● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
ยกที่ 19 – ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ
สามพลยังติดคุยธุระเรื่องงานอะไรสักอย่างกับพ่อและแม่หลังจากเสร็จมื้ออาหาร สามภพได้ยินแว่ว ๆ ก่อนจะเดินออกมาว่าพี่ชายคงไม่กลับบ้านสักสองสามสัปดาห์เพราะต้องเร่งหาข้อมูลเกี่ยวกับคดีความที่กำลังทำอยู่ เขาจะนั่งฟังอยู่ตรงนั้นด้วยเช่นทุกทีย่อมทำได้ แต่ครั้งนี้กลับไม่รู้สึกอยากรับรู้อย่างอื่นเข้ามาให้ตีกับความคิดหมกมุ่นเรื่องเดิมให้วุ่นวายขึ้นไปอีก
สามภพเดินเลี่ยงออกจากตัวบ้าน ขาพาตัวเองมาหยุดอยู่ที่ซุ้มโต๊ะเก้าอี้ทำจากไม้กลางสวนหย่อมที่บิดาใช้เวลาว่างหลังเกษียณปลูกต้นไม้นานาพรรณเอาไว้ ที่ตรงนี้ดูร่มรื่นแม้ในยามบ่าย และหวังว่าอาจช่วยให้สมองเขาปลอดโปร่งขึ้นมาบ้าง
"เฮ่อออ...." ชายหนุ่มย่อตัวลงนั่งบนเก้าอี้พลางถอนหายใจเป็นคนแก่ วางถ้วยขนมลอดช่องที่มารดาคะยั้นคะยอให้ต่อเป็นถ้วยที่สองไว้บนโต๊ะ กวาดตาผ่านกิ่งไม้ ดอก ใบ ลำต้นรอบตัว โดยไม่ได้จดจ่ออยู่กับสิ่งใดเป็นพิเศษ
อาจเป็นด้วยใจลอยไปอยู่ที่อื่นแล้วผ่านไปนานเท่าไรไม่อาจบอกชัดเจนกว่าเขาจะดึงตัวเองขึ้นมาจากภวังค์ มือยกขึ้นเสยผมช้า ๆ ระยะหลังมานี้ดูชีวิตวุ่นวายกับความรู้สึกประหลาดที่ขยันเข้าจู่โจมทุกครั้งที่อยู่คนเดียวเสียเหลือเกิน กลับบ้านเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดีเหมือนกัน อยู่ชานเมืองมีเนื้อที่ให้พักผ่อนในรั้วบ้านตัวเองสักพักค่อยไปลุยงานอ่านหนังสือต่อ มัวประสาทเสียกับอาการประหลาดอันชวนให้สับสนว่ากลายเป็นชาวรักร่วมเพศอยู่ตั้งนาน จนได้ไปลองกอดสรัญและพบว่ามีแต่ความรู้สึกสยองมากกว่าจะรู้สึกดีกลับมาจึงได้โล่ง เจ้าเด็กคิมหันต์ทำเขาตกใจตัวเองแทบแย่
คิมหันต์อีกแล้ว“เมื่อวานพี่ไปหาคิมหันต์มา”
เขาตวัดสายตาไปยังต้นเสียง คนพูดช่างเลือกเวลาจะเอ่ยออกมาได้เหมาะเจาะตอนที่เขากำลังคิดถึงเด็กนั่นอยู่พอดี
ไม่..ไม่ใช่คิดถึง เขาแก้ให้ตัวเองใหม่ แค่นึกถึงเท่านั้น
“.....”
“เขาดูหงอย ๆ” อันนาเล่าต่อขณะที่เดินเข้ามาใกล้
“อือ”
“ไม่รู้สึกอะไรหรือ?”
สามภพเลิกคิ้วเกินจำเป็น เผลอยืดตัวเต็มที่แล้วขยับออกห่างเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติ “ไม่นี่”
อันนาพยักหน้า แม้เธอไม่เชื่อที่เขาพูดสักนิด “คิมบอกด้วยว่าให้ภพเลิกไปยุ่งได้แล้ว”
เขาแน่นหน้าอก หายใจไม่ออกไปชั่วขณะ “แค่นั้น?”
“ใช่ แค่นั้น” เธอยืนยัน ยังเลี่ยงจะบอกเรื่องประมูลออกไปก่อน
ชายหนุ่มถอนหายใจ ต่อจากอาการแน่นก็ตามด้วยความโหวงเหวงอย่างประหลาดซึ่งขยายตัวอยู่ในอก จ้องมองขนมลอดช่องฝีมือมารดาบนโต๊ะซึ่งแทบไม่พร่องไปจากเดิมแม้แต่น้อย น้ำแข็งละลายจนน้ำกะทิเริ่มใสแจ๋วตกตะกอนแต่ก็ยังปล่อยมันไว้เช่นนั้นแล้วเอนหลังพิงเก้าอี้ไม้ วางท้ายทอยพิงบนพนัก ไล่สายตามตามเถาคดเคี้ยวของสร้อยอินทนิลซึ่งเลื้อยหนาทึบเป็นร่มเงาบนซุ้มเหนือศีรษะขึ้นไป ใบเขียวสดแซมดอกสีม่วงอ่อนห้อยระย้าลงมาเป็นม่านไม้แกว่งเบา ๆ ยามต้องสายลม และนั่นมีแต่จะยิ่งทำใจเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว โดยเฉพาะเมื่อได้ยินเสียงผ่านริมฝีปากตัวเองหลังจากนั้น
“ว่าจะไม่ยุ่งแล้ว”
“แต่ก็ไปหาตลอด?” หญิงสาวยิ้มน้อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม เพิ่งได้มีโอกาสคุยกับอีกฝ่ายเพียงลำพังตั้งแต่มาถึงบ้านนี้ เริ่มมื้อเที่ยงกับครอบครัวคนรักจนถึงแยกย้ายเตรียมกลับ ระหว่างนั่งรอสามพลพูดคุยธุระบางอย่างกับพ่อแม่จึงได้ปลีกตัวตามอีกฝ่ายออกมา
“ผมพลาดไปหน่อยที่มัวหาเรื่องกับเด็ก” เขาพึมพำ แม้แต่ตอนที่กำลังพูดเช่นนั้นก็ยังไม่สามารถสลัดเอาความโหวงเหวงออกไปจากอกได้ “...เสียเวลาเปล่า”
“บางที..มันก็ไม่ใช่เรื่องเสียเวลาหรอกถ้าจะชอบใครสักคน”
“??” สามภพขมวดคิ้ว ผงกศีรษะขึ้นมามองหน้าคู่สนทนาซึ่งเพียงแต่ยิ้มกลับมาแล้วพูดต่อนุ่มนวล
“พี่หมายถึงชอบใครสักคน..หรืออะไรสักอย่าง..” เธอว่าพลางยักไหล่ “แค่เปรียบเทียบน่ะ”
“ช่างเถอะ ไม่ต้องพยายามอธิบายหรอก” ชายหนุ่มโบกมือเป็นเชิงว่าไม่ใส่ใจ “พี่เป็นผู้หญิงประหลาด ข้อนั้นผมรู้”
“พูดจาใจร้ายกับสาวน้อยจริง” อันนาเอ่ยเสียงสลดทว่าหน้าตาไม่ได้ไปกับสิ่งที่พูด ยังคงยิ้มหวานอยู่เช่นเคยคล้ายจะบอกว่านั่นไม่ได้กระเทือนเธอสักนิด
“แล้วแผลที่ขา...” เขาถามต่อ แต่แล้วกลับลังเลจนหยุดอยู่แค่นั้นจนอีกฝ่ายต้องส่งเสียงกระตุ้น
“ว่าต่อสิ”
ชายหนุ่มเสมองไปทางอื่น วางสายตาไว้กับอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่สีหน้ารู้ทันของว่าที่พี่สะใภ้ พึมพำใต้ปลายจมูกเบา ๆ ราวกับไม่อยากให้ใครได้ยิน “เด็กนั่นดีขึ้นบ้างหรือยัง?”
“อ้อ..คิมหันต์” เธอพยักหน้าเหมือนเพิ่งเข้าใจ แม้สามภพรู้ดีว่าอย่างอันนาคงรู้เรื่องตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ซึ่งนั่นไม่ดีต่อความรู้สึกภูมิใจในตัวเองของเขาเท่าไรนัก “เห็นยังกะเผลกอยู่แต่ไม่ได้บ่นอะไรนี่”
“ไม่บ่นเลยหรือ?”
“หรือภพอยากให้บ่น”
“เปล่า”
“ที่จริงแล้ว พี่เองก็พลาดเหมือนกัน”
“อืม” เขาไม่ได้สนใจความหมายในถ้อยคำของเธอนัก ทำเพียงแต่นั่งเงียบ ๆ อย่างนั้นแล้วปล่อยเจ้าตัวพูดต่อหากอยากจะบอกอะไรออกมาเอง ซึ่งก็เป็นจริงดังคาด อันนาเริ่มขยายความเมื่อเห็นว่าเขาไม่ขัด
“ปิ่นหยกไม่ได้เลวร้ายนักหรอก เป็นเด็กดีทีเดียว”
“ปิ่นหยก?”
“คนที่บอกว่าเป็นแฟนน้องชายพี่ไง” เธอหยุดไปครู่หนึ่งคล้ายรอให้เขารื้อฟื้นความทรงจำ “ลืมแล้วหรือ?”
“อ้อ” สามภพพยักหน้าแต่ไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดนัก เกือบลืมเด็กคนนั้นไปอีกแล้ว เหมือนความจำของเขาจะมีไว้สำหรับสิ่งที่ตัวเองสนใจเท่านั้น
“สนแต่เพื่อนหัวทองเขาสินะ”
ใช่..ความทรงจำของเขามีไว้สำหรับสิ่งที่สนใจเท่านั้นไร้เสียงตอบรับ ชายหนุ่มได้แต่นั่งยุกยิกอยู่ไม่สุข และเธอหัวเราะชอบใจเพราะรู้สึกว่าตัวเองเดาถูก
“พี่ไม่ก้าวก่ายหรอก ถ้าภพไม่อยากยุ่งกับเขา ไม่ต้องไปตามแล้วก็ได้” หญิงสาวเอานิ้วม้วนผมตัวเองไปมา ยกขาขึ้นมานั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ด้วยท่วงท่าสบายใจ “ถึงแม้พี่จะจำได้ที่เคยตกลงกับภพก่อนหน้านี้แล้วว่าขอความช่วยเหลือแค่ครั้งเดียวพอก็เถอะ”
ชายหนุ่มปรายตามองคนพูด แม้หงุดหงิดอยู่ในทีแต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเป็นเช่นนั้นจริง แค่ครั้งเดียว อันนากล่าวไว้ ที่เหลือเป็นเรื่องระหว่างเขาและคิมหันต์เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับอาทิตย์ ไม่เกี่ยวกับปิ่นหยก ไม่เกี่ยวกับสรัญ อันนา หรือใครทั้งสิ้น
“ส่วนครั้งสี่สอง...สาม...หรืออะไรหลังจากนั้น” เธอยิ้มหวาน กระซิบเบา ๆ พอให้ได้ยินกันสองคนแม้ว่าถึงพูดเสียงดังก็ไม่มีใครอื่นร่วมฟังอยู่ดี “จะเพราะตามเสียงหัวใจหรือเปล่าอันนี้พี่ไม่รู้"
“พี่อัน!” เขาเผลอร้องเสียงหลง แม้คำว่า
‘เสียงหลง’ ไม่ควรนำมาใช้อธิบายวิธีพูดในยามปกติของคนอย่างสามภพได้เลย นั่นบอกให้รู้ว่าตอนนี้เขา
‘ไม่ปกติ’ แล้วในบางความหมาย
“ล้อเล่นน่า” อันนาลุกขึ้นยืน ยังคงรอยยิ้มงดงามไว้บนริมฝีปากเช่นเคย แต่สายตานั้นไม่ได้บอกว่าล้อเล่นอย่างวาจาแม้แต่น้อย “แค่ให้ลองทบทวนแล้วก็ซื่อสัตย์กับตัวเองดู เผื่อจะตอบอะไรที่สงสัยได้บ้าง”
“พี่จะรู้ดีกว่าตัวผมเองได้ไง”
เธอยิ้ม แม้อยากโดดเตะอีกแล้ว คุยกับหนุ่ม ๆ พวกนี้เล่นเอาความเป็นกุลสตรีในตัวที่คุณแม่อุตส่าห์ปลูกฝังไว้เมื่อสมัยเด็กเริ่มร่อยหรอ หญิงสาวยักไหล่ ยักคิ้วกวนประสาทล้อเลียนอย่างที่พวกเขามักทำ “พี่ไม่รู้ดีไปกว่าภพหรอก เลยให้ไปคิดเองไง”
“.....”
เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกอับจนด้วยคำพูด“แต่ขอนะเรื่องทำร้ายร่างกาย เห็นแผลเต็มแข้งขาน้องแล้วใจหายวาบเลย ยังไงเขาก็เป็นน้องชายเพื่อนพี่ ยัยสิรู้เข้าคงตกใจ”
“....ผม..” ชายหนุ่มเสียงอ่อนลง และเพิ่งนึกได้ว่าเขายังไม่ได้บอกขอโทษสักคำ “..ไม่ได้ตั้งใจ”
“บอกอะไรพี่ล่ะ?” อันนาโบกไม้โบกมือผ่านหน้าคนที่ดูเหมือนจิตใจจะลอยไปที่อื่นเสียแล้ว “อาจมีคนอื่นอยากฟังก็ได้...ถึงเขาจะบอกว่าไม่อยาก”
“ก็หวังว่าอย่างนั้น”
หญิงสาวยิ้ม ท่าทีอีกฝ่ายหากเดาไม่ผิดมันตกหลุมรักชัด ๆ แม้ไม่ใช่เรื่องของเธอโดยตรง แต่ถึงขั้นพ่อและแม่ยังแสดงท่าทีแปลกใจว่าลูกชายตัวเองเป็นอะไรไปหรือเปล่าคงเรียกแย่แล้ว สามภพเงียบกว่าปกติราวกับไม่มีคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ซึ่งเจ้าตัวจับจองอยู่ระหว่างมื้ออาหารไม่น่าใช่เรื่องดีแน่ แม้ทุกครั้งชายหนุ่มก็ไม่ใช่พวกช่างจ้อ แต่อาการใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว การมีอยู่บางเบาแทบกลืนหายไปกับอากาศธาตุนั้นชวนให้ญาติผู้ใหญ่กังวลไม่น้อยทีเดียว
"ลองดูสิ ยังมีเวลาอีกตั้งวันเต็ม ๆ หมื่นหนึ่งมันแพงเสียด้วย"
เธอแอบหยอดเบา ๆ สามภพอาจว่าแส่ไม่เข้าเรื่องก็ได้ แต่ให้ดูอยู่อย่างเดียวมันช่างน่าหงุดหงิดใจเสียจริง หากที่พูดไปสะกิดให้อีกฝ่ายกลับไปคิดทบทวนกับตัวเองดี ๆ ว่าต้องมางุ่นง่านเช่นนี้เพราะสาเหตุอะไรแล้วเลือกสักทางว่าจะทำอย่างไรกับชีวิต คงดีกับคนรอบข้างที่คอยเป็นห่วงไปด้วย อย่างน้อยก็รู้ว่าควรเดินหน้าลุยต่อหรือหยุดไว้แค่นั้นเพื่อหันหลังกลับ ค้างคาเช่นนี้พาลจะอึดอัดตายไปกันหมด
“อัน รอนานไหม?” ลูกชายคนโตของบ้านเอ่ยทักเรียกให้เจ้าของชื่อหันไปตามเสียง
“พี่พล”
“พอดีคุยติดลมไปหน่อย” สามพลพูดต่อก่อนตัวจะตามมาถึง ร่างสูงในเสื้อผ้าภูมิฐานก้าวขาตรงมาทางพวกเขาพร้อมกับขยับเนคไทให้เรียบร้อย พอเดินมาหยุดตรงหน้า อันนาก็เป็นฝ่ายช่วยจัดให้ต่อ “แต่เดี๋ยวพี่ต้องไปธุระ”
หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงัก ยิ้มกว้างเป็นเด็ก ๆ อย่างที่ทำน้อยครั้งต่อหน้าคนอื่น
“แต่ก่อนอื่นไปส่งอันที่หอก่อน” ชายหนุ่มชี้แจงกับเธอแล้วหันไปทางอีกคน “ภพล่ะ กลับเลยหรือเปล่า? อย่าลืมไปบอกพ่อกับแม่”
เจ้าของชื่อพยักหน้าขณะที่มือใหญ่ของพี่ชายตบเบา ๆ บนไหล่
“เป็นอะไร กลับบ้านรอบนี้ดูแปลก ๆ” สามพลหรี่ตา จ้องมองใบหน้าเฉยชาของน้องชายราวกับจะหาร่องรอยหลักฐานสักอย่างบนนั้น “พ่อเป็นห่วง แต่แม่บอกสงสัยมีความรัก” ว่าแล้วก็หัวเราะออกมากับมุมมองคนละแบบของฝ่ายพ่อและแม่ แต่คนถูกแซวกลับหัวเราะไม่ออก
เห็นว่าไร้เสียงรับมุกชายหนุ่มจึงเลิกเซ้าซี้ ไม่ใช่นิสัยเขาจะมาจู้จี้กับเรื่องหยุมหยิม สามภพโตแล้ว แม้ยังเรียนอยู่แต่คงจัดการตัวเองได้ในระดับหนึ่ง ส่วนเรื่องที่เกินกำลังหากมีอะไรช่วยได้ก็ยินดี “หรือเดือนนี้เงินไม่พอ? มีค่าใช้จ่ายอะไรหรือเปล่า”
“ก็พออยู่” เขาพึมพำ พูดต่อในใจว่าถ้าใช้อย่างประหยัดสักหน่อย หากจำเป็นจริง ๆ ก็ยังมีเงินเก็บส่วนของตัวเองอยู่บ้าง การที่สามพลไม่ได้บ่นอะไรต่อแสดงว่าคงยังไม่รู้เรื่องเงินหมื่นซึ่งเขาเอาไปโยนทิ้งกับงานประมูล โชคดีที่อย่างน้อยอันนาก็เคารพสิทธิส่วนบุคคลเขาพอสมควร
“ขาดเหลือหรือกังวลเรื่องอะไรก็บอกได้” อีกฝ่ายพยักหน้าเออออกับคำพูดตัวเอง แม้ประโยคหลังจะฟังแล้วขัดแย้งกันพิกล “แต่ช่วงนี้พี่ยุ่งเรื่องงานคงไม่มีเวลาเท่าไหร่”
“ตามสบาย”
“อย่าทำเรื่องวุ่นเหมือนตอนซิ่วออกมาไม่ปรึกษาพ่อแม่ล่ะ” สามพลกำชับก่อนจะบอกลาน้องชายซึ่งได้แต่พยักหน้ารับอย่างขอไปที มองตามชายหนุ่มและแฟนสาวเดินกลับไปลาบุพการีซึ่งมายืนรอส่งอยู่หน้าบ้านอีกครั้ง
“ทำเรื่องวุ่นอะไรกัน” เขาพึมพำ รอจนเสียงเครื่องยนต์จากรถเบาลงจนเงียบหายจึงแหงนหน้าวางศีรษะไว้บนพนักพิงเช่นเดิม ตั้งใจจะนั่งสงบ ๆ อีกสักพักค่อยกลับคอนโด ปลอบใจตัวเองว่ายุ่งกับเด็กคนเดียวจะวุ่นวายสักแค่ไหนเชียว แต่ผลคือเผลอหลับไปเสียตรงนั้น
หลับทั้งที่ยังมีแต่เรื่องของเด็กคนเดียวซึ่งยังไม่รู้จะวุ่นวายสักแค่ไหนอยู่เต็มหัวนั่นเอง...............................................
........................
.
.
.
.
ผ่านไปอีกวัน..สองวัน....สามวัน...
แล้วมันกลับมาประเด็นนี้อีกแล้วได้อย่างไร?สามภพยกมือลูบหน้าลูบตาหงุดหงิด พยายามไม่ฟังสรัญที่พร่ำบ่นอะไรซ้ำไปมาเรื่องน้องคิม ๆ อยู่นานแล้ว ไม่ว่าจะที่บ้านหรือที่มหาวิทยาลัยก็ต้องมีคนเอาเรื่องของเด็กคนนี้ขึ้นมาเป็นประเด็นในบทสนทนาอยู่ตลอด ให้ตายเถอะ!
“ไอ้ภพ”
“เออ!”
“แกอาจจะไม่ได้ที่ฉันพูดฟังช่วงแรก ๆ แต่ตอนนี้ประเด็นสำคัญแล้ว ฟัง!”
“มีอะไรรีบว่ามา ต้องปั่นงานอื่นอีก”
“ฉันรู้แล้วน้องมันอยู่โรงเรียนไหน" สรัญยิ้มเผล่ "มีคนเห็นแกกับน้องคิมที่งานโรงเรียนเมื่ออาทิตย์ก่อน”
“.....”
เขาเงยหน้า และติดจะเหวออยู่นิดหน่อย
“แล้วถ้าแกยืนยันว่าไม่เอา ฉันจะจีบ” สรัญเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง แย่งสมุดซึ่งเขากำลังลอกเลคเชอร์คาบที่เผลอหลับ(ไม่ก็เหม่อ)มือเป็นระวิง เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองจะได้รับความสนใจอย่างที่ต้องการ “ไม่งั้นก็หาเหตุผลดี ๆ ที่ฟังขึ้นมาอธิบายหน่อยว่าทำไมคนนี้ถึงไม่ได้”
สามภพพ่นลมหายใจฟึดฟัด นึกหงุดหงิดขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าสรัญได้ข้อมูลเพิ่มอีกแล้วจากที่ไหนสักแห่ง
“เพราะแกเมียเยอะแล้ว” เขาเถียงข้าง ๆ คู ๆ
“นั่นฟังไม่ขึ้นว้อย!”
“เพราะ...” เขาเงียบ กำลังคิดอยู่กว่าเพราะอะไรดี
“เพราะแกชอบน้องมัน?” สรัญพยายามช่วยด้วยเจตนาไ่ม่บริสุทธิ์
“ไอ้เพ้อ!”
“เลยจะเก็บไว้แทะโลมคนเดียว”
“ควาย!”
“และกำลังเขิน”
“บ้านมึงสิ!”“ไอ้เชี่ย! มึงหน้าแดง!” สรัญสวนกลับ ลุกขึ้นไปยืนหลังเก้าอี้เหมือนจะใช้เป็นบังเกอร์พร้อมกับชี้หน้าเขาไปด้วย “กูล้อเล่นแต่มึงเขินจริงด้วย!”
“แสรด! กูไม่ได้เขิน!”
“มึงเขิน!” อีกฝ่ายยืนกรานพร้อมชี้หน้าเขากลับ ทำท่าคล้ายอยากจะหัวเราะออกมาเต็มแก่ “ใจสั่นอยู่ใช่ไหมตอนนี้ หวิว ๆ ด้วยเปล่า!? หรือว่าร้อนวูบวาบทั้งตัว มาขอกอดกูที่แท้ก็เป็นแบบเดียวกับกูนี่หว่า!”
“เชี่ยรัญ! กูไม่ได้ชอบผู้ชาย!” เขาเถียง พยายามลดเสียงเป็นกระซิบด้วยกลัวคนอื่นมาได้ยิน “กอดมึงไม่ได้รู้สึกอะไรสักนิด!”
“แล้วมากอดกูทำไมสัด” สรัญหัวเราะลั่น ผลักศีรษะเขาไปมาประหนึ่งเอ็นดูเต็มแก่ก่อนจะโดนถีบจนเซไปด้านข้างแต่ยังไม่วายยั่วโมโหต่อ “หรือสงสัยว่ากอดกูแล้วเหมือนกอดน้องหรือเปล่า”
สามภพถึงกับสะอึก ใจเต้นโครมครามจนน่ากลัวว่าจะได้ยินไปถึงคนอื่น
“ไอ้ภพ?”
“........”
“ภพนี่มึง...”“เรียกหาพ่อง!”
“อย่ามาทำด่ากลบเกลื่อน!” สรัญกระโจนกลับมานั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมพร้อมกับโน้มตัวมาทางเขามากขึ้น แสดงอาการอยากรู้อยากเห็นเต็มที่ไม่มีปกปิด “เมื่อกี้กูล้อเล่น แต่หน้าอย่างมึงนี่กอดน้องแล้วจริง ๆ เหรอวะ!”
“เสือก!” เขาชม แต่สรัญไม่สน
“แล้วเป็นไง?” นัยน์ตาดำขลับของหนุ่มผิวแทนวิบวับเป็นประกายราวเสือหิวจ้องตะครุบเหยื่อยามพูดถึงคิมหันต์ ยังคงเล็งไปที่เป้าหมายเดิมไม่สั่นคลอน ว่าเสือกก็เสือกแล้วตอนนี้ “น้องตัวนิ่มปะ? แล้วได้จูบยัง?”
“เอานิ้วโป้งตีนคิดเหรอวะไอ้หื่น!”
“เออ กูหื่น” สรัญหัวเราะชอบใจ ด่าอะไรก็ไม่สะกิดผิวสักอย่าง “แต่มึงอะ ไร้น้ำยา”
“กูเก็บน้ำยาไว้เฉพาะกับคนที่ชอบ” เขาโต้ พยายามจบประเด็นด้วยการดึงสมุดเลคเชอร์กลับมาแล้วฟาดกะโหลกเพื่อนปากมากไปแรง ๆ หนึ่งที
“มึงชอบแต่ยังไม่ได้กระทั่งจูบนี่ไงกูถึงบอกว่าไร้น้ำยา”
“ไม่ได้ชอบว้อย!”“แต่มึงเขินตอนพูดถึงน้อง! หลายครั้งแล้วแม่ง!” ชายหนุ่มเอานิ้วชี้กระแทกหน้าผากเพื่อนปากหนักแรง ๆ อย่างเหลืออดเหลือทน “ถ้าไม่ได้น่ารักน่าฟัดก็อย่ามาทำตัวเป็นหนุ่มซึน! กูสยอง! มึงอาจไม่ชอบผู้ชายทุกคนก็ได้แต่มึงชอบน้องคิม เซ้นส์กูบอก!!”
สามภพสะดุ้ง โลกที่สรัญพยายามลากเขาเข้าร่วมจะน่าขนลุกเกินไปแล้ว ได้แต่ส่ายหน้าวิตกจริตแล้วก้มลงไปงมกับงานของตัวเองต่อ “มึงอย่าเอาตรรกะสีม่วงมาใช้ กูไม่ชอบอะไรฉูดฉาด”
“โอเคครับ” อีกฝ่ายถอยออกไปนั่งกอดอก นิ่งไปอีกครู่ใหญ่จนสามภพถึงกับกล้าคาดหวังว่าคงจบเรื่องได้เสียที “งั้นไม่ถามแล้ว”
“ก็ดี”
“เย็นนี้ว่าง” สรัญว่าพลางกระดิกเท้า กลับมาใช้สรรพนามสามัญชนอีกครั้ง “เดี๋ยวฉันไปหาน้องคิมที่โรงเรียน”
สามภพวางปากกาลงฉับพลัน เงยหน้าขึ้นมองรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนริมฝีปากอีกฝ่าย ได้รับคำท้าทายด้วยการยักคิ้วกลับมาเมื่อเห็นเขาทำตาขวางใส่ขณะที่ยังพยายามคงน้ำเสียงให้เป็นปกติ “ไปทำอะไร?”
“เสือก!” อีกฝ่ายสวนคำเดียวกับเขาเมื่อครู่มาได้อย่างเจ็บแสบ
“ไอ้รัญ!”“ภพ..ฉันว่าแกอาการหนักแล้วนะ” อีกฝ่ายเอ่ยหน้าเครียด แจกแจงจริงจังประหนึ่งเรื่องที่พูดเป็นวาระแห่งชาติ “เด็กตัวเองหรือก็เปล่า เพื่อนจะเอาก็ไม่ให้ ทำตัวเป็นเงาะโรงเรียนไปได้”
“เกี่ยวอะไรกับเงาะโรงเรียน!?”
“ไม่รู้”
“ควาย! ไม่รู้แล้วเสือกยกตัวอย่างทำไม!?”
“ก็เหมือนแกบอกไม่ได้จีบน้องแล้วมาห้ามฉัน” สรัญยักไหล่ “ไม่มีเหตุผล”
สามภพกุมขมับ รู้สึกใกล้บ้าเต็มที อีกนิดเดียวพรุ่งนี้เช้ามีพาดหัวข่าวนักศึกษาทันตแพทย์บันดาลโทสะกระทืบเพื่อนเกย์ร่างบึกเป็นแน่ เหตุผลอะไรเขาเองก็ไม่รู้(อาจกลัวที่จะรู้) แต่ว่าหวง หวงมากด้วย “พูดไม่รู้เรื่อง บอกแล้วไงไม่อนุญาต”
“ฟังนะ แกต่างหากที่คุยไม่รู้เรื่องเป็นเด็ก” สรัญถอนใจ ท่าทางใกล้หมดความอดทนกับเขาเต็มที เหมือนที่เขาก็เริ่มหมดความอดทน(ทั้งกับตัวเองและสรัญ)เช่นกัน “มีเหตุผลหน่อยพวก ถ้าบอกสักคำว่าแกชอบน้องฉันจะหลีกทางให้เลยแบบหล่อ ๆ ในฐานะที่แกมาก่อนและเราคบเป็นเพื่อนกันมานาน”
“ฉันบอกหรือว่าคบเป็นเพื่อนกับแก?”
“เชี่ยภพ!” เพื่อนผิวแทนพยายามเอาเท็กซ์บุ๊คหนาพอกับสมุดหน้าเหลืองฟาดเขาป้าบใหญ่แต่พลาด ได้แต่ส่งคำอาฆาตอย่างเหลืออด “เดี๋ยวจับส่งให้ตุ๊ดปล้ำเลยควายนี่! หน้างี้ยิ่งเป็นที่ต้องการของตลาดมืด”
“ไอ้เวร! แม่งขนลุก”
“แต่ถ้าไม่ได้ชอบน้องมัน” สรัญเริ่มพูดต่อ กลับเข้าสู่โหมดจริงจังอีกครั้ง “แกก็ควรหลีกทางปะวะ”
สามภพชะงัก นั่งจ้องกระดาษที่เต็มไปด้วยลายมือยุ่งเหยิง ในกระดาษนั้นไม่มีคำตอบของสิ่งที่เขาสงสัย และอาจจริงอย่างอันนาบอก ใครจะรู้ดีเท่าตัวเขาเอง ใช่ว่าหลังคุยกับอันนาแล้วจะไม่ได้คิดอะไรเลย ต้องเรียกว่าหยุดคิดไม่ได้แม้แต่น้อยจะดีกว่า ทำไมต้องคอยวนเวียนอยู่กับเรื่องคนเพียงคนเดียว โดดเรียนไปหา เสียเงินประมูลจนแทบเหลือแต่แกลบให้กินไปถึงสิ้นเดือน ทั้งหมดเป็นสิ่งที่เข้าใจไม่ยาก แต่จุดที่ลำบากที่สุดคือยอมรับกับตัวเองให้ได้ต่างหาก
“ฉันว่า...ฉัน..............มัน...”ชายหนุ่มพึมพำแผ่วเบาจนแทบกลืนหายไปกับเสียงกระดาษพลิกเมื่อลมพัด แน่นอนว่าสรัญฟังไม่รู้เรื่องเลย
“ว่าไงนะ?”
“...ฉัน..........น้องมัน...”“ภพ!" สรัญขัด "มึงอย่าใช้ภาษาหนอนแก้ว กูฟังไม่รู้เรื่อง”
สามภพสูดลมหายใจ โยนสมุดเลคเชอร์ทิ้งแล้วลุกพรวดพราดขึ้นมายืนท่าทางราวกับจะล้มโต๊ะ
“กูบอกว่ากูจะเผาเท็กซ์บุ๊คและเลคเชอร์ทั้งปีของมึงทิ้ง!!”“ห๊ะ!?” สรัญทำตาเหลือก โกยหนังสือหนังหาของตัวเองที่ยังต้องใช้อ่านสอบเข้ามาไว้ในอ้อมอกประหนึ่งเป็นลูกน้อยหอยสังข์ขณะที่สามภพพูดต่อแบบเบรคแตก
“รวมทั้งไอ้ข้อสอบเก่าทั้งลังที่จะให้น้องรหัสปีหน้าด้วย ถ้ามึงกล้าไปแหยมกับคิมหันต์”หนุ่มผิวแทนเผลอพยักหน้าหงึกหงักกับความจริงอีกข้อที่เพิ่งรู้ อ้อ..ที่แท้ชื่อจริงว่าคิมหันต์ รูปงามนามเพราะ เยี่ยมเลย แต่ตอนนี้เป็นเวลาเรียกร้องสิทธิ “แม่งพาล เรื่องอะไรมาเผาของกู!?”
สามภพจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ยอมจำนนด้วยหลักฐานเป็นเสียงหัวใจซึ่งดูจะแหกปากตะโกนความรู้สึกให้สมองรับรู้จนต้องยอมปริปาก แม้แต่ตอนพูดใบหน้าคมคายซึ่งขึ้นสีแดงจัดก็ยังแยกลำบากด้วยสายตาคนนอกว่าเป็นอารมณ์โกรธหรือเขิน
“เพราะกูชอบมัน!”แต่สรัญฟันธงว่าเขิน- หมดยกที่ 19 -
============================
เขียนเสะซึนแล้วเหนื่อยแฮ่ก ๆ *ปาตุ๊กตาจิ้งจอกใส่เฮีย* XD
ตอนนี้พี่ภพเข้าใจ(ตัวเอง)ตรงกับคนอ่านแล้วค่ะ
//ปาเข้าไปสิบเก้าตอนแล้วพ่อเอ๊ยยยยยย เป็นอีตาลูกเจี๊ยบนี่ลวนลามไปถึงไหนต่อไหนแล้ว 5555
ขอบคุณคนอ่านผู้น่ารักค่ะ ฟัด ๆ ๆ ๆ >w<

พบกันตอนหน้า ของแถมรีพลายถัดไปเช่นเคยยยยย