ยกที่ 46 (ต่อ)
ร้านอาหารเวียดนามที่รัญชน์เลือกพารุ่นน้องมาเลี้ยงนั้นอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยเท่าไร สรัญไม่ได้ตามมาด้วยอย่างที่พูดจาเอาแต่ใจเมื่อเช้านี้ มีแค่สองสายคือเขาและอนาวิลผู้เป็นเพื่อน รวมเบ็ดเสร็จแล้วก็แปดคน นั่งร่วมโต๊ะใหญ่เดียวกันกำลังเหมาะ เห็นจำนวนแค่นี้แต่กว่าจะเรียกรวมกันได้ทั้งสี่ชั้นปีไม่ใช่เรื่องง่าย
เขาไม่ค่อยได้ส่งเสียงพูดคุยมากนัก เดิมก็พูดน้อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งระยะหลังมานี้ติดอยู่ในความสัมพันธ์รูปแบบที่อธิบายลำบากระหว่างเขากับรุ่นน้องหนุ่มคณะทันตแพทยศาสตร์ที่มีชื่อเล่นเหมือนกัน ก็ยิ่งเหมือนกับว่าจะดึงสติให้อยู่กับเนื้อกับตัวได้ไม่ดีเท่าไร
“พี่..”
“พี่รัน”
“พี่รันคร้าบบบ!”
ชายหนุ่มสะดุ้งน้อย ๆ หันไปมองหน้าเฟรชชีของตัวเองที่กำลังนั่งจ้องมาตาใส
“อะไรครับ”
“พี่เหม่ออะ” น้องเล็กแต่ตัวใหญ่ทำตาโตประหนึ่งว่าเป็นวาระแห่งชาติ “ได้ไง!”
“อา..ขอโทษ” เขายกมือขึ้นเสยผม ทำทีเป็นตักซี่โครงหมูย่างตะไคร้แจกให้น้อง ๆ “เมื่อคืนผมนอนดึกไปหน่อย”
“ไม่ใช่คิดถึงใครใช่ป่าว”
แซวได้แค่นั้นคนพูดก็โดนมือลึกลับผลักหัวแทบทิ่มลงจานแหนมเนือง เป็นสายรหัสปีสองที่สนิทกับเฟรชชีกว่าคนอื่นนั่นเองที่เตือนไว้
“อ้น มึงลามปามละ”
“พี่ขิมแม่งโหด”
“ไม่เคยโดนพี่รันต่อยสินะ”
“พี่รันออกจะน่ารัก” เด็กหนุ่มยังเถียง “จะไปต่อยใครได้ไง”
สายรหัสปีสามส่ายหน้าอ่อนใจ เป็นเชิงว่าไอ้เด็กนี่ไม่รู้อะไรเสียแล้ว ตัดสินใจชวนคุยเรื่องอื่น ขณะที่พี่ใหญ่ในสายก็เริ่มหลุดไปอยู่กับโลกส่วนตัวอีกครั้ง ปล่อยน้อง ๆ ส่งเสียงเฮฮากันต่อในร้าน
หลังอิ่มหนำสำราญกับของคาวกันเรียบร้อย พวกเขาออกจากร้านไม่ดึกมาก ยังมีเวลาเหลือให้เด็กวิศวะแปดคนเดินดุ่มเข้าไปต่อที่ร้านไอศกรีมกุ๊กกิ๊กอย่างขัดหูขัดตาต่อคนมองก่อนมันจะปิด ซัดกันอิ่มเอมเปรมปรีดิ์อีกยกใหญ่ จนกำลังเตรียมหารถกลับอ้นก็เปรยอยากไปผับขึ้นมา แต่ปีสามปฏิเสธตามด้วยบ่นกลับมาอีกว่าอายุถึงแล้วหรือ พอบอกจะขอยืมบัตรประชาชนคนอื่นไปทำเนียนพร้อมเถียงว่าสงสัยกลัวเปลืองค่าเหล้าก็โดนปีสองผลักหัวทิ่มอีกรอบจนจ๋อยไป หันไปกระแซะรัญชน์ผู้เป็นพี่ใหญ่อย่างออดอ้อน
“พี่ขิมรังแกผมอะ”
“เชี่ยอ้น!” ขิมสวนทันควัน “สำออย เดี๋ยวกูถีบกระเด็น”
อ้นหัวเราะร่า แกล้งทำเป็นกลัวอย่างกวนประสาท เกาะหลังรัญชน์แน่นหนึบอย่างหาที่พึ่ง โน้มร่างไปข้างหน้าอีกเพียงนิดเดียว ชายหนุ่มผู้เป็นพี่รหัสคนโตก็แทบจมหายไปในอ้อมกอดทั้งตัว
“พี่ตัวเล็กจัง”
“เดินดี ๆ เถอะครับ” ชายหนุ่มปราม แต่ไม่ได้ขัดขืน
“อือ ตัวหอมด้วยอ่า”
ก่อนจะโดนขิมหิ้วคอออกมาแล้วเตะป้าบเข้าจริง ๆ
“เมาไอติมเหรอมึง”
“พี่ขิมแม่งงง ชื่อแต๋วแล้วยังขี้เหวี่ยงอีก”
สองหนุ่มไล่เตะกันไปตลอดทางจนเรียกแท็กซี่ได้ ส่วนสายรหัสของอนาวิลที่มาด้วยกันนั้นแยกกลับไปอีกทางเมื่อก่อนหน้านี้สักครู่หนึ่ง
“นายไปก่อนสิ”
รัญชน์หันไปพยักเพยิดให้เด็กหนุ่มน้องเล็กสุด เจ้าตัวทำตามอย่างว่าง่าย มุดเข้าไปนั่งบนแท็กซี่ แต่มือกลับไม่ยอมปล่อยจากเขา
“พี่ไปส่งผมหน่อย”
“อ้อนตีนละ กูส่งไปลงนรกให้ไหม” ขิมขัดได้ไม่มีขาดตกบกพร่อง แต่อ้นยักคิ้วใส่แล้วหันมาส่งสายตาใสแจ๋วให้พี่ใหญ่
“นะ?”
คนขับแท็กซี่เริ่มมองพวกเขาเซ็ง ๆ
“นะพี่รัน”
ชายหนุ่มถอนหายใจ หันไปบอกลารุ่นน้องอีกสองคนที่ไม่มีปัญหาเท่าเจ้าเด็กใหม่ จากนั้นก็มุดตามเข้าไปนั่งในรถ
“พักที่ไหนครับ?”
“คอนโดฯ ลูกพี่ลูกน้อง”
รถเคลื่อนตัวออกจากจุดเดิมหลังจากอ้นหันไปบอกที่หมายกับคนขับ แสงสียามค่ำคืนวิ่งฉิวผ่านสายตา ครู่ใหญ่เขาจึงคิดได้ว่าควรถามไถ่อะไรบ้างตามประสาคนเป็นพี่รหัส
“ตอนแรกผมคิดว่านายอยู่หอใน”
“ก็ตั้งใจว่างั้น ลงชื่อไว้แล้วอีกต่างหาก”
รัญชน์พยักหน้า ไม่ได้ถามหาเหตุผล แต่อีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“ทีนี้ผมขี้เกียจเข้าออกตามเวลา...ความจริงคือขี้เกียจปีนหอ จะให้ตรงเวลาเป๊ะมันก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ พอดีมีลูกพี่ลูกน้องอยู่คอนโดฯ ใกล้ ๆ ด้วย” หนุ่มรุ่นน้องพยักหน้ากับตัวเอง “นี่เลยปล่อยที่ลงชื่อไว้เฉย ๆ ไม่เคยเอาของเข้าไปเก็บหอเลย รูมเมทคงงงแย่แล้วว่าหายหัวไปไหน”
ว่าจบก็หัวเราะ ชายหนุ่มพยักหน้าอีกครั้ง ฟังน้องรหัสเจื้อยแจ้วไปเรื่อย
“เอาไว้ผมก็ว่าจะแบ่งของไปเก็บบ้างเหมือนกัน สะดวกดี เผื่อแบบฝากไว้ตอนไปเรียนอะไรงี้ แต่คงไม่นอนที่นั่น”
“อืม”
“พี่พูดน้อยนะ”
รัญชน์ไม่ตอบอะไร ฟังอีกฝ่ายเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปตลอดทาง ครู่หนึ่งก็มีคำถามมาให้สะดุด
“พี่สูงเท่าไหร่อะ?”
เขามองหน้าอีกฝ่าย เลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ส่วนสูงเขาออกจะน้อยไปสักหน่อยในสายตาคนรอบข้าง แต่โดนถามตรง ๆ เช่นนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องคาดไม่ถึงเอาการ
“หนึ่งร้อยหกสิบ”
อ้นยิ้มกว้าง เอนหลังพิงเบาะรถท่าทางสบายใจ มองเห็นจากหางตาว่าเอียงใบหน้ามาทางเขา
“พี่มีแฟนยัง”
“...”
“พี่รัน”
“มีคนที่ชอบแล้ว” เขาตอบเรียบ ๆ ตัดรำคาญ ตั้งใจจะจบบทสนทนาอย่างนุ่มนวล
“ตอบไม่ตรงคำถามนี่” อีกฝ่ายทำหน้ามู่ทู่ ขยับเข้ามาใกล้อีกคืบ “ผมไม่ได้อยากรู้ว่าพี่ชอบใครอยู่หรือเปล่า แต่อยากรู้ว่ามีเจ้าของรึยัง”
รัญชน์ปล่อยรุ่นน้องนั่งบ่นหงุงหงิงต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ขัดศรัทธา ชวนคุยอย่างไร้ผลแม้เห็นอยู่ว่าเขาฟังบ้างไม่ฟังบ้าง จนกระทั่งแท็กซี่พาพวกเขามาถึงที่หมาย
“จะลงไปส่งผมไหม?”
เขามองรอยยิ้มกว้างของเด็กหนุ่ม เจ้าตัวดูไม่ใช่คนประเภทจะดูแลตัวเองไม่ได้เลยสักนิด ที่กระเง้ากระงอดขอให้ช่วยตามมาส่งก็เรียกว่าแปลกพออยู่แล้ว
“คงไม่หลงแล้วมั้งครับ?”
อีกฝ่ายยิ้มเผล่ ปราศจากอาการสลดแม้แต่น้อย ชูนิ้วชี้แตะปากตัวเองเบา ๆ แล้วโบกไปมาตรงหน้าเขา “พี่ปฏิเสธแล้ว”
“..?”
“ก่อนหน้านี้ใครจะอะไรก็ไม่ยอมปฏิเสธสักอย่าง”
“มีบ้างครับ”
อ้นไม่เก็บคำค้านของเขามาเป็นประเด็น ยังคงพูดต่อไปเรื่อย “เป็นไทป์ที่จะโดนรังแกนะ”
รัญชน์เพียงแต่รับฟังเงียบ ๆ เรื่องนั้นทำไม่เขาจะไม่รู้
“แต่ไปส่งผมเถอะ”
พูดจบก็หัวเราะร่า รีบชิงจ่ายเงินก่อนแล้วกึ่งดึงกึ่งลากเขาจนลงมายืนอยู่นอกตัวรถด้วยกันทั้งคู่ พักใหญ่ที่เขามัวลังเล ไม่มีทีท่าจะขยับตัวไปไหน และอีกฝ่ายก็ไม่ได้เร่งรัด ยืนรออยู่ด้วยกันเช่นนั้นเป็นนานสองนาน มองดูผู้คนเดินเข้าออกจากอาคารตรงหน้า สายลมเบาหวิวยามค่ำคืนโชยต้องผิว เท้าตรึงอยู่ตรงจุดนั้นราวกับมีอะไรยึดไว้ ก่อนอีกฝ่ายจะทำให้เขาต้องประหลาดใจเป็นครั้งที่สอง ด้วยการก้มลงมากระซิบคำถามที่ไม่คาดคิดว่าจะได้รับ
“พี่รันเป็นเกย์ใช่ไหม?” ใจร่วงไปกองอยู่ที่ตาตุ่ม..คงเป็นความรู้สึกคล้าย ๆ อย่างนั้น
“ใช่จริงด้วย” อ้นยิ้มร่า “คนประเภทเดียวกันมักจะถูกดึงดูดเข้าหากัน ว่างั้นหรือเปล่า?”
ชายหนุ่มเบือนสายตาไปทางอื่น มองไปในความมืดมิดของซอกตึกอีกฝั่ง ผ่อนลมหายใจยาว ครุ่นคิดกับถ้อยคำของรุ่นน้องหนุ่ม
คนประเภทเดียวกันจะถูกดึงดูดเข้าหากันอย่างนั้นหรือ? น่าแปลกที่เขานึกถึงสรัญและคำพูดใกล้เคียงกันของเจ้าตัวเมื่อเช้านี้ มันวนเวียนหลอกหลอนอยู่ในหัวจนไม่มีสมาธิตลอดวัน สลัดอย่างไรก็ไม่หลุดสักที
“ที่ห้องมีเบียร์ด้วย” อีกฝ่ายเปรย ระหว่างเขามัวแต่ใจลอยอย่างโง่ ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ผมไม่ดื่มแอลกอฮอล์”
“อาซาฮี เบา ๆ” อ้นยิ้ม “หรือไม่งั้นไปนั่งเล่นสักพักก็ได้ ผมอยากฟังพี่เล่าเรื่องมหา’ลัย”
โดยไม่รอบคำตอบ เด็กหนุ่มดึงแขนรุ่นพี่ให้เดินตามเข้าไปในตัวอาคาร แต่ยังไม่ทันไปได้ไกล เสียงที่เขาคุ้นยิ่งกว่าคุ้นก็ดังขึ้นจากข้างหลัง
“บอกตั้งแต่แรกแล้วให้มาอยู่ด้วยกันรู้แล้วรู้รอด”
“นี่ก็มาตั้งบ่อยแล้วไง” อีกเสียงบ่นหงุงหงิงเป็นการตอบโต้ “ผมมีรูมเมทต้องดูแล”
“ซาล่ำน่ะนะ”
“ซาราห์” ตามด้วยเสียงหัวเราะร่า “มุกห่วยว่ะเฮียเพี้ยน”
“ไอ้เบื๊อกนี่ก็เส้นตื้น ถ้าโดนกะเทยปล้ำก่อนพี่จะตามไปฆ่ามัน”
“พูดเชี่ยไรวะ”
รัญชน์แทบยืนตัวแข็งเป็นหิน ปลายมือปลายเท้าคล้ายจะหมดความรู้สึกเสียตรงนั้น จุกแน่นในอก ก้าวขาไม่ออกขึ้นมาดื้อ ๆ
หลังบทสนทนาระหว่างสองคนข้างหลังที่เขาไม่กล้าหันไปมองชัด ๆ ก็ตามด้วยเสียงหัวเราะทุ้มต่ำของผู้ชายที่เขาได้แต่เฝ้ามองมาแสนนาน และเป็นความจริงที่ว่าคงทำได้แค่นั้น อย่าว่าแต่คุยเล่นหัวอย่างเมื่อครู่ ปกติสามภพไม่ใช่คนมีอารมณ์ขันขนาดจะพูดจาเรื่อยเปื่อยกับใครไปทั่วเลยด้วยซ้ำ นั่นตอกย้ำความจริงว่าคู่สนทนามีความสำคัญต่ออีกฝ่ายขนาดไหน
“อุ..!” แรงกระแทกเบา ๆ ตรงไหล่ทำให้เขาหลุดจากภวังค์ เหลียวหลังกลับไปมองต้นเหตุจึงได้เห็นว่าเป็นคนที่กำลังทำให้ปัญหากับความคิดของเขานั่นเอง อีกฝ่ายมัวแต่เล่นกับเด็กหนุ่มข้างกายจนถอยหลังมาชนโดยไม่ได้ตั้งใจ
แวบหนึ่งซึ่งสายตาสองคู่สบกัน แค่ชั่ววินาทีเท่านั้น
แต่กลับหนาวไปถึงขั้วหัวใจ คำขอโทษตามมารยาทจากอีกฝ่ายราวกับดังมาจากที่ไกลแสนไกล
ผู้ชายตรงหน้ายังคงเป็นสามภพคนเดิม กับคนอื่นแล้วไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างที่เขาเข้าใจผิดเมื่อครู่ ดวงหน้าคมคายนิ่งสนิท สายตาว่างเปล่า รอยยิ้มและเสียงหัวเราะอย่างที่เพิ่งได้ยินคงมีไว้สำหรับคนเพียงคนเดียว เด็กหนุ่มท่าทางขี้เล่นที่เขาเคยเห็นอยู่ข้าง ๆ สามภพหลายต่อหลายครั้ง คนเดียวกับที่สรัญย้ำให้ฟังบ่อย ๆ ว่าพวกเขารักกัน เขาเคยเจอทั้งสองคนพร้อมกันบ้าง แต่ไม่เคยเห็นอากัปกิริยาเต็มไปด้วยความรักชัดเจนดังคำบอกเช่นนี้มาก่อน
คิมหันต์ ฤดูร้อน...สดใส...เจิดจ้า..
เขานึกอิจฉาเด็กคนนั้นเหลือเกิน ทั้งสองเดินผ่านหน้าเขา หยุดรอลิฟต์อยู่อึดใจหนึ่งจนประตูเปิดออกจึงก้าวขาเข้าไปข้างใน มองหน้ากันเองพร้อมรอยยิ้มเมื่อเห็นว่าไม่มีผู้โดยสารคนอื่นขึ้นอีก ประตูลิฟต์ยังไม่ทันปิดดีก็ขยับเข้าไปใกล้กัน มือเด็กหนุ่มเกาะอยู่บนเอวสามภพ และเจ้าตัวก็ยกแขนคล้องคอคนข้างกายพร้อมกับก้มหน้ามาแทบชิดคล้ายจะกระซิบอะไรบางอย่างซึ่งเขาไม่ได้ยินจากตรงนี้ ถูกกั้นออกจากโลกของคนทั้งสองโดยสมบูรณ์
ประตูปิดลง แทนคำปฏิเสธเรียบง่ายแต่หนักหน่วง เจ็บลึก..ยาวนาน ดึงขาสองข้างของเขาให้จมดิ่งลงในความสิ้นหวัง เจ็บใจตัวเองที่มัวแต่กลัวจนยังไม่ได้พยายามจริงจังสักครั้งจนกระทั่งสายไป
“พี่รัน..พี่!”
“..?”
เสียงเขาแห้งไปหมด แต่ท่าทางที่หันไปทางรุ่นน้องพอบอกให้รู้ว่าได้ยินแล้ว
“รู้จักเขาหรือ?”
ชายหนุ่มโคลงศีรษะ หัวใจบีบเค้นราวกับกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงตอนเห็นทั้งสองคนเกาะกอดกันแนบชิดก่อนประตูลิฟต์จะปิดลงตรงหน้า นึกสงสัยว่าต้องเจ็บปวดอีกสักขนาดไหนจึงชาชินจนไม่ต้องรู้สึกอะไรอีก
“แฟนเก่า?”
อ้นถามซ้ำ แต่เขาหมดเรี่ยวแรงจะอธิบายต่อ ตอบคำถามรุ่นน้องพร้อมกับที่ย้ำตัวเองให้เข้าใจสถานะอย่างถูกต้องเสียที
“..ไม่รู้จักกัน”
‘รักคนที่ไม่ได้รักเรา ไม่คิดว่าโง่หรือ’ ถ้อยคำเสียดแทงของสรัญ ได้ยินชัดเจนในหัวยิ่งกว่าคำพูดของรุ่นน้องที่ยืนอยู่ตรงหน้าเสียอีก
‘ก็แค่พวกขี้แพ้’ เขาเกลียดสรัญที่พูดความจริงนั้นออกมาอย่างแทงใจดำ
พอกับเกลียดตัวเองที่เอาแต่หนีความจริงมาตลอด รัญชน์หลับตาเหนื่อยอ่อน หันหลังกลับ และคิดว่าคงไม่มาส่งรุ่นน้องที่คอนโดฯ นี้อีกแล้ว
“ผมไปก่อน”
“เดี๋ยวสิ!” เด็กหนุ่มร้องห้าม เดินตรงเข้ามาประชิดพร้อมกับจับแขนเขาไว้ “ไหนตกลงกันว่าไปนั่งเล่นห้องผมไง”
“อ้น”
“พี่รัน”
“ปล่อยผมครับ”
เสียงเขาสั่น และดวงตาก็ร้อนผ่าวอย่างน่าประหลาด นี่มันแย่มากทีเดียว
“ทำไมล่ะ?”
“ปล่อย!”
“พี่หนีอะไร” อีกฝ่ายถามเสียงต่ำ จ้องมองเขาอย่างดื้อดึง มือข้างที่จับแขนซ้ายเขาบีบแน่นขึ้นอีก
แต่เขาถนัดขวา “พี่จะแคร์อะไรนักหนากับคนอื่น!?”
และใช่..นั่นทำเขานึกได้ว่าจะแคร์อะไรมากมาย ต่อให้เป็นน้องรหัสก็เถอะ
พลั่ก! ขิมได้เตือนเฟรชชีไว้แล้ว
รุ่นน้องผู้น่าสงสารเป็นคนแรกในรอบสองสามปีมานี้ที่โดนรัญชน์ต่อยเข้าเต็มหน้าด้วยหมัดขวาจนหงายไปด้านหลัง มือที่รั้งอยู่คลายลงในจังหวะที่เจ้าตัวเสียหลักเกือบล้มลงกับพื้น
ท่ามกลางสายตาแตกตื่นของผู้ร่วมเหตุการณ์อีกสองสามคนในบริเวณนั้น รัญชน์วิ่งออกมานอกตัวอาคาร เกือบชนกับแท็กซี่คันหนึ่งซึ่งชะลอลงเพื่อส่งผู้โดยสารตรงหน้าพอดี ชายหนุ่มรีบมุดเข้าไปนั่ง บอกชื่อมหาวิทยาลัยตัวเองกับคนขับซึ่งยังทำหน้าประหลาดใจอยู่นิดหน่อยแต่ก็พยักหน้ารับ จังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น
เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋า หยิบมันขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ลังเลที่จะรับ ได้แต่กดปิดเสียงไปก่อนแล้วจ้องอยู่อีกครู่หนึ่งจึงยอมรับสาย
...คนขี้แพ้อีกคน “อยู่ไหน?” อีกฝ่ายถามเรียบ ๆ
“ข้างนอก”
“จะกลับหรือยัง?”
“กำลัง”
“ร้องไห้หรือ?”
“...”
ราวกับทำนบความอดทนของเขาที่คงอยู่มาตั้งนานได้พังทลายลงในวินาทีนั้น ไหล่เขากระตุกเบา ๆ ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ไม่รู้ว่าน้ำตาที่ร่วงไหลอาบเต็มสองข้างแก้มนั้นมาจากไหน
“ผมอยู่ที่อพาร์ตเมนต์”
“..อือ”
“งานล่าสุดเพิ่งทำเสร็จ แลบรอบนี้หินน่าดู”
บางทีเขาน่าจะตอบอะไรบ้าง แต่ก็ควบคุมเสียงตัวเองได้ยากเย็นเหลือเกิน จึงได้แต่นั่งเงียบ ๆ ฟังที่อีกฝ่ายพูดผ่านโทรศัพท์ ช้า ๆ ทีละคำ เนื้อประโยคขาดช่วงเป็นระยะจนคล้ายจะหายใจไม่ออกเมื่อได้ยิน
“ถ้าไม่บังคับ คุณจะมาไหม?”
สุ้มเสียงเขาทรยศลำคอไปหมดจึงไม่ได้ตอบอะไรสักอย่าง
“รัน”
"..."
“ผมคิดถึงคุณ” รัญชน์ชาไปหมดทั้งตัว โทรศัพท์หลุดจากมือช้า ๆ หล่นลงบนตักโดยยังไม่ได้วางสาย เค้นเสียงออกมายากเย็นเพื่อบอกคนขับว่าอยากขอเปลี่ยนจุดหมายจากที่บอกไว้ตอนแรก
“...อึ้ก!”
จากนั้นก็สะอื้นออกมาเป็นวรรคเป็นเวรไปตลอดทาง- หมดยกที่ 46 –
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
มาต่อแล้วค่าา ตอนนี้คู่สองรันเต็ม ๆ เลย อึน ๆ หน่วง ๆ กลับไม่ได้ไปไม่ถึง เอาจริงก็เป็นพวกอ่อนไหวลึก ๆ กันทั้งคู่เนอะ
มีเฮียเพี้ยนกับอาตี๋โผล่มาให้ริษยาเบา ๆ XD
อนึ่ง แอบใส่ข้อสังเกตให้เล็ก ๆ ค่ะ เพราะว่าสองคนนี้ชื่อเล่นออกเสียงเหมือนกัน แล้วสรัญก็ไม่ยอมเรียกว่าพี่แล้วด้วย เดี๋ยวจะงงว่าบางประโยคใครพูดกันแน่
ถ้าเป็นชื่อรัญชน์ จะพิมพ์ว่า "รัน" (สะกดด้วย น.หนู ซึ่งเป็นชื่อเล่น)
ถ้าเป็นชื่อสรัญ จะพิมพ์เป็น "รัญ" (สะกดด้วย ญ.หญิง ซึ่งกร่อนมาจากชื่อจริง)
ส่วนสรรพนามเวลาสองคนนี้คุยกัน สรัญจะเรียก ผม กับ คุณ
แต่รัญชน์จะเรียก ผม กับ นาย
ลองสังเกตดูได้ค่ะ ชื่อเหมือนกันพาลปวดหัว 555ที่บ้านรัญชน์เป็นค่ายมวยค่ะ เคยแอบแทรกรายละเอียดไว้ครั้งหนึ่งเมื่อหลายตอนที่แล้ว เป็นเหตุผลที่ขิมขู่น้องเล็กว่าระวังโดนต่อย แต่รัญชน์เป็นพวกไม่สู้คน กลัวนั่นกลัวนี่ ยอมเขาไปเรื่อยมาตลอด แล้วปกติก็ไม่ชอบใช้กำลังด้วย
รูมเมทคนที่สี่ของคิมหันต์อยู่นี่เอง
คู่หลักรอยกหน้านะค้า ^o^ รักและคิดถึงคนอ่านเสมอ ขอบคุณที่มาเยี่ยมเยียนค่า ^o^

ตัวละครเริ่มเยอะ พยายามค่อย ๆ ปล่อยนะคะ รอบนี้เพิ่มน้องรหัสรัญชน์มาอีกสอง ขิม (ปี 2) กับอ้น(เฟรชชี่) สำหรับปี 3 ยังไม่พูดถึง เดี๋ยวเยอะไป ฮาา ส่วนอนาวิล(ตั้ม) เพื่อนรัญชน์ที่ได้ออกมาติ๊ดเดียวก่อนหน้านี้นั่นเอง ตัวประกอบอดทนสุด ๆ 555
มีของแถมนิดหน่อยรีพลายถัดไปค่ะ
