ยกที่ 55 (ต่อ)ทุกอย่างดูลงตัวของมันเช่นนั้น พวกเขาแทบจะเหมือนอยู่กินด้วยกันไปแล้ว (จากความเห็นสรัญ) โดยที่...เหลือเชื่อ...ยังไม่เคยมีอะไรกันเลย นี่มันน่าแปลกใจพอกับเรื่องคบกันมาจนป่านนี้ แต่คิมหันต์ยังคงบ่ายเบี่ยง ไม่ยอมไปพบคนบ้านเขาสักครั้ง
คำถามเดิม และคำตอบเดิม ซึ่งมีแต่จะยิ่งเพิ่มความน่าสงสัย นำไปสู่คำถามเดิมและคำตอบเดิมวนเป็นวงจรโลกแตกครั้งแล้วครั้งเล่า
“ทำไมล่ะ?”
เขาถาม แม้รู้ดีว่าคงไม่ได้รับคำตอบตรงประเด็นกลับมาอีกเช่นเคย
“ไม่เห็นน่าสนุกเลย”
นั่นปะไร..อีกหนึ่งเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ไร้สาระพอกับข้ออ้างอื่นที่เจ้าตัวเคยยกขึ้นมาปฏิเสธครั้งก่อน ๆ ขี้เกียจบ้างละ ต้องรีบกลับบ้านบ้างละ (แล้วก็หนีกลับบ้านตัวเองจริงแบบไม่มีเหตุผล) ท้องเสีย ปวดหัว ฤกษ์ไม่ดี จิ้งจกทัก สารพัดอย่างที่เขารู้ว่าขี้โม้ทั้งนั้น แต่ก็ยังจะตามใจอยู่เรื่อย
ทว่าอาจไม่ใช่สำหรับครั้งนี้“ไปด้วยกัน พรุ่งนี้วันอาทิตย์ ว่างแล้วนี่”
“ไว้วันหลังน่า” อีกฝ่ายงึมงำปฏิเสธ ซึ่ง
วันหลัง ของคิมหันต์ อาจหมายถึง
ไม่มีวัน หรืออะไรทำนองนั้นมากกว่า
พูดจบก็หันหลังเตรียมปล่อยบทสนทนาค้างไว้แค่นั้น ด้วยรู้ดีว่าข้ออ้างของตัวเองช่างไม่ได้เรื่อง
เขาขมวดคิ้ว คว้าไหล่อีกฝ่ายให้หันกลับมาเผชิญหน้า ก่อนจะดันถอยหลังให้ไปจนมุมที่กำแพง การกระทำทั้งหมดอาจไม่นุ่มนวลนัก แต่คิดว่าถึงเวลาต้องคุยกันให้รู้เรื่องเสียที
“มีเหตุผลอะไร ทำไมดื้อนัก”
“ผมก็ดื้องี้มานานแล้ว” ถ้อยคำประชดลอยมาเข้าหู จากปากไอ้ตี๋ที่เพิ่งชมตัวเองว่าเป็นคนดี “พี่ก็รู้ไม่ใช่หรือ”
“คิมหันต์”
“...”
เจ้าของชื่อต่อต้านด้วยการเงียบ ก้มหน้าพร้อมกับหลุบตาลงต่ำ ริมฝีปากเม้มแน่น และสามภพรู้ดีว่าทุกครั้งที่เป็นเช่นนี้ ยิ่งใช้ไม้แข็งใส่ก็มีแต่จะยิ่งดื้อหนัก
“ทำไมล่ะ?” เขาถามอีกครั้ง “ไปให้คนที่บ้านพี่เห็นหน้าสักครั้ง ไม่อยากอยู่ด้วยกันหรือ?”
“....อยาก”
“นั่นไง” ชายหนุ่มถอนใจแผ่วเบา คลายแรงบีบที่มือลงเมื่อรู้สึกตัวได้ว่าจับไหล่คิมหันต์ไว้แน่นเกินไปแล้ว ก้มตัวลงไปจนมองเห็นใบหน้าอีกฝ่ายชัด ๆ “บอกผู้ใหญ่เขาสักหน่อย..”
“ผม...” คิมหันต์เหลือบตามาทางเขา อ้าปากคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วกลับหลับตาแล้วเปลี่ยนเป็นเอนตัวมากอดแทน กระซิบเสียงออดอ้อนจนน่าสงสาร
“ไว้ก่อนไม่ได้หรือ”
สามภพแทบกุมขมับ พยายามคิดหาความเป็นไปได้ว่ามีเหตุผลอะไรที่คิมหันต์จะไม่อยากไปบ้านเขา ทั้งที่ตอนอยู่ด้วยกันลำพังออกจะติดหนึบเป็นตัวเมขนาดนี้ ใช่ว่าทางฝั่งเขาเองจะไม่ช่วยอะไรเลย เริ่มตั้งแต่เกริ่นไว้กับที่บ้านก่อนหน้านี้นานแล้วเรื่องอีกฝ่าย นานวันก็ค่อย ๆ ใส่ข้อมูลเพิ่มเติมพร้อมกับสังเกตทีท่าบุพการีตัวเองไปด้วย ฝั่งสามพลผู้เป็นพี่ชายนั้นรู้เรื่องมานานเพราะเป็นคนรักของอันนา พี่สาวคนสวยผู้เป็นคนต้นเรื่อง และต้องยอมให้เธอเลยจริง ๆ ว่าการที่พ่อแม่ของเขาทำใจและยอมรับได้ในที่สุดเรื่องลูกชายตัวเองรักกับผู้ชายด้วยกัน เป็นเพราะว่าที่ลูกสะใภ้คนโปรดทั้งเกลี้ยกล่อมและอธิบายจนยอมเข้าใจ (หรืออาจเพลียจะต่อต้านเต็มที..ตั้งแต่เขาซิ่วเพื่อย้ายคณะโดยไม่ปรึกษาแล้ว) แม้จะต้องกินเวลาเป็นเดือน ๆ ก็นับว่าคุ้ม ภาพพจน์คิมหันต์ในมโนภาพของพวกท่านอาจเป็นเด็กดีน่ารักจนเกินความจริงไปแล้วด้วยวาทศิลป์ของอันนา จึงได้เรียกร้องอยู่บ่อยครั้งให้พามาแนะนำที่บ้านสักที
เหลือก็แต่ไอ้ตัวยุ่งซึ่งไม่รู้ว่ากลัวอะไรอยู่นี่เอง..
กลัว...?ชายหนุ่มมุ่นคิ้ว ก้มหน้ามองเจ้าเด็กเรื่องเยอะที่แทบจะรวมร่างตัวเองเข้ากับลำตัวเขาแล้ว ทั้งยังก้มหน้าก้มตาอย่างดื้อดึง นัยว่าขอมองอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เขา เป็นไปได้หรือที่คิมหันต์กลัวเอาจริง ๆ จนไม่กล้าไปเจอหน้าผู้ใหญ่ จะเกี่ยวกับเรื่องที่เคยเปรยไว้ว่าพี่ชายตัวเองเป็นเกย์หรือเปล่า
สามภพไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายคนโตของคิมหันต์ซึ่งทุกคนเลี่ยงจะพูดถึง แม้แต่กับวัสสานะซึ่งปกติใจดีและร่าเริงอยู่เสมอ ได้ยินเข้าครั้งใดก็มักทำตาแดง ๆ ราวกับจะร้องไห้ จากนั้นก็ตัดบทไปเรื่องอื่นเสียดื้อ ๆ เขาจึงได้แต่เงียบไปบ้างพร้อมกับความสงสัย นานไปก็ทำเหมือนว่าลืม แต่ท่าทางสงบเสงี่ยมของอีกฝ่ายยามเผชิญกับสายตาดุ ๆ ของผู้เป็นบิดาที่บ้านนั้นเขายังจำได้ดี
“กลัวหรือ?”
เขาถาม หลังประเมินความเป็นไปได้ในหัว ก้มหน้าลงไปใกล้พร้อมกับถือโอกาสคลอเคลียข้างแก้มอีกฝ่ายด้วยปลายจมูก
“....”
“หรือว่ามีเรื่องอะไรในใจ”
“..ผมแค่คิดว่า..”
คิมหันต์กระซิบ...แล้วก็เงียบไป เหลือบตามองเขากล้า ๆ กลัว ๆ ก่อนจะกลับไปก้มลงอย่างเดิมพร้อมกับเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“คิดว่าหิวแล้ว”
สามภพถึงกับพ่นลมหายใจเฮือก
“อย่านอกเรื่องสิ”
“หิวแล้วจริงนะ” คิมหันต์เริ่มอ้อน “มื้อก่อนหน้านี้ตั้งหลายชั่วโมงเข้าไปแล้ว เฮียจะปล่อยให้ผมอด ๆ อยาก ๆ เหรอ ถ้าผอมขึ้นมาแล้วจะกอดไม่ถนัดรู้รึเปล่า”
ดูเหตุผลเข้าเถอะ แถมขณะที่ปากเจื้อยแจ้วก็ยังคอยจะงับ ๆ อยู่แถวใบหูเขาอย่างพยายามเบี่ยงเบนความสนใจ ซึ่งเป็นวิธีที่ถูก เพราะตรงนั้นของเขาออกจะค่อนข้างไวสัมผัส คิมหันต์รู้เรื่องที่ว่าดี แต่ก็เป็นวิธีที่ผิด...ด้วยเหตุผลเดียวกัน...เพราะมันไวสัมผัส..
หัวใจเขาเต้นด้วยจังหวะหนัก ๆ อยู่ในอก คว้าเอวคิมหันต์ไว้ได้ก็จับหมุนตัวแล้วเหวี่ยงให้ลงไปนอนหงายหลังบนโซฟาที่เจ้าตัวชอบนักชอบหนา ไม่ทันมีเวลาให้ได้โวยวายสักแอะ มีเพียงสีหน้าแตกตื่นและนัยน์ตาเบิกโพลงซึ่งจับจ้องมายังเขา ที่บอกให้รู้ว่าไอ้เด็กแสบเริ่มตระหนักได้ว่าไม่ปลอดภัยแล้ว
“ไปเจอหน้าผู้ใหญ่ด้วยกันแบบยังบริสุทธิ์..” เขากระซิบเสียงแหบแห้ง “หรือจะไปเจอหน้าผู้ใหญ่ด้วยกันหลังจากถูกจับปล้ำ”
คิมหันต์เบิกตากว้างขึ้นอีก หน้าขึ้นสีจัดในเวลาชั่ววินาที หดขาหนีโดยอัตโนมัติ สรรพนามและท่าทางที่ใช้เปลี่ยนไปสุภาพเรียบร้อยผิดวิสัยขึ้นมากะทันหัน
“..พี่ภพอย่าล้อเล่นงี้ดิครับ...”
ชายหนุ่มโคลงศีรษะอ่อนใจ เลิกต่อล้อต่อเถียงให้มากความ กระโจนตามขึ้นไปคร่อมช่วงสะโพกอีกฝ่ายได้ทันเวลาก่อนจะได้ไถลตัวหลุดรอดไปไหน คิมหันต์ค้างอยู่ในท่านอนคว่ำเตรียมหนีอย่างครึ่ง ๆ กลาง ๆ ซึ่งก็เรียกว่าตำแหน่งดีใช้ได้ จากมุมนี้หากเขาก้มลงไปมองใกล้หน่อยจะเห็นท้ายทอยขาว ๆ น่ากัดอยู่ใต้ไรผมสีน้ำตาลเข้มชวนมอง
“พรุ่งนี้สาย ๆ สักเก้าโมง..” เขาแจกแจงเวลา พร้อมกับรวบข้อมือสองข้างของอีกฝ่ายไว้ด้วยมือเดียว โน้มตัวลงไปสูดกลิ่นหอมอ่อนที่ต้นคอพร้อมกับส่งเสียงหายใจดัง ๆ ด้วยเจตนากลั่นแกล้ง “..ไปด้วยกัน...พี่โทรบอกคนที่บ้านไว้แล้ว”
“..ไม่เอา..ผม—!”
คิมหันต์ชะงัก จากที่ดิ้นดุกดิกอยู่แต่แรกกลับกลายเป็นทำตัวแข็งทื่อ เมื่อโดนเขางับเข้าจริงที่ต้นคอจนได้
“....เฮียอย่ากัดดิ..” อีกฝ่ายกระซิบเสียงอ่อน หูแดงไปถึงไหนต่อไหน แต่ยังไม่วายกวนประสาทจนหยดสุดท้าย “เดี๋ยวผมเป็นพิษสุนัขบ้า”
สามภพอยากจะหัวเราะ พอกับที่อยากเขกหัวไอ้ตัวปากเสียตรงหน้าให้กะโหลกร้าวไปด้วยเลย ถึงกับต้องถอนหายใจแรง ๆ ออกมาอีกครั้ง ใครจะรู้ดีเท่าคิมหันต์ว่าเขาไม่คิดทำอะไรผิดไปจากสัญญา ตั้งใจว่าจะรอเจ้าตัวพร้อมเอง แต่หากรู้ตั้งแต่วันนั้นว่าต้องใช้เวลาขนาดนี้ (และยังไม่เห็นมีวี่แววว่าจะได้แอ้ม) เขาอาจไม่ยอมรับปากซี้ซั้วและจับรวบหัวรวบหางมันเสียตั้งแต่หลายปีก่อนก็เป็นได้
เขามองร่างข้างใต้ เห็นแล้วก็หมั่นไส้ปนเอ็นดู จึงขอแกล้งอีกสักหน่อยด้วยการทิ้งน้ำหนักตัวลงไปทับเต็ม ๆ เด็กบ้าอะไรช่างอ้อนช่างยั่วแต่หวงตัวขนาดนี้
“เฮ่อ..”
“...ผมหนักอ่า..” คิมหันต์เริ่มโอดครวญ หลังจากโดนนอนทับมาครู่ใหญ่ “เฮีย...เฮียเพี้ยน..”
สามภพตอบสนองด้วยการถอนใจยาว ๆ ใส่หลังใบหูอีกฝ่ายซ้ำ
“...เฮ่อออ...” ความเงียบโรยตัวลงรอบกายอีกครู่ใหญ่ คิมหันต์ตะแคงหน้าเอาแก้มแนบโซฟา ขยับตัวดิ้นรนพอให้อยู่ในตำแหน่งที่ไม่อึดอัดมากนัก เอื้อมมือขึ้นมาด้านหลังตัวเองเพื่อลูบบนต้นคอเขาแผ่วเบา ก่อนจะกดปลายนิ้วไล่ไปเรื่อย ราวกับนักดนตรีที่กำลังเล่นเครื่องสาย ทว่าสัมผัสเหล่านั้นกลับให้ความรู้สึกว่าเต็มไปด้วยความลังเลของเจ้าตัว
“...เฮียเพี้ยน.. ”
“ทำไม?”
“..บางทีผมก็คิดเหมือนกัน...ว่าผมนิสัยเสียงี้...พี่จะเบื่อผมหรือเปล่า”
“เคยคิดด้วยเรอะ” เขาประชด
“คิดเงียบ ๆ น่ะ” อีกฝ่ายแถเรื่อยเปื่อย ตามด้วยเสียงหัวเราะแห้งแก้เก้อ “...แต่ผมอยากให้พี่มีผมคนเดียว มองผมคนเดียว ถ้าเบื่อก็จะตามไปฟัด ถ้าใครมาแย่งผมจะตามรังควาญมัน”
“หือ?” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว นึกประหลาดใจอยู่นิดหน่อย ตัวเขาไม่ค่อยมีคนเข้ามาสุงสิงด้วยมานาน อีกฝ่ายต่างหากที่เที่ยวไปมีข่าวลือกับคนนั้นคนนี้ไม่ได้หยุดหย่อน แล้วอย่างนี้คิมหันต์จะมีใครให้ต้องไปตามรังควาญ
“ที่ผ่านมา พวกผู้หญิง..หรือบางทีมีผู้ชายด้วยเหมือนกันที่จะเข้ามายุ่งกับพี่ ผมก็จัดการซะเรียบ”
คิ้วเขาพุ่งสูงขึ้นอีกบนหน้าผาก คราวนี้เปี่ยมล้นไปด้วยความแปลกใจในคำอุทานพยางค์เดียว
“หือ!?”“..อ่า...” คิมหันต์อ้อมแอ้ม “เรื่องนี้ยังไม่ได้สารภาพสินะ”
เขาเอาแขนยันตัวเองให้ยกร่างขึ้นเล็กน้อย พอให้อีกฝ่ายมีที่สำหรับเปลี่ยนเป็นนอนหงายเพื่อจะได้คุยกันดี ๆ “นี่มีอะไรยังไม่ได้คายออกมาอีก”
“หมดแล้ว หมดเกลี้ยงโบ๋เบ๋” คนข้างล่างยิ้มเผล่ เอามือเกาแก้มเขาเบา ๆ แล้วเริ่มร่าย “คนสุดท้ายที่เตลิดไปนั่นมันตั้งเกือบปีมาแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยมีคนกล้ายุ่งกับเฮียเท่าไหร่ ผมนึกว่าเฮียจะสังเกตได้เสียอีก...”
“นี่เรา—!?”
คิมหันต์ยักไหล่ “ช่วยไม่ได้...เขาทำท่าจะยุ่มย่ามกับคนของผมทั้งที่รู้ว่ามีเจ้าของแล้วเองนี่”
เขาจ้องมองดวงหน้าและรอยยิ้มซึ่งปรุงแต่งได้ตามใจของอีกฝ่าย ไม่รู้จะดีใจหรือตกใจมากกว่ากัน คิมหันต์ร้ายกาจได้เหลือเชื่อยามที่เจ้าตัวต้องการ และดูท่าทางก็ไม่ได้ร้ายน้อยลงเลยอย่างที่เขาเข้าใจ ความจริงแล้วน่าจะมากขึ้นด้วยซ้ำตามประสบการณ์ เพราะที่ผ่านมานั้นแนบเนียนจนเขาไม่เอะใจสักนิด
“เฮียเพี้ยนเป็นของผมนะ..” อีกฝ่ายย้ำความคิดตัวเองออกมาชัดถ้อยชัดคำ
“แล้วไอ้คนพูดเนี่ย...เมื่อไหร่จะเป็นของพี่”
คนฟังจ้องเขาด้วยหน้าเหวอ ๆ อึดใจหนึ่ง จากนั้นก็ก้มงุด โอบแผ่นหลังเขาไว้แล้วลูบไปมาอย่างรักใคร่แต่ไม่ยอมมองหน้าอีก
“..ผมก็เป็นอยู่นี่ไง”
“นี่เป็นแล้วหรือ”
“เฮียงอน..?”
ส่วนหนึ่งลึก ๆ... สามภพยอมรับว่ารู้สึกชอบเวลาเห็นคิมหันต์วิ่งตามเขา จึงได้ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างจงใจ
“เปล่า”
พร้อมกับพยายามแกะมืออีกฝ่ายออก แต่เจ้าตัวกลับยิ่งเกาะหนึบเป็นตุ๊กแก..และนั่นเองที่เขาคาดหวัง
ถ้าหนี..ก็จะตาม
ยิ่งถอยห่าง...กลับยิ่งวิ่งเข้าใกล้
“...เฮีย...รอผมหน่อยนะ...”
เขาถอนใจเฮือก ถอนใจจนหน้าจะเหี่ยว “รอมาตั้งนานแล้ว”
“อีกแป๊บนึง” คิมหันต์ต่อรอง
“นับหนึ่งถึงสาม?” เขาเสนอ
“สั้นไป”
“ถึงสิบ?”
“ใจร้อนว่ะ”
“รออะไรล่ะ”
อีกฝ่ายดึงเขาเข้าไปใกล้ คราวนี้เอาขาเกี่ยวไว้ด้วย “ถ้าบอกว่าไม่รู้ เฮียจะด่าผมปะ”
“ด่า”
“โห่..ไรว้า”
สามภพหัวเราะอ่อนใจ เอามือเสยผมอีกฝ่ายแล้วดีดนิ้วใส่หน้าผากเหม่ง ๆ ก่อนจะตั้งอกตั้งใจเป็นอย่างยิ่งเพื่อผละออกมา รู้ดีว่ายิ่งเข้าใกล้นานก็ยิ่งอยู่ในระยะอันตรายอันยากถอนตัว
“เอ้า..ปล่อย”
เขาสั่ง แต่คิมหันต์กลับทำหูทวนลม เกาะหนึบตามตัวเขาที่ลุกขึ้นนั่งจนกลายเป็นตามมานั่งด้วยอีกคนก็ยังไม่ปล่อยตามคำบอก
“คิม..” เขาทำเสียงเข้มใส่ “ไอ้เด็กดื้อ”
“ไม่เด็กแล้ว” อีกฝ่ายเถียง
“ปล่อยเร็ว”
“เฮียอ้ะ!” น้ำเสียงคิมหันต์ดูจะตัดพ้ออยู่นิดหน่อย “ถึงได้บอกไงว่าใจร้อน”
“ยังไง”
“จะนับแค่สิบเอง”
มนุษย์อะไรจะทำตัวชวนสับสนได้เท่าคิมหันต์
“....?”
“เมื่อกี้..ถ้าต่อรองอีกหน่อยนะ อย่างถ้ายอมนับถึงพันเงี้ย..ถึงร้อยก็ยังดี”
เขาชะงัก ขมวดคิ้วใส่ด้วยความสงสัย ได้แต่ฟังคิมหันต์เจื้อยแจ้วต่อพร้อมกับแก้มที่เปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ
“...ก็ว่าจะยอมอยู่แล้วเชียว”
“หือ”
“ช่างเหอะ”
“อีกทีซิ”
“..มะ..ไม่เอาแล้ว”
“พูดเร็ว..” เขาสั่ง มือช้อนแก้มสองข้างไว้ไม่ให้หันหนี เอาหน้าผากตัวเองโขกเบา ๆ กับของอีกฝ่าย “เมื่อกี้หมายความว่าไง”
คิมหันต์ยิ่งทำหน้าแดงอย่างบ้าคลั่ง เอามือตัวเองซ้อนมือเขาไว้อีกที โดนตื๊อเข้าหน่อยก็ยอมเอ่ยทั้งที่ปากสั่นหงึก ๆ จนฟังแล้วตะกุกตะกักอย่างคนตื่นเต้นจัด
“...เฮียว่า..วันนี้....ผมตัวหอมกว่าปกติปะ..?”
สามภพยื่นหน้าเข้าไปทำจมูกฟุดฟิดใกล้ ๆ อีกฝ่ายซึ่งหดคอ แต่ไม่ได้ถอยหนีไปไหน กลิ่นหอมอ่อนเหมือนสบู่ปนแป้งเด็กลอยกรุ่นอยู่แถวนั้น
“อืม..”
“...น่ากอดไหม”
“หือ?”
เขางง...แต่เป็นความงงซึ่งมาพร้อมกับความหวัง โดยเฉพาะเมื่อได้ฟังถ้อยคำที่ตามมา
“..แล้วเสื้อกับกางเกงนอนนี่...” คิมหันต์ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งเบาลงเรื่อย “..เฮียเพี้ยนว่า...”
“...”
“จะถอดง่ายรึเปล่า...?”
บางทีอาจเป็นเพราะเขาอึ้งนานเกินไป แสดงอารมณ์ออกทางสีหน้ามากเกินไป หรือไม่ก็ความรู้สึกหนักหน่วงแถวหว่างขาตรงที่คิมหันต์นั่งคร่อมอยู่กำลังเรียกร้องมากเกินไป พวงแก้มและใบหูอีกฝ่ายจึงยิ่งขึ้นสีจัดเข้าไปอีกราวกับกำลังจะระเบิดตัวเองต่อหน้า
“..เก็ตยัง!?” คิมหันต์โพล่งขึ้นมาในที่สุด “เชี่ยเอ๊ย! จะงาบก็อย่าให้ผมพูดอยู่คนเดียวดิ!”
เขากลั้นยิ้มก่อนมุมปากจะฉีกถึงใบหู อยากกอดรัดคนตรงหน้าให้ตัวแหลกคามือ คิมหันต์รู้ตัวบ้างหรือเปล่าว่าทำตัวแบบนี้ช่างน่ารักจนไม่รู้จะว่าอย่างไรดี
“พูดต่อสิ” เขากระเซ้า “พี่ชอบฟัง”
“เชี่ย!” ปากสุนัขเริ่มพ่นคำผรุสวาทแทนฉอเลาะ “เขินว้อย! อย่าทำให้ผมหมดความกล้าได้ไหมเล่า”
สามภพถึงกับหลุดหัวเราะ มีอย่างที่ไหนมาแหกปากว่าตัวเองเขิน เพ้อเจ้อพอกับครั้งก่อนที่โวยวายว่าไม่อยากถูกปล้ำเลย
“โอเคครับ ถ้าเขินจนไม่อยากพูดมาก” เขาพยายามช่วย “..งั้นตอบสั้น ๆ ไม่ก็พยักหน้าหรือส่ายหน้าเวลาถามก็พอดีไหม?”
คิมหันต์เงียบไปพักหนึ่งก็พยักหน้าหงึกหงัก เป็นภาพน่าเอ็นดูจนอดกดจูบหนัก ๆ บนหน้าผากไม่ได้ ไอ้ตัวยุ่งหลับตาปี๋ คอหดเหมือนกลับไปเป็นเด็กน้อยช่วงที่เพิ่งเคยจูบกันใหม่ ๆ อีกครั้ง อึดใจผ่านไปจึงค่อยหรี่ตาขึ้นมองหน้าเขาซึ่งนิ่งอยู่จุดเดิม ราวกับจะถามเป็นนัยว่าแล้วไม่ทำอะไรต่อหรือ
สามภพลูบศีรษะอีกฝ่ายแผ่วเบา เกลี่ยปอยผมด้านข้างไปทัดไว้หลังใบหูที่กลายเป็นสีแดงจัด
“ไม่เสียใจนะ?”
คนฟังสูดลมหายใจเข้าลึก ...จากนั้นก็ส่ายหน้า
ชายหนุ่มเลิกคิ้วพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น ค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อนอนหลวมโพรกของคิมหันต์ (ซึ่งความจริงแล้วมันคือของเขาที่คิมหันต์หยิบมาใส่) มองดูมันหลุดออกจากรังดุมทีละเม็ด...ทีละเม็ด.. ด้วยใจพองโต
“หลังจากนี้ถึงบอกให้หยุดก็จะไม่หยุดแล้วนะ”
เขาเฝ้ามองอีกฝ่ายเม้มปากสั่น ๆ แผ่นอกขาวขยับขึ้นลงเร็วกว่าปกติ อุปาทานไปเองว่าได้ยินเสียงหัวใจใครสักคนเต้นโครมครามก้องอยู่ในหู
ความเงียบกินเวลานานราวกับชั่วนิรันดร
...จนกระทั่งคิมหันต์พยักหน้าในที่สุด
“...ไม่บอกให้หยุดหรอก..”เขายิ้มกว้าง ยิ้มแบบไม่กลั้น ไม่เก็บ ใจร้อนเกินกว่าจะพาอีกฝ่ายลุกจากโซฟาไปที่เตียง ความอดทนเหลือน้อยนิดแค่พอให้พลิกร่างคิมหันต์นอนหงายบนเบาะนุ่ม ๆ ฝังจมูกลงบนซอกคออุ่นฟุ้งกลิ่นหอมละมุนเหมือนเด็กไร้เดียงสา มือเกี่ยวขอบกางเกงเนื้อบางให้เลื่อนหลุดจากสะโพกอีกฝ่ายง่ายดาย ก่อนจะลากปลายนิ้วหยอกเย้ากับส่วนอ่อนไหวใต้อาภรณ์ตัวจิ๋วชิ้นสุดท้ายที่กำลังตื่นตัว
คิมหันต์หายใจติดขัด ทว่าสิ่งที่พูดนั้นได้ยินชัดเจนเต็มสองหูเลยทีเดียว
“แต่ถ้าไม่ไหว...พรุ่งนี้ผมไม่ไปบ้านพี่นะ”สามภพตระหนักขึ้นมาตอนที่ถอยหลังกลับไม่ได้แล้วนั่นเอง ว่าไอ้ตี๋นี่มีแผนตลอด ยั่วขนาดนี้ ท่าทางวันรุ่งขึ้นคงตั้งใจทำป่วยการเมืองหลังเสียตัวครั้งแรกจนไม่ยอมออกไปไหนแน่ ๆ หาเรื่องไม่ไปบ้านเขาจริง ๆ สินะ
เขาเลื่อนริมฝีปากลงมาต่ำกว่าเก่า ระวังไม่ทำรอยไว้สูงนัก เดี๋ยวผู้ใหญ่เห็นหลักฐานเข้าตั้งแต่แรกพบจะดูไม่ดี
ก็เขาบอกไว้ตั้งแต่เมื่อไรกันล่ะว่าคราวนี้จะตามใจ?
คิมหันต์อยากไปด้วยหรือเปล่าไม่รู้ แต่เขาถือว่าทำตัวอย่างนี้คือเลือกข้อสองในตัวเลือกแต่แรกที่เสนอไว้..
‘ไปเจอหน้าผู้ใหญ่ด้วยกันหลังจากถูกจับปล้ำ’- หมดยกที่ 55 –
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
เขิน อะแหะ =////=
จะว่าไป เรื่องนี้ก็ใกล้จบแล้วค่ะ แฮ่ก ๆ
ขอบคุณคนอ่านผู้น่ารัก ตอนแรกว่าจะอัพตั้งแต่เมื่อวาน แต่ไม่ทันจริง ๆ ค่ะ *กราบกราน*
ของแถม ที่แอบอู้มาเรื่อย วันนี้มีค่ะ! 555 รีพลายถัดไปนะคะ
พบกันยกหน้าค่าาา >3<
