/ 20
วิรัลประคองธามไปพบท่านย่าของเขา ทว่าหญิงชรานั้นไม่อนุญาตให้เข้าพบ และฝากคนรับใช้คนสนิทมาบอกว่าต้องการจะพักผ่อน ทำให้วิรัลหน้าเสียจนธามต้องเอ่ยปลอบ
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ...เดี๋ยวพอทำใจได้ ท่านก็อนุญาตให้เราเยี่ยมเองนั่นล่ะ”
“แต่ว่า...ถ้าท่านย่าเกิดตัดขาดกับผมจริง ๆ ล่ะครับ...ถึงจะเข้มงวดยังไง ผมก็ยังรักและเคารพท่านย่าเหมือนเดิมเสมอ...ถ้าจะต้องถูกตัดขาดและพบหน้ากันไม่ได้จริง ๆ ผมคง...”
วิรัลเงียบไป นัยน์ตาคลอไปด้วยน้ำใสวิบวับจนธามสงสาร ทว่าคนรับใช้ชราของปาลินีนั้น กลับยื่นซองจดหมายซองหนึ่งส่งมาให้กับวิรัล
“อะไรหรือครับ...ป้านวล”
วิรัลถามอีกฝ่ายที่แม้จะเป็นคนรับใช้เก่าแก่ของปาลินี แต่ก็ดูแลและใจดีกับเขามาตลอดเช่นกัน อีกทั้งศรีนวลเองก็ยังเป็นคนสนิทรู้ใจของปาลินีอีกด้วย และวิรัลก็นับถืออีกฝ่ายเสมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง
“นายหญิงท่านฝากมาให้ท่านค่ะ”
วิรัลรับมาเปิดอ่านดู แล้วก็เบิกตากว้าง ก่อนจะยื่นส่งให้ธามอ่านบ้าง
‘ลองแสดงวิถีทางที่หลานเลือกให้ย่าได้เห็นสิ... ถ้าประสบความสำเร็จ จนสามารถเชิดหน้าชูตาไม่อับอายใครในเผ่าได้เมื่อไหร่ ค่อยกลับมาพบย่าอีกครั้งแล้วกัน’
“พวกเราคงต้องพยายามหนักกันแล้วนะวิรัล”
ธามบอกกับคนรักพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งวิรัลก็ยิ้มตอบ พลางเช็ดน้ำตาแห่งความตื้นตันของตน เพราะแม้จะไม่ยอมรับออกนอกหน้า แต่ท่านย่าของเขาก็ยังคงให้โอกาสกับเขาและไม่คิดจะตัดญาติกับเขาอย่างที่เคยคิดกลัวเอาไว้
“ผมไปล่ะครับป้านวล ฝากดูแลท่านย่าด้วยนะครับ...แล้วผมจะกลับมาใหม่ และจะทำให้ท่านย่าภาคภูมิใจในตัวผมให้สำเร็จให้ได้”
ศรีนวลยิ้มรับและกอดร่างนั้นอย่างรักใคร่ และเมื่อวิรัลกับธามกลับไปแล้ว เธอจึงกลับเข้าไปในห้องพักส่วนตัวของปาลินี แล้วเอ่ยกับคนที่นั่งเงียบ ๆ อ่านหนังสืออยู่
“ท่านนี่ก็นะ หลานชายมาลาแท้ ๆ จะให้พบสักหน่อยก็ไม่ได้ ...แถมยื่นเงื่อนไขออกไปแบบนั้น แล้วอีกกี่ปีกัน จึงจะได้พบหน้ากันอีกคะ”
หญิงชราเอ่ยตำหนินายหญิงของเธออย่างไม่เกรงกลัวดังเช่นข้ารับใช้คนอื่น เพราะความที่เติบโตมาด้วยกันแต่เล็กแถมยังเป็นญาติสนิทเหมือนพี่น้องแท้ ๆ กันอีกด้วย ทั้งสองสนิทกันมาก แม้แต่จดหมายฉบับที่นำไปให้วิรัล ปาลินียังอนุญาตให้ศรีนวลอ่านก่อนเลยด้วยซ้ำ
“ถ้ามัวแต่ดูแลประคบประหงมกัน แล้วเมื่อไหร่วิรัลจะเติบโตได้ล่ะ ...รู้ไหมนวล ว่าเมื่อคืนนี้ เด็กคนนั้นน่ะโต้ตอบกับฉันตรง ๆ อย่างไม่เกรงกลัวเลยนะ ... ซึ่งฉันก็พอคาดเดาได้ว่า เพราะใครถึงทำให้วิรัลเปลี่ยนไป”
ปาลินีพึมพำ แล้วหวนถึงความใจเด็ดของธามเมื่อคืน ถ้าตอนนั้นธามจะฉวยโอกาสหลบแล้วปล่อยให้ลูกน้องของเธอทำร้ายกันเอง เธอเองก็คงเอาผิดเขาไม่ได้ แต่การที่ธามเอาตัวไปขวางเพื่อช่วยชีวิตมโคตนนั้นไว้ เท่ากับธามนั้นได้ซื้อใจของเธอและมโคตนอื่น ๆ ที่อยู่บริเวณนั้นทั้งหมด
และนั่นก็ทำให้เธอเริ่มได้คิดว่า หากฝากฝังวิรัลไว้กับชายผู้นั้นแล้ว เธอก็คงหมดห่วงในความปลอดภัยของหลานชายได้ไปเปลาะหนึ่ง เพราะเธอมั่นใจว่า ธามจะยินดีปกป้องและพร้อมสละชีวิตให้กับหลานชายของเธอในทุกเมื่ออย่างแน่นอน
“เรื่องเมื่อคืนดิฉันเองก็เพิ่งจะได้รับรู้จากบ่าวคนอื่น ถ้าอยู่ด้วยก็คงจะช่วยหาวิธีที่ดีกว่านี้ แทนวิธีที่ต้องเสี่ยงชีวิตกันทุกฝ่ายแบบนั้น”
ศรีนวลเริ่มบ่น ทำให้คนฟังแย้มยิ้มน้อย ๆ เธอวางหนังสือลงข้าง ๆ แล้วจึงเปรยตอบ
“เธอมันใจดีเกินไป ...แต่ก็ดีแล้ว เพราะวิรัลก็ได้ส่วนนี้จากเธอไปมาก ขืนปล่อยให้ฉันเลี้ยงเขาคนเดียว เขาคงกลายเป็นคนกร้านโลก เย็นชาไปแทนแน่”
คนรับใช้เก่าแก่ถอนหายใจ แล้วจึงขยับไปกุมมือของผู้เป็นนายเบา ๆ พร้อมกับยิ้มอ่อนโยนส่งให้
“ท่านเองก็เป็นคนใจดี เพียงแต่ไม่แสดงออกมาเท่านั้น ...และดิฉันเชื่อว่า ท่านวิรัลเองก็ต้องรับรู้ความใจดีจากท่านย่าของท่านได้แน่ เพราะแม้แต่ตอนที่คิดว่าจะถูกตัดขาดจริง ท่านวิรัลก็ยังแสดงถึงความรักเคารพต่อตัวท่านอยู่เลยนะคะ”
ปาลินีมองศรีนวลที่พูดปลอบโยน ในสิ่งที่เธอนึกกังวลแต่ไม่ได้แสดงออกไป หญิงชราแย้มยิ้มตอบ พร้อมกับพึมพำขอบคุณเบา ๆ จากนั้นจึงเดินไปที่ระเบียงเรือนด้านนอกพร้อมกับคนรับใช้เก่าแก่ มองลิบ ๆ ไปยังถนนด้านหน้าเรือน ที่ตอนนี้มีรถตู้คันใหญ่มาจอดรออยู่
“ดูพวกนั้นกระตือรือร้นกันดี ...สงสัยฉันคงจะได้เจอหน้าหลานอีกครั้ง ในเวลาเร็วกว่าที่คิดก็ได้นะนวล”
ศรีนวลหัวเราะเบา ๆ แล้วตอบรับกลับไป
“นั่นสิคะ ถ้าอย่างนั้นดิฉันคงต้องคอยดูแลสุขภาพของท่านให้แข็งแรงกว่านี้เสียแล้ว จะได้อยู่คอยรอพบท่านวิรัลด้วยกันได้อีกนาน”
ปาลินีเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะยิ้มอ่อนโยนตามมา
“นั่นสินะ...ถึงจะไม่มีโอกาสได้อุ้มเหลน แต่ก็ยังสามารถอยู่ดูความเติบใหญ่ของหลานชายได้ ก็ถือว่าคุ้มค่าที่เกิดมาแล้วล่ะนะ”
จากนั้นหญิงชราทั้งสองจึงกลับเข้าไปในห้องพัก โดยไม่ได้อยู่เฝ้าดูว่าคนบนรถตู้จะกลับเมื่อไหร่ตอนไหน เพราะพวกเธอแน่ใจว่า ถึงอย่างไร ทั้งหมดก็ต้องกลับบ้านกันไปอย่างปลอดภัย และพวกเขาจะต้องกลับมาเยือนที่นี่อีกครั้ง ไม่ว่าจะใช้เวลาผ่านไปกี่ปีก็ตาม
ภายในรถตู้ พิชญ์รับผิดชอบเป็นคนขับ มีชาครนั่งหน้าไปด้วย ส่วนธามนั้นนั่งกึ่งนอนบนเบาะยาวที่ปรับเอนลง โดยมีวิรัลนั่งข้าง ๆ เป็นเพื่อน
“เดี๋ยวก็จะได้กลับถึงบ้านแล้วนะครับ...ถ้ากลับไป คุณธามย้ายมานอนห้องเดียวกับผมนะ”
วิรัลบอกกับอีกฝ่าย ทำเอาคนที่ขับรถอยู่สะดุ้งนิด ๆ แต่ก็แกล้งทำเป็นหูทวนลมไม่ใส่ใจ ทำให้ชาครที่นั่งอยู่ข้าง ๆ นึกขำ
“อืม...ถ้าอย่างนั้นอาจจะต้องเปลี่ยนเตียงใหม่นะ เพราะเตียงเธอมันค่อนข้างแคบไปหน่อย เวลาเราทำท่าธรรมดาก็พอไหว แต่ถ้าต่อเนื่องท่าอื่นด้วยมันค่อนข้างลำบากไปนิด...เอาสักคิงไซส์น่าจะกำลังดีว่าไหม”
ธามบอกพลางยกยิ้มเจ้าเล่ห์ จนคงฟังหน้าแดงวาบ แต่ทั้งคู่ก็ต้องอุทานเบา ๆ อย่างตกใจ เมื่อรถยนต์ที่ขับนิ่ง ๆ อยู่เกิดกระตุกชั่วครู่ โดยที่คนขับนั้นกำลังตีหน้าบึ้งหนักอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“หึ ๆ สงสัยคงต้องไว้คุยกันหลังลงจากรถ ไม่งั้นอาจจะได้ไปไม่ถึงบ้านแน่”
ธามเอ่ยแซวพิชญ์ ส่วนวิรัลยิ้มเจื่อน ๆ แต่ก็เห็นด้วยกับที่ธามบอก เพราะดูว่าพี่เลี้ยงของเขาจะไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าใดนัก เด็กหนุ่มจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที
“...อ๊ะ จริงสิพิชญ์ เรื่องบริษัทน่ะ จำเป็นไหมว่าฉันต้องออกไปทำงานที่บริษัทด้วย เราจะช่วยกันบริหารที่หมู่บ้านนั่นเลยได้ไหม”
พิชญ์เหลือบมองเจ้านายของเขาผ่านกระจกหลังรถ เขาครุ่นคิดสักครู่ แล้วจึงตอบกลับไป
“ผมก็คิดว่าจะใช้ที่คฤหาสน์ทำเป็นสำนักงานใหญ่เหมือนกันครับ ส่วนการติดต่อกับบริษัทลูก ก็จะทำการติดต่อระหว่างเครือข่ายของบริษัท เพื่อความสะดวกและปลอดภัยของท่านวิรัล และทางคุณธามที่ผมจะแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยประธานบริษัทนับจากนี้ไปน่ะครับ”
ธามชะงักเล็กน้อย เช่นเดียวกับชาคร เพราะไม่คิดว่าพิชญ์จะไว้ใจ ยกอำนาจบริหารมาให้พวกเขาซึ่งเป็นคนต่างเผ่าแบบนี้
“ลำพังผมคนเดียวคงลำบากที่จะทำให้บริษัทก้าวหน้า ...ถ้าได้นักธุรกิจไฟแรงอย่างคุณมาช่วย ผมคิดว่าคงพอจะไหว เพราะจากที่ตรวจสอบ ธุรกิจคลับที่คุณทำมันก็เจริญรุ่งเรืองโอเคอยู่ ...อ้อ ถ้าไม่จำเป็นอย่าเล่นตุกติกในการบริหารให้มันมากนัก ผมไม่อยากหาศัตรูมาเพิ่มให้บริษัทของเราเท่าไหร่ แค่นี้ก็ยุ่งยากพออยู่แล้ว”
พิชญ์บอกตรง ๆ แต่นั่นกลับไม่ได้ทำให้ธามนึกโกรธ แต่กลับพึงพอใจที่อีกฝ่ายสามารถสืบรู้ข้อมูลของเขามาได้เป็นอย่างดี แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความสามารถที่พิชญ์มีอยู่
“หึ ๆ ก็ได้ ...ฉันยินดีรับตำแหน่ง แต่ขอตำแหน่งเลขาส่วนตัวให้ชาครด้วยนะ ฉันไม่ถนัดทำงานกับคนอื่นเท่าเขานักหรอก”
พิชญ์เหลือบมองคนพูดผ่านกระจกหลังรถ แล้วจึงถอนหายใจเบา ๆ
“...ผมก็คิดว่าเขาน่ะเหมาะที่จะเป็นเลขาของคุณที่สุดแล้วล่ะ”
“แล้วตัวนายล่ะพิชญ์ ไม่คิดเปลี่ยนตำแหน่งกันบ้างหรือ ตำแหน่งประธานบริษัทน่ะ นายเป็นแทนฉันไปเลยไม่ได้หรือไง”
วิรัลแทรกขัดขึ้น ทำเอาอีกสามคนเงียบกริบ โดยเฉพาะพิชญ์ เขาตกใจจนเกือบจะเหยียบเบรก แต่สักพักก็ตั้งสติและชะลอความเร็วลงกว่าเดิม ระหว่างที่ถามกลับไป
“ทำไมคิดแบบนั้นล่ะครับ ...ธุรกิจนี้เป็นของตระกูลเรา ท่านวิรัลซึ่งเป็นหัวหน้าตระกูล ก็สมควรจะเป็นประธานบริษัทก็ถูกต้องแล้วนี่ครับ”
วิรัลฟังแล้วก็ถอนหายใจ แล้วจึงบอกอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้ม
“แต่หลังจากพ่อหายสาบสูญไป บริษัทของเราก็ได้นายคอยดูแลมาตลอด ถ้าไม่มีนาย มันคงเจ๊งไปแล้วก็ได้ เพราะฉันกับท่านย่าก็คงไปช่วยบริหารไม่ไหว ...ไม่ใช่แค่ตำแหน่งประธาน บริษัทนี้มันสมควรจะตกเป็นของนายด้วยซ้ำ”
พิชญ์เงียบกริบ เขายิ้มน้อย ๆ อย่างตื้นตันใจที่วิรัลคิดกับเขาแบบนี้ ชายหนุ่มจึงเอ่ยกลับไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ขอบคุณครับ... แต่การได้เห็นท่านประสบความสำเร็จมั่นคงในฐานะผู้นำของตระกูล นั่นคือเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ของผมครับ”
วิรัลฟังคำตอบแล้วก็ถึงกับนิ่งอึ้ง แล้วจึงน้ำตาซึมตามมาน้อย ๆ พร้อมกับเอ่ยพึมพำขอบคุณอีกฝ่าย ด้านธามนั้นลูบศีรษะคนรัก แล้วจึงหันมายิ้มให้พิชญ์ผ่านทางกระจกมองหลังรถ พิชญ์ยิ้มตอบ แล้วจึงขับรถไปเงียบ ๆ ชาครเห็นดังนั้นจึงฮัมเพลงไปเบา ๆ ซึ่งก็สร้างความเพลิดเพลินให้ผู้ฟังที่เหลือ แม้แต่พิชญ์ยังไม่คิดจะให้อีกฝ่ายหยุด แต่กลับเลือกเงียบรับฟังไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเข้าเขตหมู่บ้านมโคที่พวกเขาอาศัยอยู่
“ถึงสักที...บ้านของพวกเรา”
วิรัลที่ลงจากรถ ยืนมองคฤหาสน์มฤคมาศของเขาด้วยแววตาเปี่ยมสุข เขาจำได้ดีว่า ตอนแรกที่มาถึงที่นี่ เขายังนึกเบื่อหน่ายที่จะต้องมารับผิดชอบตำแหน่งประมุขของเผ่าอยู่เลย ทว่าหากเขาไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้านนี้ เขาก็คงไม่มีโอกาสจะได้พบกับธาม และผูกสัมพันธ์ต่อกันแน่นแฟ้น อย่างที่เป็นอยู่นี้แน่
“พิชญ์ เดี๋ยวให้คนขนของของคุณธามมาไว้ห้องฉันเลยนะ ฉันจะได้คอยดูแลอาการบาดเจ็บของเขาได้สะดวกหน่อย”
วิรัลหันไปบอกพี่เลี้ยงคนสนิท พิชญ์ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะกระแอมเบา ๆ แล้วค่อยตอบ
“ก็ได้อยู่หรอกครับ แต่ไอ้เตียงคิงไซส์นั่น คงปุบปับเอามาเลยไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องรอสองสามวันนะครับ”
วิรัลพยักหน้า แต่ชาครกับธามมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ
“แค่เตียงคิงไซส์ หาซื้อจริง ๆ ก็ไม่ยากนักไม่ใช่หรือ”
พิชญ์มองชาครที่เป็นฝ่ายถามเขา แล้วจึงตอบกลับไปอย่างนึกหมั่นไส้นิด ๆ
“ถ้ากับแค่เตียงทั่วไป ก็คงยังไงก็ได้ แต่เตียงสำหรับท่านวิรัล จะสั่งทำจากร้านเจ้าประจำเท่านั้น เพราะต้องเลือกใช้วัสดุที่ดีที่สุด รวมไปถึงฝีมืองานไม้ที่ประณีต ไม่เหมือนกับพวกที่ขายตามร้านทั่วไปนั่นหรอก”
ธามผิวปากหวืออย่างนึกทึ่ง แม้กระทั่งชาครเองยังถึงกับต้องยอมรับในความละเอียดพิถีพิถันของพี่เลี้ยงหนุ่มผู้นี้ทีเดียว
“มิน่า…วิรัลถึงโตมาแบบคุณชายแบบนี้ ก็เล่นเลี้ยงกันมาเสียแบบนี้ไงล่ะ ...อืม แต่ก็ยอมรับล่ะนะ ว่าเตียงของวิรัลนี่ยืดหยุ่นใช้ได้ ไม่ว่าจะอยู่บนอยู่ล่าง ก็ไม่ทำให้เมื่อยเท่าไหร่ จริงไหม”
ธามหันไปถามคนรัก ซึ่งตอนนี้หน้าแดงก่ำ ไม่กล้าสู้หน้า ส่วนพิชญ์ก็ยิ่งทวีความหมั่นไส้มากขึ้น แล้วจึงบอกกระแทกเสียงเบา ๆ
“เชิญคุณไปพักผ่อนได้แล้ว ...ท่านวิรัล ถ้าหิวอีกเดี๋ยวผมจะให้คนนำอาหารเช้าไปให้นะครับ”
พิชญ์บอกกับเจ้านายของเขา เพราะระหว่างทางก็แวะปั๊มซื้ออาหารกินง่าย ๆ รองท้องกันเพียงแค่นั้น
“ฉันอิ่มแล้วล่ะ ...แต่คุณชาครกับคุณธามอาจจะหิว”
“ผมซัดขนมปังมาเต็มที่แล้วครับ เช้านี้สบายมาก ขอบคุณที่เป็นห่วง”
ชาครเอ่ยขัดพร้อมกล่าวขอบคุณ ส่วนธามนั้นตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ส่วนฉันหิวเธอมากกว่า แต่ร่างกายแบบนี้คงกินลำบากหน่อยล่ะนะ”
“สรุปไม่มีใครรับอาหารเช้านะครับ! ถ้าอย่างนั้นเชิญขึ้นด้านบนเถอะครับ ก่อนที่ใครบางคนจะพูดอะไรไม่รู้จักคิด ให้บ่าวไพร่ได้ยินไปนินทากันเสียเปล่า ๆ”
พิชญ์ตัดบทอย่างหมั่นไส้กึ่งรำคาญ ด้านธามนั้นหัวเราะเบา ๆ ส่วนวิรัลหน้าแดงหนักยิ่งขึ้น จากนั้นพวกเขาก็กลับขึ้นไปที่ห้องของวิรัล ใช้เวลาไม่นานนัก ของจากห้องของธามก็ย้ายมาอยู่ที่ห้องวิรัลจนหมด เนื่องจากเสื้อผ้าต่าง ๆ ก็เพิ่งซื้อมาใหม่ไม่กี่ชุด ส่วนเสื้อผ้าเก่าและของใช้ติดกายมาจากครั้งเมื่อพักรีสอร์ทของม่านฟ้าก็มีเพียงแค่ไม่กี่ชิ้นเท่านั้น
“ต่อแต่นี้ไป พวกเราก็จะได้อยู่ด้วยกันจริง ๆ แล้วนะครับ...”
วิรัลที่บังคับธามให้นอนพักบอกกับอีกฝ่าย ตอนแรกเขาลากเก้าอี้นวมแถวนั้นมานั่งข้าง ๆ แต่ธามบอกว่าอยากให้มาอยู่ข้าง ๆ กัน วิรัลจึงขึ้นมาบนเตียงแล้วนอนอิงแอบข้างกายของชายหนุ่มแทน
“นั่นสิ....ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะเป็นแบบนี้ได้ เพราะตั้งแต่รู้ว่าเธอเป็นมฤคมาศ ฉันก็หมดหวังไปกว่าครึ่งแล้ว ยิ่งรู้ว่าเธอมีคู่หมั้นคู่หมาย แถมพ่อของเธอยังเคยถูกพวกเราโจมตี ฉันก็ยิ่งหมดหวังไปทุกที ...”
ธามเปรยกับอีกฝ่าย แล้วพลิกกายมาสบตากับเด็กหนุ่ม พร้อมกับเอ่ยต่อมา
“แต่เพราะรักเหลือเกิน ...รักจนไม่สามารถตัดใจได้ ดังนั้นต่อให้หมดหวัง หรือจะอยู่เคียงข้างกันไม่ได้ก็ช่าง ...แต่ฉันก็ตั้งใจว่าจะขอรักเธอไปคนเดียวตลอดชีวิตของฉัน”
วิรัลรับฟังคำบอกรักของอีกฝ่ายอย่างปลาบปลื้มใจ เด็กหนุ่มซุกซบใบหน้าพิงอกกว้างของอีกฝ่ายเบา ๆ และพึมพำตอบคนรักเสียงแผ่ว
“ผมเองก็เหมือนกันครับ...ต่อให้สถานการณ์พลิกผันเปลี่ยนไป ... ผมอาจจะต้องแต่งงาน มีลูก และไม่อาจจะพบคุณได้อีก ...แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็จะมีคุณเพียงคนเดียวในหัวใจตลอดไปเช่นกัน”
ธามยิ้มรับอย่างเป็นสุข ทั้งคู่ประคองกอดกันไปแบบนั้น จนกระทั่งเผลอหลับไปด้วยกันในที่สุด
อีกด้านหนึ่งชาครที่กำลังนอนพักอยู่ในห้อง ก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู พอเปิดประตูออกมาก็พบพิชญ์ยืนหน้าบึ้ง มืออีกข้างถือกล่องยาขนาดย่อมใบหนึ่ง
“จะมาทำแผลให้”
ชาครเลิกคิ้วน้อย ๆ อย่างประหลาดใจ แล้วย้อนถาม
“ใจดีแบบนี้แปลกแฮะ มีอะไรเคลือบแฝงหรือเปล่า”
พิชญ์ชะงักเล็กน้อย แล้วจึงขมวดคิ้วยุ่งอย่างหงุดหงิดตามมา
“ถ้าไม่อยากให้ช่วย ก็ทำเอง!”
ชายหนุ่มยื่นกล่องยาให้อีกฝ่าย ทำเอาชาครต้องอมยิ้มแล้วยกมือขอโทษขอโพยตามมายกใหญ่
“ขอโทษ ๆ ช่วยทำให้หน่อยแล้วกัน ฉันทำคนเดียวไม่สะดวกหรอก”
พิชญ์ค้อนนิด ๆ อย่างหมั่นไส้ แต่ก็เดินนำอีกฝ่ายไปที่เตียง แล้วให้ชาครนั่งลง ส่วนเขาก็ค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลเดิมออก และเมื่อได้เห็นแผล เขาก็นิ่วหน้าอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“นี่นะ ขีดข่วนนิด ๆ หน่อย ๆ บ้าจริง...เย็บไปกี่เข็มน่ะ”
“เกือบยี่สิบเข็มได้มั้ง”
ชาครตอบตามตรง ทำเอามือของคนที่แกะผ้าพันแผลที่เหลือชะงักนิด ๆ
“บ้าระห่ำไม่เข้าเรื่อง...เนื้อหนังพวกวกะก็ใช่ว่าจะเหนียวอะไรมากมาย อีกอย่างนักรบมโคที่นายหญิงมี ก็ล้วนแต่พวกมีฝีมือทั้งนั้น”
ชาครอมยิ้ม แม้จะบ่นไม่หยุด แต่อีกฝ่ายก็ยังคงทำแผลต่อให้เขาอย่างเบามือและระมัดระวังไม่ให้แผลนั้นกระทบกระเทือน จนกระทั่งเสร็จเรียบร้อย
“ขอบคุณนะ”
“ฮึ! ก็แค่กลัวหายช้า จนฉันไม่มีคนช่วยทำงานก็แค่นั้นเอง!”
พิชญ์ตอบกลับไปเสียงห้วน แล้วจึงเก็บผ้าพันแพลเก่าไปทิ้งถังขยะในห้อง ก่อนจะกลับมายกกล่องยาเตรียมจากไป ทว่าคนบนเตียงก็ทักขึ้นเสียก่อน
“แล้วอย่าลืมกินยาก่อนอาหารกลางวันนี้ด้วยล่ะ”
พิชญ์ชะงัก แล้วตอบกลับเสียงห้วน
“รู้แล้วน่า! ฉันไม่ใช่เด็กนะ ถึงต้องย้ำบ่อย ๆ”
“ครับ ๆ ...จริง ๆ ก็รู้ว่าไม่ใช่เด็ก แต่ที่ย้ำก็แค่เป็นห่วง กลัวนายจะหายช้าก็แค่นั้นล่ะ”
พิชญ์ชะงัก ก่อนจะหน้าแดงนิด ๆ แล้วรีบโพล่งใส่ออกไปเสียงดังเพื่อแก้เขิน
“ไม่ต้องมาห่วงฉันหรอกน่า! ห่วงตัวเองดีกว่า แผลขนาดนี้ ก็ต้องกินยาเหมือนกันนั่นล่ะ เดี๋ยวฉันจะให้แพทย์ประจำหมู่บ้านจัดยามาให้ แล้วนายก็ต้องกินด้วยนะ!”
จากนั้นอีกฝ่ายก็รีบจ้ำฝีเท้าออกจากห้องไป ทิ้งให้ชาครมองตามด้วยความเอ็นดู และเริ่มรู้สึกว่า ตนเองคงจะสนใจพิชญ์เข้าให้แล้วจริง ๆ ก็เป็นได้
… TBC …
ช่วงนี้เรื่องก็จะหวาน ๆ ปกติสุขดี ก็คงจะตัดพักไปสักช่วงหนึ่งนะคะ เดี๋ยวจะวกกลับมาดราม่า พร้อมกับเปิดเข้าสู่บทการต่อสู้ครั้งสุดท้ายอีกครั้งค่ะ แต่ก็คงอีกนาน แล้วแต่ความขยันค่ะ ช่วงนี้ขอพักไปเขียนงานแฟนตาซีสักระยะ แต่ไม่ทิ้งนานหรอกค่ะ เดี๋ยวจะต่อไม่ติด คงสักอาทิตย์สองอาทิตย์ราว ๆ นั้นค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
