๐๐Timeless รักข้ามภพ๐๐ Update เปิดจองรวมเล่ม P.33
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ๐๐Timeless รักข้ามภพ๐๐ Update เปิดจองรวมเล่ม P.33  (อ่าน 267702 ครั้ง)

m_pop91

  • บุคคลทั่วไป
ผมมองว่าศรีปางตาลมันทำร้ายตัวเองนะ
ขนาดพ่อมันห้ามขนาดนั้นยังจะหาเรื่องออกมา
เพราะความคันเลยตายซะ สมควรแล้วล่ะ

AlKhA0z

  • บุคคลทั่วไป
เย้ๆๆๆ ในที่สุดก็ตามทันจนถึงตอนล่าสุดจนได้ สนุกมากเลยครับ ไลค์เบย ผมชอบเรื่องแนวนี้มากๆ ยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับพญานาคอีก แสดงว่าผู้แต่งคงศึกษาข้อมูลมาอย่างดีเลย ชอบมากๆครับ  :L2:

_Yammery_

  • บุคคลทั่วไป
อ่านตามทันสักที!!! อ่านรวดเดียวจบเลยนะเนี่ย
โธ่ เพราะไอพี่บรรณนั่นแท้ๆ
ดีนะที่เราเชียร์ทิวอยู่แล้ว
จะได้ไม่มาผิดหวังในตัวคนที่เชียร์
จะรอตอนต่อไปนะคะ สู้ๆ

ออฟไลน์ Chichi Yuki

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1584
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-3
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!
สิมันตา แกเลวมากกกกก ฆ่าได้แม้แต่ผู้หญิง
เพราะความแค้น ความมักใหญ่ใฝ่สูง ความไม่รู้จักพอของแกถึงได้ทำให้เกิดเรื่องมากมายขนาดนี้
คนที่รับกรรมสมควรจะเป็นแกมากที่สุด!
หวังว่าศรีปางตาลคงอโหสิให้กับสวามินนะ ไม่อย่านั้นก็คงได้แต่จองเวรจองกรรมอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แน่ๆ
 :mew4: :mew4: :mew4:

ออฟไลน์ Lemon_Tea

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1641
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
เหตุความแค้นเพราะสิมันตาสินะ เฮ้อ
แต่ที่นางศรีปางตาลยิ้มเท่ากับว่าเธออโหสิให้พิท(สวามิน)ใช่มั้ย

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
จากที่เกลียดศรีปางตาล...ตอนนี้สงสารนางมาก
น้ำตาไหลเลย...เข้าใจความรู้สึกของนางเลย
ทีนี้ก็คอยลุ้นว่า นางจะอโหสิให้พิทหรือเปล่า
ปล.ตอนนี้เกลียดสิมันตาแทนและ

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
พิทเช็ดน้ำตา วางร่างไร้ชีวิตลงกับพื้น เขามองนางเป็นครั้งสุดท้าย หญิงสาวเดียงสาที่ต้องมาตายเพราะคำลวงของคนชั่ว พิทกำหมัดแน่น เขาโกรธแค้นชิงชังสิมันตา ชายผู้นั้นยิ่งนัก
พิทลุกขึ้นยืนเป็นจังหวะเดียวกันกับที่พญาครุฑซึ่งบัดนี้คืนร่างเป็นสิมันตาเดินตรงมาหาเขา

“อย่าเข้ามานะ” พิทร้องห้าม แต่สิมันตายังคงย่างสามขุมเข้ามาไม่ฟังเสียง

“บอกว่าหยุด” พิทวิ่งเข้าไปคว้าเขา โดยลืมไปว่าชายผู้นั้นเป็นถึงพญาครุฑ และเขาเองก็ไร้ตัวตน

แน่นอนว่าพิทไม่สามารถขัดขวางสิมันตาได้ ชายผู้นั้นหมายมั่นแหวนมณีนาคา แต่พิทไม่อาจให้เขาสมหวังได้
มณีนาคาเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะทำให้ศรีปางตาลหลุดพ้นจากบ่วงพยาบาทได้ การที่นางต้องทุกข์ทรมานอยู่ในมหานทีแห่งความพยาบาทนั้นเป็นเพราะการเข้าใจพิทผิด และอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นางไปผุดไปเกิดไม่ได้ เป็นเพราะสิมันตาได้เอามณีนาคาของนางไป

พิทจะยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นอีกไม่ได้

สิมันตามองร่างศรีปางตาลด้วยความสะใจ เขากัดฟันแน่น

นางนาคยโส ไม่เจียมตนว่าตนเองเป็นแค่เผ่าพันธุ์งูพิษ ฤทธิ์เพียงนี้ริจะมาต่อกรกับพญาแห่งปักษาผู้ที่แม้แต่พระอินทร์ยังยอมสิโรราบ

เขาเดินตรงมายังร่างที่ไร้วิญญาณของศรีปางตาล

พิทร้อนใจหาวิธีจะปกป้องนาง  เขามองไปยังอาศรมที่อยู่ลิบๆ ไม่มีทางที่จะร้องขอความช่วยเหลือจากเวนไตยและสวามิน
ในที่สุดเมื่อจวนตัว เขาวิ่งเข้าไปขวางร่างศรีปางตาลไว้ ปากก็ร้องตะโกนอย่าๆ
แต่ไม่เป็นผล สิมันตาเอื้อมมือเข้ามาหมายจะกระชากแหวน

พิทนึกอะไรไม่ทันแล้วในตอนนั้น เขาคว้าข้อมือศรีปางตาลไว้ก่อนจะกระตุกปมเชือกปมสุดท้ายออกอย่างแรงจนเชือกหลุดกระเด็น



และครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เชือกนั้นหลุดหายไปจากมือเขา สิ่งรอบตัวพิทเริ่มบิดเบี้ยว แม่น้ำสายนั้นค่อยๆยืดยาวผิดรูป ป่าครึ้มฟุ้งเป็นควัน ร่างของสิมันตาค่อยๆยืดออกจนเป็นเหมือนร่างนั้นจะฉีกออกเป็นเสี่ยงๆ และแล้ว ภาพทั้งหมดก็เลือนหายไปเหลือแต่ภาพสีขาวจ้า

ฉับพลันพิทก็รู้สึกเหมือนกำลังถูกกระชากลงจากที่สูงอย่างเร็ว คราวนี้เขารู้สึกชินกับมัน มือยังคงกำข้อมือศรีปางตาลไว้แน่น และยังคงหลับตา

ร่างของพิทร่วงหล่นลงมาจนในที่สุดก็หยุดนิ่ง เขาค่อยลืมตา แต่แทนที่จะเห็นภาพที่เขาเคยเห็น เขากลับพบแต่ความว่างเปล่า รอบตัวมีแต่ควันสีขาว แต่สัมผัสได้ราวปุยนุ่นอยู่รอบตัว

“ที่นี่ที่ไหน” เขามองไปรอบตัว แสงสว่างจ้ามาก แต่กลับไม่ทำให้แสบตาแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกอุ่นและสบายอย่างบอกไม่ถูก

“เหมือนสวรรค์เลย”  พิทว่า พลางเดินไปรอบๆอย่างระมัดระวัง มือก็ปัดป่ายปุยเมฆไปมา โดยลืมไปว่าศรีปางตาลได้หายไปแล้ว

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
“ท่านสวามิน” แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากเบื้องหลัง พิทหันไปและพบว่า เสียงนั้นเป็นเสียงของหญิงสาวในชุดทรงที่งดงามราวเทพธิดา

“ศรีปางตาล” พิทผงะถอยหลังด้วยความกลัว

“ท่านไม่ต้องกลัวข้าดอก” รอยยิ้มที่อบอุ่นนั้น ทำให้พิทรู้ว่า นางไม่ได้มาร้ายเหมือนเช่นเคย

“ขอบใจท่านมากที่ทำให้ข้าหลุดพ้นจากบ่วงแห่งความพยาบาทนี้ ข้าทุกข์ทรมานมานับพันปีด้วยบ่วงที่ผูกมันขึ้นมาเอง”

นางยืนนิ่งมือแนบลำตัว ชุดที่นางสวมนั้นไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าเป็นยุคสมัยใด แต่มันช่างวิจิตรงดงามจนยากที่จะละสายตา
อีกทั้งนางก็สง่างามและเดียงสาอย่างที่นางควรจะเป็น

“เอ่อ ผมยินดีครับ” พิทพูดยิ้มแหยๆ

“ท่านอุตส่าห์ช่วยให้ข้าหลุดพ้น ทั้งๆที่ข้าเป็นผู้ทำลายล้างชีวิตท่านชาติแล้วชาติเล่า แต่ท่านก็มิเคยผูกใจเจ็บ มิหนำซ้ำยังย้อนเวลานำข้ามาเพื่อทำให้ข้าตาสว่าง”

“นำท่านมาเหรอ หมายความว่าไง” พิทสงสัย

“ข้าติดตามท่านมาทุกชาติ เห็นท่าน รับรู้ความรู้สึกท่าน และชาติสุดท้ายนี้เองที่ข้าได้รู้ความจริง”

พิทนิ่งไป เขานึกย้อนไปถึงชาติต่างๆไม่คิดว่าไม่เพียงแต่ตัวเขาเท่านั้นที่ย้อนกลับมา แต่นางนาคศรีปางตาลกลับติดตามเขามาด้วย

“ข้าซาบซึ้งกับสิ่งที่ท่านทำ และเสียสละเพื่อข้า บัดนี้ข้ารู้แล้วว่าได้ทำผิดต่อท่านมาตลอด โปรดอภัยในความโง่เขลาของข้าด้วยเถิด ท่านสวามิน” ศรีปางตาลคุกเข่าลง พิทตกใจรีบถลาเข้าไปประคองร่าง

“อย่าทำอย่างนี้”

ศรีปางตาลหลั่งน้ำตา นางเงยหน้าขึ้นมอง แววตานั้นบ่งบอกถึงความเศร้าเสียใจสำนึกผิดอย่างยากจะพรรณนา

“ข้าผิดต่อท่านอย่างมหันต์ ท่านสวามิน” น้ำตาของนางไหลอาบแก้ม

พิทประคองร่างนั้นให้ลุกขึ้นยืน

ก่อนจะจ้องตานางลึกเข้าไป

“เราไม่ได้โกรธเจ้าเลย ศรีปางตาล” พิทพูด แต่คำพูดนั้นกลับกลายเป็นคำพูดของสวามิน “เจ้าทำไปเพราะความไม่รู้ และผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด บัดนี้เจ้ารู้ความจริงทุกอย่างแล้ว จงเลิกพยาบาทและไปสู่ภพภูมิที่คู่ควรกับเจ้าเถิด”

“อโหสิกรรมให้ข้านะ” นางสะอื้น

พิทก้มลงมองนางด้วยแววตาที่อารีย์ เขายิ้มให้อย่างไม่มีข้อกังขาเคลือบแคลงใดทั้งสิ้น

“เราอโหสิกรรมให้เจ้า” และนี่คือคำพูดเพียงคำเดียวที่เป็นเหมือนกุญแจคลี่คลายปมทุกอย่าง ที่พิทย้อนเวลามาก็เพื่อพูดสิ่งนี้ ความเจ็บปวด และทุกข์ทรมานของทุกคนที่ผูกพันกับด้วยบ่วงกรรม หลุดพ้นได้ด้วยคำๆนี้


ทันทีที่ศรีปางตาลได้ฟัง รอยยิ้มแห่งความปิติก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า นางมองพิทก่อนจะลุกขึ้นยืน
รอยน้ำตาได้เหือดหายไป เหลือเพียงใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความปีติ

“ข้าจักได้พบท่านอีกหรือไม่ ท่านสวามิน”

“ไม่มีใครสามารถตอบกาลภายภาคหน้าได้ดอก หากวาสนาเรายังมีต่อกัน คงจักได้พบกันในชาติใดชาติหนึ่ง”

“ข้าเป็นเพียงชาตินาคี มิมีทางที่จักเป็นมนุษย์และสร้างบุญกุศลได้อย่างท่าน หวังแค่เพียงวันหนึ่งจักได้พบท่าน และตอบแทนบุณคุณที่ท่านได้ช่วยเหลือข้าในครั้งนี้” ศรีปางตาลยิ้ม ก่อนจะยกมือทั้งคู่ขึ้นทาบอก แหวนมณีนาคาเปร่งประกายระยิบระยับ

“ลาก่อน ท่านสวามิน” นางยิ้มก่อนจะค่อยๆหลับตา และทันใดนั้นแสงสีทองอร่ามก็ปรากฏขึ้นเป็นจุดเล็กบริเวณหน้าอกนาง มัน
กระพริบตามจังหวะหัวใจ ศรีปางตาลก้มลงมอง ก่อนที่แสงนั้นจะค่อยๆแผ่ขยายใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นจนในที่สุดแสงนั้นก็ฉาบร่างของนางจนอร่าม

พิทมองภาพนั้นด้วยความชื่นชม เขาจ้องมองแสงนั้นค่อยห่อตัวกลายเป็นลูกไฟสีทองดวงใหญ่ ลอยนิ่งอยู่ตรงหน้า

“สวยอะไรเช่นนี้” พิทนึกในใจ

แสงนั้นค่อยลอยขึ้นๆ และในที่สุดมันแตกฟุ้งออกเป็นเป็นละอองดอกพิกุลสีทอง ร่วงลอยไปทั่วบริเวณ

พิทแหงนหน้ามองปาฏิหารณ์ครั้งนี้ด้วยความตะลึงพรึงเพริด เขาหงายมือขึ้นรองรับดอกพิกุลสีทองดอกหนึ่งที่ร่วงหล่นลงมาใส่มือเขา

จ้องมองแสงดอกไม้นั้น

และทันใดนั้นเองสายลมวูบหนึ่งก็พัดหาเขาอย่างแรงจนพิทต้องหลับตา

ลมนั้นพัดวนไปมารอบตัวพิท เขารู้สึกถึงมัน แสงสีทองจากดอกพิกุลยังคงสว่างอยู่ในดวงตา มันทำหน้าที่นำทางในความมืด
ลมนั้นค่อยๆอุ่นขึ้นๆ จนในที่สุดมันก็สงบนิ่ง

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
พิทมาที่ไหนอีกเนี้ยะ :hao4:
ว่าแต่จะขึ้นเครื่องอีกแล้วเหรอ ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะ :L2:

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
พิทค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ สิ่งแรกที่เขาเห็นคือแสงสว่างสีทองที่อยู่ตรงหน้าเขา ข้างๆเขา และรอบๆตัวเขา
แสงเทียนนั้นเองที่นำทางให้พิทเดินทางกลับมาอีกครั้ง
พิทหันไปรอบๆ

“กลับมาแล้วหรือโยม”

“หลวงพ่อ” เขายิ้มด้วยความดีใจ

พิทกลับมาแล้ว การเดินทางที่แสนยาวไกลได้สิ้นสุดลงแล้ว เขาถอนหายใจด้วยความโล่งใจ เหงื่อเม็ดเล็กๆผุดเต็มหน้า หายใจยาวๆก่อนจะปล่อยอารมณ์ให้ผ่อนคลาย

“ผมไปนานเท่าไหร่ครับ” เขาสงสัย เพราะเหมือนว่าใช้เวลาในการเดินทางครั้งนี้ไปเป็นปี

หลวงพ่อไม่ตอบเพียงแต่มองไปยังแท่งเทียน พิทมองตาม เขาเข้าใจในทันทีว่า เวลาที่เขาใช้ไปในการเดินทางครั้งนี้ ไม่ได้มากพอที่จะทำให้เทียนละลายในหนึ่งแท่ง

“โยมกลับมา แสดงว่า”

“ครับหลวงพ่อ มันจบแล้ว” พิทน้ำตารื้อทันทีที่พูดคำนี้ ความรู้สึกมากมายปนเปอยู่ในใจของเขา ทั้งดีใจ เสียใจ เศร้าใจ ใจหาย มันบอกไม่ถูก

ไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่ใครจะสามารถย้อนเวลา ย้อนอดีตไปในชาติภพที่ผ่านมาของตัวเอง และได้พบเจอ สัมผัสกับอดีตที่เคยเป็นตัวตนปัจจุบันของตนเองมาก่อน

พิทคิดถึงโสภณเด็กหนุ่มผู้รักชาติ แววตาที่มุ่งมั่นของเขา ความภักดีที่เขามีต่อพิท แผ่นหลังอันอุ่นไอที่พิทเคยสัมผัสได้ ไม่รู้ตอนนี้เด็กหนุ่มคนนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง

พิทเป็นห่วงศรีเมือง แม่ทัพผู้หาญกล้า ภายใต้ใบหน้าที่เย็นชาแต่ดุดันแข็งกร้าวนั้น กลับซ่อนความรู้สึกอ่อนโยน อบอุ่นและปลอดภัย นั่นทำให้พิทประหลาดใจอย่างมาก ศรีเมืองจะเป็นอย่างไรต่อไป เขาจะพบจุดจบอย่างไร ไม่มีทางที่พิทจะรู้เลย
และพิทซาบซึ้งในความจงรักภักดีที่เวนไตยมีต่อเขาไม่มิเสื่อมคลาย ไม่ว่าจะกี่ชาติภพ วิญญาณของชายหนุ่มผู้นั้นก็ยังคอยตามปกป้องดูแลเขาเรื่อยมา พิทไม่รู้ว่าชาติก่อนหน้านั้น ตัวเขากับเวนไตยได้เกิดเป็นใคร และทำไมชายผู้นั้นถึงได้เฝ้ารักและภักดีต่อเขาขนาดนั้น อาจไม่จำเป็นต้องหาคำตอบ แค่นี้พิทก็รู้แล้วว่า เขาสมควรจะรักใคร

ศรีปางตาล นาคีสาวบริสุทธิ์ ผู้ที่ต้องตกเป็นเหยื่อของความโหดร้ายและเล่ห์ลวง จุดจบของนางทำให้พิทลืมเลือนสิ่งเลวร้ายที่นางทำไปหมดสิ้น เขาเข้าใจดีแล้วว่าทำไมนางถึงเฝ้าตามล้างผลาญชีวิตพราห์ม พิทไม่หลงเหลือความโกรธเกลียดพยาบาทใดๆ มีแต่ความเห็นใจและอโหสิกรรม

เรื่องราวทั้งหมดนั้นทำให้พิทใจหาย เขาคิดถึงภาพวันเก่าๆการผูกพันกับใครคนใดคนหนึ่ง ผ่านความทุกข์ความเจ็บปวดมาด้วยกันนับครั้งไม่ถ้วน หลอมละลายรวมกันเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่และทรงพลัง พิทหลับตา นึกถึงทิวในภพต่างๆพร้อมรอยยิ้ม
และลืมตาขึ้นพร้อมทั้งมีใบหน้าของชายทั้งสามคนทับซ้อนกันจนเป็นใบหน้าทิวคนเดียว

เขาคุกเข่าก้มลงกราบหลวงพ่อ

“ไม่มีโซ่เส้นไหนจะแน่นหนาไปกว่าโซ่แห่งความพยาบาทนะโยม คนเรามักผูกใจเจ็บกับคนที่ทำให้เราเจ็บปวด โดยลืมช่วงเวลาที่มีค่าอื่นๆไปหมดสิ้น”

“ใช่ครับหลวงพ่อ เราเลือกที่จะเจ็บปวดแทนที่จะมีความสุข”

“เพราะฉะนั้น เวลาที่เหลือตอนนี้  จงใช้มันอย่างมีสติ และตามครรลอง สิ่งใดควร สิ่งใดมิควรโยมรู้ดีแก่ใจแล้ว”

พิทมองหลวงพ่ออีกครั้ง ก่อนจะขอลาออกมาด้วยร่างกายที่เบาวิว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Chichi Yuki

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1584
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-3
เย้! เรื่องศรีปางตาลก็หมดไปแล้ว
มาตามลุ้นเรื่องอื่นกันดีกว่า อิอิ

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
คราวหน้าก็เป็นเรื่องความรัก แล้วสิน่ะ

ออฟไลน์ SenzaAmore

  • Where troubles melt like lemon drops....
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 713
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-0
 :katai2-1: เย่ๆ ผ่านไปได้ด้วยดี

รอตอนต่อไปค่ะ เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะ :mew1:
ปล...ลืมไปหมดแล้วว่าพิทกับทิวเจอกันได้ไง ผ่านไปหลายชาติเกิน. เลยต้องกลับไปอ่านใหม่อีกรอบ.555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-12-2013 23:37:37 โดย Theomen »

AlKhA0z

  • บุคคลทั่วไป
อยากอ่านต่อๆๆๆๆๆๆๆๆ X 100  :z3:

ออฟไลน์ gumrai3

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-4

ออฟไลน์ Naenprin

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +203/-1
เรื่องราวต่างๆก็จบลงแล้ว

มาลุ้นเรื่องของอนาคตกันดีกว่า

ออฟไลน์ mentholss

  • "เหตุผล" หรือ "ข้ออ้าง"
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
จะว่าไปก็เริ่มคิดถึงพ่อหนุ่มทิวแล้วสิ หลังจากที่ลืมไปนาน แหะๆ

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
เย้ๆๆๆ  ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว ศรีปางตาลก็ไปสบายแล้ว โล่งๆๆ
ทีนี้จะได้ไปหาทิวแล้วอ่ะดิ อิอิ

ออฟไลน์ Lemon_Tea

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1641
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
ความโกรธแค้นพยาบาทจบไปแล้ว
เหลือทิวที่ไม่รุ้อยู่ที่ไหน

m_pop91

  • บุคคลทั่วไป
ค่อยๆคลี่คลายไปในทางที่ดีแล้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3

LoveMagic

  • บุคคลทั่วไป
เห้อออออออออ//เอามือทาบ อก //อ่านทันซะที

เหลือก็แต่พี่บรรณ ต้องมีอะไรแน่ๆ ไม่อยากจะเดาเลย    :a5:

ออฟไลน์ changnoy

  • i ❤ ChangnoY
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
    • FB
ในที่สุดเรื่องราวก็คลี่คลาย หลังจากนี้ก็คอยฉากเลิฟซีนสินะ สินะ อิอิ

AlKhA0z

  • บุคคลทั่วไป
บินนานเจงๆ ป่านนี้ยังไม่มาต่อเลย  :z10:

ออฟไลน์ KIMKUNG

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
โห สุดยอด เลือกรักคนให้เป็นสินะ

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากนักสำหรับภพปัจจุบัน

ใช่สิ เขาเพียงแค่หายเข้าไปในห้องนั้นไม่ถึงชั่วโมง มันคงยังไม่ทันได้มีใครรู้หรอกว่าเขาหายไปไหน

“ทิว” พิทนึกชื่อชายคนนี้ขึ้นมาทันทีที่ออกมาจากกุฏิหลวงพ่อ ความสับสนในชาติภพค่อยปะติดปะต่อจนเข้ารูปเข้ารอย
เขามาซ่อมวัดที่นี่ และก็มาเจอกับเรื่องร้ายๆจนทิวต้องหายไป แล้วหลวงพ่อก็บอกกับเขาว่าทิวมาเพื่อทำหน้าที่เป็นสื่อ
แล้วตอนนี้ทิวไปไหน เขาหายไปไหน

“ทิว” พิทเร่งฝีเท้ากลับบ้านพัก พอมาถึงก็ปรี่ขึ้นบ้าน ปากก็ตะโกนร้องเรียกหาทิว

“ทิว ทิว”

“แต่ไม่มีวี่แวว มีเพียงเสียงจากลมทะเลเท่านั้นที่ตอบรับเสียงเรียกของเขา

พิทนั่งลงกุมขมับ เขาครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่อาจทำให้ทิวตกลงหล่นในห้วงอดีตบ้างหรือเปล่า สายตาพลันเหลือบไปเห็นแสงสว่างวาบๆที่มือถือ มีสายเรียกเข้ามาจากบรรณ

พิทมองมันอย่างเย็นชา ปล่อยให้สัญญาณเรียกเข้าตัดไปเอง เขาไม่มีอารมณ์จะรับสายชายผู้นั้น เมื่อนึกถึงหน้าสิมันตา

“หายไปไหนของเขานะ” พิทสับสน  ครั้งสุดท้ายที่พิทเห็นทิวก็คือตอนที่เป็นเวนไตย และนั่นก็ไม่ใช่ทิว หรือทิวจะหายไปตอนที่เขาอยู่กับผากอง

“ไม่สิ นั่นก็ไม่ใช่ทิว”

“เป็นอะไรไปครับคุณพิท” นายช่างผู้ที่ทำหน้าที่คุมงานก่อสร้างที่มากับเขาด้วย เดินขึ้นมาทัก ในมือของเขาถือไฟฉาย

“เปล่าครับลุง งานซ่อมเป็นยังไงบ้างครับ” พิทถาม

“ก็ดีครับ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ว่าแต่ เอ สีหน้าของคุณพิทดูไม่ดีเลยนะครับ”
พิทฝืนยิ้ม

“ผมว่าคุณพิทเหนื่อยมาหลายวันแล้ว พักสักสามสี่วันก็ดีนะครับ ไม่ต้องห่วงทางนี้หรอกครับ เดี๋ยวผมกับลูกน้องจัดการเอง” ชายผู้นั้นยิ้มให้เขาอย่างอารีย์

พิทพยักหน้ารับ เขาเองก็รู้สึกอยากจะพักแล้วเช่นกัน

เขาเดินออกมายืนสูดไอทะเลยามดึกที่ท้องฟ้าสุกสกาวไปด้วยดวงดาวที่แข่งกันฉายแสงอย่างไม่ยอมลดละ ท้องทะเลที่ดูเวิ้งว้างว่างเปล่า แต่ก็กลับยังมีแสงดาวแต่งแต้มให้ดูไม่เดียวดายมากนัก

“คุณพิทครับ โทรศัพท์น่ะครับ” เสียงนายช่างร้องเรียก พิทไม่สนใจเสียงนั้น จนกระทั่ง

“คุณพิท...........” ช่างผู้นั้นยื่นมือถือมาตรงหน้าเขา จนพิทเห็นเบอร์ที่โชว์หน้าจอนั้น มันไม่ใช่เบอร์บรรณ แต่เป็นเบอร์ของ

“แม่ทิว” พิทคว้าโทรศัพท์ได้รีบกระโจนลงจากเรือนพัก ลืมแม้กระทั่งใส่รองเท้า

“ครับแม่” น้ำเสียงทิวดูร้อนรน แต่กลับต้องแปลกใจเมื่อปลายสายนั้นดูตื่นเต้นมากกว่าเขา

“........................................”

“ครับ จริงหรือครับแม่” ใบหน้าของพิทเปื้อนรอยยิ้ม

“.............................................”

“งั้นผมจะรีบขึ้นไปขอนแก่นเดี๋ยวนี้แหละครับแม่ ขอบคุณนะครับ”

พิทกระโจนขึ้นบ้าน เก็บข้าวเก็บของใส่กระเป๋าอย่างลุกลี้ลุกลนจนนายช่างอดร้องทักไม่ได้

“คุณพิทจะไปไหน”

“ลุง ผมฝากลุงคุมงานที่นี่สักพักนะครับ พอดีมีธุระด่วน”

“ได้ครับ ว่าแต่คุณจะเก็บของไปไหนดึกๆดื่นๆ”

“ผมจะขึ้นกรุงเทพฯครับลุง”

“โอย คุณ ป่านนี้ไม่มีรถที่ไหนเขาวิ่งกันแล้วล่ะครับ เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมไปส่งพรุ่งนี้แต่เช้ามืดเลยนะครับ คืนนี้นอนก่อนเถอะ”
พิทได้สติ หันไปยิ้มแห้งๆกับช่าง ก่อนจะนั่งลง มองมือถือและยิ้มกับมันอย่างลืมตัว

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
เช้าวันรุ่งขึ้น พิทรีบกระโจนลุกจากเตียง อันที่จริงเขานอนไม่หลับเลยด้วยซ้ำจากข่าวที่แม่ของทิวส่งมาให้เขาเมื่อคืน พิทถลาลงไปอาบน้ำข้างล่าง ไม่นานเขาก็พร้อมอยู่ในชุดออกเดินทางพร้อมกระเป๋าเป้คู่ใจ

"ลุงมันไม่มีสายการบินมาลงที่ชุมพรเลยเหรอ” พิทถามอย่างร้อนรน
แต่เมื่อคำตอบนั้นคือ ไม่มี พิทจึงตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังท่ารถของเมือง ก่อนจะวิ่งลงไปซื้อตั๋วรถเที่ยวแรก

“ใช้เวลากี่ ชม ครับ” 

“ประมาณ 6ชั่วโมง”

คำตอบนั้นทำให้พิทถึงกับถอนหายใจ รู้อย่างนี้เขาน่าจะขับรถมาเองยังจะเร็วเสียกว่า แต่คงไม่มีประโยชน์ใดๆแล้ว พิทรีบวิ่งขึ้นรถทัวร์ ก่อนที่รถจะออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังกรุงเทพฯมหานคร

ระหว่างทางนั้นเขานอนไม่หลับเลย ในใจมัวแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องของทิว เขาตื่นเต้น ปนไม่แน่ใจในอะไรบางอย่าง แต่แล้วเมื่อรถวิ่งผ่านราชบุรี ด้วยความอ่อนเพลียเขาจึงเผลอหลับไป

เสียงรถจอดสนิท ผู้คนลุกขึ้นเก็บของ ปลุกให้พิทตื่นจากการหลับลึก เขาตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อเรียบเรียงเหตุการณ์ต่อไปว่าจะทำอะไรต่อ

นาฬิกาบอกเวลาบ่ายโมงกว่า จากหมอชิตใหม่ไปสนามบินน่าจะใช้เวลาอีกหนึ่งชั่วโมง เขาไม่รอช้า วิ่งข้ามถนนเรียกแท็กซี่ไปสนามบินแทบจะในทันที

การเดินทางที่อาจดูยาวไกลสำหรับใครบางคน จากใต้สู่อีสาน  แต่สำหรับพิท การเดินทางครั้งนี้มันเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับการเดินทางที่ผ่าน

ในที่สุดการบินไทยก็พาพิทมายังขอนแก่นในเย็นวันนั้น เขารีบบึ่งไปยังโรงพยาบาลที่ทิวอยู่ด้วยใจที่โหยหาอยากพบ
ทันทีที่ถึงโรงพยาบาลเขาไม่รอช้ารีบตรงไปยังประชาสัมพันธ์เพื่อถามให้แน่ใจว่าทิวยังอยู่ห้องเดิมอีกหรือเปล่า ปรากฏว่าเขาถูกย้ายมายังห้องผู้ป่วยธรรมดา นั่นเป็นข่าวดีสำหรับพิท แสดงว่าเรื่องราวร้ายๆที่เกิดกับทิวกำลังจะจบลง

พิทเดินมาตามทาง เหงื่อเต็มมือ เขาตื่นเต้นจนไม่สามารถจะปกปิดมันได้แม้แต่ทางแววตา
ห้องนั้นอยู่ตรงหน้าเขา การเดินทางสิ้นสุดลงแล้ว เขากำลังจะได้พบหน้าทิวแล้ว

“จะเป็นยังไงนะทิว” พิทเปรยเบาๆ ก่อนจะเคาะประตู
และเป็นผู้เป็นแม่ที่เดินออกมาเปิดประตูต้อนรับ สีหน้าของหล่อนดูมีชีวิตชีวาขึ้น ไม่อมทุกข์เหมือนแต่ก่อน คำแรกที่พิทถามแม่คือ

“ทิวฟื้นแล้วจริงๆหรือครับ”

ผู้เป็นแม่พยักหน้า น้ำตาคลอหน่วย หล่อนโผเข้ากอดร่างพิทแน่น ปากก็พร่ามขอบอกขอบใจที่ช่วยให้หล่อนได้ลูกชายกลับคืนมา
พิทลูบหลังหญิงผู้นั้นเบาๆ แต่ตากลับจ้องมองแต่ร่างที่หลับตาพริ้มอยู่บนเตียง

“แม่ขอบใจมากนะลูก” หล่อนปาดน้ำตา ก่อนจะลากเก้าอี้มาให้พิทนั่ง

“ทิวเค้ากระตุกๆตัวสองสามครั้งคืนก่อนนั้น แล้วชีพจรก็เต้นขึ้นลงอย่างแรงจนแม่กลัว แต่พอหมอมาดู รีบป้ำหัวใจ ทิวเค้าก็ฟื้น” แม่
ยิ้มดูมีความสุข

“ครับแม่” พิทไม่ตอบอะไร แต่เขาพยายามมองไปยังร่างนั้น ภาวนาให้ตื่นขึ้นมาสักที

“งั้นแม่ฝากทิวกับพิทก่อนนะลูก แม่จะกลับบ้านไปทำกับข้าวกับปลามา”

พิทพยักหน้ายิ้ม

หญิงผู้นั้นเดินหายไปจากห้อง เสียงประตูปิดดังแกร็ก พิทรีบถลาตัวไปจับมือของทิวก่อนจะบีบแน่น

“ทิว ตื่นได้แล้วเว้ย”

“ทิว” เขาเขย่ามือนั้นเบาๆ

แต่ร่างนั้นก็ยังคงหลับนิ่ง เสียงถอนหายใจดังขึ้น พิทวางมือนั่นลงก่อนจะมองร่างนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์

“เปลี่ยนไปมากจริงๆ” เขาว่า เมื่อนึกเปรียบเทียบเด็กหนุ่มผู้นี้กับศรีเมือง หรือเวนไตย เขากลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้ริมฝีปาก ดวงตา และจมูก ทุกอย่างจะคล้ายกัน แต่ยังไงๆสิ่งที่อยู่ข้างในมันก็ไม่เหมือนกันอยู่ดี

“น้ำ” จู่ๆแสงแหบพร่าก็ดังขึ้น ทิวร้องขอน้ำเพราะรู้สึกคอแห้ง พิทตกใจกระวีกระวาดหยิบแก้วน้ำก่อนจะประคองร่างนั้นขึ้นมา
ทิวดื่มมันจนค่อนแก้ว ก่อนจะกระแอมสองสามครั้ง  ค่อยๆลืมตาขึ้น

วินาทีนั้นเองที่หัวใจของพิทเต้นรัวจนไม่เป็นจังหวะ ทิวจะทักเขาว่าอย่างไร

“เฮีย”

“พี่พิท”

“ผมคิดถึงพี่”

หรืออะไรกันแน่










“ใครอ่ะ” ตึง!! สิ้นเสียงนั้นพิทแทบหงายหลัง

“ทิว” เขาเรียกสติอีกครั้ง เพื่อเตือนความจำ

“แม่ไปไหน”

“แม่นายไปทำข้าวเย็น”

“แล้ว เอ่อ แล้ว ลุงเป็นใคร”

ปัง!! พิทเหมือนโดนเด็กหนุ่มปิดประตูใส่หน้า จำหน้ากันไม่ได้ยังไม่พอ ยังเสือกมาเรียกลุงอีก

“ลุง ลุงเหรอ” เขากัดฟันแน่น

“ครับ ลุงเป็นเพื่อนแม่เหรอ”

“นี่ นี่ กูแก่ขนาดเพื่อนแม่เลยเหรอ” เขากล้ำกลืนแต่ละคำให้ลงคอไปอย่างยากลำบาก ความเหน็ดเหนื่อยที่อุตส่าห์ดั้นด้นมา

“ทิว กูขอบีบคอมึงได้มั้ย” พิทกัดฟัน

เด็กหนุ่มทำหน้าตกใจ ดูท่าทางเขาจะจำพิทไม่ได้จริงๆ

“ผมขอน้ำหน่อย” เขาดันร่างตัวเองขึ้นนั่ง

พิทหันหลังไปหยิบน้ำอีก พลางทำปากขมุบขมิบ

“กูแก่ขนาดนั้นเลยเหรอวะ ก็เป็นได้นะ แม่งไม่ได้นอนมาทั้งคืน คงมีริ้วรอยกันบ้าง แต่ก็นะ ไม่น่าต้องจะต้องเรียกกันลุงเลย เด็กเปรต”

“บ่นอะไรครับ” ทิวถาม

“เปล่าๆ” พิทร้องตอบ “หน็อย กูก็นึกว่าจะมีฉากซึ้ง แม่ง เรียกกูลุง”

“อ้าวน้ำ” เขายื่นน้ำให้ทิวอย่างเสียไม่ได้

ทิวรับน้ำมาดื่มอีกอึกใหญ่

“ตกลงลุงเป็นใครอ่ะครับ”

“นี่ เรียกพี่เหอะ ลุงขอ....เอ้ย พี่ขอ” พิทเผลอ “ชั้นกะนายก็ไม่ได้แก่อ่อนกว่ากันสักเท่าไหร่”

“ครับพี่”

“เออ ค่อยรื่นหูหน่อย”

“แต่พี่หน้าแก่จัง”

“สัส” พิทกัดฟันพูดเบาๆในลำคอ

“อะไรนะครับ”

“เปล่าๆ หน้าแก่มันคงไม่หนักหัวกะบาลมึงหรอกมั้ง” พิทพยายามออมมือให้ เพราะเห็นว่าเพิ่งฟื้น “แล้วเป็นไงมั่งอ่ะเราน่ะ”

“ก็มึนๆนิดหน่อยครับ” ทิวตอบ แล้วเขาก็จ้องหน้าพิทเขม็ง “แต่พี่หน้าคุ้นๆนะครับ”
ทิวทำหน้างง

“เหมือนผมเคยเห็นพี่ที่ไหนก็ไม่รู้ นึกไม่ออก”

“นี่ถามจริงจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ” พิทลองถามอีกครั้ง ทิวส่ายหัว

“นิ๊ดนึงก็จำไม่ได้เหรอ”

ทิวส่ายหัวอีกครั้ง

ครั้งนี้ทำให้พิทหงายหลังพิงเก้าอี้ พร้อมถอนหายใจอย่างแรง

“ทำไมเหรอครับ”

“ไม่มีไร”

“ตกลงพี่เป็นใคร”

“ชั้นอาจเป็นสายฝนเมื่อร้อนใน” พิทร้องเพลงกลบเกลื่อน

“ร้อนใจหรือเปล่า”

“เออ อย่ารู้เลย ว่าชั้นเป็นใคร ถ้าจำไม่ได้ก็ดีแล้ว เอาเป็นว่า นายหายดีแล้วก็ดี งั้นชั้นกลับล่ะ” พิทลุกขึ้นยืนหยิบกระเป๋า เพราะ
เห็นว่าคงไม่มีประโยชน์อะไรหากชายผู้นี้ลืมเลือนทุกสิ่งไปหมดแล้ว

บางทีฟ้าอาจลิขิตไว้ให้จุดจบมันอยู่ตรงนี้ก็ได้

“จะทิ้งผมไว้คนเดียวแบบนี้เหรอ”

พิทหันขวับ

“นี่ มึงไม่ใช่เด็กแปดขวบนะเว้ย”

“แต่แม่ผมฝากผมไว้กับพี่นะ”

พิทหยุดกึก เขาขมวดคิ้วครุ่นคิด

“หัวหมอนะมึง”

พิทนั่งลงทิ้งกระเป๋า

“ผมนึกออกแล้วว่าผมเคยเจอพี่ที่ไหน” เขาทำหน้าดีใจ “ ที่นี่ พี่เคยมาที่นี่”

พิทได้ยินดังนั้นถึงกับถลึงตาด้วยความตื่นเต้น

“จริงเหรอ”

“ใช่ ผมเคยเจอพี่ที่นี่”

“แล้วจำอะไรได้อีก”

ทิวเงียบไปครู่ใหญ่

“ไม่ได้แล้ว”

“โธ่” พิทรู้สึกผิดหวัง

เขานั่งลงก่อนจะหันไปเปิดทีวีเพื่อทำลายความเงียบที่เกิดขึ้นทั่วบริเวณ พิทไม่รู้จะพูดเรื่องอะไรกับทิว เขาเหมือนคนแปลกหน้าของกันและกัน

พิทหาเหตุผลบอกทิวไม่ได้ว่าเขาเป็นใคร จะบอกได้อย่างไรว่าเขาเป็นคนที่ทิวจงรักภักดีมาตลอด

“ตลกตายห่า”

“ทิว” จู่ๆพิทก็จ้องหน้าทิวอย่างจริงจัง เขายังคงทำใจไม่ได้ที่จะต้องรู้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะจำเขาไม่ได้ ถึงแม้อยากจะยอมรับมัน แต่ลึกสุดใจแล้ว พิทก็ทำไม่ได้ พวกเขาร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ผ่านเรื่องราวทั้งดีและร้ายด้วยกันมา ความผูกพันที่ทิวสร้างขึ้น สายใยที่เขาถักทอขึ้น มันจะไม่มีความหมายเลยเหรอ เขาจะทิ้งพิทไปง่ายๆโดยปล่อยให้เขาจมอยู่ในอดีตเพียงลำพังอย่างนั้นเหรอ

“นายจ้องตาชั้นดีๆแล้วบอกชั้นทีว่านายจำชั้นได้”

ทิวจ้องกลับเนิ่นนาน เขาขมวดคิ้วหรี่ตา บางครั้งก็เอียงหัวเล็กน้อย

แต่แล้ว ช่วงเวลาสุดท้ายที่พิทรอคอยก็มาถึง

คำตอบที่เขารอคอย

“ไม่อ่ะ” ทิวส่ายหน้าช้าๆ

นั่นทำให้พิทหลับตา ถอนหายใจ และละทิ้งความหวังสุดท้ายไปอย่างจำยอม
เขาไม่ดึงดันเรียกร้องให้ทิวจดจำอะไรได้อีกต่อไป

ทั้งคู่ฆ่าเวลาด้วยการดูรายการทางโทรทัศน์ เพราะต่างคนต่างไม่รู้จะพูดอะไร
จนกระทั่งตกเย็น ผู้เป็นแม่ก็กลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้งพร้อมเสบียงอาหาร

“อยู่ทานข้าวเย็นกันก่อนนะลูก”

“ไม่หล่ะครับ เดี๋ยวผมจะรีบตีรถกลับกรุงเทพฯ” พิทว่า

“อ้าว ทำไมรีบกลับล่ะลูก”

“ก็ เอ่อ” เขาเหลือบไปมองทิวที่นอนไม่รู้อิโหน่อิเหน่

“นี่ทิวยังไม่คุยกับพี่เขาเหรอลูก”

“เรื่องอะไรอ่ะแม่”

“ก็เรื่อง..................”ผู้เป็นแม่กำลังจะพูด แต่พิทห้ามไว้

“ไม่เป็นไรครับแม่ ผมแค่มาดูว่าเขาหายดี แค่นี้ก็พอแล้วครับ”

“แต่ แต่เอ่อ” แม่ของทิวละล่ำละลัก “แม่กำลังอยากจะขอแรงพิทให้ช่วยดูแลทิวระหว่างที่แม่ไม่อยู่หน่อย” หญิงผู้นั้นยิ้มแห้งๆ หล่อนคงรู้สึกไม่ดีที่มาร้องขอให้พิททำอะไรแบบนี้

“พอดีแม่บนกับหลวงพ่อไว้ว่าถ้าทิวหายแม่จะบวชชีพราห์ม สองอาทิตย์”

“แต่”

“งั้นไม่เป็นไรลูก แม่รู้ งั้นเดี๋ยวแม่ไปส่ง” ผู้เป็นแม่เดินตามพิทออกมาจากห้อง หล่อนปิดประตูอย่างเบามือ

“แม่ขอโทษแทนทิวด้วยนะลูก ที่เขาจำอะไรไม่ได้เลย”

“ไม่ใช่ความผิดของเขาหรอกครับ อีกอย่าง ผมก็แค่แวะมาดู ว่าทุกอย่างเรียบร้อยก็เท่านั้น”  เขากล้ำกลืนฝืนความรู้สึกที่เต้นระริก
อยู่ในใจไม่ให้แสดงออกทางแววตา

แต่รู้ว่าคงทำได้ไม่ดีนัก

“ทิวจะต้องรู้แน่ สักวัน” แม่ของเด็กหนุ่มทิ้งท้ายไว้ ก่อนที่พิทจะนั่งรถสองแถวออกจากโรงพยาบาล

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
เขาเหม่อลอยมองข้างทางอย่างไร้จุดหมาย สมองที่ว่างเปล่านั้น แท้จริงมีแต่คำถามเรื่องของทิว
ไม่สิ

เรื่องของตัวเอง

เรื่องทุกอย่างมันจบแล้ว นางนาคศรีปางตาลก็ละทิ้งความอาฆาต หลุดพ้นไปยังภพภูมิที่ดีกว่าแล้ว
ทิวเองก็หายและกำลังจะมีชีวิตเป็นของตัวเองโดยไม่ผูกพันกับเขา
มีแต่เขาเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในวังวนนี้ โดยที่ไม่สามารถจะไปไหนต่อได้
มีแต่เขา


รถสองแถวจอดที่ท่ารถตามที่เขาต้องการ พิทก้าวขาลงมาจากรถอย่างเลื่อนลอย เขาจ่ายเงินและนั่งลงตรงม้านั่งรอรถ
คิด คิดและคิด

“เฮีย” เสียงทิวยังคงก้องอยู่ในหัว


“เด็กอะไรกวนตีนชิบหาย” เขาหัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงวีรกรรมที่เด็กนั่นเคยทำ
กี่หนที่ทำให้เขาหัวเราะ
กี่ครั้งที่ทำให้พิทอุ่นใจ
นับครั้งไม่ถ้วนที่เด็กนั่นคอยปกป้องเขา
แล้วเขาหล่ะ เคยคิดจะทำอะไรให้ทิวบ้างมั้ย

“แค่เขาสมองเสื่อม แค่นี้ก็ท้อแล้วเหรอไอ้พิท” เขาพูดกับตัวเอง

“ถึงหมอนั่นจะจำอะไรในอดีตไม่ได้ ก็สร้างมันขึ้นมาใหม่สิวะ ไอ้โง่”

“โธ่เว้ย” ว่าแล้วพิทก็หัวเราะร่า จนคนแถวนั้นมองด้วยความสงสัย เขาหยิบกระเป๋าเป้ พลางวิ่งไปเรียกรถสองแถว

“ไปโรงพยาบาลครับพี่”

...


บรรณร้อนรนใจจนบอกไม่ถูก เขารู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในกองเพลิงที่ร้อนรุ่ม หมู่นี้เขาใจคอเขาไม่ค่อยดี มันหวิวๆ จนแปลกๆ บรรณพยายามโทรหาพิทหลายครั้ง แต่เขาไม่เคยได้รับการตอบรับจากชายผู้นั้นเลย
พิทไม่เคยเป็นเช่นนี้ มันต้องเกิดอะไรขึ้นกับพิทแน่ๆ

ครั้งแรกเขาคิดว่าเพราะเรื่องพิท ทำให้เขาร้อนรุ่ม แต่มันมากกว่านั้น มันมีอะไรมากกว่านั้น ในยามหลับบรรณจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมเหงื่อที่โทรมกาย

ฝันร้ายที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไร ตามหลอกหลอนเขา

บรรณตัดสินใจหยิบมือถือขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะกดโทรหาพิท

เขารอสายอยู่พักใหญ่

“พิท” ในที่สุดปลายสายก็รับสาย  “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมเงียบไปเลย”
บรรณพูด เขาตื่นเต้นจนน้ำเสียงดูสั่นเครือ

“งานยุ่งนะครับ” ปลายสายตอบมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“อ๋อครับ พี่คิดถึงนะครับ”

ปลายสายเงียบไป บรรณรับรู้ได้ทันทีว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติไป แต่เขาเลือกที่จะมองในแง่ดีว่า ชายคนนั้นคงจะเหนื่อยจากงาน

บรรณบอกลาก่อนจะวางสายไปพร้อมกับคำถามในใจมากมาย





พิทวางสายจากบรรณ เขายืนนิ่งอยู่หน้าห้องทิว จ้องมองมือถือนั่น ใจก็นึกถึงหน้าบรรณ หน้าอองตู หน้าสิมันตา ยิ่งคิดถึงใบหน้า
พวกเขาเหล่านั้น ความเกลียดชังก็ลบเลือนความรักที่เคยมีต่อบรรณจนหมดสิ้น

เขารู้ว่ามันผิดที่ทำกับบรรณแบบนั้น แต่ภาพอดีตมันเลวร้ายจนเกินกว่าจะให้อภัย



“แม่ครับ” พิทเปิดประตูห้องเข้าไป นั่นทำให้หญิงวัยกลางคนผู้นั้นถึงกับตกใจ

“ผมดูแลทิวให้ก็ได้ครับ” เขาพูดสั้นๆง่ายๆ สายตามองไปยังเด็กหนุ่มที่มองมาหาเขาด้วยสายตาไม่เข้าใจ


พิทมีเวลาอีกสองอาทิตย์ที่จะอยู่ดูแลทิว เขาไม่หวังจะให้ทิวฟื้นความทรงจำ สิ่งเดียวที่พิทหวัง แค่อยากทำอะไรเป็นการตอบแทนในสิ่งที่ทิวทำให้เขามาตลอด

ทิวผอมและกล้ามเนื้อไม่สมบูรณ์ เพราะเขาใช้เวลาในการหมดสตินานเกินไป ถึงแม้ผู้เป็นแม่จะทำกายภาพบำบัดให้เขาในขณะที่เขาหลับใหล แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอ

หมอแนะนำให้พาทิวไปออกกำลังกายวันละ 30 นาที แล้วค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งพิทและแม่รับปาก ผู้เป็นแม่ล่ำลาทิว ส่วนพิทเองถือโอกาส นี้โทรไปสั่งงานกับช่างที่ยังคงทำงานอยู่ที่ชุมพร

“แม่ฝากทิวด้วยนะลูก” หล่อนหันมายิ้ม ก่อนจะเดินออกจากห้องไป




“แม่บอกว่าพี่ช่วยชีวิตผม” ทิวว่า ก่อนที่จะลุกขึ้นมานั่งพิงขอบเตียง

“อืม” พิทนั่งลงใกล้ๆ

“เรารู้จักกันมาก่อนเหรอ”

“คงงั้นมั้ง”

“อืม” ทิวพยักหน้า “มิน่าล่ะ ผมถึงรู้สึกคุ้นเคยกับพี่ แต่ก็นึกไม่ออกสักที”

“ไม่ต้องนึกหรอก ทำใจให้สบายเถอะ” พิทว่า “แล้วนี่แขนขาเป็นยังไงบ้าง หมอบอกว่าต้องออกกำลังกาย”

“ผมรู้แล้วน่า แต่เดี๋ยวก่อนได้มั้ย” เขามีท่าทีอิดออด “นอนแบบนี้มันสบายดี”

พิทสังเกตท่าทีที่เปลี่ยนไปของทิว ทิวในตอนนี้ไม่เหมือนกับทิวคนก่อนๆ เขาดูเหมือนพวกไม่เอาอ่าว เป็นเหมือนเด็กทั่วๆไปที่รักสบายและเอาแต่ใจ

“หยิบน้ำให้หน่อยสิครับ” เขาชี้

พิทมองทิวด้วยความไม่สบายใจ แต่ยังไม่คิดอะไรมาก เขายื่นน้ำให้ ทิวรับมันมาแล้วดูดน้ำรวดเดียวหมด

“มันหยดอ่ะพี่ เปียกๆ” ทิวชี้ไปที่หน้าอก เป็นเชิงสั่งว่าให้เช็ดให้หน่อย
พิททำตามโดยดี

“แล้วเมื่อไหร่ผมจะได้ออกจากโรงพยาบาล”

“ไม่รู้สิ เดี๋ยวแม่นายกลับมาคงรู้เองแหละ”

“อยู่แต่ในห้องน่าเบื่อจะตาย ขออกไปเที่ยวได้มั้ย”

“หมอยังไม่อนุญาต พี่คงพาไปไหนไม่ได้”

“อะไรกัน นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้” ทิวเริ่มหงุดหงิด น้ำเสียงเขาเปลี่ยนไป

พิทลุกขึ้นยืน เขาถอยห่างออกมานั่งตรงโซฟา พินิจเด็กหนุ่มที่นอนอยู่ตรงนั้นด้วยความสงสัย เขาสับสนไปหมดแล้ว ว่าตัวตนไหนคือตัวตนที่แท้จริงของทิวกันแน่

ทิวลากตัวลงนอนอย่างเกียจคร้าน เขาหันหลังให้พิท  และนอนอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน

“นี่ ทิว นายอยากไปไหน” พิทยอมแพ้ ในที่สุดเขาก็เลือกที่จะง้อ

“ไปไหนก็ได้ ที่ไม่ใช่โรงพยาบาล” เด็กนั่นพูดอู้อี้ในลำคอ

“ได้ อยากไปไหนเดี๋ยวจะพาไป แต่ขอให้แข็งแรงกว่านี้หน่อยได้มั้ย ชั้นไม่อยากให้นายต้องเป็นอะไรไปอีก”

“พี่เป็นใคร ทำไมต้องมาห่วงผมด้วย”

เป็นคำถามที่ตรงและแรงพอที่จะทำให้พิทสะอึก เขาสูดหายใจลึกๆ

“ชั้นก็เป็นคนที่แม่นายฝากให้ดูแลนายไง”

“แต่ผมโตแล้วนะ”

“โตเหรอ อย่างนี้เรียกว่าโตเหรอ การที่ยังคงงอแงเรียกร้องสิ่งนู่นนี่อย่างกับเด็กวัยสิบขวบ อย่างนี้เรียกว่าโตเหรอ”

“แล้วยังไงล่ะ ที่พี่เรียกว่าโต”

พวกเขาต่างมีน้ำเสียงที่แข็งกร้าวใส่กัน

“คนที่โตเขาต้องรู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ อะไรควรพูดไม่ควรพูด และรู้ว่าต้องรับผิดชอบตัวเองยังไง แต่ดูนายสิ แค่จะให้ไปทำกายภาพบำบัดนายยังไม่อยากแม้แต่จะลุก แต่โวยวายจะออกไปข้างนอกให้ได้ตามใจ ทั้งๆที่แม้แต่แรงจะยืนยังไม่มี ยังงี้ให้ชั้นเรียกนายว่าโตแล้วอย่างนั้นเหรอ”

ทิวเงียบไปทันทีเมื่อเจอชุดใหญ่เข้าไป

“ก็...................”

“นายมันอ่อนแอและไม่ใช่ทิวคนที่ชั้นเคยรู้จัก” พิทว่าก่อนจะขึงขังลุกออกจากห้องไป


พิทออกมาสงบสติอารมณ์ข้างนอก เขาเดินไปยังสวนเล็กๆที่เขาเคยนั่งพักผ่อนในวันที่เขามารักษาตัว ก้อนหินใหญ่ก้อนเดิมกลายเป็นที่นั่งของเขาอีกครั้ง พิทมองไปรอบๆบริเวณ คิดถึงวิญญาณของทิว แต่ไม่ใช่ทิวคนที่นอนในห้องคนนั้น



เพราะอะไรดวงวิญญาณกับคนที่มีชีวิตจริงๆถึงได้ต่างกันขนาดนี้

“เฮ้อ” พิทถอนหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน เขารู้สึกเหมือนช่วงชีวิตที่ผ่านมานั้น ไม่มีเวลาไหนที่เขาได้หยุดพักเลย

“ป่านนี้ศรีเมืองจะเป็นตายร้ายดียังไงบ้างวะ” ในบรรดาทิวทั้งสี่ชาติ พิทกลับคิดถึงและผูกพันกับทิวในชาติที่เป็นศรีเมืองมากที่สุด
ทิวในชาตินั้นรุ่มร้อน แต่เย็นชา แข็งกร้าวแต่อ่อนโยน เมื่อพิทอยู่ด้วยแล้วเขาไม่เคยเบื่อเลยที่จะต้องตื่นมาแล้วเจอกับเขา เพราะ
พิทไม่มีทางเดาได้เลยว่าวันนั้นศรีเมืองจะเป็นยังไง

“ขอให้นายปลอดภัยด้วยนะศรีเมือง” พิทภาวนา

เขานั่งปล่อยอารมณ์ทอดกายจนเย็นย่ำ เงาของตึกนั้นทอดยาวจนบดบังแสงสว่างไปหมดสิ้น

อารมณ์ของพิทเย็นลง เขาลุกขึ้น บอกกับตัวเองว่า สู้ต่อไป ก่อนจะหันหน้าเดินกลับห้องพัก

ทันทีที่เปิดห้องเข้าไป เขาเห็นเพียงแต่ความว่างเปล่า ทิวหายไป

พิทมองไปรอบๆห้องเปิดประตูออกมามองไปรอบๆ ก่อนจะถามพยาบาลนางหนึ่ง แต่ไม่มีใครเห็นแม้แต่เงาของทิว

พิทรู้สึกใจคอไม่ดี เขาพูดกับหมอนั่นแรงไปรึเปล่า

“โอ้ย” เขาหงุดหงิดตัวเอง ก่อนจะวิ่งพร่านทั่วโรงพยาบาล

ในที่สุดพิทก็พาตัวเองมาถึงห้องกายภาพบำบัด เขาสังหรณ์ใจว่าทิวจะอยู่ที่นี่ และก็เป็นจริงดังเช่นคิด ทิวกำลังยืดแข้งยืดขาเก้เก้กังกัง

“มาได้ยังไง” พิทเดินมาประกบข้างๆ

หมอนั่นไม่ตอบ ได้แต่เหลือบตามองก่อนจะเบะปากใส่

“กวนจริงๆนะมึง” พิทบ่นกับตัวเอง

เขาค่อยๆเดินไปตามรางเลื่อนโดยเร่งความเร็วขึ้น จู่ๆ ก็ก้าวขาพลาดเซเกือบจะล้ม พิทตกใจรีบคว้าตัวไว้

“ระวังหน่อยสิ”

เป็นอีกครั้งที่หมอนั่นไม่พูด ทำเพียงแค่กรอกตามองเชิงให้ปล่อย

พิทถอนหายใจ เลิกยุ่งกับเขา หันมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์แทน

ในห้องมีผู้ป่วยที่มาทำกายภาพหลายคน เคสของบางคนเลวร้ายกว่าทิวมากนัก บางคนไม่มีแรงแม้แต่จะยืน บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะยืนอย่างไร

“ดูพวกเขาไว้นะ นายจะได้รู้ซะทีว่าคนที่เขาตะเกียกตะกายอยากจะกลับมาแข็งแรงอีกครั้งแล้วมันทำไม่ได้น่ะ มันทรมานแค่ไหน”

“รู้แล้วน่า บ่นเป็นตาแก่ไปได้”

“พูดได้แล้วเหรอ”

“เออ ไม่ได้เป็นใบ้ซะหน่อย”

“ดี พูดได้ก็ดี” พิทวางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะอย่างไม่พอใจ “งั้นหาทางกลับห้องเองด้วยแล้วกัน” ว่าแล้วเขาก็ลุกออกจากห้อง
ทิ้งให้ทิวยืนนิ่งอยู่ลำพังในห้องนั้น


ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
บางครั้งพิทก็รู้ว่าเขาอารมณ์ร้อน ด้วยความที่เป็นลูกคนเดียว ไม่เคยต้องมาดูแลใครแบบนี้ แต่พอมาคิดอีกทีหนึ่ง บางทีอาจถึงเวลาที่เขาต้องชดใช้กรรมที่เคยทำกับทิวไว้ ที่ให้ทิวดูแลปกป้องเขาชาติแล้วชาติเล่า ครั้งนี้อาจถึงเวลาที่หมอนั่นมาเอาคืนแล้วก็ได้

ทิวใช้เวลาในห้องนั้นเกือบชั่วโมง เมื่อได้เหงื่อพอประมาณเขาก็เดินกลับห้อง จริงๆเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก เพียงแค่ผอมไปหน่อยและกล้ามเนื้ออ่อนแรงไปบ้างเท่านั้น ถ้าได้รับการดูแลที่ดี ออกกำลังกายตามสมควร ก็กลับมาแข็งแรงได้ในไม่ช้า
แต่เพราะอะไรไม่รู้เขาถึงไม่อยากจะทำอะไรทั้งนั้น การที่ต้องหลับใหลไปเนิ่นนานจนไม่รู้วันเวลานั้น บางทีมันก็สบายเกินไปที่จะตื่นมารับรู้ความเป็นของโลกก็ได้

แต่เพราะชายคนนั้น ชายแปลกหน้าที่ทำให้เขารู้สึกอยากลุกขึ้นมาเอาชนะคำสบประมาท ทำไมเขาถึงรู้สึกเช่นนั้น

“กลับมาแล้วเหรอ” พิททักเมื่อเห็นทิวเดินเขามา เขามองของกินที่วางอยู่เต็มโต๊ะ

“หิวยังวะ จะได้กินกัน”

“ยัง” ทิวเดินหายเข้าไปห้องน้ำ

“หมอบอกว่าถ้านายออกกำลังกายบ่อยๆ แขนขาก็จะกลับมามีแรง และมีกล้ามเนื้ออีกครั้ง”

“รู้แล้ว”

“รู้ว่ารู้แล้ว แต่อยากจะบอก มีปัญหาอะไรมั้ย”

“อย่ากวนประสาทได้มั้ยพี่ คนเหนื่อยๆอยู่”

“อ้าว” พิทอ้าปากจะเถียงต่อ แต่ก็ต้องสงบสติอารมณ์ “กินน้ำส้มคั้นดิ ไปเดินตลาดนัดข้างโรงพยาบาลมาของกินเพียบ”
ทิวนั่งลงรื้อกองอาหาร หยิบน้ำส้มขึ้นมาแกะดูด

“เปรี้ยวชิบหาย”

“เหรอ งั้นเอาน้ำบัวบกดิ”

ทิววางขวดน้ำส้ม หันไปหยิบขวดน้ำบัวบกแทน

“โอ้ย ขม”

พิทกัดริมฝีปากแน่น หมอนี่นี่มัน เหลือเกินจริงๆ

“จะแดกอะไรก็เลือกเอาเองแล้วกัน แดกเสร็จกินยาด้วย วางอยู่หัวเตียงน่ะ” พิทหันไปดูทีวี โดยไม่หันมาสนใจทิวอีกเลย

ชีวิตของเขาทั้งคู่ในช่วงสองสามวันหลังจากนั้นก็อึมครึมตลอดมา พิทเหนื่อยหน่ายที่จะต้องคอยจ้ำจี้จ้ำไชทิวอีกต่อไปแล้ว เขาจึงใช้เวลาส่วนใหญ่หมดกับการนั่งเขียนบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขาตั้งแต่ต้น


“เขียนอะไรน่ะ” ทิวเดินมาข้างหลัง หลังจากกลับมาจากออกกำลังกาย

“ยุ่ง ไปอาบน้ำไป จะได้กินข้าวนอน”

“เมื่อไหร่แม่จะกลับ”

“ก็ไปถามแม่นายสิ มาถามอะไรชั้น”

“อ้าว ถามดีๆ” ทิวถอดเสื้อที่ตอนนี้ดูมีแต่กระดูกซี่โครงปูดโปน “นี่พูดดีๆกันสักวันได้มั้ย”

“จะพยายามนะ” พิทว่า แต่ก็ยังก้มหน้าก้มตาเขียนบันทึกต่อไป


ทิวหายเข้าไปในห้องน้ำนานสองนานจนพิทอดแปลกใจ เขาคอยเงี่ยหูฟังเป็นระยะๆ และแล้วจู่ๆก็ได้ยินเสียงของหล่นกระแทกพื้นดังเพล้ง

“ทิว” ไม่รอช้า พิทถลาเข้าไปเปิดประตูห้องน้ำที่สามารถเปิดได้จากด้านนอกเข้าไป


ผ่าง!!!

และภาพที่เห็น ทำให้พิทต้องยืนตัวแข็งทื่อ

ภาพที่ทิวยืนแก้ผ้า มือนึงถือแปรงสีฟันคาปาก อีกมือนึงพยายามปิดน้องชายตัวเองให้มิดชิด

ทั้งคู่จ้องหน้าด้วยความตกใจกันครู่หนึ่ง และคนที่แหกปากร้องคนแรกคือ

“เฮ้ยยย เข้ามาทำไม!!” เสียงทิวร้องลั่นห้องจนพิทรีบปิดประตูใส่ดังปัง

เขายืนตัวแข็งทื่อ มือชาหน้าชาไปหมด

“ชิบหายแล้วกู” เขาเปรย ก่อนจะตัดสินใจเดินหายออกไปจากห้องพร้อมใบหน้าที่แดงก่ำ

พิทรอให้แน่ใจว่าทิวหลับแล้ว เขาจึงย่องกลับมายังห้อง และก็พบว่าทิวนอนหันหลังให้ เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกดังขึ้น
เขาล้มตัวลงนอนที่โซฟาตัวเดิม

“เห็นหมดเลยสินะ” จู่ๆเสียงอ่อยๆของทิวก็ดังขึ้น

“เห็นอะไร”

“อย่ามาทำเป็นไขสือ”

“อ้าว” พิทพยายามกลั้นหัวเราะสุดกำลัง

“เปิดเข้ามาทำบ้าอะไร”

“ก็นึกว่าล้มหัวฟาดพื้น”

“ทีหลังไม่ต้องเป็นห่วงขนาดนี้ก็ได้”

“นี่ ไอ้ทิว จะอะไรกันนักหนา แค่แก้ผ้านิดหน่อย อีกอย่าง ชั้นก็ไม่เห็นอะไรของนายสักนิด แค่ฝ่ามือเดียวก็ปิดมิดขนาดนั้น”

“ลุง!!” ทิวหันขวับมาทางทิว “จะมากไปแล้วนะ”

“เออๆ ไม่ต้องคิดมาก ไม่บอกใครหรอก นอนได้แล้ว ง่วง”

พิทปิดการสนทนา ก่อนจะหันหน้าเข้าหาโซฟา นึกขำในใจ

ออฟไลน์ jamlovenami

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 639
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ง่ะ ทิวจำไม่ได้จริงอ่ะ แง่ง เศร้าแทนพิท  :ling2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด