Page 24 : คำถาม
“มึง...กูว่าเราเลิกพูดกูมึงกันเหอะว่ะ” ตากล้องที่วันนี้มีเรย์แบรนด์เสินเจิ้นประดับใบหน้าพูดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสองโมงกว่าๆ ที่แสงแดดดูจะร้อนแรงประหนึ่งกรุงเทพฯ มีดวงอาทิตย์เป็นของตัวเอง
สิปป์งัวเงียตื่นจากการหลับใหล ตากลมหรี่ลงด้วยยังไม่ชินกับแสงสว่าง พลางสะบัดหัวสองสามทีไล่ความง่วงงุนออกไป “มึงว่าอะไรนะ”
“กู บอก ว่า” พลขับเคาะพวงมาลัยเป็นจังหวะขณะทวนคำพูด “เรา เลิก พูด กู มึง กัน ได้ มั้ย”
“ว้อท?! อัลไล?! แล้วมึงจะให้พูดยังไงวะ” กูว่าโลกแม่งร้อนเกินไปแล้ว ร้อนจนเชี่ยเมตเริ่มบ้า ...ดูดิ่ น้ำลายไหลแล้วด้วย
เมตตานิ่งเงียบ ปล่อยให้สองมือบังคับรถต่อไป พออีกฝ่ายเห็นว่าเจ้าของความคิดไม่พูดอะไรต่อจึงหันไปหยิบขนมที่กองไว้เบาะหลังมากิน ตอนนี้เขาสองคนกำลังไปสัมภาษณ์เซเลบหนุ่มหน้าหวาน ที่กำลังเปิดร้านอาหารอิตาลีกับหุ้นส่วน (หัวใจ?) สำหรับเล่มต่อไป เพราะอีกไม่กี่วันจะไปเอาท์ติ้งแล้ว หลายๆ คอลัมน์จึงต้องเร่งทำเร็วหน่อย เพื่อจะได้ไม่เป็นภาระในยามที่ความบันเทิงมาถึง
“กินป่ะ” มันฝรั่งแผ่นเรียบถูกส่งไปจ่อที่ริมปีปากของเจ้าของขนมตัวจริง ดวงตาใต้กรอบแว่นหรี่มองขนมนั่นเล็กน้อย ก่อนริมฝีปากหยักจะเปิดรับน้ำใจจากคนป้อน
“ที่รัก”
“อะแค่กๆๆ” คนกำลังดูดน้ำเป็ปซี่ถึงกับสำลัก แถมไอหน้าดำหน้าแดงเมื่อคำพูดชวนขนลุกเมื่อครู่ดังผ่านหูไป
“เฮ้ย!” เมตตาตกใจกับอาการของคนข้างๆ จนเกือบจะจอดรถ แต่สิปป์โบกมือเป็นสัญญาณว่าให้ไปต่อ
“เป็นไรเปล่า!” เสียงทุ้มเจือความห่วงใย มือข้างซ้ายปล่อยจากพวงมาลัยเพื่อใช้ลูบหลังให้อีกคน
หลังทุกอย่างสงบลง นักเขียนก็โพล่งขึ้นทันที “เมื่อกี๊มึงว่าอะไรนะ ...ที่รัก?”
แม้หนวดเคราจะรกครึ้ม แต่ผิวคร้ามแดดที่แอบขึ้นสีแดงจางๆ ก็ไม่อาจรอดพ้นจากสายตาที่จ้องมาได้ สิปป์แอบยิ้มขำกับปฏิกิริยาของคนเขิน แต่ทำทีเป็นไม่สนใจ
“เอ่อ...” เมตตาจนมุม “กูแค่ลองเสนอดู ถ้าไม่โอก็ไม่เป็นไร”
“นี่คือคำที่มึงอยากใช้แทนกูกับมึงเหรอ” ถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ดูเอาเถอะ ขนาดไอ้เจ้าของไอเดียยังหน้าแดงแป๊ด แล้วอย่างนี้มันไปรอดมั้ยฮะ
“เปลี่ยนใหม่ก็ได้...” คนเขินทำเสียงอุบอิบในลำคอ ก่อนจะตาลุกวาวเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“อ้วน”
มือเรียวในถุงขนมชะงักกึก “อ้วน? ใครอ้วน? มึงหรือกูหรือใคร ...เรียกพี่เอ้เหรอ”
เมตตาถอนหายใจเหนื่อยหน่ายขณะอธิบายเรื่องที่ไม่น่าจะต้องมานั่งอธิบาย “มึงเข้าใจมั้ยว่ามันเป็นฟีลลิ่ง เรียกเพื่อความน่ารัก คนเป็นแฟนกันมันต้องมีโมเมนต์ระหว่างกันมั่งสิวะ หมูมั้ย หมาล่ะ กุ๊กไก่ เหมียวหง่าว...”
“เดี๋ยวๆๆ” คนนั่งข้างๆ รีบเบรก ทำเอาการไล่ชื่อสิงสาราสัตว์ต้องหยุดชะงักลง
คนถูกขัดจังหวะเลิกคิ้ว “ไม่เอาหมวดหมู่นี้เหรอ ...ฮันนี่? หวา...”
“ม่ายยย...” สิปป์ศิลป์ลากเสียงพร้อมส่ายหัวรัวๆ “ที่กูสงสัยคือ กูกับมึงเป็น ‘แฟน’ กันเหรอ?”
คราวนี้คนถูกย้อนถามถึงกับต้องตบไฟเลี้ยวซ้ายแล้วจอดรถที่ข้างทางกะทันหัน ถามว่าโดนคันหลังด่ามั้ย? คิดว่าด่าไปถึงยายแล้วแน่ๆ!
“ทำไม” เสียงทุ้มเบาหวิว แว่นกันแดดถูกถอดออก จึงได้เห็นแววตาหม่นแสงของคนพูด
สิปป์ก้มหน้าลงกับถุงขนมในมือ เสมือนเล่นเกมจ้องตากับตัวอักษรบนนั้น ก่อนรู้สึกถึงแรงสัมผัสเบาๆ บนไหล่ เมตตาพยายามหมุนตัวของคนที่ไม่ยอมสบตาให้หันมาเผชิญหน้า จิตใจวูบโหวงเหมือนถูกใครขโมยไปซ่อน
ที่ผ่านมาเราเป็นแค่เพื่อนกันเหรอ? “มึง...” สิปป์ยังคงก้มหน้าขณะส่งเสียงเรียกอีกคน ได้ยินเสียงตอบรับเบาๆ แต่สั่นไหวอย่างชัดเจน นักเขียนสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด เงยหน้าขึ้นสบตาคนข้างๆ ก่อนเอ่ยบางคำช้าๆ
“ก็...มึงยังไม่ได้ขอเลยนี่” ประโยคสั้นๆ พร้อมเรียวปากบางที่ค่อยๆ เผยรอยยิ้ม
“เชี่ยเอ๊ยยย กูตกใจหมด! ถ้ากูร้องไห้ไปจะทำยังไง ฮะ??” คนถูกหลอกโวยวายลั่น รถเต่าคันเดิมเคลื่อนตัวออกเดินทางอีกครั้ง “งั้นมึงเป็นแฟนกูมั้ย ...เป็นละกันนะ โอเค”
สิปป์ศิลป์ทำหน้าเหรอหรากับการพูดเองเออเองเสร็จสรรพของไอ้คนข้างๆ นี่มึงขอกูเป็นแฟนหรือมึงชวนไปเซเว่น?
“เออ!” สุดท้ายก็กระแทกเสียงตอบรับเหมือนไม่เต็มใจ แต่ก็ไม่อาจซ่อนรอยยิ้มที่ระบายบนหน้าได้แม้แต่น้อย ซึ่งคนได้รับคำตกลงก็คงไม่ต่างกันนัก
สิปป์ศิลป์เหลือบมองนาฬิกา บ่ายสองยี่สิบสามนาที คำใหม่ในความสัมพันธ์ของเขากับเมตตาได้เริ่มขึ้นแล้ว...
“ตกลงว่าไง” คนขับเอ่ยถาม ในขณะที่คนฟังได้แต่ทำหน้างง
“อะไรที่จะให้ว่าไง”
มืออุ่นเอื้อมไปขยี้หัวไอ้คนนั่งทำตาแป๋วด้วยความหมั่นเขี้ยว “ฮึ่ย!! ก็ไอ้คำที่จะเรียกกันไง อ้วนมะ ดูเป็นสากลดี”
นักเขียนขมวดคิ้ว ท่าทางคิดหนัก “กูว่ามันแมสไปว่ะ อยากได้อะไรที่มันชิคๆ กว่านี้”
คราวนี้ตากล้องเป็นฝ่ายขมวดคิ้วบ้าง “งั้นมึงคิดมาละกัน กูยังไงก็ได้”
“เชี่ยเมต”
“ฮะ?”
สิปป์หัวเราะ “กูหมายถึง เรียกมึงว่า ‘เชี่ยเมต’ ฟังดูยูนิคมั้ย”
คนได้รับศัพท์เฉพาะไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ได้แต่พึมพำอุบอิบในลำคอ “สัส!”
ซึ่งสิปป์ศิลป์คิดว่า นั่นอาจจะหมายถึง
...ตกลงช่วงเย็นพี่เอสแวะเข้ามาเซ็นเอกสารที่ออฟฟิศ เลยหิ้วขนมครกมาฝากเด็กๆ ด้วย ช่วงนี้พี่เอสหายหน้าหายตาไปนาน เพราะกำลังเริ่มโปรเจคใหม่เกี่ยวกับมาร์เก็ตติ้งออนไลน์ และดูท่าว่าจะไปได้สวย หลายครั้งที่พี่เป็ดถูกเรียกให้ไปช่วยงานออฟฟิศใหม่ จนกลายเป็นอีกคนที่แทบไม่เคยเห็นหน้า
“ไอ้เอส เมื่อไรแกจะหาเมเนเจอร์ของบริษัทนู้น” บก.เอ้เอ่ยถามน้องชายที่นั่งเป่าขนมครกอย่างสบายอารมณ์
คนถูกถามลอยหน้าลอยตาตอบ “กำลังๆ”
“รีบๆ เลย แกเอาตัวพี่เป็ดไปอย่างนี้ เดี๋ยวนิตยสารฉันก็เจ๊งพอดี” เจ้าแม่แห่งเกย์สเกลบ่นอุบ หลังๆ มานี่พี่เอ้ต้องออกโรงไปพบลูกค้ารายใหญ่เองตลอด
“ผมเจอแล้ว แต่กำลังหลอกล่ออยู่” คนน้องอธิบาย
บก.ขมวดคิ้ว “ใคร?”
ขนมครกถูกส่งเข้าปาก เคี้ยวหยับๆ กลืนรสหอมหวานในคอก่อนจะตอบออกไป “ไอ้ปืน...”
“อ้าว...พี่เอส หวัดดีครับ” เมตกับสิปป์กลับมาจากถ่ายงานข้างนอก ยกมือไหว้เจ้านายใหญ่ที่ไม่ได้เจอกันนาน
“เออ ดีๆ เป็นไงมั่งเอ็งสองคน” เสียงผู้ชายสามคนถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันดังลั่นออฟฟิศ สิปป์ศิลป์ถือโอกาสฟ้องพี่เอสว่าช่วงนี้ไอ้พี่เก็ตผีเข้าผีออก เมตตาผสมโรงเออออเห็นด้วย พร้อมยืนยันว่าเห็นพี่เก็ตหัวเราะเสียงดังแบบไม่เคยเป็นมาก่อน
“แล้วไม่ดีหรือไง” ผู้เป็นเจ้านายถามอย่างอารมณ์ดี
ไม่ทันที่ทั้งสองคนจะตอบ คนที่กำลังถูกนินทาก็เปิดประตูพรวดออกมา “กูสั่งปรินท์ไว้นะ มึงพรู๊ฟด้วย”
นักเขียนพยักหน้ารับทราบ ก่อนจะมองไอ้สองพี่น้องกราฟิกที่ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ เดินคุยกันหงุงหงิงลงไปที่ห้องครัวชั้นล่าง
“มันก็...แปลกๆ อ่าครับ” สิปป์หันมาตอบคำถามที่ถูกทิ้งไว้เมื่อครู่
พี่เอสหัวเราะชอบใจ “เอ้อ...คนเรามันก็ต้องมีช่วงเวลาที่อยากเปลี่ยนแปลงมั่งสิวะ”
บก.เอ้นั่งมองน้องชายและลูกน้องพูดคุยกันอย่างออกรส ทว่ากลับจับต้องเสียงหัวเราะเหล่านั้นไม่ได้ คล้ายหัวใจถูกปิดตาย เมื่อรู้สึกได้ว่า ลิ้นชักแห่งความทรงจำกำลังถูกเปิดออกด้วยใครบางคนอีกครั้ง
…………. Gayscale Magazine………….
หลังไปอาศัยบ้านพี่เป็ดอยู่เกือบเดือน จีรวัฒน์ก็หาหอพักใหม่ที่ไม่ไกลจากออฟฟิศมากนัก โดยมีแม่ย้ายเข้ามาอยู่ด้วย เพราะบ้านเดิมที่ต่างจังหวัดถูกญาติยึดคืน ประกอบกับแม่มีโรคประจำตัวเยอะ น้องจีจึงคิดว่าการให้แม่มาอยู่ด้วยน่าจะเหมาะที่สุด ห้องเช่าเล็กๆ จึงเป็นที่พักอาศัยของสองแม่ลูกนับตั้งแต่นั้น
พี่เป็ดเคยไปพบแม่น้องจีบ่อยๆ ในตอนที่ยังเป็นแค่ ‘เพื่อนร่วมงาน’ ผู้หญิงตัวเล็กๆ หน้าตาดูอ่อนเยาว์คล้ายลูกชายมักอยู่ในห้องเงียบๆ พี่เป็ดบอกกับจีหลายครั้งแล้วว่าให้ผ่อนคอนโด หรือไม่งั้นก็ปลูกบ้านให้แม่สักหลัง เรื่องเงินกู้ธนาคารเอาก็ได้ เพราะการให้แม่มาอุดอู้อยู่ในห้องแคบๆ แบบนี้ในระยะยาวคงไม่ดีเท่าไร แต่จนแล้วจนรอดเจ้าตัวเล็กก็ยังไม่ยอมจัดการเสียที
‘ในฐานะแฟน พี่ขอยื่นคำขาด’ พี่เป็ดพูดเสียงเย็นในวันหนึ่งขณะนั่งกินข้าวกันสองคน ‘ถ้าจียังไม่ซื้อคอนโดตอนนี้ ก็พาแม่ไปอยู่บ้านพี่ แล้วบอกไปว่าเราเป็นอะไรกัน โอเคมั้ย?’
คนตัวเล็กอึกอัก อยากจะบอกว่าไม่โอเคทั้งสองเรื่อง จะผ่อนคอนโดยังไงด้วยเงินเดือนอันน้อยนิด แล้วการจะบอกแม่ว่าคบกันยิ่งไม่ดีใหญ่ จีคิดว่าแม่คงจะรู้ ว่าชาตินี้คงไม่มีโอกาสอุ้มหลาน แต่การจะเดินไปบอกแม่ว่าแฟนผมเป็นผู้ชายก็ยังไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก
‘จียังไม่พร้อม’ ไม่ว่าเรื่องไหนก็ยังไม่พร้อมทั้งนั้น
‘ถ้าเรื่องคอนโด พี่บอกแล้วว่าช่วยจัดการได้ เพื่อนพี่เป็นเซลส์ของโครงการนึง แบบสองห้องนอนราคาผ่อนสบายๆ แพงกว่าค่าหอที่จ่ายอยู่ไม่เท่าไรหรอก’
‘อ่า...’
‘พรุ่งนี้สิบโมงเราเตรียมตัวให้พร้อม ถ้าแม่ว่างก็ชวนแม่ไปด้วยนะ พี่จะพาไปดูห้องตัวอย่าง’
‘โธ่...พี่เป็ด’
‘ถ้าไม่ดูห้องตัวอย่าง พี่จะพาไปดูห้องนอนบ้านพี่ เลือกเอาว่าจะไปไหน’
น้องจีคอตก บ่นพึมพำว่าเคยเห็นแล้วไง ห้องนอนบ้านพี่เป็ด แต่อีกคนทำเป็นไม่สนใจ มัดมือชกให้ไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
วันที่มาดูคอนโด ท่าทางของคุณแม่เจ้าจีดูสดชื่นมาก เอ่ยชมไม่ขาดปากว่าห้องสวยน่าอยู่ แต่น้องจีทำหน้าแหย เมื่อพบว่า ราคาที่ต้องผ่อนแพงกว่าค่าหอไปมากโข เซลส์เพื่อนพี่เป็ดจึงกระซิบบอกลายแทงคอนโดอีกที่ที่ตัวเองดูแล (นอกระบบ) ให้ เป็นห้องมือสองในคอนโดที่ไม่ใช่โครงการดัง ทำเลพอใช้ได้ ถึงแม้ไม่ติดรถไฟฟ้า แต่ก็ใกล้ถนนใหญ่ หลังไปดูแล้วก็พบว่าน่าอยู่ไม่น้อย เมื่อเห็นสองแม่ลูกทำท่าเหมือนจะนอนค้างที่นี่ซะคืนนี้ พี่เป็ดเลยลากคอเพื่อนออกมาเจรจากันนอกห้อง ขอร้องแกมบังคับให้ลดราคาให้ในฐานะที่คบกันมานาน
‘คุยกับเจ้าของห้องแล้วนะแก เค้าลดไม่ได้จริงๆ เฟอร์พร้อมขนาดนี้ ราคานี้แกจะไปหาที่ไหนได้อีก’
‘ลดค่าห้องไม่ได้ ก็ลดค่าคอมฯ แกสิวะ’ เซลส์คนละสายต่อรองกันอย่างดุเดือด
‘ต๊ายยยย ฉันทำงานก็ต้องได้เงินสิยะ ให้ทำฟรีแล้วจะเอาอะไรกิน’
พี่เป็ดกุมขมับ ‘ลดให้ครึ่งหนึ่งเถอะเพื่อน เดี๋ยวเอาบัตรคอนเสิร์ตวง xxx มาให้’
คราวนี้เซลส์คอนโดเริ่มคิดหนัก เพราะโดนเล่นที่จุดอ่อนอย่างจัง วงนี้มีเงินอย่างเดียวก็ซื้อบัตรไม่ได้ ต้องเส้นใหญ่มหึมาเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์! ‘เออๆๆ ตกลงตามนั้น’
‘ขอบคุณมากๆ เออ...แต่ตอนแกไปบอกราคาจีน่ะ แกบอกราคาแค่เท่านี้นะ’ พี่เป็ดเขียนตัวเลขลงบนนามบัตร
‘แล้ว...’ เซลส์ทำหน้างง เพราะราคาที่ให้บอก มันขาดไปประมาณหนึ่งแสนบาท
‘เดี๋ยวกูจ่ายเอง’ บอกจบก็รีบเดินหนีเข้ามาให้ห้อง ปล่อยให้เซลส์ที่มีฐานะเป็นเพื่อนยืนอึ้งทำความเข้าใจอะไรอยู่นาน
หลังจัดการทุกอย่างเรียบร้อย (โดยมีพี่เป็ดอยู่เบื้องหลัง คอยจัดการความยุ่งยากทั้งหมดให้) น้องจีกับแม่ก็ย้ายมาอยู่ห้องใหม่ และจากนั้นไม่นาน พี่เป็ดก็ได้รับมอบหมายให้เป็นเมเนเจอร์ชั่วคราว ช่วยดูแลบริษัทใหม่ของพี่เอส ทำให้ไม่ค่อยได้มาพบเจ้าของห้องนัก จนวันนี้ที่ทุกอย่างเริ่มลงตัว พี่เป็ดจึงรีบแวะกลับไปบ้าน แล้วตรงดิ่งมาที่คอนโดนี้อย่างรวดเร็ว
หลังเคาะประตูเบาๆ เจ้าของห้องก็รีบมาเปิดรับพร้อมยิ้มโชว์ฟันขาว พี่เป็ดถอดรองเท้าพลางส่งของในมือให้คนตัวเล็ก ก่อนจะยกมือไหว้คุณแม่ที่กำลังสาละวนกับการทำครัว
“แม่ครับ ผมเอาขนมมาฝาก เอาไว้ขายพรุ่งนี้เช้านะครับ” ตอนนี้แม่น้องจีได้งานอดิเรกทำใหม่ คือการทำข้าวกล่องขายให้คนในคอนโด เพราะร้านอาหารในนี้มีเพียงร้านเดียว และรอบๆ ก็มีแต่ร้านสะดวกซื้อ แม่เลยทำกับข้าวให้จีใส่กล่องไปออฟฟิศทุกวัน บางวันทำเยอะก็จะเผื่อแผ่ไปยังห้องข้างๆ จนหลังๆ ห้องข้างๆ เริ่มผูกปิ่นโตและจ่ายเงินเป็นรายอาทิตย์ ก่อนข่าวจะแพร่กระจายไปทุกชั้น จนตอนนี้แม่มีลูกค้าประจำอยู่เกือบ 30 คนที่ให้แม่ไปส่งข้าวให้ทุกเช้า
“ขอบใจจ้ะ ไม่เห็นต้องลำบากเลย” คนสูงวัยยิ้มรับน้ำใจจากเพื่อนสนิทของลูก
“เผื่อขายดี ผมจะได้ชวนแม่ผมมาร่วมหุ้นด้วยไงครับ”
“อ้าว คุณแม่น้องเป็ดทำเหรอ” พี่เป็ดพยักหน้ารับ รู้สึกเขินทุกครั้งที่ถูกแม่ของจีเรียกว่าน้อง
ค่ำวันนั้นพี่เป็ดฝากท้องไว้กับฝีมือแม่น้องจี ก่อนจะมานอนผึ่งพุงดูซีรีย์ที่ตัวเองขนมาทิ้งไว้หลายเรื่อง พี่เป็ดวางตัวดีเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ ไม่เคยแตะตัวน้องจีจนดูเกินเลยกว่าเพื่อน แต่กระนั้นหลายๆ ครั้งก็ไม่อาจปกปิดสายตาหวานที่ทอดมองเจ้าของห้องได้
“น้องเป็ดมีแฟนหรือยังลูก” คุณแม่ของจีเอ่ยถามขึ้น ทำเอาทั้งคนถูกถามและคนข้างๆ ถึงกับสะดุ้ง
“เอ่อ...อ่า...มะ ไม่มีครับ”
“เหรอจ้ะ ไม่น่าเชื่อเลย” คนสูงวัยหัวเราะขัน
“แก่ขนาดนี้ใครจะเอา ดูสิ ผมเหลือน้อยแล้วด้วยนะเฮีย” น้องจีเอ่ยแซว ยิ้มตาหยีให้กับคนข้างๆ
พี่เป็ดทำหน้ามุ่ยใส่ไอ้คนขี้แกล้ง ก่อนจะหันไปตอบผู้ใหญ่ “พอดี...ยังไม่เจอคนที่ชอบน่ะครับ”
“น้องจีก็เหมือนกัน สเป็กสูง เรื่องเยอะ ขนาดมีนังหนูแถวบ้านขี่รถโฉบหน้าบ้านทุกวัน ไม่ยักกะสนใจ” ผู้เป็นแม่เล่ากลั้วเสียงหัวเราะ ไม่สนใจเสียงแง๊วๆ ที่ร้องบอกว่าไม่ให้เล่า “ยิ่งตอนเรียนมหา’ลัยนะ หูยยย มีแต่สาวพยายามแวะมาหา หัวกะไดบ้านไม่เคยแห้ง”
“สาวๆ รุมตอมเหรอไอ้ตัวเล็ก หืม?” น้ำเสียงเอ็นดูเอ่ยขึ้น ก่อนมือใหญ่จะเอื้อมไปขยี้ผมสีอ่อนอย่างเบามือ น้องจีหดคอหนี แต่ถูกวงแขนแกร่งล็อกตัวไว้ได้ทัน
“พี่เป็ดอ่า จีหัวยุ่งหมดแล้วนะ!” คนโดนแกล้งโวยวาย ก่อนจะพุ่งหัวเล็กๆ เข้าชนอกของคนที่นั่งอยู่เต็มแรง
“นี่แน่ะๆๆ” ศีรษะกลมๆ ไถไปทั่ว ทำเอาพี่เป็ดหัวเราะไม่หยุดด้วยความจั๊กกะจี้
ผู้เป็นแม่นั่งมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย น้องจีเป็นเด็กขี้อาย ไม่ค่อยมีเพื่อน ตอนแรกเธอยังแปลกใจที่รุ่นพี่ที่ทำงานคนนี้คอยมารับมาส่งอยู่บ่อยๆ จนหลังๆ น้องเป็ดยังช่วยเป็นธุระให้หลายๆ เรื่อง ทั้งความหวังดีที่มีให้ ทั้งสายตาที่ทั้งสองคนมองกัน เธอก็พอจะเดาออกว่าความสัมพันธ์ของเด็กสองคนนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อนร่วมงานทั่วไป ลำพังเฉพาะน้องจีเธอก็พอจะเข้าใจในสิ่งที่ลูกตัวเองเป็น แต่ไม่รู้ว่าพ่อแม่ของน้องเป็ดจะเข้าใจสิ่งที่พวกเขาเป็นมากน้อยแค่ไหน
หันมาอีกที สองพี่น้องก็นอนหัวรวมกลับมาตั้งใจดูทีวีกันแล้ว ในความสัมพันธ์ของพวกเขา ไม่ใช่ว่าคนเป็นแม่รับได้ ไม่ใช่ว่าส่งเสริมสนับสนุน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าพวกเขาทำอะไรผิด และไม่มีเหตุผลต้องไปห้ามปรามแค่เพียงเพราะเขาเป็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เป็น
...คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของเวลา ในวันหนึ่งเมื่อความหอมหวานจืดจาง พวกเขาคงมีคำตอบให้ตัวเองว่า สิ่งนี้ยังเป็นความรักหรือไม่ แล้วพร้อมจะจับมือกันเดินต่อไป หรือทิ้งกันไว้กลางทาง
“น้องจี... อ้าว หลับไปแล้ว” ผู้เป็นแม่ยิ้มบางๆ ให้กับลูกชายที่ผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
“น้องเป็ดค้างหรือเปล่าลูก” มารดาเจ้าของห้องเอ่ยถาม ขณะเตรียมตัวเข้านอน
ผู้มาเยือนเหลือบมองนาฬิกาแล้วตอบรับ “ครับแม่ เดี๋ยวผมดูจีเอง แม่ไม่ต้องห่วงครับ”
พี่เป็ดลุกขึ้นมาดูตัวแสบที่นอนหมดฤทธิ์ พลางขยับหมอนจัดที่ทางให้คนหลับได้นอนสบายๆ ผู้เป็นแม่เหลือบดูคนที่ดูแลลูกชายตัวเองอย่างอ่อนโยนแล้วก็ถอนหายใจ
สงสัยจะได้ลูกเขยแทนลูกสะใภ้จริงๆ ซะแล้ว...TBC.
*talk ยาวมาก ใครง่วงข้ามไปเบยยยหายหัวไปช่วงวันที่ 10 กว่าๆ แบบนี้ไม่ต้องสงสัย หนีไปปิดเล่มของจริงมาจ้าา
กลับมาแล้ว กลับมาพร้อมความมากมายในตอนนี้
อยากจะกระจายประเด็นหลายอย่างจัด 55555
แอบมีเรื่องราวของรุ่นใหญ่แพลมๆ ออกมาละ
สำหรับเรื่องนี้ เราตั้งใจจะให้ดำเนินเรื่องคล้ายๆ อารมณ์จากคอลัมน์ต่างๆ
มีเรื่องจากปก (คู่หลัก นักเขียนกะตากล้อง) ที่เป็นธีมคุมเรื่องราวทั้งเล่ม
มีคอลัมน์ท่องเที่ยวที่ดูสดชื่นๆ (คู่รอง ทีมเซลส์)
มีคอลัมน์ทิป เล็กๆ น้อยๆ เหมือนหน้าคั่นสายตา (เรื่องกุ๊กกิ๊กของกราฟิกกับเด็กฝึกงาน)
ตบท้ายด้วยคอลัมน์สัมภาษณ์ ที่ดูหนักๆ ซีเรียสๆ (รุ่นใหญ่ 3P พี่เอ้ พี่เอส พี่ปืน)
ช่วงที่เขียนอยู่นี่ เราดูซีรีย์ (ฝรั่ง) เยอะมาก เลยรู้สึกว่าตัวเองติดการดำเนินเรื่องแบบจบในตอน
มีเหตุการณ์นึงขึ้นมา และจบลงในตอนนั้นๆ แต่เหตุการณ์ทั้งหมดก็จะนำไปสู่โครงเรื่องใหญ่นี่แหละ
แต่ก็รู้สึกว่ายังทำได้ไม่ดีเท่าไร โดยเฉพาะเรื่องโครงเรื่องใหญ่ที่มันอาจไม่ค่อยหนักแน่นมากนัก
บางวันมีเวลาว่างก็จะนั่งอ่านทวน มีเขียนแก้ไขไปหลายจุดอยู่
ดังนั้นถ้าใครอ่านแล้วรู้สึกว่าตรงไหนควรปรับปรุงก็บอกกันได้นะคะ เดี๋ยวจะกลับไปเขียนแก้จ้า
ขอบคุณที่ติดตามกันน๊าา
ปล.
ขอบคุณสำหรับการโหวตในเซ็งเป็ดอวอร์ดนะคะ ถึงไม่ได้รางวัลอะไร แต่แค่มีชื่อร่วมชิงก็ดีใจน้ำตาจิไหลลล
ที่ผ่านมาในช่วงที่เล้าเปิดให้โหวต ไม่กล้าพูดเวลาโพสต์นิยายเลย เขิน >.< กลัวผิดกฎด้วย
ยังไงก็ขอบคุณจากใจเลยค่ะ
เร็วๆ นี้อาจมีเปิดเพจในเฟซบุ๊ก เอาไว้ติดตามและพูดคุยกัน
แต่บอกตรงๆ โคตรกลัวแป้ก กลัวไม่มีใครไปไลค์อ่ะ 5555555
เปิดเพจเมื่อไรเดี๋ยวมาแจ้งจ้า
บ๊ายบาย