● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
ยกที่ 11 – หน้าหมา หนวดแมว
“ความรักก็เหมือนกับ ‘เป่ายิงฉุบ’
ค้อน กรรไกร กระดาษ
อาจไม่ได้อยู่ที่ใครเก่งกว่า แต่เป็นแบบไหนที่แพ้ทางกัน”
- สามภพและคิมหันต์ไม่ได้กล่าวไว้ -
“อ้าวเฮ่ย!” ใช่แล้ว..คิมหันต์มีโอกาสพูดได้แค่นั้น “ครีม” คราวนี้แหละพี่สาวที่รักตัวจริงเสียงจริง “รอตั้งนาน”
“นั่งเพลินไปหน่อย แต่โทรบอกแล้วไงว่ากลับช้า” เด็กหนุ่มเกาท้ายทอย เดินผ่านโต๊ะอาหารแล้วโฉบหมูทอดจากในจานใส่ปากเคี้ยวหงุบหงับก่อนจะได้รับเสียงดุกลับมา
“ล้างมือก่อนสิ!”
สามภพยืนส่ายหน้าอยู่ไม่ไกล มองตามร่างโปร่งของเด็กหนุ่มที่กระโจนแผล็วไปยังอ่างล้างจาน เอามือถู ๆ พอเป็นพิธีดูไม่ออกว่ามันสะอาดขึ้นตรงไหนก่อนจะถลากลับมานั่งแหมะรอกินอยู่ที่โต๊ะอาหาร ความเร็วตั้งแต่ต้นจนจบขั้นตอนเหล่านั้นเรียกว่าน่าประทับใจทีเดียว มิน่าเวลามีเรื่องอะไรถึงได้หลบหลีกไวนัก
“ครีม มาช่วยเจ้ยกจานก่อน”
คิมหันต์นั่งกระดิกเท้าอยู่บนเก้าอี้ หยิบหมูทอดโยนเข้าปากอีกชิ้น “ไปไม่ได้อะ ผมรากงอกแล้ว”
“ครีม!”
“เดี๋ยวผมช่วย” ผู้มาเยือนหนุ่มแทรกขึ้นมา เล่นเอาคิมหันต์ออกอาการเหวอ ซึ่งเจ้าตัวจะไม่มีวันยอมรับกับตัวเองเลยว่ากำลังแสดงสีหน้าเช่นนั้นอยู่ เด็กหนุ่มขมวดคิ้วใส่แผ่นหลังกว้างของคนซึ่งเดินเข้าไปหาพี่สาวเขาตรงเคาน์เตอร์เตรียมอาหาร ก้ม ๆ เงย ๆ ถามหาที่เก็บจานช้อนอย่างกับสนิทสนมกันมาตั้งแต่สมัยไหนเพียงแค่กลับบ้าน(บ้านเขาอีกต่างหาก)ก่อนกันนิดหน่อยเท่านั้นเอง
“ไม่ต้อง ๆ” เด็กหนุ่มลุกพรวดพราดจากเก้าอี้ วิ่งฉิวเข้าไปเบียดให้ชายหนุ่มออกไปยืนห่างพี่สาวพลางส่งสำเนียงรังเกียจเดียดฉันท์ “คนนอกอย่ามายุ่ง” รู้ดีว่าอีกฝ่ายน่าจะมีความเกรงใจผู้หญิงซึ่งเป็นผู้ใหญ่กว่าแล้วยังเป็นเจ้าบ้านจนไม่น่ากล้าหาเรื่องเขากลับ
วัสสานะเหลือบมองน้องชายพลางถอนหายใจเหนื่อยหน่าย “ไหนว่ารากงอก”
“แบบ..แค่รากฝอย” พ่อน้องชายตัวแสบยักไหล่ หยิบจานและช้อนส้อมขึ้นมาสองชุดแล้วจัดการตักข้าวใส่ลงไป “ถอนง่าย ไม่ใช่รากแก้ว”
สามภพอาศัยช่วงที่วัสสานะกำลังก้มหน้าก้มตาอยู่กับหม้อแกงจืดผลักหัวทอง ๆ ของคนตรงหน้าคะมำไปทีหนึ่ง เรียกให้เจ้าตัวหันมาจ้องตาเขียวหลังจากกลับมาทรงตัวได้เป็นปกติ บ่นขมุบขมิบไร้เสียงลับหลังพี่ใหญ่แต่อ่านปากได้ว่า “ไอ้เชี่ยพี่ภพ!” แล้วเดินถือจานตรงกลับไปที่โต๊ะอาหารโดยไม่ลืมแวะเอาไหล่กระแทกต้นแขนอีกฝ่าย(เพราะกระแทกไหล่สามภพไม่ถึง) ไม่ได้เจียมแม้แต่น้อยว่าชนไปก็มีแต่ตัวเองที่จะเซกลับมาด้วยขนาดร่างกายซึ่งต่างกันคนละเบอร์
ชายหนุ่มกลอกตา หลุดเสียงพ่นลมซึ่งโดยเนื้อแท้แล้วเป็นเสียงหัวเราะแต่พยายามทำออกมาให้ดูเหมือนถอนหายใจ ก่อนจะเดินกลับไปหาหญิงสาวเจ้าบ้านอีกครั้ง “มีอะไรให้ผมช่วยยกอีกไหม?”
“ไม่มีแล้ว ภพไปนั่งรอที่โต๊ะเถอะ” วัสสานะว่าพลางตักแกงจืดใส่ถ้วย พอหันหลังกลับเตรียมจะเดินไปร่วมวงอีกคนจึงได้เห็นว่าบนโต๊ะอาหารมีจานช้อนสำหรับสองคนเท่านั้นซึ่งคิมหันต์ถือไป ทั้งที่วันนี้มีคนอยู่สามแท้ ๆ
“ครีม” หญิงสาวขมวดคิ้ว “ทำไมเตรียมจานแค่สองชุด แล้วของพี่ภพล่ะ?”
คิมหันต์ทำหูทวนลม
“ครีม”
“คราวนี้รากแก้ว” เด็กหนุ่มบ่นลอย ๆ
วัสสานะเสยผม มีน้องชายกวนประสาทช่างเป็นเวรเป็นกรรม “ไหนว่าสนิทกันมากมาย ข้าวปลาไม่ยอมดูแลพี่เขาเลย” เธอบ่นพลางเดินย้อนกลับไปเตรียมจานช้อนให้อีกชุด ปล่อยสองคนที่เหลือนั่งจ้องหน้ากันจะเป็นจะตายพร้อมกับถ้อยคำงึมงำของคิมหันต์ว่าไปบอกสนิทกันตอนไหน (อ้อ..ตอนโกหกไฟแลบครั้งก่อน) จ้องถึงพริกถึงขิงขนาดนี้ถ้าเป็นปลากัดอาจได้มีใครสักคนตั้งท้องไปแล้ว
“..ทำเจ้ใหญ่ลำบาก” คิมหันต์ยังคงบ่นลอยกับลมฟ้าอากาศต่อเนื่อง “ชวนกินข้าวบ้านรึก็เปล่า หน้าด้านจริง ๆ”
“พี่สาชวนกิน” สามภพเอ่ยลอย ๆ บ้าง หันไปมองทุกอย่างรอบตัวยกเว้นไอ้เด็กแสบหัวทองที่เริ่มขมวดคิ้วหน้ายุ่ง “ไม่รู้เรื่องอย่าทำปากดี”
“แล้วนี่มาทำไม อย่าบอกว่าเอาแค่จุกยางมาคืน” เด็กหนุ่มยกแก้วน้ำส้มขึ้นมาแกว่ง แน่นอนว่าคราวนี้เป็นน้ำส้มแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้ผสมอย่างอื่นไว้ “เราไม่มีเรื่องอะไรกันแล้วเปล่าวะ”
“......”
สามภพไม่ตอบ...ด้วยเขาเองก็ไม่แน่ใจนัก.
.
.
.
.
กินไปลอบเขม่นกันไปช่างสิ้นเปลืองพลังงานจนเจริญอาหารเหลือเชื่อ ขนาดคิมหันต์ฟาดเค้กแล้วชิ้นหนึ่งเมื่อตอนเย็นยังกลับมากินข้าวเบิ้ลสองจานพูน ๆ ต่อได้อีก ส่วนสามภพทำแฮตทริกสามจานติด ซึ่งเด็กหนุ่มเห็นแล้วอดหมั่นไส้ไม่ทราบสาเหตุขึ้นมาไม่ได้
ความจริงสาเหตุมีคือแข่งกันกินอยู่เงียบ ๆ ในที แต่ทั้งคิมหันต์และสามภพคงคิดว่าไม่ต้องไปรู้มันจะดีกว่า
“ผมเอาอีกจาน” เด็กหนุ่มโพล่งขึ้นมาหลังจากยัดข้าวคำสุดท้ายเข้าปากไปได้ด้วยอาการผะอืดผะอมเต็มกลืน “ยังไม่อิ่ม”
อา...ขึ้นมาถึงคอแล้ว นี่มันโคตรอิ่มเลยต่างหาก“ข้าวหมดหม้อแล้ว ยังไม่พออีกหรือ?”
‘หมดเสียที!’ นั่นเป็นเสียงตะโกนจากก้นบึ้งของจิตใจ ขณะที่สีหน้ายังไว้เชิง หันไปยักคิ้วกับสามภพพร้อมกับยักไหล่ไปด้วยเป็นทำนองว่าไม่ใช่จะอิ่มจนกินไม่ไหว แต่ข้าวหมดแล้วต่างหาก “งั้นก็ไม่เป็นไร ไม่กินก็ได้”
“ครีม?” วัสสานะหรี่ตามองน้องชายขณะที่มือก็เริ่มเก็บถ้วยชามบนโต๊ะ “ไม่สบายหรือไงน่ะ”
“เปล่านี่”
“เครียดเรื่องสอบจนบ้าไปแล้วรึเปล่า”
“อะร้ายย ระดับไหนแล้ว”
“ไม่เป็นไรก็ดี จะได้ให้พี่ภพช่วยติวให้”
“ห๊ะ!?”“เอ๊ะทำตาโตเป็นด้วยนี่” วัสสานะหัวเราะ “อยากเข้าทันตะฯไม่ใช่หรือ”
“ก็ใช่” คิมหันต์รับอ้อมแอ้มแล้วหยุดแค่นั้น ประโยคต่อมาอ่านได้ผ่านสายตาว่า
‘แล้วเกี่ยวอะไรกับไอ้หมาบ้านี่’“เข้าใจเลือกคบคนนะเรา” หญิงสาวพูดไว้แค่นั้น ก่อนจะจัดการเก็บกวาดโต๊ะอาหารอย่างรวดเร็ว เป็นที่น่าสังเกตว่าระดับความกระฉับกระเฉงมาแบบเดียวกันทั้งพี่ใหญ่น้องเล็ก ผิดกับสิสิรผู้เป็นคนกลางที่สามภพรู้จักซึ่งค่อนข้างจะบุคลิกเนิบนาบกว่าอยู่นิดหน่อย
“เข้าใจเลือกยังไง” เด็กหนุ่มผมทองส่งเสียงบ่น เดินถือแก้วเปล่าตามพี่สาวไปเก็บในครัวอีกคน ทิ้งสามภพนั่งอยู่คนเดียวที่โต๊ะ “ไม่ได้สนิทอะไรกันขนาดนั้นซะหน่อย”
หญิงสาวเปิดน้ำที่อ่างล้างจานแล้วเริ่มลงมือ เสียงก๊องแก๊งเบา ๆ ดังแว่วในครัวขณะที่ตอบคำถามน้องชาย
“ไม่สนิทกันพี่เขาคงไม่ยอมอยู่ติวข้อสอบให้คืนนี้หรอก”“ว่าไงนะ!?”.
.
.
.
.
ห้องของคิมหันต์สภาพไม่ได้ต่างจากที่สามภพคิดเอาไว้นัก
ข้าวของถูกจัดเอาไว้ค่อนข้างเป็นหมวดหมู่แต่ไม่ได้เป็นระเบียบเท่าไร บนผนังมีโปสเตอร์นักร้องเกาหลีทั้งหญิงและชายที่เขาไม่รู้จัก ตะกร้าผ้าใช้แล้วมีเสื้อผ้าขยุกขยุยอยู่ในนั้นครึ่งหนึ่งตั้งอยู่ข้างตู้เสื้อผ้าไม้ขนาดใหญ่ เตียงเดี่ยวอยู่อีกฝั่งของห้อง ผ้าห่มถูกขยุ้มไว้ไม่ได้พับ หมอนข้างซึ่งเริ่มเหลวนอนย้วยอยู่ปลายเตียง ชั้นวางหนังสือถูกวางไว้ไม่ไกลกันนัก เก็บทั้งหนังสือการ์ตูนและนิตยสารเกม แต่สิ่งที่ทำให้สามภพประหลาดใจไม่น้อยคือเรื่องสัดส่วนตำราเรียนซึ่งเยอะกว่าที่คาดไว้มาก
เขาพยักหน้าน้อย ๆ กับตัวเอง ที่วัสสานะบอกว่าน้องชายถึงจะกวนประสาทแต่เป็นเด็กรักเรียนและอยู่ในโอวาทมาตลอดน่าจะเชื่อถือได้
ชายหนุ่มเดินสำรวจส่วนถัดไป ตู้เตี้ยประมาณเอวคงสำหรับเก็บของกระจุกกระจิก มองดี ๆ แล้วจึงพบว่าเครื่องประดับเจ้าของห้องนี้เยอะเหลือเชื่อ แค่เฉพาะจำนวนในที่เปิดซึ่งมองเห็นโดยไม่ต้องรื้อค้นก็ใกล้เคียงคำว่าละลานตาแล้ว สร้อยคอ สร้อยข้อมือ แหวน เข็มขัด แม้กระทั่ง...กิ๊บติดผม? ไอ้เด็กนี่มีกิ๊บติดผมอยู่ในห้อง??
สามภพเลิกสนใจของเหล่านั้น ด้วยจ้องเครื่องประดับที่ว่านาน ๆ แล้วให้ความรู้สึกเหมือนแอบขโมยเข้าห้องเด็กผู้หญิงอย่างไรบอกไม่ถูก (เพราะกิ๊บนั่นเลย) ปากหนักไม่ยอมเอ่ยถามออกไปจึงไม่รู้ว่านั่นเป็นของพี่สาวทั้งสองที่มักมาปนอยู่ด้วยบางครั้งเวลาพี่น้องเล่นอะไรกันแปลก ๆ
หลังตู้อีกใบมีรูปถ่ายใส่กรอบเรียงกันอยู่ ไล่ไปตั้งแต่รูปครอบครัว รูปพี่น้อง รูปถ่ายกับเพื่อนที่โรงเรียน หลายคนที่เขาไม่รู้จัก และพอคิดดูอีกทีหลังจากเพ่งมองรูปถ่ายเหล่านั้นชัด ๆ ก็พบว่าตัวเองไม่ได้รู้จักเจ้าของห้องนี้เท่าไรเช่นกัน
ชายหนุ่มหยิบรูปในกรอบบานหนึ่งขึ้นมาดูใกล้ ๆ ในนั้นเป็นภาพเด็กหนุ่มสองคนซึ่งรูปร่างใกล้เคียงยืนกอดคอกันอยู่พลางฉีกยิ้มจนตาหยี ทั้งสองสวมเสื้อกีฬาทีมเดียวกัน หนึ่งในนั้นมีผมสีน้ำตาลเข้มยุ่งเหยิง นัยน์ตาเป็นประกายตอนที่ยิ้มกว้างสู้กล้อง ส่วนอีกคนข้างกันซึ่งกอดคอแน่นแทบจะรวมร่างอยู่แล้วเป็นเด็กหน้าตี๋ ผิวขาว ผมสีทองสะท้อนแสงแดด และตาทั้งสองข้างก็ยิบหยีจนเกือบกลายเป็นเส้นเฉียงข้างละขีด
เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลท่าทางซื่อ ๆ นั่นคงเป็นปิ่นหยก แฟนหนุ่มของน้องชายอันนา ตัวต้นเรื่องที่ทำให้หญิงสาวมาไหว้วานเขาอีกที (จริงสิ..เขาเกือบลืมเรื่องนั้นไปแล้ว) ส่วนอีกคนที่เกาะหนึบกันอยู่ในรูปก็คนเดียวกับเจ้าเด็กแสบที่นั่งหันหลังให้เขาอยู่ที่เก้าอี้ ก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรยุกยิกกลางกองหนังสือบนโต๊ะนั่นเอง
“เฮ่ย! รูปนี้น่า—”
สามภพชะงักไป เมื่อกี้ตั้งใจจะพูดว่าน่าอะไรนั้นเขาไม่อยากคิดต่อเลย ความรู้สึกบอกว่ามันต้องเป็นเรื่องไม่ดีสำหรับเขาแน่นอน ตัดสินใจพูดใหม่โดยเลือกคำให้ดูเป็นตัวเองขึ้นกว่าเดิมสักหน่อย “รูปนี้ตลกว่ะ”
คิมหันต์ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ไม่แม้แต่จะหันมามองด้วยซ้ำ แต่เดาว่าคงกำลังรำคาญใจหรือไม่ก็หงุดหงิดเต็มแก่เพราะได้ยินเสียงฟึดฟัดดังมาอีกครู่หนึ่งก่อนเจ้าตัวจะก้มหน้าจนแทบจมหายไปกับกองหนังสือเหมือนเก่า
ชายหนุ่มยกมือขึ้นกอดอก คำว่า
‘หมั่นไส้’ คือสิ่งที่เขากำลังบอกกับตัวเอง ขาสองข้างพาร่างไปหยุดอยู่ข้างหลังเด็กหนุ่ม ชะเง้อมองข้ามไหล่คนที่กำลังแสดงอาการคร่ำเครียดอยู่กับโต๊ะหนังสือ ลายมือขยุกขยุยเขียนตัวเลขและตัวแปรทางฟิสิกส์เต็มหน้ากระดาษแล้วก็ฆ่าทิ้ง ขีดเขียนยุกยิกอยู่อีกครู่หนึ่งก็ขีดทับอีก ท่าทางจะยังไม่ได้คำตอบของโจทย์ที่กำลังสู้รบกันอยู่จนถึงกับลืม..หรืออย่างน้อยก็พยายามลืมสิ่งมีชีวิตอีกหนึ่งซึ่งเข้ามาป้วนเปี้ยนในห้องอยู่นานแล้ว
สายตาปราดมองไปรอบโต๊ะ บนนั้นมีแต่หนังสือเตรียมสอบ โพสต์อิทสีเหลืองและชมพูสะท้อนแสงแปะอยู่ที่ผนังตรงหน้าหลายใบ หนึ่งในนั้นเขียนไว้ว่า
‘คณะทันตแพทยศาสตร์’ มีวงกลมหนาสีแดงล้อมรอบพร้อมคำระบุด้านข้างว่า
‘Goal!’สามภพเผลอยิ้ม นี่เหมือนกับตัวเขาเองเมื่อสามปีก่อนไม่มีผิด มีเป้าหมายที่ชัดเจน เพียงแต่ได้ดำเนินการเพื่อไปสู่เป้าหมายนั้นล่าช้าไปสักหน่อยด้วยมัวแต่พะวงกับความเห็นคนทางบ้าน เสียเวลาไปเปล่า ๆ ถึงสองปีกว่าจะกลับตัวได้ทัน
“อยากเข้าทันตะฯหรือ?” เขาถามจากด้านหลัง
“พี่หยุดเดินดมนั่นนี่เป็นไอ้ดุ๊กดิ๊กซะที” คิมหันต์ตอบกลับมาคนละเรื่อง “มีมารยาทหน่อยดิวะ ช่วงนี้ผมไม่ว่างเล่นด้วย”
อื้อหือ...ที่ผ่านมามันแค่เล่น รู้ตัวอีกทีชายหนุ่มก็เผลอผลักไอ้เด็กกวนประสาทตรงหน้าหัวทิ่มอีกแล้ว “กวนตีน ถามดี ๆ”
คิมหันต์วางปากกา หมุนเก้าอี้กลับมาจ้องเขม็งใส่ตัวก่อกวนร่างสูงซึ่งยืนกอดอกอยู่ข้างหลัง “ไอ้พี่ภพ เอาตรง ๆ แบบลูกผู้ชายเลย เสนอหน้ามาถึงบ้านแล้วยังไปพูดอะไรกับเจ้ใหญ่ไม่รู้จนได้ค้างที่นี่ พี่จะเอาไงวะ”
สามภพเดินเข้าไปนั่งบนขอบโต๊ะ ท่าทีไม่รีบร้อนขณะที่พูดต่อหน้านิ่ง “พี่หมั่นไส้แก”
“ผมก็หมั่นไส้พี่ว้อย! เล่นเป็นเด็กไปได้”
โดนไอ้ตี๋ที่เด็กกว่าเขาตั้งสามปีว่าใส่อย่างนี้ช่างน่าขัดใจ“ความจริงกำลังช่วยพี่อันอยู่” ชายหนุ่มบ่นพึมพำ ด้วยเป็นเหตุผลเดียวที่นึกออกตอนนี้ว่าจะมาป้วนเปี้ยนอะไรกับไอ้เด็กนี่นักหนา งานการของตัวเองที่ต้องทำส่งที่มหาวิทยาลัยก็ยังไม่เสร็จแท้ ๆ “ไม่ให้แกไปยุ่งกับเพื่อนรักแล้วก็น้องชายเขา แค่นี้ตรงพอหรือยัง”
คิมหันต์พยายามเอาหนังสือเล่มใหญ่สุดบนโต๊ะดันเขาให้ออกไปจากที่นั่งอยู่บนโต๊ะทว่าไม่สำเร็จ สุดท้ายก็ถอยไปฮึดฮัดขัดใจอย่างเดิม ออกปากกางปีกปกป้องเพื่อนเต็มที่ “มันรักกัน ยุ่งอะไรกับพวกมัน”
สามภพยักไหล่ รู้ตัวดีว่าแท้จริงแล้วเขาไม่ได้อยากยุ่งกับเด็กสองคนนั้นแม้แต่น้อย ตัดสินใจจบบทสนทนาที่ท่าทางจะไปต่อได้ไม่สวยด้วยการไม่ตอบ หันไปมองโจทย์ฟิสิกส์ในข้อสอบที่อีกฝ่ายกำลังขะมักเขม้นอยู่เมื่อครู่แทน “โจทย์แค่นี้ทำไม่ได้ จะสอบเข้าทันตะฯได้ไงวะ”
“เสือก” เด็กหนุ่มเถียง คว้าปากกากลับมาไว้ในมือ
“ปากหมากับผู้ใหญ่” เขาผลักท้ายทอยคิมหันต์หัวทิ่มอีกแล้ว ไม่รู้เป็นอะไรชอบผลักหัวทอง ๆ นี่จริง “เอาปากกามา”
อีกฝ่ายนิ่ง ทำตาตี่ใส่เขา
“ดินสอก็ได้”
ก็ยังตาตี่เหมือนเดิม..ไม่สิ...ตี่กว่าเดิมอีกเมื่อเจ้าตัวพยายามจะหรี่ตาข่มขู่ สามภพพ่นเสียงหัวเราะใส่หน้าอีกฝ่ายแล้วเอานิ้วไปถ่างเปลือกตาให้กว้างออก จังหวะที่กำลังเผลอก็แย่งปากกามาก่อนจะปล่อยมือจากเปลือกตาไปตบเบา ๆ บนกลุ่มผมสีทองสว่างของเด็กหนุ่มอีกที ให้ความรู้สึกเหมือนเล่นกับหมาอย่างน่าแปลก
“อันนี้อย่าเพิ่งรีบเอามาแทนค่าดิ” ชายหนุ่มก้มลงไปอธิบาย ทำเครื่องหมายกากบาทตัวใหญ่ไว้กับสมการยึกยือที่คิมหันต์วุ่นวายอยู่นานแล้ว “เราต้องมาดูตัวแปรอันแรกที่โจทย์ให้ก่อน—”
เงยหน้าขึ้นมาก็พบนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนคู่เดิมยังจ้องมาที่เขาอย่างหวาดระแวง“ตั้งใจฟัง!" เขาขู่ "เดี๋ยวเตะปลิวแม่ง”
คิมหันต์ยืดหลังระวังภัย เห็นชัดว่ายังไม่วางใจสถานการณ์นัก บ่นงุบงิบจับใจความได้ทำนองว่า “ไอ้พวกป่าเถื่อนล้าหลัง ใช้แต่กำลัง” แต่ก็ยอมก้มหน้าก้มตาฟังคำอธิบายแต่โดยดี
ซึ่งฟังไปสบถไปเป็นระยะก็เรียกว่า
‘แต่โดยดี’ ตามมาตรฐานของคิมหันต์แล้ว
.
.
.
.
.
เวลาล่วงเลยจนดึกดื่น สามภพเปิดประตูกลับเข้าห้องอีกครั้งหลังอาบน้ำเสร็จ ครั้งนี้แต่งตัวเต็มยศและสาบานกับตัวเองไว้ว่าหากใช้ห้องน้ำบ้านคนอื่นจะไม่ยอมเข้าไปตัวเปล่าโดยปราศจากเสื้อผ้าที่เหมาะสมด้วยเด็ดขาด กำลังจะเดินไปดูความคืบหน้าของลูกศิษย์เฉพาะกิจที่เขาเพิ่งสอนทำโจทย์ไปหลายข้อ ก็พบว่าร่างโปร่งของเด็กหนุ่มฟุบนิ่งอยู่กับโต๊ะเรียบร้อย
ชายหนุ่มสาวเท้าเข้าใกล้ ลองเรียกเบา ๆ แต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับกลับมา ก้มลงไปดูจึงได้เห็นว่าใบหน้าซึ่งตะแคงข้างเอาแก้มแนบโต๊ะนั้นหลับสนิทคากองหนังสือไปแล้ว แถมยังทำน้ำลายยืดอีกต่างหาก
“เด็กเวร”
เขาส่ายหน้า ตอนแรกก็ทำแง่ง ๆ ใส่เสียเยอะแยะ พอทำโจทย์ผ่านไปได้สามสี่ข้อเท่านั้นสีหน้าเปลี่ยนเกือบจะทันควัน ดูแทบไม่ออกว่าเป็นไอ้เด็กแสบคนเดียวกับที่เคยเจอก่อนหน้านี้ หากไม่ลองแหย่จนแผลงฤทธิ์ให้ดูมากับตาจะไม่เชื่อเลยว่าวิธีกลั่นแกล้งคนอื่นช่างชวนให้บ้องหูสักทีสองทีเหลือเกิน
ยิ่งพอผ่านโจทย์ไปได้สักห้าหกข้อก็เริ่มมีปากว่ามือถึง พูดไปเผลอ ๆ ก็เอาแขนคล้องคอเขาบ้าง เกาะเอวบ้าง เกาะไหล่บ้าง ไม่ได้เจียมสังขารสักนิดว่าตัวแค่กระเปี๊ยกเดียว รู้ตัวทีก็เอามือออกไปทีแล้วทำเป็นเคร่งต่อแก้เก้อซึ่งต้องเรียกว่าค่อนข้างเนียนทีเดียว
สามภพยกมือขึ้นลูบต้นคอตัวเอง น่าแปลกที่แม้ไปอาบน้ำอาบท่ามาแล้วก็ยังรู้สึกได้ถึงสัมผัสร้อน ๆ แถวรอยต่อช่วงต้นคอกับไหล่ อันนาเคยบอกเขาว่าคิมหันต์ติดนิสัยสกินชิพแต่ก็ไม่นึกว่าจะเผลอจับ ๆ ขนาดนี้ ดูจากรูปถ่ายที่เห็นเกาะบ้าง ล็อคคอแน่นหนึบบ้างกับคนในรูปก็พอเดาได้ว่าคงเป็นเช่นนี้กับทุกคน
เด็กอะไรน่าหงุดหงิดจริง ๆ ชายหนุ่มยักไหล่ บอกตัวเองว่าจะไปคิดอะไรมาก
เขายืนจ้องคนหลับอยู่อีกครู่ใหญ่ คิดจะปลุกให้ไปนอนดี ๆ ก็นึกได้ว่าเตียงมีแค่หลังเดียว เกิดความคิดชั่วร้ายว่าปล่อยหลับอย่างนี้แล้วเขาไปยึดเตียงดีกว่า แถมยังเกิดความคิดชั่วร้ายขั้นกว่าด้วยการหยิบมือถือตัวเองขึ้นมา ปิดเสียงชัตเตอร์ด้วยความรอบคอบ หลังจากนั้นก็รัวถ่ายรูปใบหน้าซึ่งกำลังหลับตาพริ้ม อ้าปากหวอ เก็บลงเครื่องไปอีกนับไม่ถ้วน
กำลังจะหนีไปนอน ทว่าก่อนหันหลังกลับได้ยินคนหลับละเมอก่นด่าขึ้นมาเสียก่อน
“...เชี่ย...ไอ้หมาบ้า”หมาบ้านั่นหมายถึงใครก็ไม่อยากคาดเดา แม้ให้เดาก็อาจพอทำได้
“ไอ้พี่ภพเฮงซวย”เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายแกล้งหลับเพื่อเนียนหลอกด่าเขาหรือเปล่า แต่ ณ จุดนี้มาตรวัดความน่าเตะต่อไอ้เด็กคิมในหัวเขาพุ่งสูงขึ้นอีกแล้ว ชายหนุ่มกวาดตามองรอบตัว เห็นปากกาเคมีสีดำด้ามใหญ่เสียบอยู่ในกล่องเก็บเครื่องเขียนด้านลึกสุดของโต๊ะ จากนั้นก็จุดยิ้มขึ้นที่มุมปาก
โดยไม่ทันได้คิดว่าสิ่งที่กำลังจะทำช่างเด็กเป็นบ้า เขาหยิบมันขึ้นมา บรรจงวาดหนวดแมวแผ่วเบาลงไปบนผิวแก้มขาว ๆ ของคนหลับข้างละสามเส้น เสียเวลาตรงที่ต้องหยุดเป็นพัก ๆ เมื่ออีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะตื่น แต่สุดท้ายก็ทำสำเร็จจนได้
ชายหนุ่มถ่ายรูปใบหน้านั้นไว้เป็นหลักฐานอีกเกือบสิบก่อนจะหนีไปยึดเตียงเจ้าของห้องนอนสบายใจเฉิบ
.
.
.
.
.
คิมหันต์ตื่นขึ้นมาเพื่อพบกับอาการปวดต้นคออย่างมหาศาล คงเป็นเพราะเผลอฟุบหลับกับโต๊ะด้วยท่าตะแคงศีรษะนานเกินไป
เด็กหนุ่มลุกขึ้นส่ายหน้าแรง ๆ ไล่ความมึน หมึกสีดำรูปหนวดแมวหกเส้นยังเปื้อนอยู่สองข้างแก้มแต่โชคร้ายที่ไม่ได้เดินผ่านกระจกจึงยังไม่ทันรู้ตัว เหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเวลาล่วงเลยเกือบตีสามเข้าไปแล้ว
เขาลุกขึ้นขยี้ตาเตรียมหันหลังล้มลงเตียง แต่กลับพบว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญซึ่งลืมไปเสียสนิทว่าอยู่ร่วมห้องกันคืนนี้นอนแผ่กางแขนขายึดที่นอนไปเรียบร้อย สถานการณ์ประหนึ่งเขาเป็นคนแคระกลับจากขุดเหมืองแร่แล้วมาเจอสโนว์ไวท์หลับพริ้มอยู่บนเตียง (แล้วทำไมเขาต้องเป็นคนแคระวะ) มันน่าไหม? มานอนบ้านคนอื่นแม้จะช่วยสอนหนังสือนิด ๆ หน่อย ๆ เอ้อ...ความจริงก็ไม่นิดหน่อย.. แต่ดันยึดเตียงเจ้าบ้านเหมือนเป็นของตัวเองแบบนี้มันไม่ใช่แล้วพี่น้อง!
คิมหันต์ยืนกอดอก ตบฝ่าเท้าเบา ๆ กับพื้นขณะครุ่นคิดว่าจะเอาอย่างไรดี เหลือบไปเห็นปากกาเคมีสีดำของตัวเองวางอยู่บนโต๊ะ ง่วงจนไม่ทันได้เอะใจว่าทำไมมันจึงออกมาอยู่ตรงนั้นทั้งที่ปกติเขาเก็บไว้ในกล่องไกลมือด้วยไม่ค่อยได้หยิบมาใช้ ความคิดบางอย่างแวบขึ้นมาในหัว...แบบเดียวกับที่เพิ่งแวบผ่านหัวอีกคน ราวกับห้องนี้เป็นแหล่งรวมความชั่วร้ายอันคอยป้อนความคิดอยากแกล้งคนใส่สิ่งมีชีวิตในห้องอยู่ตลอดเวลา
คิมหันต์เดินไปหยิบปากกาเคมี เดินกลับมาย่อตัวลงข้างเตียงเงียบเชียบ จรดปลายปากกาขีดหนวดแมวลงบนแก้มสโนว์ไวท์ (สโนว์ไวท์? ถึงจุดนี้เด็กหนุ่มรู้สึกอยากแหวะกับความคิดตัวเองเต็มกลืน) ระวังสุดชีวิตจะหายใจไม่แรงเกินไปจากความระทึกให้เสียท่าถูกจับได้
ไม่นานนักก็ปรากฏผลงานเป็นเส้นดำหนาราวครึ่งเซนติเมตรรวมทั้งสิ้นข้างละสามเส้นบนผิวหน้าชายหนุ่ม เหมือนกับที่อยู่บนแก้มของเขาเป๊ะถ้าหากจะหันไปมองกระจกสักนิด ปิดท้ายด้วยขั้นตอนเดียวกันคือรัวถ่ายรูปลงมือถือไว้เป็นหลักฐาน เผื่อในอนาคตอาจจำเป็นต้องใช้ แต่ใช่ว่าทั้งหมดจะจบลงแค่นั้น
เพราะคิมหันต์ร้ายกว่านิดหน่อยมากกว่าตรงที่แอบรื้อกระเป๋าสตางค์อีกฝ่ายเพื่อจะลอบหยิบบัตรประชาชนขึ้นมา เอาหัวปากกาอีกด้านที่เส้นเล็กกว่าขีดหนวดแมวแบบเดียวกับที่ปรากฏบนใบหน้าจริงเจ้าของบัตรลงไปในรูปถ่ายหน้าตรง...ด้วยความหวังดี เดี๋ยวจะโดนคนอื่นหาว่านี่เป็นบัตรปลอมเพราะหน้าไม่เหมือนผู้ถือบัตร...จริงจริ๊ง...ขอยืนยันด้วยหางเสียงสูงปรี๊ดในหัว
เด็กหนุ่มหัวเราะหึ ๆ เก็บบัตรเข้าที่โดยไม่ยุ่งกับอย่างอื่น หนีออกไปนอนโซฟาห้องรับแขกเพื่อความปลอดภัยของตัวเองยามเช้าหากตื่นขึ้นมาทีหลัง
เช้าวันรุ่งขึ้น วัสสานะตื่นมาเจอคิมหันต์นอนอยู่บนโซฟา ส่วนสามภพเดินงัวเงียออกมาจากห้องพอดี
หลังจากผ่านช่วงงุนงงอยู่ครู่ใหญ่ก็ได้หัวเราะงอก่องอขิงกับหนวดแมวสีดำบนใบหน้าของหนุ่ม ๆ ที่สำคัญคือเหมือนทั้งคู่จะยังไม่รู้ตัวเสียด้วยว่าร่องรอยนั้นปรากฏอยู่บนแก้มของตัวเอง ซึ่งนั่นทำให้หญิงสาวเดาเหตุการณ์พอได้ สุดท้ายแล้วเธอต้องดันหลังพวกเขาทั้งสองไปยืนอยู่หน้ากระจกเพื่อฟังถ้อยคำประสานเสียงที่ทำให้เธอหัวเราะหนักขึ้นด้วยคิดว่าเด็ก ๆ ช่างแกล้งกันได้ตลกอะไรอย่างนี้ ไม่ซี้กันจริงคงทำไม่ได้
“ไอ้หมาบ้า!” / “ไอ้เด็กเวร!”สีหน้าตอนพวกเขาเห็นภาพตัวเองสะท้อนอยู่ในนั้นยากจะลืมลงจริง ๆ - หมดยกที่ 11 -
========================
ตีกันเบา ๆ XD
แอบดีใจที่มีคนทั้งชอบทั้งหมั่นไส้คิมหันต์ บุคลิกมันน่าหมั่นไส้จริงค่ะ
เป็นน้องเป็นนุ่งปั๊ดจะ...จะ...จะหาเสะหล่อ ๆ ไปจับฟัด!! แอร๊ยย//ใช่เรอะ!?
แต่ที่จริงน้องรักสงบนะคะ แค่เวลามีอะไรมาแหย่แล้วระแวดระวัง(ด้วยการโจมตี)เท่านั้นเอง การจู่โจมคือการป้องกันที่ดีที่สุด(?) ฮาา
พบกันตอนหน้า ขอบคุณทุกท่านงาม ๆ ที่เข้ามาอ่าน
อย่าลืมของแถมรีพลายถัดไปเช่นเคยค่ะ ^o^