ย่องมาแปะ พอดีต้องแก้พล็อตนิดหน่อย ประกอบกับติดเกม(อย่างหลังนี่เป็นสาเหตุหลัก--) จึงทำให้นิยายตอนนี้มาช้าไปสักหน่อย ยังไงจะพยายามเข็นตอนหน้ามาให้ได้ (ถ้าพล็อตที่วางไว้ไม่สะดุดอีกรอบ)
ขออภัยที่ล่าช้านะคะ -/\-
------------------------------------/9
ม่านฟ้าแสดงให้หนุ่ม ๆ ได้เห็นว่า แม้จะมีร่างกายบอบบางและท่าทางสง่างามแบบคุณหนู แต่เธอก็สามารถพายเรือและบังคับทิศทางได้อย่างเยี่ยมยอด ส่วนอำมฤตที่นั่งด้วยและถูกยึดพายไป ก็ช่วยวักน้ำให้เรือไปเร็วขึ้น เห็นดังนั้นคนอื่น ๆ ที่ว่างอยู่จึงเลียนแบบบ้าง สร้างความสนุกสนานให้กับบางคู่ ยกเว้นคู่เดียวที่มีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นตลอด
“นายแกล้งพายถ่วงนี่! ตอนนี้พวกเรารั้งท้ายอยู่นะ!”
ชาครถอนหายใจเบา ๆ เขาเองก็ยอมรับว่าไม่ได้ใช้แรงเต็มที่ แต่ก็ไม่ได้แกล้งพายถ่วงแต่อย่างใดอย่างที่ถูกพิชญ์กล่าวหา
“ใครว่าฉันแกล้งถ่วง ท่านธามพายคล่องของท่านอยู่แล้ว อีกอย่างมฤคมาศก็ตัวนิดเดียว เรือก็เบาไปได้เร็ว ...ไม่เหมือนลำของเรา”
พิชญ์ชะงักก่อนจะขมวดคิ้วยุ่ง เพราะเหมือนเขาถูกตอกใส่หน้า ว่าตัวหนักทางอ้อมนั่นเอง
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่เพราะฉันหรอก! ตัวนายต่างหาก หนาล่ำสูงใหญ่ขนาดนี้! แล้วก็รีบพายหน่อยไม่ได้หรือไง อย่าบอกนะว่าแรงนายมีแค่นี้น่ะ!”
ชาครถอนหายใจ ส่วนพิชญ์เหลือบไปดูแล้วก็ยิ่งต้องเม้มปากอย่างกังวล เมื่อธามนั้นพายเรือจ้วงเร็วขึ้นจนแทบจะแซงม่านฟ้าไปแล้ว
“ไม่ได้การ ...ถ้าหมอนั่นชนะ มีหวังขออะไรทุเรศ ๆ เกี่ยวกับท่านวิรัลแน่...”
พิชญ์พึมพำทำให้คนที่หูดีซึ่งนั่งอยู่ใกล้ ๆ ลอบถอนหายใจ จะเถียงแทนเจ้านายก็ไม่ได้ เพราะเขามั่นใจว่าธามนั้นจะขอในสิ่งที่พิชญ์บ่นอยู่อย่างแน่นอน
“ขอโทษนะครับท่านวิรัล...”
พิชญ์พึมพำคล้ายกับกำลังตัดสินใจกับตัวเองอีกครั้ง จากนั้นเจ้าตัวจึงตะโกนดังลั่นตามมา
“ท่านวิรัลครับ! มีแมงมุงตัวใหญ่ขนยุบยับ เกาะอยู่ที่ด้านหลังท่านน่ะครับ!”
วิรัลพอได้ยินเสียงตะโกนของพิชญ์ดังนั้น เด็กหนุ่มก็ขยับตัวด้วยความกลัว จนลืมไปว่าพวกเขากำลังอยู่บนเรือ ธามนั้นสะดุ้งโหยงแล้วรีบร้องห้าม ก่อนจะเหลือบมองพิชญ์อย่างนึกเคือง
“เอ้า! มัวเซ่อทำไมเล่า พายไปสิ!”
พิชญ์หันมาตวาดใส่ชาคร จนคนถูกตวาดชะงัก ก่อนจะพายขึ้นไปอย่างเอือมระอา เช่นเดียวกับม่านฟ้า ที่พอได้ยินก็หัวเราะคิก แล้วรู้ว่าเป็นแผนของพิชญ์เธอจึงพายขึ้นไปอย่างไม่รีบร้อนนักเช่นเดียวกัน
“ใจเย็น ๆ วิรัล หมอนั่นหลอกเธอต่างหาก จะมีแมงมุมบนเรือได้ยังไงเล่า"
ธามพยายามปลอบแต่ก็ขยับตัวไม่ได้ เพราะพยายามทรงตัวไม่ให้เรือล่มเสียก่อนนั่นเอง
“แมงมุม...ผมกลัว...”
วิรัลหลับตาปี๋ดิ้นหลบซ้ายขวา เพราะเกรงว่าแมงมุมจะคลานขึ้นหน้าตน ทำเอาธามต้องอมยิ้ม แล้วจึงแกล้งหยอกบ้าง
“อ๊ะ! มันคลานขึ้นมาบนคอแล้วนั่น”
ธามแกล้งแหย่ ทว่าจังหวะที่ชายหนุ่มพูดออกไปนั้น เป็นจังหวะเดียวกับที่ใบไม้เล็ก ๆ จากต้นไม้ริมทะเลสาบ ถูกพัดปลิวลงมาถูกคอด้านหลังของเด็กหนุ่มพอดี วิรัลสะดุ้งเฮือก แล้วรีบลุกยืนพรวด ทำเอาธามตกตะลึงตาค้าง และรีบทิ้งพาย พลางยกมือรับร่างที่โผมาหาเขาด้วยความกลัว ก่อนที่เรือจะเสียหลักและพลิกคว่ำจนคนบนเรือจมลงไปในน้ำทั้งคู่
“ท่านวิรัล!”
พิชญ์ที่ได้ยินเสียงและเห็นภาพนั้น รีบลุกกระโจนลงไปในน้ำ จนชาครเกือบจะประคองเรือไว้ไม่อยู่ พี่เลี้ยงหนุ่มรีบว่ายเข้าไปหาเรือที่จม ทว่าก็ต้องโล่งอกเมื่อธามกับวิรัลนั้นโผล่พ้นขึ้นมาบนผิวน้ำ วิรัลกอดคอธามแน่นอย่างตกใจ ทว่าธามก็แข็งแรงและมีสติพอที่จะปลอบประโลมให้อีกฝ่ายสงบ แล้วจึงจัดแจงว่ายพาเด็กหนุ่มเข้าฝั่งพร้อมตนได้อย่างปลอดภัย
“เฮ้อ...ค่อยยังชั่ว”
พิชญ์พึมพำตามมา ก่อนจะสะดุ้งเฮือก เมื่อจู่ ๆ ขาของเขาก็เป็นตะคริว ชายหนุ่มนิ่วหน้า แต่ก็พยายามจะประคองตัวว่ายเข้าฝั่งเอง โดยไม่ยอมร้องขอความช่วยเหลือจากใคร ทว่าช่วงนี้เขาพักผ่อนค่อนข้างน้อย ทำให้เรี่ยวแรงที่มีก็ลดน้อยลงตาม จนกระทั่งฝืนตัวเองไม่ไหวและค่อย ๆ จมหายไปในผืนน้ำ อันเป็นเวลาเดียวกับที่เขาได้ยินเสียงกระโดดน้ำตูมในที่ห่างออกไป ก่อนที่สติของเขาจะเริ่มดับวูบลง...
พิชญ์มารู้สึกตัวอีกที ก็ต่อเมื่อเขากำลังถูกอ้อมแขนแกร่งของใครบางคนช่วยรั้งร่างของเขา และว่ายขึ้นฝั่งไปด้วยกัน
“แค่ก ๆ”
ชายหนุ่มไอกึ่งหอบเมื่อมาถึงพื้นดิน ก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนบ่นข้าง ๆ
“ทำเป็นหยิ่งไม่เข้าท่า ...แทนที่จะร้องขอความช่วยเหลือ กะจะรอให้จมไปถึงก้นทะเลสาบ แล้วค่อยเรียกหรือไง”
เสียงบ่นของชาครทำให้พิชญ์หันขวับไปมองด้วยใบหน้าถมึงทึง ทว่ายังไม่ทันได้โต้เถียงอะไรกลับไป วิรัลที่ตัวเปียกโชกก็วิ่งมากอดเขาหมับเสียก่อน
“เป็นอะไรหรือเปล่าพิชญ์! ฉันเป็นห่วงแทบแย่ ตอนที่หันไปมองแล้วเห็นนายจมหายไป... โชคดีนะที่คุณชาครเขากระโดดลงมาช่วยนายเอาไว้ได้ทันท่วงทีแบบนั้น”
วิรัลบอกเสียงกึ่งสะอื้นจนพิชญ์รู้สึกผิด เขาพึมพำขอโทษเรื่องแมงมุมกับอีกฝ่าย แต่วิรัลก็สั่นหน้า แล้วบอกยิ้ม ๆ
“ไม่เป็นไรหรอก ก็มันเรื่องจริงนี่ คุณธามเองยังเห็นแล้วบอกฉันเลย ...คนที่แย่น่ะคือฉันต่างหากที่กลัวจนเกินไป”
คนที่กำลังสำนึกผิดหันขวับไปที่อีกคน ที่ทำเป็นเมินมองไปทางอื่น ส่วนชาครนั้นมองทั้งสามแล้วลอบถอนหายใจเบา ๆ ทว่าสักพักม่านฟ้ากับอำมฤตก็เดินมาสมทบด้วย อำมฤตนั้นมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ส่วนม่านฟ้ายิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมกับเอ่ยขึ้น
“ดิฉันว่าพวกคุณไปแวะที่รีสอร์ตกันก่อนดีกว่านะคะ เดี๋ยวดิฉันจะให้คนเตรียมเสื้อผ้าเอาไว้ให้เปลี่ยน ...แล้วจะได้ไปคิดบทลงโทษสำหรับทีมที่แพ้ทั้งคู่ด้วย”
“ท่านม่านฟ้า...เรื่องนั้น...”
อำมฤตขัดขึ้น เมื่อเห็นอีกสองทีมหันมามองม่านฟ้าตาปริบ ๆ และเหลือบมองเรือพายของเด็กสาวที่จอดเทียบท่าอีกฝั่งเรียบร้อย
“การแข่งขันก็ย่อมเป็นไปตามกติกาสิคะคุณอำมฤต แล้วทั้งสองทีมก็ขึ้นฝั่งไม่ได้ทั้งคู่ ก็ถือว่าปรับให้เป็นผู้แพ้ไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นก็เตรียมรอรับคำสั่งร่วมกันได้เลยค่ะ ...ไม่ต้องกลัวนะคะ รับรองดิฉันจะขอร้องในสิ่งที่พวกคุณทำได้แน่นอนค่ะ...แต่ก่อนอื่นดิฉันว่าพาท่านวิรัลไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่าค่ะ เดี๋ยวจะเป็นหวัดไปเสียเปล่า”
เมื่อได้ยินในท้ายประโยคก็ทำให้แต่ละคนที่กำลังอึ้ง ฉุกคิดขึ้นมาได้ แล้วจึงรีบเดินกลับที่พักกันอย่างว่องไว ส่วนม่านฟ้านั้นเดินเรื่อย ๆ ตามไป ก่อนจะอมยิ้มน้อย ๆ อย่างเจ้าเล่ห์ โดยมีอำมฤตที่อยู่เคียงข้างสังเกตเห็นเพียงแค่คนเดียว พี่เลี้ยงหนุ่มถึงกับลอบถอนหายใจ แล้วเฝ้าลุ้นว่านายสาวของเขา จะขอให้ทั้งสี่คนนั้นทำอะไรกันต่อไปแน่
ม่านฟ้าได้จัดเตรียมเสื้อผ้าใหม่อย่างดีให้กับทุกคน ส่วนเสื้อผ้าที่เปียกก็ถูกส่งนำไปซักรีดให้เรียบร้อย ระหว่างนั้นเด็กสาวจึงพูดคุยชักชวนในสิ่งที่ทำให้พิชญ์สะดุ้ง
“ถ้ายังไงพวกคุณธาม กับคุณชาครก็ค้างที่นี่ด้วยสิคะ เพราะวันนี้ท่านวิรัลกับคุณพิชญ์เองก็จะค้างที่นี่เหมือนกัน”
วิรัลสะดุ้งโหยงไม่แพ้พี่เลี้ยงของตน ทว่าเหตุผลที่สะดุ้งนั้นแตกต่างกันไป สำหรับพิชญ์ไม่คิดว่าม่านฟ้าจะชวนศัตรูต่างเผ่าพักร่วมกัน ส่วนวิรัลนั้นไม่รู้มาก่อนว่าเขาจะต้องมาค้างที่รีสอร์ทของว่าที่คู่หมั้นเช่นนี้
“อืม...ก็น่าสนอยู่นะ ถ้าเธอไม่รังเกียจ...”
ธามชะงักคำพูดค้างไว้เมื่อได้ยินเสียงมือถือของตนดัง เขาหยิบขึ้นมาดูเบอร์ พลางนิ่วหน้าลง ก่อนจะเลี่ยงเดินไปคุยห่าง ๆ อีกด้านหนึ่ง จากนั้นเจ้าตัวก็เดินหน้าเคร่งขรึมกลับมาแล้วบอกกับม่านฟ้า
“ขอโทษนะ ขอบคุณมากที่มีน้ำใจชวน แต่ฉันคงต้องกลับแล้วล่ะ...ไว้หากมีโอกาส จะขอมารบกวนใหม่นะ”
ท้ายประโยคแม้เจ้าตัวจะพูดกับเด็กสาว แต่นัยน์ตากับปรายมองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ไม่ห่างนัก วิรัลหน้าแดงนิด ๆ แล้วหลบตาคมกริบนั้นด้วยความอาย ส่วนม่านฟ้าอมยิ้ม แล้วจึงพยักหน้ารับรู้
“ได้สิคะ...อ้อ ลืมไป เรื่องบทลงโทษของการแข่งพายเรือวันนี้ ...ดิฉันคิดขึ้นได้พอดี เพราะอย่างนั้นพวกคุณก็รับฟังกันไว้ก่อนนะคะ ส่วนวันกำหนดลงโทษค่อยมานัดกันอีกที”
หนุ่ม ๆ ในที่นั้นต่างหันมามองคนพูดด้วยความสงสัยระคนหวาดหวั่นนิด ๆ ส่วนด้านม่านฟ้าแย้มยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงเอ่ยต่อ
“ดิฉันขอกำหนดบทลงโทษให้พวกคุณทุกคนที่แพ้ ...เตรียมตัวเคลียร์ทุกอย่างให้ว่างเป็นเวลาสามวันสองคืน แล้วมาท่องเที่ยวพักแรมร่วมกัน ที่รีสอร์ทอีกแห่งของดิฉัน ...ยังไงถ้าได้วันเมื่อไหร่ช่วยแจ้งดิฉันล่วงหน้าก่อนก็จะดีมาก ดิฉันจะได้เตรียมตัวจัดสถานที่ไว้รอรับ โดยไม่บกพร่องเหมือนอย่างวันนี้อีกค่ะ”
พิชญ์กับอำมฤตเตรียมตัวจะค้านเต็มที่ แต่วิรัลที่กำลังตกตะลึงนั้นกลับมีรอยยิ้มตามมา แล้วบีบมือเด็กสาวแน่นด้วยความดีใจ
“แน่นอนครับคุณม่านฟ้า ขอบคุณมาก ๆ เลยครับ”
ม่านฟ้ายิ้มหวานตอบ ส่วนธามนั้นจ้องวิรัลอย่างเริ่มไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ทว่าเงื่อนไขของม่านฟ้าก็ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจมากกว่า จนทำให้สามารถอดทนต่อความหึงหวงเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้
พิชญ์นิ่งอึ้งเมื่อเห็นสีหน้ายินดีของวิรัล และเมื่อหันไปสบตากับชาครที่มองมา เขาก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีสายตาคล้ายกับจะขอร้องให้เขาตอบรับเรื่องนี้
“เฮ้อ...ช่วยไม่ได้! ในเมื่อมันเป็นบทลงโทษนี่นะครับ ยังไงก็ต้องทำตามนั่นล่ะ!”
พิชญ์เปรยเสียงห้วนรับคำ ทำให้ธามนั้นนึกแปลกใจที่เห็นอีกฝ่ายยอมรับเรื่องนี้ง่าย ๆ ทั้งที่ควรจะคัดค้านแท้ ๆ ยิ่งหันมาเห็นใบหน้าลูกน้องคนสนิทมีรอยยิ้มอ่อนโยนผิดเคย โดยมีสายตาจ้องมองไปยังร่างของพิชญ์ด้วยแล้ว ก็ทำให้ธามนึกสังหรณ์ใจว่าทั้งคู่คงต้องมีอะไรปิดบังบางอย่างที่เขาไม่รู้อยู่แน่
อีกด้านหนึ่งอำมฤตนั้นลอบถอนหายใจเบา ๆ เพราะลองพิชญ์เห็นด้วยแบบนี้ เขาคนเดียวคงจะคัดค้านได้ยาก ยิ่งนายสาวของเขาเป็นตัวตั้งตัวตีและเอ่ยปากชักชวนด้วยตัวเอง ครั้งจะให้ยกเลิก ก็จะกลายเป็นว่าม่านฟ้าพูดจากลับกลอกผิดคำพูดไปแทน
“ถ้ายังไงก็ต้องขอตัวก่อนล่ะ ขอบคุณสำหรับการต้อนรับนะ ที่นี่เป็นรีสอร์ทที่วิเศษมากเลยทีเดียว”
ธามเอ่ยอำลากับม่านฟ้า และหันมายิ้มให้กับวิรัล ซึ่งวิรัลก็ยิ้มตอบ และยืนโบกมือให้จนธามเดินลับตาไป ก่อนจะหันกลับมาชะงักเมื่อเห็นใบหน้าบึ้ง ๆ ของพิชญ์จ้องมองอยู่
“พิชญ์...โกรธหรือ...”
พิชญ์นิ่งสักพัก แล้วจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางยิ้มน้อย ๆ ให้กับนายเหนือหัวของเขา
“ไม่หรอกครับ...มันเป็นเรื่องของเกมไม่ใช่หรือครับ เราก็ต้องยอมรับตามนั้น”
พิชญ์บอกกับอีกฝ่าย แม้จะสงสัยว่าเหตุใดม่านฟ้าจึงช่วยเชียร์เรื่องธามและวิรัลจนออกนอกหน้าเช่นนั้น เจ้าตัวหวนคิดถึงคำที่ชาครเคยพูดไว้ เรื่องที่ว่าคนที่ฝืนใจหมั้นอาจจะไม่ใช่วิรัลคนเดียวก็ได้
‘...หรือว่าท่านม่านฟ้าก็มีคนในใจอยู่แล้วเช่นกัน...’
พิชญ์คิดในใจแล้วชำเลืองไปมองม่านฟ้า ที่ตอนนี้กำลังพูดคุยยิ้มแย้มกับวิรัลอย่างถูกคอ เพราะม่านฟ้านั้นแม้จะผ่านการดูแลอบรมมารยาทมาอย่างเข้มงวด แต่ก็ถูกเลี้ยงมาเป็นอิสระมากกว่าเด็กหนุ่ม จึงทำให้วิรัลที่ไม่เคยมีเพื่อนวัยเดียวกัน พูดคุยซักถามกับอีกฝ่ายได้อย่างสนิทใจมากขึ้น นี่ถ้าไม่มีธามเข้ามาข้องเกี่ยวด้วยแต่แรก วิรัลก็คงชอบพอกับม่านฟ้าได้อย่างไม่ยากแน่นอน
อีกด้านหนึ่งนั้นชาครก็เหลือบมองเจ้านายของเขาผ่านกระจกมองหลังรถ ตอนนี้ธามกำลังนั่งเงียบ ๆ หลับตาคล้ายดังจะใช้สมาธิอยู่ ซึ่งชาครก็พอจะเดาได้ว่า คนที่โทรศัพท์มาเป็นผู้ใด แม้จะได้ยินเสียงไม่ชัดเจนเนื่องจากธามเดินออกไปคุยไกลจากรัศมีรับฟังของเขาพอสมควร
“ท่านธามครับ...ต้องกลับไปที่คฤหาสน์ของท่านประมุขหรือครับ”
ธามชะงักเล็กน้อย ก่อนจะลืมตาขึ้นมองคนถาม แล้วพยักหน้านิด ๆ
“ใช่... ‘เขา’ โทรมาบอก ให้รีบกลับไปให้ทันในคืนนี้...เหอะ เอาแต่ใจชะมัด”
ชาครลอบถอนหายใจ เพราะธามนั้นเลิกเรียกบิดาของเจ้าตัวว่าพ่อ นับตั้งแต่ตอนที่มารดาของชายหนุ่มเสียชีวิต ทว่าผู้เป็นบิดากลับปิดคดีไม่คิดสืบหาตัวฆาตกรต่อ ทั้ง ๆ ที่ถ้าสืบสาวราวเรื่องจริง ๆ ก็หาได้ไม่ยากแท้ ๆ
“ถ้าให้เดา อาจจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการคัดเลือกตำแหน่งประมุขก็ได้...มันก็ใกล้เข้ามาแล้วนี่... อีกไม่กี่เดือนเท่านั้นสินะ”
ธามพึมพำตามมา ก่อนจะถอนหายใจแรง ๆ ก่อนหน้าที่จะได้เจอวิรัล เขาเฝ้าแต่คิดถึงเรื่องชิงตำแหน่งประมุขมาโดยตลอด ทว่านับตั้งแต่ได้พบกับเด็กหนุ่ม ธามนั้นกลับนึกอยากทิ้งตำแหน่งที่เคยปรารถนา แล้วเลือกใช้ชีวิตสงบกับวิรัลเพียงลำพังมากกว่า... แต่เขาก็ไม่อาจจะละเลยเรื่องที่มารดาถูกสังหารโดยจับตัวฆาตกรมาลงโทษไม่ได้อยู่ดี
“นี่...ชาคร นายได้คุยอะไรกับพี่เลี้ยงของวิรัลบ้างหรือเปล่า...ทำไมหมอนั่นถึงได้ยอมรับเรื่องที่ม่านฟ้าเสนอง่าย ๆ แบบนั้น”
ชาครชะงัก พลางกลืนน้ำลายลงคอ ขณะที่กำลังคิดหาคำแก้ตัว ก็ถูกธามกระแอมดักเสียก่อน
“บอกมาตามตรงไม่ต้องคิดเฉไฉ ...นายก็รู้ดีว่าฉันไม่ชอบให้ใครมาโกหก โดยเฉพาะจากคนที่ฉันไว้ใจที่สุด”
ชาครถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วจึงตัดสินใจเล่าเรื่องที่เขาสนทนากับพิชญ์ให้ธามฟังทั้งหมด ก่อนจะนิ่งเงียบรอฟังนายของเขาอย่างรู้สึกผิด เรื่องที่เขาไปเล่าเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายให้กับคนอื่นฟังเช่นนั้น
“…นายขอโอกาสกับหมอนั่น ให้ฉันอย่างนั้นหรือ...ยุ่งย่ามเรื่องส่วนตัวของฉันมากไปแล้วนะ”
ธามเปรยขึ้นเรียบ ๆ ทำให้ชาครกลืนน้ำลายลงคอ แล้วพึมพำขอโทษด้วยใบหน้าสลด ทว่าชายหนุ่มก็ต้องชะงัก เมื่อคนที่ทำหน้าเคร่งขรึมแย้มยิ้มออกมาน้อย ๆ อย่างอ่อนโยนหลังจากนั้น
“แต่ก็ต้องขอบคุณนายมากเหมือนกัน...เพราะนายนั่นล่ะ จึงทำให้ฉันเลือกได้ในที่สุด...”
ชาครจ้องที่กระจกมองหลังรถ ประสานสายตากับธามที่จ้องมายังเขาเช่นเดียวกัน
“ฉันจะออกจากเผ่าหลังจากการเลือกตำแหน่งประมุขสิ้นสุดลง ไม่ว่าฉันจะได้เป็นประมุขหรือไม่ก็ตาม ... และเพื่อการนั้น จากวันนี้ไป ฉันจะทำทุกวิถีทางเพื่อลากฆาตกรตัวจริง แล้วบังคับให้มันขอขมากับอัฐิแม่ของฉันในวันที่ทุกคนในเผ่ามาชุมนุมเพื่อแต่งตั้งประมุขคนใหม่ ...นายล่ะชาคร พร้อมจะลุยแตกหักกับฉันด้วยไหม”
ชาครยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับพยักหน้าด้วยแววตาจริงจัง
“ผมพร้อมจะยืนอยู่เคียงข้างท่านเสมอ ไม่ว่าท่านจะเลือกตัดสินใจแบบใดก็ตาม”
ธามยิ้มตอบ แล้วบอกสั้น ๆ
“ดี...ขอบใจมาก”
จากนั้นทั้งคู่ก็นั่งเงียบ ๆ ไปด้วยกัน จนกระทั่งรถยนต์ของธามเลี้ยวเข้าไปในคฤหาสน์ใหญ่โตหลังหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ชานเมืองห่างไกลผู้คน
ทันทีที่ธามและชาครมาถึง ชายในสูทดำสองสามคนก็เดินเข้ามาโค้งให้พวกเขา และนำทั้งคู่ไปยังห้องประชุมภายในคฤหาสน์
“โอ้...มาแล้วหรือ นึกว่าจะอ้างโน่นอ้างนี่ แล้วไม่มาร่วมประชุมเหมือนเดิมเสียอีกนะ...”
เสียงทักจากชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าคมคาย ละม้ายคล้ายกับธาม เจ้าตัวยกยิ้มหยันส่งมาให้ ซึ่งธามก็ทำเป็นเมินไม่สนใจ เขาโค้งศีรษะนิด ๆ ให้กับคนนั่งหัวโต๊ะ แล้วตรงไปนั่งบนเก้าอี้ว่างแถวนั้น ส่วนชาครถอยไปยืนห่าง ๆ มุมห้อง เช่นเดียวกับผู้ติดตามคนอื่น
“เหอะ! ยังทำตัวไม่เห็นหัวพี่น้องเหมือนเดิมนะ เป็นแค่ลูกครึ่งมนุษย์แท้ ๆ หยิ่งยโสไม่เคยเปลี่ยน!”
มาลุตสบถอย่างหงุดหงิด เขาเกลียดธามมาแต่ไหนแต่ไร เนื่องจากอีกฝ่ายมีสายเลือดมนุษย์ที่ด้อยกว่า แถมมารดาของธามยังเป็นที่รักของบิดามากกว่ามารดาของเขา ทำให้มารดาผู้อ่อนแอของเขาตรอมใจตายไปเสียก่อน นั่นจึงทำให้มาลุตยิ่งเกลียดและโกรธแค้นทั้งธามและมารดาของอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้นไปอีก
“เลิกหยอกล้อตามประสาพี่น้องกันได้แล้วมาลุต... เอาล่ะในเมื่อธามก็มาถึงแล้ว ฉันก็จะได้เริ่มเปิดประชุมสักที”
ปุริม ประมุขของเผ่าวกะผู้เป็นบิดาของมาลุตและธามเปรยขึ้นเบา ๆ ทว่าคำพูดนั้นก็ทำให้มาลุตเงียบลงได้ แม้จะยังคงแสดงท่าทางฮึดฮัดให้ได้เห็นบ้างก็ตาม
“ที่ฉันเรียกผู้คุ้มกฎทั้งสาม และบรรดาผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการบริหารเผ่า รวมถึงทายาทของฉันทุกคนมาประชุมครั้งนี้ ก็เพื่อจะร่างข้อตกลงในการทดสอบชิงตำแหน่งประมุขเพิ่มเติมจากเดิม และต้องการให้ทุกคนรับทราบและลงมติให้เป็นเอกฉันท์ด้วย”
พอปุริมเอ่ยจบ คนอื่น ๆ ที่มาร่วมประชุมต่างก็พากันสบตากันอย่างสงสัยและแปลกใจ ปุริมกวาดสายตามองแต่ละคน แล้วจึงเอ่ยต่อ
“ในการทดสอบชิงตำแหน่งประมุขครั้งนี้ ฉันขอสั่งไม่ให้มีการเล่นตุกติก โดยการทำร้ายผู้มีสิทธิ์ชิงตำแหน่งประมุขแต่ละคน ไม่ว่าจะซึ่งหน้าหรือลับหลัง โดยเด็ดขาด ... ถ้าใครผิดกฎข้อนี้แล้วฉันสืบพบ ฉันจะถือว่ามันผู้นั้นเป็นกบฏของเผ่า และจะต้องถูกนำตัวมาลงโทษอย่างหนัก โดยไม่สนว่ามันผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม เข้าใจไหม...”
ท้ายประโยคปุริมไล่มองบุตรทั้งสามของเขา ธาม มาลุต และพิภพ ทว่าหลังจากจบประโยคนั้น มาลุตมีสีหน้าตกตะลึง ก่อนจะตามมาด้วยความแค้นเคือง ไม่แตกต่างจากธามเท่าใดนัก
“ฉันหวังว่าคงไม่มีใครคิดค้านในความคิดนี้...แต่หากมีก็จงเสนอตัวและบอกเหตุผลที่น่าฟังมาด้วย... ถ้ามันดีพอ ฉันอาจจะรับฟังไว้”
ปุริมเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ คล้ายจะอนุญาตให้ผู้อื่นโต้แย้ง ทว่าจากน้ำเสียงและความนัยที่แฝงอยู่นั้นมันบ่งบอกชัดเจนว่า เขาตัดสินใจไปแล้ว และไม่ต้องการให้ใครขัดขืนคำสั่งนี้
ธามกัดฟันกรอดและลอบกำหมัดแน่นด้วยความหงุดหงิด เช่นเดียวกับมาลุตที่อยากจะค้าน แต่เมื่อตรองแล้วไม่น่าจะทำให้เกิดผลดีกับตน เขาจึงทนเงียบอยู่ ส่วนพิภพบุตรชายคนโตนั้นนั่งเงียบรับฟังโดยไม่มีปฏิกิริยาอันใดเป็นพิเศษ
“เอาล่ะ…ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครคัดค้านสินะ ...ดีแล้ว ถ้าอย่างนั้นอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ฉันจะสละตำแหน่งประมุขให้กับผู้ที่ผ่านการทดสอบ”
ทันทีที่ปุริมประกาศมาเช่นนั้น ก็ทำให้ผู้คุ้มกฎทั้งสาม และสมาชิกคนอื่น ๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการบริหารให้เผ่าเจริญรุ่งเรือง ก็พากันตกอกตกใจและมีบางคนเอ่ยปากค้านออกไป
“มันจะไม่เร็วไปหน่อยหรือครับท่านประมุข ...ตามกำหนดการเดิมนั่นมันอีกตั้งเกือบสามเดือนเลยนะครับ”
หนึ่งในผู้คุ้มกฎทั้งสามซึ่งมีอาวุโสมากที่สุดเอ่ยขึ้น ปุริมหันมามองชายชรา แล้วจึงเอ่ยตอบอีกฝ่ายเรียบ ๆ
“ฉันได้รับรายงานมาว่า พวกครุโฬเริ่มเคลื่อนไหวน่าสงสัย และเป้าหมายของพวกมันก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นเผ่าเราอยู่สูง ...ดังนั้นฉันต้องการให้มีการเลือกประมุขคนใหม่ให้เสร็จโดยไว และจะได้สร้างนักรบวกะรุ่นใหม่ ๆ ให้พร้อมต่อการสู้รบระหว่างเผ่า ที่อาจจะมาเยือนได้ทุกเมื่อ”
เมื่อได้ฟังเหตุผลของประมุขเผ่า ก็ทำให้ผู้คุ้มกฎชราเห็นด้วย เพราะเขาเองก็ได้รับข่าววงในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
“ถ้าอย่างนั้นพวกผมก็ไม่มีอะไรคัดค้าน”
เมื่อผู้คุ้มกฎทั้งสามและสมาชิกคนอื่น ๆ เห็นดีด้วย ปุริมก็หันมาทางลูกชายทั้งสามของเขา
“พวกเจ้าเล่า เห็นว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
ทั้งสามนิ่งเงียบครู่หนึ่ง จากนั้นพิภพจึงพยักหน้ารับรู้ มาลุตแค่นยิ้ม แล้วทำเป็นพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ ส่วนธามนิ่งเงียบ จ้องตาผู้เป็นบิดานิ่งสักพัก แล้วเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ
“แล้วแต่ท่านประมุขจะตัดสินใจเถิดครับ”
ปุริมชะงักนิด ๆ ก่อนจะลอบถอนหายใจ จากนั้นจึงสั่งปิดประชุมแล้วให้ทุกคนแยกย้ายกันไป ยกเว้นธามที่ถูกเรียกเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวธาม...พ่อมีเรื่องจะคุยด้วยสักหน่อย”
ธามเม้มปากน้อย ๆ เวลาที่ปุริมแทนตัวว่าพ่อ ก็คือเวลาที่อีกฝ่ายทิ้งตำแหน่งประมุขไว้เบื้องหลัง และมักจะสนทนากันแบบพ่อลูกตามปกติ ธามเองก็รู้ว่าบิดานั้นรักและห่วงใยในตัวเขาขนาดไหน แต่เรื่องที่อีกฝ่ายไม่ยอมนำฆาตกรที่ฆ่ามารดาของเขามาลงโทษ ก็ทำให้ธามตั้งกำแพงระหว่างเขากับบิดาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
อีกด้านหนึ่งมาลุตที่กำลังเดินออกจากห้องประชุมไปนั้น ลอบมองธามอย่างชิงชังมากขึ้นไปอีก เพราะรู้สึกอิจฉาที่บิดานั้นมอบความรักให้กับน้องชายต่างมารดามากกว่า
กับมาลุตและพิภพ ปุริมมักจะวางตัวเป็นประมุขมากกว่าพ่อ และสั่งสอนเข้มงวดแทบตลอดเวลา แต่กับธามนั้น ด้วยความเวทนาที่ชายหนุ่มกำพร้ามารดาแต่เล็กแถมยังมีพลังน้อย เป็นลูกครึ่งมนุษย์ในหมู่วกะ ปุริมจึงเอาใจใส่ในตัวธามเป็นพิเศษกว่าบุตรชายคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด
... TBC ...