Page 28 : เธอกลับมาเพื่อหมุนเข็มนาฬิกาให้เดินกลับหลัง
ไม่ทันที่พระอาทิตย์จะได้ส่องแสง เมตตาก็หอบหิ้วสิปป์ศิลป์พร้อมสัมภาระขึ้นมอเตอร์ไซค์สี่สูบคันโต ที่วันนี้ได้ออกโรงแทนเจ้าเต่าเขียวมะกอก เนื่องจากอยู่ๆ น้องเต่าก็เกิดงอแงสตาร์ทไม่ติดขึ้นมา ทำเอาสองหนุ่มต้องเปลี่ยนแผนกะทันหัน
มันไม่ง่ายเลย...กับการต้องเป็นสก๊อยหนุ่มตอนหกโมงเช้า
“เ...ชี่... ขั...ช้าๆ หน่....” สิปป์เปิดกระจกหมวกกันน็อก พลางตะโกนแข่งกันเสียงลมอื้ออึงรอบข้าง ทว่าคนที่ตั้งหน้าตั้งตาบิดมอเตอร์ไซค์กลับนิ่งเฉย คนซ้อนเลยได้แต่ซุกตัวกับแผ่นหลังด้านหน้า แล้วค่อยๆ เอื้อมแขนไปโอบรอบตัวของคนขับ และคิดปลอบใจตัวเองว่าท้องถนนในยามเช้ามืดของวันเสาร์ คงไม่มีใครตื่นเช้ามาเห็นผู้ชายกอดกันกลมแบบนี้หรอกน่ะ
วันนี้สมาชิกเกย์สเกลมีนัดกันตอนเจ็ดโมงตรงที่หน้าประตูออฟฟิศ เพื่อร่วมขบวนฉิ่งฉาบทัวร์เอาท์ติ้งประจำปี หลังเมตตาจอดรถเก็บเรียบร้อย วอลโว่คันงามของพี่เป็ดก็มาถึงพอดี น้องจีวิ่งดุ๊กดิ๊กลงมาจากรถพร้อมพร็อพสุดเวอร์วังอลังการดาวล้านดวง จนสิปป์ต้องออกปากทัก
“แว่นกันแดดตอนเจ็ดโมง? หมวกสาน? ห่วงยางรูปเป็ด? จี...เยอะไป๊!”
“แหมมมม...มึงไม่เยอะเลยเนอะไอ้สิปป์” ผู้ปกครองของน้องจีร้องทักบ้าง นักเขียนยักไหล่ทำหน้าโซพราวด์ ภาคภูมิใจในเสื้อเชิ้ตสีแสดสไตล์ฮาวาย และอุปกรณ์เล่นทรายถุงโตที่หอบหิ้วมาจากสำเพ็ง
“อ่ะ” เมตตายื่นบางสิ่งให้คนรัก เพียงเท่านั้นทั้งพี่เป็ดและน้องจีก็ได้ขำก๊ากรับอรุณกันทันที
“มึงจะเอาออกมาทำไม!! โห่ยยยย” สิปป์โวยวายลั่น หากก็ยอมยื่นมือไปรับแว่นดำน้ำพร้อมสน็อกเกิ้ลสีสันเข้าชุด
“ทำไมไม่เอาตีนกบกับถังออกซิเจนมาด้วยเลยล่ะมึง” พี่เป็ดตบเข้าอีกดอก เรียกเสียงหัวเราะดังลั่นรับแสงอาทิตย์ยามเช้าได้เป็นอย่างดี ไม่นานนักสมาชิกเกย์สเกลคนอื่นๆ ก็ทยอยมาถึง รวมถึงบก.ใหญ่ที่วันนี้จัดเต็มด้วยชุดยูนิฟอร์มพร้อมลงทะเลจนใครๆ ก็อดแซวไม่ได้
“เอ่อ...พี่เอ้ฮะ” สิปป์ร้องทักหัวหน้าใหญ่ที่กำลังกางอุปกรณ์เมคอัพบนโต๊ะม้าหินหน้าออฟฟิศ
“ว่า?”
“ชุดพี่จะเตรียมพร้อมลงทะเลไปหรือเปล่าฮะ” นักเขียนทำเสียงใสซื่อ ไม่บอกก็รู้ว่าแอ๊บแบ๊วถามไปให้โดนด่าเล่นๆ
“แกมีปัญหาอะไรกับกางเกงเจเจฉันเหรอไอ้สิปป์?!” ไม่เพียงแต่กางเกงขาสั้นยางยืดลายแบบเดียวกับที่สก๊อยเด็กฮิตกันเมื่อเกือบสิบปีก่อน พี่เอ้ยังสวมท่อนบนด้วยเสื้อยืดคอย้วยสีดำซีดตัวโคร่ง จนชักไม่แน่ใจว่าเจ๊แกจะไปเอาท์ติ้งหรือขับรถมาส่งลูกไปทัศนศึกษากับโรงเรียนกันแน่
ก่อนที่นักเขียนปากกล้าจะถูกฆ่าตายด้วยอายไลเนอร์ ฟอร์จูนเนอร์คันโตก็มาจอดด้านหน้า เรียกทุกสายตาให้จับจ้องโดยพร้อมเพรียงกัน ประตูด้านข้างคนขับเปิดออก พร้อมเด็กหนุ่มร่างสูงที่กระโดดลงมา
“หวัดดีครับ” ปันทักทายทุกคน ก่อนจะโบกมือส่งสัญญาณให้คนขับถอยรถเข้าที่จอด
“พ่อมาส่งเหรอปัน” เมตตาเอ่ยทัก ขณะจ้องมองไปยังคนขับที่เดินตรงมาพร้อมกระเป๋าใบใหญ่สองใบ
“อ๋อ...ไม่ใช่พ่อปันหรอกพี่” เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงใส ทั้งหมดยกมือไหว้ผู้มาใหม่ก่อนปันจะแนะนำต่อ “นี่ลุงปืนครับ”
คนถูกแนะนำยิ้มให้ทุกคน แล้วพาร่างสูงโปร่งของตัวเองมาหยุดตรงหน้าผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม
"เอ้..." เสียงทุ้มเอ่ยเรียกบก.ของเกย์สเกล ทำเอาพนักงานที่เหลือหูตั้งกันเป็นแถว
ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก คนที่เหมือนจะรู้ตัวว่าถูกทักยังคงนั่งก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ สไลด์ขึ้นๆ ลงๆ จนหน้านิวฟีดเฟซบุ๊กไม่รู้จะโหลดอะไรใหม่ ผู้มาเยือนเปลี่ยนจากยืนเป็นทิ้งตัวนั่งแทรกตรงที่ว่างข้างๆ
คนถูกรบกวนกระเด้งตัวลุกขึ้นยืนก่อนชักสีหน้าหงุดหงิด พี่ปืนส่งยิ้มบางๆ ให้ผู้สังเกตการณ์ทุกคน หากไม่ทันที่สงครามจะเริ่มต้น คนห้ามทัพก็มาถึงเสียก่อน พี่เอสกระโดดลงรถแล้วปรี่ตรงมาหาพี่สาวและเพื่อนทั้งๆ ที่คนขับรถยังจอดรถไม่สนิท
"มาถึงนานยัง" พี่เอสเอ่ยทักแขกรับเชิญของทริป พี่ปืนส่ายหัวก่อนจะถูกพี่เอสลากมายืนอยู่ด้านหน้า
“นี่พี่ปืน เป็นเพื่อนพี่กับพี่เอ้ แล้วก็เป็นลุงของปัน” เด็กๆ ยกมือไหว้ให้พี่ปืนที่ถูกแนะนำอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
"นี่สิปป์ นักเขียน เมต ตากล้อง" พี่เอสชี้ไปยังเด็กสองคนที่ยืนพิงประตูรั้วออฟฟิศ "นี่เก็ต กราฟิก พี่เลี้ยงเจ้าปันนั่นแหละ"
พี่เก็ตทำตาโต พยายามแก้คำว่าพี่เลี้ยง แต่ดูเหมือนพี่เอสจะไม่สนใจ "นี่พุด แอดมิน ที่นั่งอยู่ตรงประตูนั่นเป็ด จี ชิ สามคนนี้เป็นเซลส์"
พี่ปืนรับไหว้แล้วยิ้มตอบกลับมาแบบที่น้องจีแอบกระซิบกับพี่เป็ดว่า 'ยิ้มแฉ่งเหมือนพระอาทิตย์เลย'
“อ่ะ รถมาแล้วๆ เดี๋ยวทยอยขนของขึ้นรถกันเลยนะ” รถตู้ขนาด 12 ที่นั่งมาจอดเทียบด้านหน้าออฟฟิศ พี่เป็ดจึงเดินนำทุกคนยกสัมภาระไปเก็บหลังรถ ในขณะที่เจ้านายใหญ่สุดถือเอากระเป๋าให้ย่อมมาส่งให้พี่เอ้
บก.สาวคนเดียวในแก๊งรับของแล้วหายเข้าไปในออฟฟิศ สักครู่หนึ่งพี่เอ้จึงเดินออกมาด้วยเสื้อกล้ามพร้อมกระโปรงผ้าป่านยาวประมาณน่อง ไม่ลืมหมวกสานสีอ่อนและแว่นกันแดดประจำกาย
“โธ่เอ๊ย... นึกว่าพี่เอ้จะแต่งชุดนั้นไปจริงๆ” สิปป์ศิลป์บ่นอุบอิบ ในขณะที่เมตตาลอบมองคุณลุงของปันอย่างเงียบๆ แม้ไม่ใช่คนช่างสังเกต แต่ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าระหว่างพี่ปืน พี่เอส และพี่เอ้ มีอะไร ‘บางอย่าง’ ที่ผิดปกติ เหมือนในความสนิทสนมมีความห่างเหินอยู่ในนั้น...
เสียงพูดคุยคึกคักตั้งแต่เริ่มออกรถ ทุกคนต่างงัดไอเท็มฮอตมาโชว์กันเสียงดังลั่น โดยเฉพาะพี่เอสที่เอาของกันน้ำเกือบทุกชนิดในโลกมาอวดเด็กๆ ให้เรียกเสียงฮือฮาได้ทุกชิ้น
“นี่ไม่ใช่นาฬิกาธรรมดา” หัวหน้าแก๊งชูนาฬิกาเรือนพลาสติกสีดำขึ้นมา
“มันกันน้ำได้เหรอฮะ” น้องจีถามเสียงใส “อันนี้จีก็มีๆๆ”
“ถ้าแค่กันน้ำได้พี่จะเอามาทำไมฮึ” พี่เอสโบกของในมือไปมา ก่อนจะพูดต่อ “นี่เป็นนาฬิกาที่กันน้ำได้ลึกระดับ 200 เมตร แล้วมันยังมีโปรแกรมที่บอกเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและตกที่ชายหาดฮิตทั่วโลกเกือบ 300 หาดเลยนะ!”
“โหๆๆๆ” ทุกเสียงร้องด้วยความตื่นเต้น
“แล้วไอ้หาดที่เราจะไปมันมีข้อมูลมั้ย” พี่ปืนที่นั่งฟังเพื่อนขายของมานานเอ่ยถามบ้าง
“เอ่อ...” เจ้าของนาฬิกาอึกอัก “ไม่มีอ่ะ”
“โห่ๆๆๆ” คราวนี้เด็กๆ ส่งเสียงโห่แทน ทำเอาเจ้าพ่อไอเท็มต้องรีบแก้ตัว
“เฮ้ยๆๆ แต่พี่ยังมีอีกอย่าง รับรองเด็ดสุด!” พูดจบพี่เอสก็เดินมาเบาะแถวหน้า แล้วก้มลงหยิบบางอย่างจากกล่องโฟมข้างพี่เอ้
“เฮ้ยยย!! คิริน คิริน!” พี่เป็ดส่งเสียงตื่นเต้น พลางรับกระป๋องเบียร์สัญญาณญี่ปุ่นจากพี่เอส
“กูกินได้มะ?” สิปป์กระซิบถามคนข้างๆ เสียงเบา ไม่ใช่ว่าจะขออนุญาตหรืออะไร แต่ไม่แน่ใจว่ากินแล้วจะลำบากเพื่อนร่วมทางหรือเปล่า
ไม่ทันที่เมตตาจะตอบ พี่เอสก็ส่งกระป๋องเย็นเฉียบสีขาวมาให้ “อุเมะชู ชิลๆ ไม่เมาชัวร์”
พอเจ้านายว่าอย่างนั้น สิปป์ศิลป์เลยต้องพลอยรับมาด้วย เพียงเปิดกระป๋อง กลิ่นลิ้นจี่ก็โชยออกมายั่วน้ำลายแล้ว หลังจิบไปสองสามอึก นักเขียนก็บอกตัวเองเลยว่า สบายยย... ซดน้ำผลไม้มาลียังเมาง่ายกว่า ฮิฮิ เอิ๊กกกก....
พอขึ้นมอเตอร์เวย์มาได้สักพัก น้องจีกับพี่เป็ดก็จัดการแจกจ่ายข้าวเหนียวหมูทอดฝีมือแม่ให้กับทุกคน หลังจัดการข้าวเช้ากันหมดกล่อง ทุกคนก็เหมือนถูกพิษร้ายเข้าครอบงำ เห็นได้ชัดจากอาการตาปรือจนสุดท้ายก็หลับคอพับคออ่อนไปตามๆ กัน เหลือทิ้งไว้เพียงความเงียบ และบก.สาวคนเดียวที่นั่งใจลอยไปตลอดทาง
พี่เอ้หันไปมองน้องชายตัวเองกับใครอีกคนที่นั่งหลับอยู่แถวที่สอง เมื่อวานพอรู้ว่าคนที่ถูกฝังในความทรงจำกำลังจะกลับมา พี่เอ้ก็รู้สึกซวนเซจนต้องพาตัวเองไปค้างคอนโดเพื่อน เพราะบ้านหลังเดิมดูเหมือนจะกลาดเกลื่อนไปด้วยเรื่องราวเก่าๆ จนหายใจแทบไม่ออก
พวกเขาสามคนรู้จักกันสมัยเรียนมหา’ลัย ในยุคที่มีเทปของศิลปินอัลเตอร์เนทีฟเป็นดนตรีประกอบชีวิต การเจอกันของพี่ปืนกับพี่เอ้อาจไม่แตกต่างจากนิยายรักทั่วไป ถ้าอยู่ในยุคสมัยนี้ อาจต้องมีแฮชแท็ก
#พี่สโมสาววายกับเพื่อน(น้อง)ชายสุดติ๋ม เกิดขึ้นแน่ๆ
สมัยนั้นมหาวิทยาลัยเพิ่งมีการจัดตั้ง ‘สโมสรนักศึกษา’ ขึ้นมาอย่างเป็นจริงเป็นจัง โดยให้นักศึกษาบริหารงานเต็มรูปแบบ ต่างจากสมัยก่อนที่อำนาจนักศึกษายังไม่มากมายขนาดนี้ พี่เอ้ เด็กปีสองตัวแทนจากคณะการจัดการโรงแรมถูกเสนอให้เป็นหนึ่งในทีมสโมฯ แม้โดยหลักการแล้ว สโมฯ ควรดำเนินงานโดยเด็กปี 3-4 แต่พี่เอ้คือข้อยกเว้น
หลังเข้าเป็นสมาชิกได้ไม่นาน สโมสรนักศึกษารุ่นใหม่ก็ต้องจัดงานใหญ่งานแรก นั่นคือกีฬาสัมพันธ์ภายใน พี่เอ้และทีมอีก 3 คนได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลกีฬาสามชนิด หนึ่งในนั้นคือฟุตบอล และนั่นเองที่เป็นจุดเริ่มต้นของแฮชแท็กในตำนาน...
“สมัครอะไรคะ” พี่เอ้เงยหน้ามองผู้ชายหน้าติ๋มใส่แว่นกรอบใสตรงหน้า “ถ้าสมัครลีดเดอร์ไปอีกห้องนึงนะคะ”
“เอ่อ...ฟะ...ฟุตบอลครับ” ผู้ชายคนนั้นตอบ ในมือถือใบสมัครไว้มั่น “คณะบริหารครับ”
พี่เอ้มองมืออันเรียวสวย สลับกับมือป้อมๆ พร้อมผิวสัมผัสแห้งกร้านของตัวเอง ในขณะที่หนุ่มติ๋มทำหน้าเลิ่กลั่ก ก่อนยืนยันเสียงแข็ง “นี่รายชื่อนักฟุตบอลทั้งหมดของคณะบริหารครับ”
“อ้อ...” พี่เอ้พยักหน้าหงึกๆ “ค่ะ งั้นวางเลยค่ะ”
หนุ่มแว่นยิ้มแฉ่งตาแทบปิด ซึ่งพี่เอ้แอบกลับไปเขียนลงสมุดไดอารี่ไว้ว่า ‘ไม่รู้พ่อเป็นดวงอาทิตย์หรือไง ถึงได้สว่างไสวนัก’
จริงๆ แล้วพี่เอ้ไม่สันทัดกีฬาอะไรสักชนิด โดยเฉพาะฟุตบอลที่ไม่รู้ว่ามันสนุกตรงไหนกับการดูคนวิ่งไล่ลูกไปมา แต่ด้วยหน้าที่ ก็ทำให้ตนเองต้องมานั่งเกาะขอบสนาม ประหนึ่งติ่งเกาหลีที่ตีบัตรแถวหน้าสุดอย่างในขณะนี้
“พี่ปืน! ทางนี้ ส่งมาๆ!” ผู้ชายเบอร์ 5 ที่ถูกเรียกคือผู้ชายสุดติ๋มที่หน้าเหมือนคุณหมอ ซึ่งต่อมาพี่เอ้รู้แล้วว่าชื่อ ‘ปืน’ ส่วนไอ้เบอร์ 3 ตัวดำเป็นถ่านที่ยืนตะโกนว๊ากๆ อยู่นั่นก็คือไอ้เอส
ลูกกลมๆ ถูกส่งผ่านจากปืนไปสู่ไอ้เอส ก่อนศูนย์หน้าของคณะบริหารจะอัดเข้าประตูไปแบบสวยงาม ทั้งทีมกรูกันเข้าไปหาคนทำแต้ม แต่คนส่งลูกวิ่งไปถึงตัวคนยิงก่อนใครเพื่อน ปืนคว้าไอ้เอสมากอดทั้งตัว ตามมาด้วยบรรดานักเตะทั้งฝูงร่วมรุมทึ้งศูนย์หน้าราวกับนี่คือแต้มที่เอาชนะแมนยู
หลังกีฬามหา’ลัยสิ้นสุดลง พร้อมกับฟุตบอลคณะบริหารฯ ได้ถ้วยแชมป์ไปครอง ไอ้ติ๋มที่ชื่อปืนก็เข้ามาพัวพันในชีวิตสองพี่น้องมากขึ้นๆ กับเอสไม่ค่อยน่าแปลกใจ เพราะเรียนคณะเดียวกัน ถึงจะคนละปี แต่ก็มีได้เจอกันบ่อยๆ จนหลังๆ ก็กลายมาเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันไป แต่กับพี่เอ้ ไม่รู้ทำไมถึงได้เกี่ยวข้องกับไอ้คนชื่อปืนบ่อยนัก
“อ้าว มาทำไมเนี่ย” พี่เอ้ที่กึ่งนั่งกึ่งนอนกดรีโมตทีวีอยู่ในบ้านเอ่ยถามไอ้หน้าพระอาทิตย์ที่เดินตามหลังเจ้าเอสต้อยๆ
ปืนชี้ตัวเองแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่า ‘ผมเหรอ’ ซึ่งพี่เอ้ก็ตอบรับอย่างไพเราะว่า “เออ!”
เอสคว้าคอแขกของบ้านมากอด ก่อนจะตอบพี่สาวแทนคนถูกถาม “คืนนี้จะไปพาร์ที่...”
“แหวะ” พี่เอ้ทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ไอ้คนที่สำเนียงดีเกินเหตุ
“นั่นแหละ จะไปปาร์ตี้กัน เลยให้ไอ้ปืนมานอนด้วย นี่เอาของมาเก็บก่อน”
พี่เอ้โบกมือปัดๆ คล้ายไม่สนใจ แม้จะอดแปลกใจไม่ได้ ที่สองคนนั้นสนิทสนมกันถึงขั้นเรียก ไอ้ ซึ่งไม่รู้ว่าปืนมันยอมได้ยังไง ให้เด็กอย่างไอ้เอสนับเป็นเพื่อน
“เฮ่ย!!” เจ้าบ้านสะดุ้ง เมื่อกำลังล้มตัวลงนอน แต่กลับวาดขาไปโดนคนในความคิดอย่างจัง
“ไม่เป็นไรๆ” หนุ่มแว่นที่ยังติ๋มเสมอต้นเสมอปลายยิ้มไม่ถือสา “เอ้นอนเถอะ เดี๋ยวเราไปนั่งตรงนั้นก็ได้”
‘ตรงนั้น’ ที่ปืนว่า คือ ‘พื้น’ แล้วเจ้าบ้านอย่างพี่เอ้จะทำอะไรได้ นอกจากเขยิบให้ผู้มาเยือนได้นั่งโซฟาด้วยกัน
“ขอบคุณครับ” น้ำเสียงสุภาพเอ่ยขึ้น ซึ่งไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่า เจ้าของคำขอบคุณคงมีรอยยิ้มแถมมาให้เหมือนเดิม
“ไปปาร์ตี้อะไรกันเหรอ” พี่เอ้ชวนคุย ขณะที่สายตาก็มองสอดส่ายหาน้องชายไปด้วย
“อ่า...ก็ไม่เชิงปาร์ตี้หรอกครับ มีตติ้งโต๊ะธรรมดาๆ เอ้ไปด้วยกันมั้ย” พูดจบก็ยิ้มอีก ปลูกเป็นไร่ขายเป็นโลสินะ รอยยิ้มเนี่ย
“ขอบใจนะ ไปสนุกกันเถอะ กินเผื่อเราด้วย ฮ่าๆ” แม้กำลังทำทีเป็นสนใจละคร แต่จิตใจมันไม่ยอมจดจ่อพร้อมลูกตา เพราะมันเอาแต่เต้นตึกๆ อย่างกับมีใครมารัวกลองใส่ แถมจะทำอะไรก็ดูขัดๆ เขินๆ ได้แต่ภาวนาให้ไอ้เอสมาลากเพื่อนรุ่นพี่ของมันไปซะที
“ขอบคุณนะที่คุยกับเรา” อยู่ๆ แขกของบ้านก็พูดขึ้น พี่เอ้หันไปทำหน้าตื่นตะลึง “เรารู้ว่าเอ้คงไม่ค่อยชอบเราเท่าไร แต่เราก็อยากเป็นเพื่อนกับเอ้นะ”
ในชีวิตนี้พี่เอ้มีเพื่อนหลายคนหลายกลุ่มเพราะชอบทำกิจกรรม แถมยังเป็นคนร่าเริงเวอร์ๆ พูดจาเสียงดังโผงผาง อยู่กับผู้หญิงก็เป็นหัวโจก อยู่กับผู้ชายก็เหมือนเป็นเพื่อนผู้ชายอีกคน และแน่ใจว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเกลียดใครแบบจริงๆ จังๆ
“คือ...” พี่เอ้อึกอัก “ไม่รู้ว่าทำไมปืนเข้าใจไปอย่างนั้น แต่เราไม่ได้ไม่ชอบปืนนะ แบบ...เฮ้ย มีอะไรก็คุยกันได้ เพื่อนกันๆ”
นั่นอาจเป็นคำที่ผิดพลาดที่สุดที่พี่เอ้เคยพูดมา ...การเปิดให้ผู้ชายที่ยิ้มสว่างไสวเหมือนดวงอาทิตย์เข้ามาในชีวิตอย่างจริงจัง
(ต่อด้านล่าง)