครับคุณหมอ..” พอหมดชั่วโมงบรรยาย ตะนอยก็ตรงดิ่งไปหาคุณหมอวิทยากร
“ครับ? มีเรื่องไม่เข้าใจอะไรตรงไหนงั้นเหรอ?” คุณหมอที่กำลังเก็บเอกสารบนโต๊ะหยุดชะงักมือ หันมามองเราทั้งคู่ด้วยสายตาสงสัย แต่ใบหน้ายังคงดูอ่อนโยน ขณะที่ดวงตาหลังแว่นเปลือยกรอบแฝงแววเศร้าดูเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ..คงอายุพอๆ กับคุณป๋า หรือน้อยกว่านั้นไม่กี่ปี
“ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่บรรยายไปหรอกครับ อันนั้นแจ่มแจ้งดีแล้ว คุณหมอพูดได้เข้าใจง่ายมากเลย”
“แหม มาชมกันซึ่งหน้าแบบนี้..” คุณหมอหัวเราะเบาๆ “แล้วตกลงมีเรื่องอะไรเหรอครับ?”
“ผมแค่ติดใจเรื่องนามสกุลของคุณหมอน่ะครับ พอดีเห็นว่าเหมือนของคนรู้จัก”
“อืม.. หมายถึงคุณฟ้าหรือเปล่า? แขวนป้ายยาแบบนี้คงเป็นรุ่นน้องคุณฟ้าสินะ” คุณหมอมองมาที่ป้ายชื่อเราทั้งคู่
“รู้จักกันจริงๆ ด้วยสินะครับ”
“คุณฟ้าเป็นหลานผมเอง ผมเป็นน้าของเขาน่ะ”
“งี้นี่เอง ผมเป็นน้องเฮียฝูครับ เฮียฝูเพื่อนเฮียฟ้า”
“หมายถึงฟงฝูน่ะเหรอ.. จริงสินะ ไม่ได้เจอมาพักใหญ่แล้ว ทั้งฟงฝูทั้งปอ ไม่รู้ทั้งคู่สบายดีหรือเปล่า?”
“เฮียฝูน่ะสบายดีครับ แต่ช่วงนี้ท่าทางยุ่งๆ น่าดู ส่วนเฮียปอไปทัวร์ยุโรปกับครอบครัวยังไม่กลับเลย เห็นว่าอาจจะแวะไปเนเปิลส์ด้วย แล้วเฮียฟ้ากับเฮียมานะเป็นยังไงบ้างครับ สบายดีกันหรือเปล่า?”
“คุณฟ้าสบายดี ส่วนมานะคงต้องทำกายภาพบำบัดอีกพักใหญ่ แต่ก็ดีขึ้นมากแล้วล่ะ”
“ปาฏิหาริย์มากเลยนะครับ หลับไปตั้งเกือบสองปี อยู่ดีๆ ก็ฟื้นขึ้นมา ตอนได้ยินเฮียฝูเล่าผมยังตกใจเลย แต่ก็ดีใจด้วยที่ในที่สุดเฮียมานะก็จะหายสักที”
“ถ้าคนไข้มีกำลังใจดีสักอย่าง ปาฏิหาริย์ย่อมเกิดขึ้นได้”
“ขอโทษฮะ” ผมอาศัยช่วงที่ตะนอยเหมือนจะหมดเรื่องคุยแทรกขึ้น
“ว่าไงครับ?” คุณหมอหันมายิ้มใจดีให้ผม
“คือ..คนที่ป่วยทางจิตนี่มีโอกาสหายเป็นปกติได้หรือเปล่าฮะ?”
“อืม.. มันก็แล้วแต่เคสนะ” คุณหมอทำหน้าเหมือนพยายามเรียบเรียงคำพูด
“ผู้ป่วยทางจิตมีหลายกลุ่มน่ะครับ บางกลุ่มก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ บางกลุ่มก็มีโอกาสเป็นเรื้อรัง กลุ่มที่รักษาให้หายขาดได้คือกลุ่มผู้ป่วยทางจิตที่เรารู้สาเหตุแน่นอน และสามารถรักษาสาเหตุของอาการเหล่านั้นได้ เช่น ผู้ป่วยทางจิตที่เกิดจากการเสพยาบ้า หรือเกิดจากความเครียดรุนแรงที่เป็นเพียงระยะสั้นๆ ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะใช้เวลารักษาไม่กี่เดือนก็หายเป็นปกติ และสามารถหยุดยาได้..”
“.........” แล้ว..
“แต่ผู้ป่วยทางจิตในกลุ่มที่เราไม่รู้สาเหตุแน่ชัด หรือมีสาเหตุที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ เช่น ผู้ป่วยโรคจิตเภท โรคจิตจากสมองเสื่อม ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีอาการเป็นเวลานาน การรักษาด้วยยาหรือวิธีการอื่นจะสามารถช่วยให้พฤติกรรมของผู้ป่วยสงบลงได้ แต่ก็จะมีโอกาสกลับมามีอาการได้อีก ผู้ป่วยจึงควรกินยาอย่างต่อเนื่องตามที่แพทย์สั่ง อาจต้องใช้เวลาหลายปี แต่ยาจะช่วยควบคุมอาการและทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น กลับเข้าสู่สังคมได้ ดูแลตัวเองและทำงานได้”
“.........”
“นอกจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมด้วยครับ ความเข้าใจจากคนรอบข้างก็เป็นสิ่งสำคัญ”
“คุณพิณ..” ผู้ชายคนหนึ่งสวมเสื้อกาวน์สั้น เหมือนจะเป็นนักศึกษาแพทย์ หน้าตาออกสวยแต่ดูค่อนข้างเย็นชา เดินเข้ามาเรียกคุณหมอคล้ายมาตาม
“อ้าว รอเดี๋ยวนะ” คุณหมอหันบอกพี่คนนั้น แล้วก็หันกลับมาถามผม
“มีคำถามอยากถามอีกไหมครับ?”
ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ จังหวะนั้นตะนอยก็ยกมือไหว้พี่เสื้อกาวน์สั้น
“หวัดดีครับ เฮียจี้”
พี่คนนั้นพยักหน้ารับ หน้าตาดูแปลกใจนิดหน่อย
“ลงเรียนวิชานี้ด้วยเหรอเรา?”
“ครับ”
“ขอบคุณมากฮะที่ช่วยตอบ” ผมบอกคุณหมอ
“ด้วยความยินดีครับ” คุณหมอยิ้มใจดี ก่อนควักกระเป๋าสตางค์ หยิบกระดาษแผ่นเล็กยื่นมาให้ “นี่นามบัตรผม ถ้ามีเรื่องอยากปรึกษาโทรมาได้เลยนะ วันนี้คงต้องขอตัวก่อน”
“ไว้ค่อยคุยกันนะ พี่ต้องไปส่งคุณพิณ” นักศึกษาแพทย์คนนั้นบอกกับตะนอย
“หวัดดีครับ” ตะนอยยกมือไว้ทั้งสองคน ผมก็ยกมือไหว้ตาม ทั้งคุณหมอทั้งพี่นักศึกษาแพทย์รับไหว้พวกเราแล้วเดินออกจากห้องบรรยาย
“นั่นลูกพี่ลูกน้องเฮียฟ้าหลานคุณหมอ เพื่อนเฮียเรา” ตะนอยมองตามแผ่นหลังนักศึกษาแพทย์หน้าสวยคนนั้นไปจนลับสายตา
“ชอบเหรอ?”
สองคนนั้นเป็นญาติกัน คนหนึ่งดูอ่อนโยน คนหนึ่งดูเย็นชา ..แต่นัยน์ตาดูเศร้าคล้ายๆ กัน
เพื่อนหันมายิ้มให้ผม เป็นครั้งแรกที่เห็นเพื่อนยิ้มแบบนี้ตั้งแต่รู้จักกันมา
“ก็ไม่ได้หวังอะไรหรอก..”
ถ้าปล่อยให้ใจเริ่มรู้สึกผูกพัน ต่อไปก็จะอยากผูกมัด
“.........” ที่ว่าไม่หวังอะไรนั่น จริงแค่ไหนกัน?
“ฮ่ะๆๆ ดูเหมือนจะมีคนรู้ทัน” ตะนอยหันผมที่มองอยู่ก่อนแล้วก็หัวเราะออกมาแบบนั้น “เอาเหอะ เพราะตอนนี้ยังมองไม่เห็นอะไรนอกจากแห้วเป็นไร่ ก็เลยต้องพูดให้ฟังดูดีเอาไว้ก่อน นี่แหล่ะความจริง”
“.........” ก็ธรรมดานี่
“รีบไปกันเหอะ คาบต่อไปเป็นภาษาอังกฤษของป้านั่นด้วย เกิดไปสายเดี๋ยวแกปิดประตูไม่ยอมให้เข้าห้องอีก” ตะนอยเหลือบดูนามบัตรในมือผม
“นายคงดูเหมือนพวกมีปัญหา คุณหมอเขาเลยให้นามบัตรเอาไว้ คิดว่ายังไงก็คงได้ใช้แน่ๆ” หมอนั่นหัวเราะลงคอ ก่อนเดินนำออกจากห้องบรรยายที่เหลือแค่เราเป็นสองคนสุดท้าย
ผมก้มมองนามบัตรที่เพิ่งได้รับในมือ..
นายแพทย์เพลงพิณ ทามิยะ
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาจิตเวชศาสตร์เด็กและวัยรุ่น
“....!...” ขณะที่กำลังนั่งมองคนเล่นซอฟต์บอลในสนาม จู่ๆ ก็มีขวดน้ำเย็นเจี๊ยบมาแตะที่ข้างแก้ม
“ฮ่ะๆๆ มีสะดุ้งด้วย” คนที่ทำแบบนั้นเป็นเพื่อนร่วมรุ่นที่แขวนป้ายชื่อ N’ต๊อกแต๊ก หมอนั่นยื่นขวดน้ำให้ผม แล้วทิ้งตัวนั่งข้างๆ
“เห็นนิ่งๆ นึกว่าหลับไปแล้วซะอีก ..เหนื่อยไหม?”
“อือ”
เรากำลังอยู่ในระหว่างพักจากการซ้อมเชียร์ลีดเดอร์
“ไหวไหมเนี่ย?” หมอนั่นก้มลงมาสังเกตหน้าผมใกล้ๆ หน้าตาดูเป็นห่วง
“อืม”
ไม่ไหวก็คงต้องไหว ผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน ที่โรงเรียนเก่าก็เคยมีรุ่นพี่มาชวน แต่พอตอบว่าไม่ มันก็คือไม่ แต่กับที่นี่ไม่ง่ายแบบนั้น ถึงผมจะพูดว่าไม่ ก็ต้องมีใครสักคนพูดว่า เถอะน่า
“ทนอีกหน่อยนะ อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันแข่งจริงแล้ว” เพื่อนคนนั้นบีบไหล่ให้กำลังใจผม ก็เลยพยักหน้ารับส่งๆ ไป
“เออ เมื่อวานได้ข่าวว่าหาพี่รหัสเจอแล้วเหรอ? เฉียดฉิวเลยนะนั่น”
“อือ”
เหลืออีกแค่วันเดียวก็จะหมดเวลา โชคดีที่หาทัน ไม่งั้นคงโดนทำโทษ
พี่รหัสผมเป็นพี่ผู้หญิงใส่แว่น ท่าทางใจดี ชื่อพี่หมิง
“นึกว่าจะจบแล้วเนอะ ดันต้องมาวิ่งหาสายรหัสปีสามกับปีสี่ต่ออีก แถมคราวนี้ยังให้เวลาแค่อาทิตย์เดียวเอง แกล้งปั่นหัวรุ่นน้องเล่นแท้ๆ เลย”
เป็นอย่างที่หมอนั่นพูด พี่รหัสให้ลูกกุญแจผมมาอีกดอก บอกให้ตามหาพี่ปีสาม แล้วพี่ปีสามก็จะให้ลูกกุญแจสำหรับไปหาพี่ปีสี่อีกคน ยังดีที่ไม่ต้องตามไขไปจนถึงปีหก
“เอ่อ.. เพชร”
“อะไร?”
คนในสนามซอฟต์บอลดูเหมือนจะเลิกซ้อมแล้ว ผมจึงละสายตามามองคนข้างตัวเป็นครั้งแรก เห็นหมอนั่นกำลังแก้มแดง เกาต้นคอด้วยท่าทางเก้กัง
“คือ..เลิกซ้อมเย็นนี้เราไปหาอะไรกินในห้างกันไหม? วันนี้เราเอารถมา อิ่มแล้วเดี๋ยวพาไปส่งหอ”
ห้างเหรอ..
“เอ่อ แต่ถ้าวันนี้เพชรไม่สะดวกไปไกลขนาดนั้น งั้นเราหาอะไรกินกันแถวนี้ก็ได้ แล้วค่อยกลับหอ..นะ?” หมอนั่นเริ่มลุกลี้ลุกลน คงกลัวว่าผมจะปฏิเสธ
จำได้ว่าเมื่อวันก่อนก็เพิ่งชวน วันก่อนหน้านู้นก็เคย ก่อนโน้นด้วย..
“.........” ดูพยายามดี แต่เสียเวลาเปล่า
“งั้นก็ไม่เป็นไร ..ไว้คราวหน้าก็ได้” เพื่อนที่แขวนป้าย N’ต๊อกแต๊ก ยิ้มแห้งๆ ท่าทางหงอยสนิท
“ไปสิ..”
กำลังอยากไปซื้อของอยู่พอดี มีคนขับรถพาไปก็สะดวกดีเหมือนกัน
“จริงเหรอ?!” หมอนั่นเปลี่ยนอารมณ์จากหน้ามือเป็นหลังมือ
อย่างกับเห็นหูตั้งหางกระดิกอยู่ข้างหลังแน่ะ
“อืม”
คงไม่กระโดดเข้ามาเลียหน้าหรอกมั้ง
“ได้อ่านชีวะมาหรือเปล่า? เห็นว่าวันนี้อาจจะมีควิซนะ” ตะนอยถามระหว่างที่เรากำลังเดินไปมหาลัย
“ลืมไปเลย..” วันนี้มีเรียนตั้งแต่แปดโมงเช้า แต่ชีวะเป็นคาบบ่าย
อ่านตอนพักเที่ยงก็คงทันมั้ง
“เราจดโน้ตมาด้วย เดี๋ยวเอาไปอ่านแล้วกัน”
“ขอบใจ..”
ตะนอยเป็นหนอนหนังสือ ชอบอ่านทุกอย่าง ทั้งการ์ตูน นิยาย แล้วก็หนังสือเรียน ไม่แปลกใจเลยที่สายตาจะสั้นขนาดนั้น
“เออ เมื่อวานเย็นเห็นแต๊กมาส่ง” จู่ๆ ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา
“อือ ไปห้างมา”
“เดทเหรอ?”
“ซื้อของ แล้วก็กินข้าว”
“อีกฝ่ายต้องไม่คิดแค่นั้นแน่ๆ หมอนั่นแสดงท่าทีว่าสนใจนายจนออกนอกหน้า”
“ช่างเถอะ”
“ก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ แต่ถ้านายไม่คิดอะไร ก็อย่าเที่ยวไปทำเหมือนให้ความหวังคนอื่นแบบนั้นสิ คนที่หวังแล้วมันผิดหวังน่ะเจ็บนะ”
หวังเองเจ็บเอง ไม่เกี่ยวกับผมสักหน่อย ผมแค่อยู่ของผมเฉยๆ
“แต่พูดกับคนไร้เลือดอย่างนายไปก็คงไม่เข้าใจอยู่ดีสินะ ..ยังไงก็ระวังยัยดาวคณะที่ชื่อแพตตี้เอาไว้บ้างล่ะ ได้ยินว่าเล็งไอ้แต๊กมาตั้งแต่เปิดเทอมแล้ว เห็นน่ารักแบบนั้นแต่ร้ายใช่เล่น เคยเห็นฤทธิ์เดชมาแล้วตอนอยู่โรงเรียนเก่า คราวนี้ก็คงไม่คิดจะยอมแพ้นายง่ายๆ หรอก”
ใครอยากทำอะไรก็เชิญเถอะ
“แล้วเด็กคณะมนุษย์คนนั้นไปไงแล้ว? เห็นมาตามวอแวอยู่สองสามวันแล้วหายกริบเลย”
“ไม่รู้สิ”
ก่อนหน้านี้มีคนน่ารำคาญมาตามอยู่พักหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้ไม่เห็นแล้ว
“คงตัดใจแล้วมั้ง”
“หึหึ.. คงมีแค่ไอ้แต็กกับเฮียอินเท่านั้นล่ะมั้ง ที่ยังทนความไม่รู้สึกรู้สาของนายได้ สงสัยจะเป็นพวกมาโซ ..นั่น พูดถึงก็มาเลย ท่าทางจะไม่ตายเร็วๆ นี้หรอก” ตะนอยพยักพเยิดไปทางรถบีเอ็มคันใหญ่ที่ขับมาจอดเทียบใกล้ๆ
“ว่าไงตัวเล็ก ไปด้วยกันไหม?” พอลดกระจกรถลง ก็เห็นรุ่นพี่ตาร้ายที่โผล่มาบ่อยจนจำหน้าได้แล้ว
แต่ชื่ออะไรแล้วนะ? เหมือนเมื่อกี๊ตะนอยก็เพิ่งจะพูดไป ..ไม่ทันฟัง
“รบกวนด้วยคร้าบ” ตะนอยชิงตอบก่อนผม แล้วเปิดประตูด้านหลังเข้าไปนั่งด้วยท่าทางสบายๆ ส่วนผมเจ้าของรถเรียกให้ไปนั่งด้านหน้า
“ไปเรียนอะไรกันแต่เช้าเลย?” เมื่อรถเริ่มเคลื่อนตัว พี่คนขับรถก็เริ่มถาม
“คณิตน่ะ” เป็นอีกครั้งที่ตะนอยชิงตอบก่อน
“ยากไหม?” คราวนี้พี่หันมามองหน้าผมด้วย
ผมแค่ส่ายหน้าแทนคำตอบ ปล่อยให้เพื่อนเป็นคนพูดเช่นเคย
“ไม่เท่าไหร่หรอกเฮีย เคยเรียนมาหมดแล้วตอน ม.ปลาย คณิตพื้นฐาน ชีวะพื้นฐาน เคมีพื้นฐาน เนื้อหา ม.ปลายทั้งนั้น ไม่รู้จะให้เรียนทำไมซ้ำซาก”
“ก็ถือว่าเป็นการทบทวนแล้วกัน” พี่ยิ้มผ่านกระจกส่องหลังให้ตะนอย
“ถ้าเราว่ามันง่ายก็ทำเกรดให้มันดีๆ ล่ะ ตุนเอาไว้เป็นเสบียง”
“แต่มันน่าเบื่อออก” ตะนอยยังบ่นต่อ
“แล้วตัวเล็กล่ะ เบื่อไหม?” พี่หันมาถามผมยิ้มๆ
ผมก็ส่ายหน้าตอบไปเหมือนเดิม จะเบื่อไม่เบื่อก็ไม่เห็นสำคัญ ยังไงก็ต้องเรียนอยู่ดี ก่อนที่สายตาจะไปสะดุดเข้ากับแม่กุญแจอันเล็กๆ ที่ห้อยไว้กับสร้อยหนังบนคอพี่
“พี่ฮะ”
“หืม?”
“ขอลองไขแม่กุญแจดูหน่อยสิฮะ”
“สำหรับตัวเล็ก พี่บอกได้คำเดียวเลย” พี่ยิ้มให้ผมจนตาหยี แล้วจู่ๆ แววตาวิบวับเมื่อครู่ก็กลับมาดูร้ายกาจเหมือนเดิม
“ม่ายยยยยยย”
“แต่กติกาบอกว่าห้ามรุ่นพี่ปฏิเสธรุ่นน้องนี่ฮะ”
“แต่ก็ไม่ได้ห้ามมีเงื่อนไขใช่ไหมล่ะ?”
ก็จริง รุ่นพี่บางคนก็ให้ร้องเพลง บางคนก็ให้เต้นแร้งเต้นกา สั่งให้ทำอะไรน่าอายจนกว่าจะพอใจ ถึงจะยอมให้ลองไขกุญแจดู
“พี่จะยอมก็ต่อเมื่อตัวเล็กทำตามเงื่อนไขของพี่ได้” พี่ยกยิ้มมุมปาก แววตาเจ้าเล่ห์
“อะไรฮะ?”
“จำชื่อพี่ให้ได้”
“.........”
“ว่าไง? ถ้าไม่รับเงื่อนไขพี่ก็ไม่ให้เราลองแม่กุญแจของพี่หรอกนะ”
“เงื่อนไขยากจังเลยฮะ”
“อุก! นี่ถ้าพี่กระอักเลือดง่าย พี่คงกระอักเลือดตายไปหลายรอบเพราะคำพูดของเรานี่แหล่ะ ทำร้ายจิตใจเกิ๊น” พี่ทำท่าแอ็คติ้งโอเวอร์ทั้งที่ขับรถอยู่
“หึหึ” ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากเบาะหลัง
“ที่ใครเขาว่าคนน่ารักมักใจร้าย สงสัยจะเป็นเรื่องจริง”
“พี่ยื่นเงื่อนไขแบบนี้กับทุกคนเลยหรือเปล่าฮะ?”
“ไม่หรอก เพราะทุกคนจำชื่อพี่ได้” ดูพี่จะมั่นอกมั่นใจ
“ตะนอย..” ผมหันไปหาเพื่อน แต่ทางนั้นรีบโบกมือปฏิเสธก่อน
“ปัญหาของนาย แก้ไขเอาเอง”
“ฮ่ะๆๆ” พี่หัวเราะชอบใจเมื่อเห็นผมไร้ที่พึ่ง
เพราะที่ผ่านมาไม่เคยคิดจะใส่ใจ แต่ถ้าตั้งใจนึกดีๆ ..ต้องมีแหล่ะ ต้องอยู่ในซอกหลืบไหนในสมองนี่แหล่ะ ชื่อของพี่..
ผมรู้สึกว่าถ้านึกชื่อพี่ออกได้เองในคราวนี้ ผมจะจำพี่ได้ เหมือนกับที่จำตะนอยได้ ..ชื่ออะไรนะ
พี่กับตะนอยคุยเรื่องนั่นนี่กันมาตลอดทาง ทิ้งให้ผมรื้อค้นข้อมูลในสมองตัวเองเงียบๆ โดยไม่คิดจะรบกวนด้วยคำถามให้เสียสมาธิ จนมาถึงคณะวิทยาศาสตร์ ผมกับตะนอยบอกขอบคุณแล้วลงจากรถ กำลังจะเดินเข้าตึก แต่พี่วิ่งตามมายื่นนมรสกาแฟให้
“เห็นเรากินบ่อยๆ คิดว่าคงชอบ พี่เลยซื้อมาฝาก ตอนอยู่บนรถก็ลืมให้ไปสนิทเลย”
“ขอบคุณฮะ” ผมบอกก่อนรับมา
ยังไม่ทันจะหันหลังกลับก็ได้ยินเสียงคนตะโกนโวยวายมาจากอีกฝั่งถนน ตอนหันไปมองก็เห็นลูกอะไรกลมๆ พุ่งตรงมาจนเกือบจะถึงหน้าแล้ว..
ปึ้ก!!
มีเสียงบางอย่างถูกกระแทกเต็มแรง แต่ไม่มีส่วนไหนในร่างกายผมที่รู้สึกเจ็บ พอค่อยๆ ลืมตาถึงได้รู้ตัวว่าเมื่อกี๊เผลอหลับตา สิ่งแรกที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็คือเสื้อนักศึกษาสีขาวของพี่..
“ขอโทษคร้าบ เป็นอะไรมากหรือเปล่า?” เสียงคนตะโกนและวิ่งเข้ามาใกล้ ผมมองรอดแขนพี่ไปก็เห็นเป็นนักศึกษาชายวิ่งตามมาเก็บลูกบอล
“ไม่เป็นไร ทีหลังก็ระวังหน่อยแล้วกัน” พี่หันไปบอกคนนั้น ปัดเสื้อแถวไหล่ด้านหลังของตัวเองสองสามที แล้วหันกลับมาก้มมองผม
“ไม่เป็นไรนะ?”
“.........” ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ
“งั้นรีบขึ้นไปเรียนเถอะ พี่ก็จะไปเรียนแล้วเหมือนกัน”
“ขอบคุณนะฮะ ..พี่อิน”
เจ้าของชื่อที่กำลังเดินกลับไปที่รถชะงักเท้า
“.........” พี่หมุนตัวกลับมา สองตาเบิกกว้าง
“รักษาสัญญาด้วยนะฮะ” ผมบอกก่อนจะรีบวิ่งมาหาตะนอยที่ยืนรออยู่ห่างๆ ..ชักช้าไม่ได้ สายแล้ว
“จำได้แล้วดิ?” ตะนอยถามยิ้มๆ ตอนที่เราเดินขึ้นตึก
“อือ”
พี่คนนั้นชื่อ พี่อิน(เทวดา)..
TBC.