ผมคิดว่าการมีความรู้สึกนั้นเจ็บปวด
การแสดงความรู้สึกก็อาจจะเผลอไปทำให้ใครต้องเจ็บปวด
ผมไม่อยากเห็นเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีก
มันจะต้องไม่มีอีก..Chapter :: 01 :: วันแรก“น้อง...” พี่ผู้หญิงใส่แว่นที่แขวนป้ายชื่อว่า P’หมิง ก้มดูรายชื่อบนกระดาษสลับกับหน้าผมอย่างไม่แน่ใจ “เอ่อ..พะ-ชอน?”
“พัด-ชะ-ระ ..ฮะ” ผมตอบพลางก้มดูรายชื่อตัวเองบนกระดาษบ้าง
พชร อ่านว่า พัด-ชะ-ระ
“อ๋อ.. ค่ะ” พี่หมิงหัวเราะเบาๆ ก่อนกลับหัวกระดาษยื่นมาให้ผม “ช่วยเขียนเบอร์ที่ติดต่อง่ายที่สุดต่อท้ายชื่อให้พี่หน่อยนะคะ อ้อ แล้วก็พวกอาหารที่แพ้หรือที่ทานไม่ได้ด้วย ..ว่าแต่น้องมีชื่อเล่นหรือเปล่าคะ? พี่จะได้เขียนป้ายชื่อให้”
“เพชร ..ฮะ” ผมตอบขณะเขียนเบอร์โทรศัพท์มือถือต่อท้ายชื่อตัวเอง ..ไม่มีอาหารที่แพ้
พี่หมิงหยิบกระดาษแข็งพิมพ์รูปแคปซูลยา เจาะรูร้อยเชือกไว้เรียบร้อยมา เขียนคำว่า N’เพชร ลงไป เสร็จแล้วยื่นมาให้ผมพร้อมลูกกุญแจเล็กๆ อีกหนึ่งดอก
“ป้ายชื่อต้องคล้องคอเอาไว้ตลอดเวลาที่อยู่ในเขตมหา’ลัยนะคะ ส่วนกุญแจนี่เอาไว้ใช้หาพี่รหัส พี่บางคนอาจคล้องไว้ที่คอ พี่บางคนอาจคล้องไว้ที่ข้อมือ น้องเพชรก็ลองไปขออนุญาตพี่เขาไขดูแล้วกัน ไขคนไหนออกก็คนนั้นแหล่ะเป็นพี่รหัสน้องเพชร” พี่หมิงอธิบายคล่องแคล่วด้วยรอยยิ้มใจดี
ผมหันไปมองข้างๆ ก็เห็นพี่ผู้หญิงอีกคนกำลังอธิบายแบบเดียวกันให้เด็กใหม่ใส่แว่นหนาเตอะอีกคนที่ยืนข้างผมฟัง หมอนั่นหันมาทางผมพอดี เราเลยต่างฝ่ายต่างพยักหน้าให้กันทีนึงเป็นการทักทาย ก่อนเบนสายตากลับมาทางเดิม
“แต่ต้องรีบหน่อยนะคะ เพราะน้องมีเวลาแค่สองอาทิตย์นับจากวันนี้เท่านั้น ใครหาพี่รหัสเจอไม่ทันกำหนดจะต้องถูกลงโทษค่ะ”
“.........” ผมเอาป้ายชื่อแขวนคอ ก้มมองกุญแจดอกบางในมือ
“ไม่ต้องกลัวค่ะ รุ่นพี่ทุกคนเข้าหาได้หมด ไม่กัด ไม่อันตราย ..เอ้อ แต่ถึงจะกัดก็ไม่ต้องห่วงค่ะ เราฉีดวัคซีนให้ทุกคนเป็นประจำอยู่แล้ว ยังไงก็ปลอดเชื้อแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์” พี่หมิงยังคงยิ้มด้วยรอยยิ้มระดับเดิม ..ดูไม่ออกเลยว่าพูดจริงหรือกำลังเล่นมุข
“ขอบคุณฮะ” ผมกลับหลังหัน แต่ก็เก้กังไม่รู้จะไปทางไหนต่อ พอดีได้เสียงพี่คนเดิมช่วยชี้แนะ
“เข้าไปที่ตึกด้านในเลยค่ะ พวกพี่คนอื่นๆ รออยู่ที่นั่นพร้อมแล้ว เพื่อนๆ ก็เข้าไปกันหลายคนแล้วล่ะ”
“ขอบคุณฮะ” ผมพูดซ้ำอีกครั้งก่อนเดินจากมา ..มีเสียงคนวิ่งตามมา
“นาย! นาย.. รอด้วย”
เจ้าแว่นหนาเตอะที่ยืนอยู่ข้างกันเมื่อกี๊นี้เอง พอมาเดินข้างๆ แบบนี้ถึงได้รู้ว่าตัวสูงโย่งจนผมแหงนหน้าขึ้นมอง
“เราชื่อตะนอย ..เพื่อนใหม่” หมอนั่นแนะนำตัวพลางชูป้ายชื่อ N’ ตะนอย ให้ดู
“เพชร..” ผมทำแบบเดียวกัน
“เราเห็นนายตั้งแต่วันมารายงานตัววีคก่อนโน้นแล้ว ..คนอะไรเด่นเวอร์ อย่างกะมนุษย์โฟโตช็อป”
“แปลว่าอะไร?”
“แปลว่าดูดีเกินไปไง อะไรมันจะได้ดั่งใจไปซะทุกส่วนบนใบหน้าขนาดนั้น เราว่าปีนี้นายต้องดังที่สุดแหงๆ พนันด้วยข้าวสองถ้วย”
“ข้าวสองถ้วย?”
“บ้านเรากินข้าวในถ้วยน่ะ”
“.........” ผมก็ยังมองไม่ออกอยู่ดีว่ามันเกี่ยวกันตรงไหน
“เราได้ยินมาว่าพวกรุ่นพี่แย่งกันอยากเป็นพี่รหัสนายกันใหญ่ ท่าทางวุ่นวายน่าดูเลยล่ะ พอดีเฮียเราก็เรียนอยู่คณะนี้เหมือนกันเลยพอรู้ความเคลื่อนไหว”
“พี่ชาย?”
“ที่จริงเป็นลูกพี่ลูกน้องน่ะ แต่อยู่ปีห้าแล้วล่ะ.. เสียดายที่เฮียไม่ยอมบอกว่าตกลงใครได้เป็นพี่รหัสนาย แต่เรื่องนั้นช่างมันเหอะ ไม่บอกก็ลุ้นดีเหมือนกัน ว่าแต่ไม่เคยเห็นนายยิ้มเลยนะ ตื่นเต้น? กังวล? หรือกำลังต่อต้านสังคมอยู่?”
จู่ๆ ตะนอยก็หยุดเดิน ตาตี่หลังเลนส์หนาจ้องหน้าผมเขม็ง
“ปกติ” ผมหยุดให้หมอนั่นจ้องจนพอใจแล้วค่อยออกเดินต่อ
“เหรอ..”
“นายก็เหมือนกัน ไม่เห็นยิ้มให้เลย”
“ถ้าเรายิ้มให้นายจะยิ้มตอบเหรอ?”
“คงไม่”
“งั้นก็อย่าเลย มันจะดูเสแสร้งไป เราเองก็ไม่ใช่คนชอบยิ้มพร่ำเพรื่อเหมือนกัน”
“ปกติ?”
“ใช่ ปกติ”
“.........” ท่าทางคงจะพอคบกันได้
“อะไร?” คิ้วที่อยู่หลังแว่นเลิกขึ้นสูงเมื่อเห็นผมหันไปจ้องหน้าเจ้าตัวอย่างตั้งอกตั้งใจ
“กำลังพยายามจำหน้าอยู่” คนแบบนี้ไม่ได้มีมาให้เจอบ่อยๆ ต้องจำหน้าเอาไว้หน่อย
“อ่ะ ตามสบาย” หมอนั่นหยุดยืนให้ผมมองจนพอใจบ้าง
“ขอบใจ” ผมบอกเมื่อเริ่มออกเดินอีกครั้ง
“ไม่เป็นไร เพื่อนกัน”
สายตาที่พุ่งตรงมากับเสียงซุบซิบชี้ชวนเริ่มแผ่วงกว้างขึ้นทุกขณะตั้งแต่ผมก้าวเข้ามารายงานตัวกับพวกรุ่นพี่ที่ใต้ตึกคณะชั้นใน
“เราบอกแล้วว่านายมันเด่น ไอ้เปี๊ยก” ตะนอยก้มลงมากระซิบกระซาบ
“.........” ผมเงยหน้ากะระดับความสูงของเพื่อนใหม่อีกรอบ ปีนี้ผมสูง 172 เซ็นติเมตร แล้วหมอนี่สูงเท่าไหร่?
“แต่เด่นเกินไปก็มักจะถูกเขม่นเอาง่ายๆ ระวังตัวไว้บ้างล่ะ”
“.........” ผมรู้.. ไม่ว่าที่ไหนๆ ก็คงเหมือนกัน
“น้องเพชรกับน้องตะนอยไปนั่งต่อแถวกับเพื่อนๆ ได้เลยครับ เดี๋ยวอีกสักสิบนาทีเราก็จะเริ่มประชุมกันแล้ว” พี่ผู้ชายที่แขวนป้ายชื่อว่า P’นนท์ ชี้บอก
ผมกับตะนอยเดินมานั่งต่อแถวหลังเพื่อนร่วมรุ่น ก้นยังไม่ทันติดพื้นดีก็มีเพื่อนคนนู้นคนนี้รวมทั้งพวกรุ่นพี่เข้ามาชวนคุยล้อมหน้าล้อมหลัง ส่วนใหญ่ผมจะเป็นคนถูกยิงคำถามมากกว่า ก็มีตั้งแต่เบสิกๆ เช่น มาจากไหน? โรงเรียนอะไร? ทำไมถึงเลือกคณะนี้? ไปจนถึง สเป็คแบบไหน? คบกับใครแล้วหรือยัง? หรือแม้กระทั้ง..ใช้ครีมอะไร? ทำไงถึงหน้าใสเด้ง? ..เทือกๆ นั้น
“.........” ก็ตอบไปบ้าง ไม่ตอบบ้าง แล้วแต่ระดับความยากและความเร็วของการยิงคำถามต่อไป
“อิน”
“อุ๊ย พี่อิน”
“พี่อินทัช”
“ไอ้อินเทวดามาแล้ว”
เสียงซุบซิบที่ดังขึ้นจากคนวงนอก ค่อยๆ ขยายเข้ามาจนถึงคนวงใน ในที่สุดผู้คนที่ห้อมล้อมผมอยู่ก็เริ่มเปิดทางออก เผยให้เห็นพี่ผู้ชายตัวโต แววตาร้ายๆ คอแขวนป้ายชื่อ P’อิน(เทวดา) กำลังเดินมาทางนี้
“มุงอะไรกัน..โอ๊ะ นี่มันน้องน่ารักที่เจอตอนวันปฐมนิเทศนี่นา” แววตาร้ายๆ เมื่อครู่เปลี่ยนเป็นประกายวิบวับเมื่อมองเห็นผมนั่งเป็นไข่แดงอยู่กลางวง
“.........” วันปฐมนิเทศ...เมื่อไม่กี่วันก่อน?
“จำพี่ไม่ได้เหรอครับ?” พี่อิน(เทวดา)ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ๆ คล้ายกลัวว่าผมจะมองเห็นไม่ชัด
“.........” หน้าคมเข้มแบบนี้
“พี่ใจดีที่ช่วยน้องเก็บแฟ้มที่ทำตกไง”
“.........” คิ้วเป็นปลิงแบบนี้
“ช่วยบอกทางไปห้องน้ำให้ด้วยนะ”
“.........” เสียงทุ้มโทนต่ำแบบนี้
“สุดท้ายกลัวน้องหลง พี่เลยช่วยพาไปเอง ยืนเฝ้าหน้าห้องน้ำให้ด้วย กลัวว่าจะกลับไม่ถูก พอน้องเสร็จธุระพี่ก็พากลับไปส่งที่ห้องประชุมเหมือนเดิม แถมยังหยิบนมกับขนมพักเบรกขึ้นไปให้อีก ..นมรสกาแฟกับโรลเค้กรสวานิลา พี่ยังจำได้เลยว่าน้องกินไม่หมด แล้วพี่ก็เอามากินต่อ”
“.........” ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ นึกไม่ออกว่าเคยพึ่งพาคนอื่นขนาดนั้น
“นี่มึงทำถึงขนาดนั้นเลยเหรอวะ อิน?” เสียงใครสักคนถามขึ้น
“ตกลงว่ามึงใจดี หรือมึงแค่ตะกละ?” ใครอีกคนถามขึ้นบ้าง มีเสียงหัวเราะชอบใจตามมาหลังจากนั้น และกลายเป็นเสียงโห่ฮาเมื่อได้ยินคำตอบจากเจ้าของประเด็น
“กูหิวน่ะ” พี่อิน(เทวดา)ตอบหน้าตาเฉย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มพราย แววตาร้ายเปล่งประกายเจ้าชู้
“พอดีวันนั้นยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า ถ้าไม่ได้นมกับเค้กตอนนั้น พี่ก็อาจจะหน้ามืดกินน้องเข้าไปทั้งตัวแล้วก็ได้”
มีเสียงกรี๊ดกร๊าดหวั่นไหวจากบรรดารุ่นน้อง และเสียงถ่มถุยหมั่นไส้จากบรรดาเพื่อนพ้องดังผสมปนเปกันไป ส่วนเจ้าตัวก็ยิ้มร่าตอบรับทุกคำติชมแบบไม่มีสะทกสะท้าน ..คงจะเป็นดาวเด่นของคณะนี้
“น้อยๆ หน่อย ไอ้อินเทวดา ไอ้หล่อทรมานไต มัวไปอู้งานที่ไหนมาห๊ะ? มานี่เลยมึง” เสียงพี่นนท์ที่ถือไมโครโฟนยืนอยู่หน้าแถวดังผ่านลำโพงขึ้นมา เรียกเสียงโห่ฮาจากคนที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นได้เป็นอย่างดี
“โวะ เมียรักเริ่มเหวี่ยงอีกแล้ว” เสียงบ่นแบบจงใจให้ได้ยินกันทั่วทำเอาพวกรุ่นพี่คนอื่นๆ หัวเราะชอบใจกันใหญ่ แต่น้องใหม่ปีหนึ่งดูเหมือนจะอึ้งกันไปหลายคน
“ไว้ค่อยคุยกันใหม่นะ ตัวเล็ก” พี่อิน(เทวดา)บอกทิ้งท้าย ก่อนจะรีบวิ่งไปหาพี่นนท์และกลุ่มเพื่อนอีกหลายคนที่นั่งอยู่หลังพี่นนท์
“.........” ผมมองตามไหล่กว้างและช่วงขายาวๆ นั่นไป ปีนี้ผมสูง 172 เซ็นติเมตร แล้วพี่คนนั้นสูงเท่าไหร่?
“พี่สองคนนั่นเขา..” เสียงช็อคๆ ของใครสักคนเอ่ยขึ้นเบาๆ
“มันไม่ใช่อย่างที่คิดหรอก” พี่พยาบาล แขวนป้ายชื่อว่า P’กิ๊ก พูดยิ้มๆ
“อีกเดี๋ยวน้องก็จะรู้เอง เห็นหน้าตาหล่อร้ายแบบนั้น แต่ความจริงพี่อินเป็นคนตลกแล้วก็ใจดีมากเลยนะ”
“พี่?” ตะนอยที่คล้ายจะล่องหนไปจนถึงเมื่อครู่ส่งเสียงสูงเป็นเชิงถาม
“พี่อินเขาอยู่ปีสามแล้วจ้ะ”
“เดี๋ยวเลิกประชุมแล้วน้องเพชรอย่าเพิ่งกลับนะคะ อยู่รอคัดตัวเดือนคณะก่อน” พี่ผู้หญิงแขวนป้ายชื่อว่า P’โอ๋ เข้ามากระซิบบอกก่อนจะเลิกประชุมแค่ไม่กี่นาที
“ให้อยู่เป็นเพื่อนไหม?” ตะนอยถามหลังจากพวกรุ่นพี่สั่งเลิกประชุมแล้ว
“ไม่เป็นไร”
“งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ”
“บาย..” ผมโบกมือตามหลังเพื่อนใหม่ไป
“น้องเพชรคะ มารวมกลุ่มกับเพื่อนทางนี้ค่ะ” ผมหันไปตามเสียงเรียก ก่อนกระชับเป้ในมือ เดินไปทางที่รุ่นพี่คนหนึ่งกำลังยืนกวักมือ
การคัดตัวก็ไม่มีอะไรมาก ส่วนใหญ่ก็ประเมินเอาจากสายตาของพวกรุ่นพี่ ถามถึงความสามารถพิเศษ ตอบคำถามเกี่ยวกับไหวพริบอีกนิดหน่อย มีเพื่อนร่วมรุ่นทั้งชายทั้งหญิงอีกราวสิบคนที่ถูกเรียกตัวมาพร้อมกัน ตอนแรกทางฝ่ายชายก็ดูเหมือนผมจะได้เป็นตัวแทนตามมติของรุ่นพี่ส่วนใหญ่ แต่มีใครบางคนไม่เห็นด้วย
“ไม่ไหวหรอก แค่น่ารักอย่างเดียวไม่รอดแน่ มนุษยสัมพันธ์แย่ ไม่ยิ้มแย้ม ไม่แสดงออก แบบนี้จะเอามาเป็นตัวแทนคณะได้ยังไง?” พี่อิน(เทวดา)พูดด้วยสีหน้าจริงจัง ท่าทางขี้เล่นก่อนหน้านี้หายไปหมด เหลือแต่แววตาร้ายกาจดั้งเดิม บวกกับเสียงทุ้มโทนต่ำประจำตัวก็ยิ่งทำให้ดูน่าเกรงขาม
รุ่นพี่คนอื่นๆ ก็เริ่มมีท่าทีคล้อยตาม
“ไม่ต้องพูดตรงขนาดนั้นก็ได้มั้ง” เสียงใครบางคนทักขึ้นอ่อยๆ คล้ายเกรงใจผม แต่ก็เกรงใจเพื่อนด้วย
“แต่ก็จริงนะ เดือนคณะเราเป็นเดือนมหาลัยมาสี่ปีติดแล้ว ยังไงปีนี้ก็ต้องเอาให้ได้อีก ไม่งั้นเสียชื่อรุ่นหมด” พี่ผู้ชายที่แขวนป้ายชื่อว่า P’ก๊อง พูดบ้าง
“จริงๆ แล้วเกือบจะได้ห้าปีติดด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะตัวแทนของรุ่นพี่ปีห้าที่เป็นเฟรชชี่ในตอนนั้นกระโดดลงจากเวทีไปกระชากคอเสื้อกรรมการที่วิจารณ์สีผมพี่แกล่ะก็นะ เห็นว่าเรื่องนี้กลายเป็นตำนานเดือนเดือดประจำคณะเราเลยล่ะ ส่วนพี่อินเองก็เคยได้ตำแหน่งเดือนมหา’ลัยเหมือนกัน แกคงไม่อยากให้รุ่นน้องพลาด”
เพื่อนร่วมรุ่นที่นั่งข้างๆ ขยับมากระซิบกระซาบกับผม
“งั้นพี่อินว่าเราควรจะเลือกใครดีล่ะ?” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยขอความเห็นจากอดีตเดือนมหาลัยดังแทรกเข้ามาในหู
ผมก้มมองป้ายชื่อที่เขียนว่า N’ ต๊อกแต๊ก สลับกับหน้าเจ้าของป้าย
“เอ่อ..เรียกเราว่า แต๊ก เฉยๆ ก็ได้” จู่ๆ คำพูดลื่นไหลคล้ายสนิทสนมเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นติดขัดเก้กัง เห็นแก้มตกกระจางๆ ของหมอนั่นขึ้นสีแดงเรื่อหน่อยๆ
“พอดีเรามีพี่เรียนอยู่ที่นี่น่ะ เลยพอจะได้ยินอะไรมาบ้าง เพชรเองก็ดังมากเลยนะ ขนาดพี่เราที่ไม่ค่อยสนใจกิจกรรมยังรู้จักเลย..”
“น้องต๊อกแต๊ก” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น เจ้าของชื่อที่ทำท่าจะพูดอะไรอีกสะดุ้งสุดตัว รีบหุบปากฉับทันที
“อะ..ครับ! อะไรครับ?”
“พี่ว่าน้องน่าจะเป็นตัวแทนคณะเราได้นะ” พี่อิน(เทวดา)พูดแบบนั้น
“ผมเหรอ?” แต่ดูเจ้าตัวจะไม่แน่ใจนัก
“น้องตัวสูง บุคลิกดี ความสามารถก็มี หน้าตาก็โอเคเลย แถมเมื่อกี๊ยังตอบคำถามได้ฉลาดไม่เลว เทรนอีกหน่อยก็น่าจะใช้งานได้ คนอื่นว่าไง?”
“ก็ดีนะ”
“เห็นด้วย”
“เอาคนนี้แหล่ะ” รุ่นพี่คนอื่นๆ ก็เห็นพ้องไปในทำนองเดียวกัน
“ถ้าพวกพี่ว่างั้นนะ” ต๊อกแต๊กดูท่าทางเหมือนจำยอมมากกว่าจะเต็มใจ
“งั้นก็เป็นอันตกลงตามนี้ เดือนเป็นน้องต๊อกแต๊ก ส่วนดาวก็เป็นน้องแพตตี้” ใครสักคนสรุป
“งานเข้าเลยแฮะ” ต๊อกแต๊กหันมายิ้มแหยๆ ให้ผม
“สู้ๆ” ผมบอกก่อนจะลุกยืนขึ้นปัดกางเกง ต๊อกแต๊กเงยหน้ามองตามด้วยแก้มแดงๆ อีกแล้ว
“บาย..” ผมโบกมือส่งท้าย กะจะรีบเดินออกมาก่อนที่พวกรุ่นพี่ที่กำลังวุ่นวายวางแผนงานจะทันสังเกตเห็น แต่ข้อมือดันถูกเพื่อนร่วมรุ่นที่เพิ่งเคยคุยด้วยฉุดเอาไว้ พอหันไปมองหมอนั่นก็รีบปล่อยมือราวกับจับต้องของร้อน
“.........” คนนี้ไม่สูงขนาดที่ผมต้องแหงนมองคอตั้งบ่า แต่ก็สูงกว่าอยู่ดี
หรือ 172 เซ็นติเมตร มันจะน้อยไปจริงๆ ?
“โทษที..คือ..หลังจากนี้..ไปหาอะไรกินกันก่อนกลับบ้าน..ดีไหม?” ชวนไปก็ก้มมองปลายเท้าที่เขี่ยพื้นไป
“วันนี้เรามีธุระ”
“แล้วพรุ่งนี้ล่ะ?”
“ยังไม่รู้”
“งั้นพรุ่งนี้จะชวนอีกทีนะ?”
“ตามใจ ..ไปนะ” ในที่สุดผมก็สามารถผละออกมาจากตรงนั้นได้สักที
“น้อง! น้องครับ” เดินมาได้สักระยะก็มีใครบางคนวิ่งตามมาเรียกอีก
ผมหยุดเดิน หันกลับไป แหงนมองหน้า แล้วก็ลดสายตาลงมองป้ายชื่อ
“.........” P’ อิน(เทวดา)
“เมื่อกี๊ไม่ได้โกรธพี่นะ?” พี่เขาทำหน้าตาไม่แน่ใจ “เวลางานพี่อาจจะพูดตรงไปหน่อย แต่ก็เพราะอยากให้มันออกมาดี ไม่ได้คิดว่าน้องไม่ดีหรอกนะ”
“ไม่เป็นไรฮะ” ที่พี่พูดก็ความจริงทั้งนั้น
“แน่นะ?”
“ฮะ”
“แต่ไม่เห็นยิ้มให้เลย”
“ต้องทำงั้นด้วยเหรอฮะ?”
“ทำสักหน่อยก็น่าจะดี” คนที่ผมต้องแหงนคอมองทำหน้าตามีความหวัง แววตาร้ายๆ เปลี่ยนเป็นวิบวับอีกครั้ง
“.........” แต่พอผมยอมทำตามที่ขอ
“นั่นมันแยกเขี้ยวแล้ว”
“.........” ผมลองทำใหม่อีกรอบ
“อย่าแสยะสิ”
“.........” อีกสักรอบ
“แบบนั้นมันน่ากลัวนะ”
“ได้แค่นี้ล่ะฮะ” พอเถอะ
“แปลกคนจริงๆ” พี่อิน(เทวดา)เกาหัวแกรกๆ เหมือนไม่รู้ว่าควรทำยังไง
“ฮะ งั้นผมไปนะ” ผมหมุนตัวกลับ ตั้งใจจะเดินต่อไปยังจุดหมาย แต่พอกวาดสายตามองบริเวณรอบๆ
ที่นี่ที่ไหน?
“หลงอีกแล้วล่ะสิ” เสียงหัวเราะดังมาจากคนข้างหลัง ผมเอียงคอ กวาดตามองรอบๆ อีกครั้งอย่างใช้ความคิด
แต่คิดไม่ออก ที่นี่ที่ไหน?
“ตึกสถาปัตย์ไปทางไหนฮะ?” สุดท้ายต้องหันกลับไปถามพี่คนเดินจนได้
“คุณป๋า..”
ผู้ชายสุดเซอร์ที่นั่งจดจ่อหลังงองุ้มอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่หันมาตามเสียงเรียก ดวงตาเซื่องซึมเหมือนคนง่วงนอนเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นประกายยินดีเมื่อเห็นว่าใครมา หลังที่เคยงองุ้มปรับเปลี่ยนเป็นตั้งตรงอย่างกระตือรือร้น
“น้องเพชร! จะมาทำไมไม่โทรบอก ป๋าจะได้ไปรับ” คุณป๋ารีบเลื่อนเก้าอี้แถวนั้นมาให้นั่ง
“ไม่เป็นไร แค่นี้เองฮะ”
“เอากาแฟหน่อยไหม? หรือจะเอาน้ำอัดลม?” คุณป๋าทำท่าจะลุกขึ้น แต่พอเห็นผมส่ายหน้า คุณป๋าก็ทิ้งตัวนั่งลงตามเดิม
“ไม่เป็นไรฮะ ผมมาแค่แป๊บเดียว เดี๋ยวก็กลับแล้ว”
“งั้นเหรอ..” หน้าหนวดๆ ของคุณป๋าดูหงอยลงถนัดใจ “หอใหม่ดีไหม? อยู่สบายหรือเปล่า?”
“ดีฮะ ขอบคุณคุณป๋าที่ช่วยไปพูดให้นะฮะ เขาเลยยอมให้ผมอยู่คนเดียว”
“ไม่เป็นไร ก็หนูอยากได้อย่างนั้น ..แต่อันที่จริงมันไม่เหงาเหรอ มีรูมเมทสักคนน่าจะดีกว่านะ ป๋าว่า”
“ชินแล้วล่ะฮะ” ผมน่ะไม่เป็นไร แต่ใครได้มาอยู่ห้องเดียวกับผมคงจะอึดอัดแย่
“แต่ป๋าเหงานะ..”
“.........” ผมเบือนหน้าไปทางโต๊ะรกๆ ที่อยู่ใกล้ๆ ป้ายอะคริลิคเอียงกระเท่เร่บนพะเนินกระดาษสารพัดชนิดติดชื่อ อาจารย์ธชย สุวรรณวิสิทธิ์ ไว้
ธชย อ่านว่า ทัด-ชะ-ยะ
“คุณป๋าน่าจะโกนหนวดบ้างนะฮะ”
“ก็ว่าจะ..”
“ว่าจะ.. มากี่วันแล้ว?”
“ก็หลายวันอยู่ ฮ่ะๆๆ หนูอ่ะ รู้ทันป๋าตลอด ..ว่าแต่หนูน่าจะกลับมาอยู่บ้านเรานะ อุตส่าห์ได้เข้ามหา’ลัยใกล้บ้านทั้งที”
“คุณแม่เป็นยังไงบ้างฮะ?”
“ก็เหมือนเดิมนั่นแหล่ะ”
“.........”
“ไปเยี่ยมหน่อยไหม?”
“เอาไว้ก่อนแล้วกันฮะ” ผมบอกแล้วลุกขึ้น
“หนูพูดแบบนี้มาสามปีแล้วนะ”
“ก็เหมือนกับที่คุณป๋าว่าจะโกนหนวดล่ะมั้งฮะ งั้นวันนี้ผมกลับก่อนนะ” ผมเดินออกมาหน้าห้อง
“คุณแม่อยากเจอหนูนะ”
“คุณแม่ไม่อยากเจอผมหรอกฮะ”
“น้องเพชร..”
“แล้วเจอกันใหม่ฮะ คุณป๋า” ผมขอตัวจากมาในที่สุด
“ไง?” พอเดินลงมาจากตึกก็เห็นพี่ผู้ชายตัวใหญ่ แขวนป้าย P’ อิน(เทวดา) ยืนยิ้มเผล่รออยู่
“ยังไม่กลับอีกเหรอฮะ?”
“รอเด็กหลง ไม่ได้ไปส่งถึงบ้านคืนนี้คงไม่สบายใจจนนอนไม่หลับ” ตาร้ายๆ ส่อแววเจ้าชู้แพรวพราว “เสร็จธุระแล้วเหรอ?”
“ฮะ.. ผมอยู่หอใกล้ๆ นี่เอง คิดว่าคงกลับเองได้”
“พูดแบบนั้นแปลว่าไม่แน่ใจ งั้นให้พี่ไปส่งดีกว่า”
“เกาะไม่ปล่อยเลยนะฮะ คิดอะไรกับผมหรือเปล่า?” ผมกวาดตามองไปรอบๆ ดูเหมือนเราทั้งคู่กำลังเป็นจุดสนใจของผู้คนคณะนี้อยู่
ไม่รู้เป็นเพราะหน้าตา หรือแค่เห็นว่าเป็นคนพลัดถิ่น
“รู้ด้วยเหรอ?”
“ก็ไม่ได้บื้ออย่างที่พี่คิดหรอกฮะ”
ป้ายชื่อเด็กใหม่คณะนี้ใหญ่จัง ใหญ่กว่ากระดาษ A4 อีก
“แล้ว..อนุญาตให้พี่คิดอะไรด้วยหรือเปล่าล่ะ?” หลังจากหลุดเพราะอึ้งไปนิดนึง พี่เขาก็กลับเข้าฟอร์มเดิมได้
“ตามใจฮะ ความคิดพี่ไม่เกี่ยวอะไรกับผมอยู่แล้ว” ผมเริ่มเดินไปทิศทางกลับหอ ยิ่งอยู่นานคนก็ยิ่งมอง ไม่รู้ว่ามองผมหรือมองพี่คนนี้มากกว่ากัน หรืออาจจะมองเพราะเราอยู่ด้วยกันก็เป็นได้ ..ไปดีกว่า
“ไม่เกี่ยวได้ไง พี่กำลังจะจีบเรานะ”
“จีบเหรอฮะ?”
“ใช่สิ น่ารักขนาดนี้ปล่อยไว้ได้ไง”
“ตามสบายฮะ อยากจีบก็จีบ มันเรื่องของพี่”
พี่อิน(เทวดา)ทำหน้าแปลกใจ ก่อนที่ตาร้ายๆ จะเปล่งประกายขึ้นมาอีก
“แล้วถ้าเกิดเราตกหลุมรักพี่ขึ้นมาล่ะ?”
“นั่นมันก็เรื่องของผม..”
“ว่าไง กลับเกือบมืดเลยนะ” เสียงผู้ชายใส่แว่นหนาเตอะเอ่ยทักขึ้นจากม้าหินหน้าตึกหอพัก
ตะนอย.. คนนี้ไม่ต้องดูป้ายชื่อก็จำได้ เพราะเป็นเพื่อนใหม่
แต่ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดธรรมดาเรียบร้อยแล้วด้วย
“ห้องนายอยู่ชั้นสาม ตรงกับบันไดพอดีเลยใช่ไหม? เราเพิ่งจะสังเกตเห็นป้ายชื่อหน้าประตูตอนเดินกลับห้องเมื่อเย็นนี้เองน่ะ ห้องเราก็อยู่ชั้นเดียวกับนาย แต่อยู่ริมสุดทางตะวันตก ฝั่งขวามือ ..บังเอิญจังเลยเนอะ”
“อืม” ผมพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนสังเกตเห็นกองหนังสือการ์ตูนซ้อนกันเป็นตั้งสูงอยู่ข้างตัวเพื่อนใหม่
“อ้อ นายอ่านการ์ตูนไหม? เราเพิ่งไปเช่าจากร้านใกล้ๆ นี่มาน่ะ”
“บางเล่ม.. ในนั้น” ผมไล่ดูจากสันปก
“มาเลือกไปดิ อ่านจบค่อยเอาไปคืนที่ห้องก็ได้ รู้แล้วนี่ว่าอยู่ตรงไหน” ตะนอยผลักกองหนังสือมาให้ผม
“นายอ่านอะไร?” ผมถามถึงหนังสือขนาด A5 ในมือเพื่อน มันไม่ใช่หนังสือการ์ตูน แต่ก็ไม่ใช่หนังสือเรียน
“นี่เหรอ นิยายกำลังภายใน สนุกดีนะ สนใจไหมล่ะ?”
“.........” ผมส่ายหน้า ชอบอ่านการ์ตูนมากกว่า
“นายอ่านการ์ตูนผู้หญิงด้วยเหรอ?” หลังลองพลิกดูผ่านๆ ก็เห็นว่านอกจากจะมีการ์ตูนแอ็คชั่นผจญภัยแบบหลายเล่มจบแล้ว ยังมีการ์ตูนรักๆ ใคร่ๆ แบบที่เด็กผู้หญิงชอบอ่านด้วย ..การ์ตูนตาหวาน
“ก็สนุกไปอีกแบบ.. เมื่อกี๊มากับพี่อินเหรอ?”
“.........” ผมเงยหน้าจากการ์ตูนไปมองคนถาม
“พอดีเห็นน่ะ ขับบีเอ็มซะด้วย ..รูปหล่อ รถสวย ดูดีเกิ๊น”
“อืม” เมื่อกี๊พี่คนนั้นให้เพื่อนขับรถมาให้ที่คณะสถาปัตย์ แล้วเขาก็ขับมันมาส่งผมที่นี่
“ระวังไว้หน่อยก็ดีนะ”
“กับพี่คนนั้นน่ะเหรอ?”
“แฟนคลับพี่คนนั้นต่างหาก ท่าจะเยอะอยู่”
“อืม” ผมพอจะรู้ว่าการมีคนเด่นดังมาให้ความสนใจ เรื่องจุกจิกประเภทไหนจะตามมา
“หิวข้าว.. กินข้าวมาแล้วยัง?” จู่ๆ ตะนอยก็โพล่งขึ้น
“ยัง”
“งั้นไปกินข้าวกัน เอาร้านแถวนี้แหล่ะ รสชาติดีกว่าเอาปากถูดิน พอกินกันตายได้ นายเคยไปกินมาแล้วยัง?”
“อืม”
กินข้าวมื้อแรกกับเพื่อนใหม่
วันแรกผ่านไปอย่างราบรื่นกว่าที่คิด..นิดหน่อย
TBC. 