27 : แผน
เย็นนี้สองพี่น้องกราฟิกมีนัดกับบก.เอ้ไปดูคอนเสิร์ตวงร็อกอังกฤษชื่อดังรอบสื่อ จริงๆ แล้วบก.ใหญ่ไม่ได้พิศมัยจังหวะเบสหนึบๆ หรือเสียงซาวน์อิเล็กทรอนิกส์บาดหู แต่สิ่งที่ดึงดูดให้รีบบึ่งรถออกจากออฟฟิศก็คือคอนแท็กระดับบิ๊กๆ ที่ไม่ได้มีโอกาสเจอได้ง่ายๆ ส่วนน้องปัน ผู้เป็นร็อกพันธุ์ไทย กราบไหว้พี่ตูน บอดี้สแลม เข้าลัทธิหัวมันโปเตโต้ เป็นแฟนพันธุ์แท้ซิลลี่ฟูลยุคที่มีพี่โตเป็นศาสดา จะว่าชอบวงที่มานี่ก็ไม่ใช่ เพราะถึงจะสายร็อก แต่ภาษาต่างถิ่นก็ทำเอาวิงเวียนจนเข้าไม่ถึง ทว่าที่ยอมจอดเวสป้าไว้บ้าน แล้วขอยืมฟอร์จูนเนอร์ของลุงขับมาก็เพราะคนๆ เดียว ที่คลั่งไคล้และทำท่าว่าจะตายให้ได้ถ้าไม่มาดู ...พี่เก็ต!
"บัตรล่ะพี่?" ร่างสูงเอ่ยถามรุ่นพี่ที่ดูท่าจะตื่นเต้นจนถึงขั้นแสดงออกทางสีหน้า ตอนนี้หน้างานคราคร่ำไปด้วยบรรดา 'Press' ทั้งตัวจริงและตัวปลอม เก็ตค้นเป้ไม่นานก็เจอของที่ปันถามหา นามบัตรของบก.เอ้พร้อมบัตรเชิญถูกส่งให้สต๊าฟ ณ จุดลงทะเบียน
ปันลอบมองคนที่ยืนอยู่ไม่สุขข้างๆ ไม่เคยเห็นพี่เก็ตตื่นเต้นขนาดนี้มาก่อน ขณะที่นั่งรถมาสาวกตัวจริงก็พูดเกี่ยวกับวงที่จะมาดูนี้ไม่หยุด เห็นว่าพี่เก็ตจองบัตรวันงานจริงไม่ทัน และที่มีปล่อยในเน็ตตอนนี้ก็ถูกอัพราคาสองสามเท่า การได้มาดูในวันนี้ถือว่าโชคดีจริงๆ
"เรียบร้อยค่ะ" เสียงหวานๆ ของสต๊าฟเรียกปันให้กลับไปสนใจอีกครั้ง พี่เก็ตรับป้ายแขวนคอมาไว้ในมือแล้วชะงัก
"ได้แค่ใบเดียวเหรอครับ" พี่เก็ตทำสีหน้าตกใจ สต๊าฟเช็กชื่อในนามบัตรอีกครั้งแล้วยืนยันว่าได้รับแค่หนึ่งใบจริงๆ
สองกราฟิกแห่งเกย์สเกลเดินออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เก็ตกดโทรศัพท์โทรหาพี่เอ้ ไม่นานบก.ที่ตามหาก็มาถึง หลังรับรู้เหตุการณ์ทั้งหมด บก.เอ้ก็โทรหาพีอาร์ของงาน ทางพีอาร์แจ้งว่า บัตรเชิญหนึ่งใบใช้แลกบัตรเข้างานได้หนึ่งใบเท่านั้น ซึ่งทางเกย์สเกลได้รับบัตรเชิญสามใบ อีกสองใบที่เหลือน่าจะอยู่ที่พี่เป็ดและน้องจี
"เป็ด แกมาคอนเสิร์ตวันนี้หรือเปล่า" พี่เอ้กรอกเสียงไปตามสาย ได้ยินปลายสายอึกอักแล้วบอกตามจริงว่าได้เอาบัตรเชิญให้เพื่อนไปแล้ว พร้อมขอโทษขอโพยยกใหญ่
หลังบก.ใหญ่วางสาย ปันที่เดินหายไปตรงโต๊ะสต๊าฟก็กลับออกมาพอดี "เค้าบอกว่าคอนเสิร์ตจะเริ่มตอนสองทุ่ม ส่วนตอนนี้จะเป็นช่วงให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์ครับ"
"อืม..." พี่เอ้เงียบไปสักพัก "งั้นเดี๋ยวพี่เข้าไปช่วง press แล้วเดี๋ยวเอาบัตรออกมาให้ แต่มันก็มีแค่ใบเดียว..."
"พี่เก็ตดูเลย ปันเฉยๆ ไม่ได้อยากดูอยู่แล้วแหละครับ" ปันรีบปฏิเสธ
เสียงพี่เอ้กดโทรศัพท์หาเพื่อน ในขณะที่ปันเดินหายไปในกลุ่มคนข้างหน้าอีกครั้ง เก็ตมองหน้าคนนั้นทีคนนี้ที ใครสักคนเดินเข้ามาทักทายกลุ่มเขา พี่เอ้ถามทันทีว่ามีบัตรเหลือมั้ย อีกฝ่ายบอกว่าหาบัตรอยู่เหมือนกัน ผู้ชายอีกคนเดินเข้ามาสมทบ บ่นอุบว่าคนในกั๊กบัตรจนสื่อมวลชนตัวจริงเข้ามาทำข่าวไม่ได้
"งั้นตามนี้นะ เดี๋ยวพี่เข้างานก่อน ปันกับเก็ตรอพี่อยู่แถวนี้แล้วกัน ถ้าเผื่อเจอคนรู้จัก อาจจะได้บัตรเข้าไปดูคอนเสิร์ตอีกใบนะ” บก.เอ้ทิ้งท้ายกับลูกน้อง
“พี่เอ้” เก็ตเรียกสาวร่างใหญ่ที่กำลังเดินเข้าประตูกั้น คนถูกเรียกหันมาแล้วยักคิ้วเป็นเชิงถาม กราฟิกมองสบตาเด็กตัวสูงข้างๆ ก่อนตัดสินใจเอ่ยออกไป “พี่เอ้ไม่ต้องออกมาหรอก เก็ตตัดสินใจแล้ว ไม่ดูดีกว่า”
“ทำไมล่ะพี่” เป็นปันที่ร้องถาม
“ปลายปีมีแพลนว่าจะบินไปดูที่อังกฤษอยู่แล้ว ไม่เป็นไรหรอก”
“เอางั้นเหรอ” บก.ลังเลเล็กน้อย
“ครับ” เก็ตพยักหน้า ก่อนตบท้ายด้วยถ้อยคำที่น้อยคนนักจะได้ยิน “ขอบคุณมากนะครับ”
สองกราฟิกเดินออกมาจากฮอลล์ที่จัดงาน จนถึงพื้นที่ของห้างสรรพสินค้า เด็กตัวสูงจึงเอ่ยถามรุ่นพี่ที่เดินทำหน้าเฉยอย่างคาดเดาความรู้สึกไม่ได้
“ไม่อยากดูจริงๆ เหรอพี่”
เก็ตชะงักเท้าพลางถอนหายใจ “อยากดูดิ่ แต่ไม่อยากให้ใครต้องมาเดือดร้อนขนาดนี้”
จากคนที่ไม่ใยดีต่อโลก ไม่มีเพื่อนมนุษย์อยู่ในสายตา วันหนึ่งเก็ตก็รู้สึกว่าแว่นหนาๆ ของตนเองค่อยๆ ชัดขึ้น อยู่ๆ คนรอบข้างก็ปรากฏในการรับรู้ เขาเพิ่งสัมผัสได้ว่าความห่วงใยจากใครต่อใครวนเวียนอยู่รอบกายเต็มไปหมด
...มากมายจนเขาอยากสะท้อนความรู้สึกดีๆ เหล่านี้กลับไปบ้าง
“หิวป่ะ? อยากกินอะไร...เดี๋ยวพี่เลี้ยง”
คนได้ฟังทำตาโตด้วยความตกใจ “ฮะ!! หลอกกันป่าวพี่ แล้วเลี้ยงทำไมอ่ะ”
“เลี้ยงต้อนรับ” อีกคนตอบสั้นๆ
เด็กชายตัวโตขำก๊าก มือเรียวสะกิดไหล่คนสูงอายุกว่าล้อๆ “อะไรๆ อยู่มาจนจะไปอยู่แล้วเนี่ย เพิ่งจะเลี้ยงเหรอพี่”
“จะกินไม่กิน”
พอเสียงนิ่งๆ ว่าดังนั้น เด็กขี้สงสัยเลยต้องรีบตอบรับทันควัน “กินคร๊าบบบ ฟูจินะ”
เก็ตโบกมือเหมือนรำคาญเต็มที “เออๆๆ เอ็งจะฟูจิ มิยาบิ ยาโยอิอะไรก็นำไปเลย”
ปันวิ่งลงบันไดเลื่อนเพื่อไปยังโซนร้านอาหารด้านล่าง โดยมีพี่เก็ตส่งเสียงดุไล่ตามหลังจนถึงร้าน สองพี่น้องยืนหอบอยู่หน้าร้านอาหารญี่ปุ่น โชคดีที่คนบางตา ไม่ต้องรอคิวให้เมื่อย
"นี่พี่" ปันใช้ตะเกียบสะกิดหลังมือของคนตรงข้าม "ไม่ใช่เกรงใจพี่เอ้หรอก แต่เพราะไม่มีปันไปดูด้วยใช่มั้ยล่ะ"
คนจิบชาเขียวถึงกับสำลัก "บ้านเอ็งสิ! อย่าสำคัญตัวเองผิด"
เด็กตัวโตหัวเราะ “แล้วยังไงล่ะ”
"จะให้พี่เอ้เข้าไปแล้วต้องวิ่งฝ่าคนออกมาหรือไง ถึงพี่ไม่ได้เป็นคนดีมาก แต่ก็ไม่คิดจะเบียดเบียนคนแก่หรอกนะ"
"ร้ายยยย ว่าพี่เอ้แก่" พูดจบก็หัวเราะตาหยี
"ทำไม จะฟ้อง?" เก็ตรู้สึกเหมือนอายุลดไปเรื่อยๆ เมื่อต้องอยู่กับไอ้เด็กแสบนี่ทุกวันๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ให้ตายก็ไม่มีทางมานั่งพูดเถียงอะไรไร้สาระแบบนี้เด็ดขาด
อาหารที่สั่งทยอยมาเสิร์ฟ เซตซูชิรวมของปันมาก่อน เด็กหนุ่มจ่อตะเกียบในมือกับบรรดาซูชิหลากหลายหน้า ก่อนจะเลือกคีบชิ้นหนึ่งขึ้นมา
"อ่ะ" ซูชิหน้าปลาแซลมอนถูกวางลงบนจานของพี่เก็ต คนคีบยิ้มแล้วเอ่ยเบาๆ "ให้"
เก็ตยู่หน้าแล้วเลื่อนจานซูชิไปทางเจ้าของ "ไม่เอาๆ เหม็นคาวจะตาย"
"โห่" คนตรงข้ามร้องเสียงดัง "พี่รู้ป่ะ นี่เป็นหน้าที่ปันชอบที่สุดเลยนะ"
กราฟิกรุ่นพี่เบ้ปาก "ชอบก็เก็บไว้กินเองดิ่"
ปันทำหน้าหงอย ปากบ่นอุบอิบ "ก็เพราะชอบ ก็เลยอยากให้คนที่...."
"ที่อะไร?!" พี่เก็ตถามเสียงดุ
"ที่เคารพครับ!!"
สุดท้ายเก็ตก็จำตรงกลืนไอ้ปลาเหม็นๆ ลงกระเพาะไป เพราะถ้าไม่กิน ไอ้เด็กแสบบอกว่าจะลงไปนอนดิ้นกับพื้นร้าน และคนอย่างไอ้ปัน มันต้องทำจริงแน่ๆ ซึ่งเก็ตไม่อยากเสี่ยงเอาความอายมาทิ้งไว้ ณ ห้างดังใจกลางเมืองแห่งนี้...
…………. Gayscale Magazine………….
อีกมุมหนึ่งของกรุงเทพฯ
ร้านเหล้าเล็กๆ เปิดต้อนรับผู้ชายสองคนที่มาจับจองพื้นที่หน้าเคาน์เตอร์บาร์ตั้งแต่ยังไม่สองทุ่ม คนหนึ่งสวมเชิ้ตขาวสะอาดรีดเรียบกริบ อีกคนสวมเสื้อยีนส์ตัวโคร่งพร้อมแว่นกันแดดสีเข้มซึ่งเหน็บอยู่ที่คอเสื้อ ดูเผินๆ แล้วไม่นึกว่าทั้งสองคนนี้จะรู้จักกันได้
“ว่าไง” คนสวมเชิ้ตสีขาวที่กำลังแกว่งแก้วในมือไปมา เอ่ยถามถึงสิ่งที่กำลังรออยู่
“แล้วพี่ไปแอดแฟนเก่าทำไมวะ” เสียงทุ้มของหนุ่มมาดเซอร์เอ่ยถามสวนขึ้น คนถูกถามอึกอักก่อนถอนหายใจยาว
“ก็พี่เอสอ่าดิ่” ผู้ชายมาดเนียบที่รู้จักกันในนาม ‘พี่เป็ด’ กล่าวเสียงเซ็ง
“พี่เอส?”
“เออ” มือเรียววางแก้ววงบนเคาน์เตอร์ “ก็พี่เอสให้กูไปช่วยดูบริษัทใหม่ที่เค้ากำลังทำมาร์เก็ตติ้งออนไลน์ใช่ป่ะ แล้วดันรู้ว่าแฟนเก่ากูทำอยู่บริษัทคู่แข่ง”
หนุ่มเสื้อยีนส์หรือ ‘เมตตา’ ใช้นิ้วชี้เคาะโต๊ะเล่นขณะฟังเพื่อนร่วมงานอธิบาย “ก็เลยให้พี่ติดต่อ?”
พี่เป็ดยักไหล่ “ก็ประมาณนั้น”
“งั้นก็บอกจีไปตรงๆ ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรนี่” ตากล้องแนะนำ
“คือ...” คนกำลังมีปัญหาอึกอักอีกรอบ “ที่จีโกรธเพราะเค้ารู้ว่ากูคุยนอกประเด็นว่ะ”
“นอกประเด็นยังไง?”
“ก็...คุยถึงเรื่องเก่าๆ คือกูไม่ได้ตั้งใจ แต่แบบ...คุยๆ ไปมันก็โยงไปจนได้”
“ถามจริงๆ นะ” เมตตายกแก้วบนโต๊ะขึ้นจิบเล็กน้อย “รู้สึกอะไรกับแฟนเก่าป่ะ”
คราวนี้พี่เป็ดนิ่งอึ้ง เมื่อคำถามที่ได้ยินเป็นสิ่งที่เขาก็ถามตัวเองอยู่เหมือนกัน
“ซวยแล้วไง” ตากล้องถึงกับอุทาน เมื่อเห็นท่าทีของคนข้างๆ
“ได้กลับไปคุยกัน มันก็รู้สึกดี...จริงๆ คือรู้สึกดีมากเลยว่ะมึง” คนแก่กว่าสารภาพ “แต่ก็ไม่ได้อยากกลับไปคบกับเค้านะ แค่รู้สึกเหมือนได้ย้อนไปในวันเวลาเก่าๆ ที่นึกถึงเมื่อไรก็มีแต่ความสุข”
เมตตาถอนหายใจ “ก็เพราะความสุขมันมักจะติดอยู่ในความทรงจำระยะยาวของเรามากกว่าความทุกข์ไงพี่ พี่ลองนึกถึงตอนเลิกกับเค้าสิ ถึงจะจำได้ว่าเลิกกันเพราะอะไร แต่ความเสียใจมันก็ไม่เหลือแล้วใช่ปะล่ะ”
คนฟังพยักหน้ารับ “กูโคตรรู้สึกผิดกับจีเลย”
“รู้สึกผิดเท่ากับที่รู้สึกรักหรือเปล่า” ตากล้องเอ่ยเสียงเครียด “หยุดติดต่อกับแฟนเก่าเหอะ ก่อนที่อะไรๆ มันจะเกินเลยไปกว่านี้นะพี่”
“กูหยุดแล้วแหละ บอกเค้าไปแล้วว่าขอหยุดคุยแค่นี้ แต่ไม่รู้จะง้อน้องจียังไงเลย เพราะเรื่องนี้กูผิดจริงๆ แบบไม่มีอะไรจะแก้ตัว”
“ผมคิดได้วิธีนึง แต่พี่จะกล้าหรือเปล่าเท่านั้นแหละ” คนเจ้าแผนการกระซิบ
“กูกล้าหมดแหละ ว่ามา”
“แต่สัญญาก่อนว่าพี่จะไม่เป็นอย่างนี้อีก ถ้าทำอีกผมจะไม่คุยกับพี่แล้วนะ”
พี่เป็ดบ่นอุบว่าน้องอะไรดุยังกับพ่อ แต่ก็สัญญาอย่างจริงใจว่าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว เมตตาจึงกระซิบแผนลับให้ คนขอความช่วยเหลือออกจะหนักใจอยู่ไม่น้อยเมื่อได้ยินวิธีการง้อแบบฉบับของเมตตา แต่สุดท้ายก็คิดว่านี่เป็นหนทางที่ดีที่สุดที่ทำได้ในตอนนี้
สองหนุ่มนั่งคุยกันอีกสักพักก่อนจะแยกย้ายกันกลับ เพราะคืนนี้ต้องกลับไปเตรียมของเพื่อไปเอาท์ติ้งกันต่อ
“เอาใจช่วยว่ะพี่ ขอให้สำเร็จ” เมตตาเอ่ยกับเพื่อนร่วมงานขณะเดินมายังลานจอดรถ
“ถ้าแผนนี้โอเค เดี๋ยวกูเอาของมาบรรณาการ” พี่เป็ดไม่ลืมสิ่งที่คุยกันไว้
“ขอเยอะๆ ผมขี้เกียจซื้อ”
“ไอ้เชี่ยนี่ ของแบบนี้มึงจะไม่ลงทุนเองเลยเรอะ!” รุ่นพี่สบถเสียงดัง
ตากล้องโบกมือพลางหัวเราะขัน “เออน่า...ถือว่าแบ่งน้อง”
“เออๆ กูไปละ เจอกันพรุ่งนี้”
เมตตากลับมาถึงบ้านตอนสี่ทุ่มกว่าๆ เสียงทีวีในห้องนั่งเล่นบ่งบอกว่ามีใครบางคนอยู่ตรงนั้น เมื่อเปิดประตูมาก็พบว่าร่างของสิปป์ศิลป์ขัดสมาธิอยู่บนพื้น ในขณะที่มือเรียวกำลังพับเสื้อผ้าเพื่อจัดเรียงลงกระเป๋าเดินทาง
เขาไม่รู้ว่าคนๆ นี้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตตั้งแต่เมื่อไร รู้แต่เพียงว่าความอบอุ่นกำลังลอยละล่องอยู่เต็มพื้นที่ของบ้านอย่างไม่มีทีท่าว่าจะจางหาย อาจจะดูเวอร์ไปนิด แต่เขารู้สึกว่าสิปป์ศิลป์เป็นคนเดียว ที่ความทรงจำทั้งระยะสั้นและระยะยาวของเขาบันทึกได้แต่ความสุข ไม่ว่าจะสี่ห้าปีที่แล้วหรือนาทีที่แล้ว เขาก็นึกถึงเรื่องแย่ๆ ในชีวิตที่มีสิปป์ไม่ออกเลยจริงๆ
“อ้าว กลับมาตั้งแต่เมื่อไร” เสียงใสร้องทัก เมื่อหันไปเห็นเจ้าของบ้านยืนนิ่งอยู่ที่ประตู
“มาหอมที” พูดจบคนที่ประตูก็โดดไปคว้าตัวเจ้าของเสียงทักทายมากระหน่ำจูบลงบนแก้มขาวอย่างไม่รอคำอนุญาต
“อะไรของมึงเนี่ย!” คนโดนจู่โจมพยายามยกมือปัดไอ้หื่นเป็นพัลวัน ก่อนที่หน้าตัวเองจะช้ำเพราะแรงควายๆ ที่กอดรัดเพื่อปล้นจูบอยู่ในขณะนี้
พอได้จูบจนหนำใจแล้ว จอมโจรก็ทิ้งตัวลงนอนกลิ้งกับโซฟา ทิ้งเสียงหัวเราะสะใจให้ดังเคล้าคลอไปกับละครหลังข่าว ในขณะที่คนแก้มช้ำได้แต่บ่นอุบอิบกับกองเสื้อผ้าโดยที่เอาคืนอะไรไม่ได้
“เฮ้ย!” เมตตาหยุดหัวเราะทันควันเมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอมือถือ ก่อนจะรีบสะกิดให้สิปป์ศิลป์มาดูด้วยกัน “มึงๆ ดูนี่ดิ่”
หน้าจอแอพลิเคชั่น facebook ปรากฏชื่อของบุคคลที่ทั้งเมตและสิปป์รู้จักดี 'Ped Witayakorn' ซึ่งอีเวนต์ล่าสุดที่ขึ้นในหน้าวอลล์ของพี่เป็ดนั้นทำเอาคนที่ได้เห็นขนลุกซู่
'Ped Witayakorn is in relationship with Jeerawat G' “พี่เป็ดทำสำเร็จจริงๆ ด้วยอ่ะ” ตากล้องพูดเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
“ทำอะไร?” คนที่นั่งบนพื้นเอ่ยถาม
“แผนง้อน้องจี” พอเห็นคนฟังทำหน้าสงสัย เมตตาเลยอธิบายต่อ “กูบอกให้พี่เป็ดเปิดเผยไปเลย น้องจีจะได้มั่นใจว่าพี่เป็ดจริงใจ กล้าบอกกับเพื่อนๆ ว่าเป็นแฟนกัน”
"โห...พี่เป็ดเอาจริงว่ะ" สิปป์เอ่ยเสียงเบา
"หึหึ" เมตตาวางมือถือไปไว้บนโซฟา ก่อนจะเลื่อนตัวมานั่งบนพื้น พลางใช้สองแขนโอบตัวอีกคนเข้าหา เสียงทุ้มกระซิบแผ่ว "มาอินรีเลชั่นชิพกันบ้างมั้ย"
คนถูกกอดทั้งขำทั้งเขิน นับวันไอ้คนข้างๆ ยิ่งน้ำเน่าผิดหน้าตา พูดจริงๆ ว่าคนอย่างเมตตา เหมาะกับการถามคำถามประเภท 'จะให้ผมจัดการมันเลยมั้ยครับ' หรือไม่ก็ 'แกอยากกลับไปดูหน้าลูกเมียเป็นครั้งสุดท้ายมั้ย' อะไรแบบนี้ มากกว่าคำพูดหวานเลี่ยนพวกนั้น
"ว่าไง" พอเห็นคนในอ้อมกอดเงียบ จมูกโด่งเลยสัมผัสแรงๆ บนแก้มนิ่มเพื่อเร่งคำตอบ
สิปป์ส่ายหน้า "ม่ายยยย"
"ทำไมล่ะ" คนตัวโตหยุดการกระทำ หากไม่วายทิ้งสัมผัสสุดท้ายบนปากหยุ่นอีกที
สิปป์หันไปเผชิญหน้า มือเรียวยกขึ้นจับแก้มสากของคนที่ทำหน้ายู่ "ไม่เห็นต้องประกาศให้คนอื่นรู้เลย...เรารู้กันแค่สองคนก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ"
พอถูกยืนยันอย่างนั้น ตากล้องเลยจำต้องพยักหน้ายอมรับหงอยๆ "ก็ได้..."
"นี่" นักเขียนรั้งใบหน้าคมให้หันมาสบตา ก่อนเอ่ยช้าๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "กูรักมึง ...และเราเป็นแฟนกัน"
เมตตาคลี่รอยยิ้มกว้าง รับฟังคำแสนซื่อแต่หวานจับใจ วงแขนแข็งแรงกอดกระชับร่างตรงหน้าแน่นโดยไม่อาจหาคำอื่นใดมาอธิบายความรู้สึกตื้นตันภายในใจที่มี
แขนเรียวโอบกอดอีกคนตอบ รู้สึกดีใจมากมายที่อีกฝ่ายไม่รังเกียจที่จะบอกกับคนอื่นๆ ว่าเขาเป็นใคร แต่สิปป์ไม่เคยต้องการอะไรแบบนั้น แค่ได้รับรู้ว่าเมตตารู้สึกต่อกันเช่นไรก็มากพอแล้ว
“เชี่ยเมต” คนในอ้อมกอดกระซิบเอ่ยคำบางคำแสนแผ่วเบา “กู อีส อิน รีเลชั่นชิพ วิท มึง นะ”
จนถึงตอนนี้เมตตาก็ยังยืนยันว่าเขานึกถึงได้แต่เรื่องดีๆ ทุกเวลาที่มีสิปป์ศิลป์จริงๆ ...
TBC.
แค่อยากบอกสั้นๆ ว่า ความรักของแต่ละคนไม่จำเป็นต้องแสดงออกเหมือนกัน
บางคนไม่เคยพูดอะไร แต่ยอมสละของที่ชอบที่สุดให้ทุกครั้ง
บางคนอาจประกาศบอกใครๆ เพียงแค่อยากให้อีกฝ่ายมั่นใจในความรักที่มี
ในขณะที่บางคนมีเพียงความเงียบงัน แต่รู้ว่าต่างฝ่ายต่างรักกัน ก็เพียงพอแล้ว...
ตอนที่ 27 นี้ยังมีเรื่องราวสั้นๆ ที่เป็นคล้ายเชิงอรรถอีกนิดหน่อย
ขอเวลาเรียบเรียงก่อน แล้วจะเอามาลงให้อ่านกันนะคะ
**พื้นที่ประชาสัมพันธ๋**
https://www.facebook.com/lykarfanpage เพจนี้มีเรื่องสั้นกรุบกริบลงไว้ใน note, มีบทสัมภาษณ์ไร้สาระของสมาชิกเกย์สเกลลงไว้บนวอลล์
ถึงไม่กดไลค์ แต่ก็ไปตามอ่านกันได้นะคะ
แต่ถ้ากดไลค์...

555555555555
ขอตัวไปเขียนเชิงอรรถต่อก่อน บ๊ายบายค่าา