Page 09 : อินเซ็ปชั่น
สุดท้ายก็ต้องโดนแก้....
สมน้ำหน้าเชี่ยเก็ต หึ หึ หึ
แต่ก็สงสารตัวเอง ที่ต้องอยู่พรู๊ฟตอนสามทุ่ม ฮือ ฮือ....
สิปป์ศิลป์เช็คตารางงานในวันพรุ่งนี้ว่าไม่มีอะไรผิดพลาด ก่อนจะส่งเมล์ให้ตากล้องและทีมคอสตูมเพื่อให้รู้ถึงหมายงานคร่าวๆ แม้จะรู้ดีว่าโอกาสการดำเนินตามแผนนั้นมีไม่ถึง 0.00001% ก็ตาม ทันทีที่หน้าจอคอมพิวเตอร์แสดงว่าอีเมล์ถูกส่งได้สำเร็จ เสียงเรียกเข้าจากสมาร์ทโฟนคู่ใจก็ดังขึ้นในวินาทีต่อมา
“ยังไม่กลับอีกเหรอ” ปลายสายที่เอ่ยถามทำเอานักเขียนผู้โดดเดี่ยวต้องแอบอมยิ้ม
“อื้อ” เสียงตอบรับในลำคอพร้อมการเคี้ยวอะไรหยุบหยับๆ ทำให้เมตตาพอเดาได้ว่าขนมที่ยัดให้เมื่อวานไม่เสียเปล่า
“อร่อยมั้ย”
“หือ?”
“ที่กินอยู่น่ะ อร่อยมั้ย”
“อือฮึ”
“นี่..ตอบให้มันเป็นประโยคหน่อยเถอะมึง” ปลายสายทั้งยั๊วะทั้งขำ ไม่รู้ว่าในปากนั่นแอปเปิ้ลหรือคิทแคท
“อะโหร่ยยย” ให้ตอบก็ตอบมันทั้งๆ ที่ขนมยังเต็มปากนี่แหละ
คนฟังหัวเราะหึหึก่อนจะปล่อยให้ผ่านไป “เก็ตยังแก้ไม่เสร็จอีกเหรอ”
“ใช่ เบื่อ ง่วง หิว อยากกลับแล้วอ่า” นักเขียนกะดึกเริ่มงอแง พรุ่งนี้ต้องตื่นตั้งแต่ตีห้า จริงๆ วันนี้ไอ้สิปป์ควรจะได้หยุดด้วยซ้ำ เฮอะ!
“แล้วจัดของไปอัมพวาหรือยัง” พรุ่งนี้เมตตาจะขับรถไปเอง เลยนัดกับไอ้นักเขียนมาเจอกันตอน 6 โมงเช้า ส่วนทีมงานคอสตูมจะไปกับรถตู้บริษัท และไปเจอกันที่อัมพวาประมาณ 9 โมง
“ยังเลย แล้วนี่มึงอยู่ไหนอ่ะ”
“อยู่ห้องสิ นั่งอ่านเมล์มึงอยู่ ตารางเป๊ะมากนะ พรุ่งนี้ขอให้ได้สักครึ่งนึงเถอะ”ตากล้องรู้ดีว่าทุกครั้งที่ทำงานกับทีมใหญ่มักไม่เป็นไปตามแผน มันจะต้องมีตัวแปรที่ควบคุมไม่ได้เข้ามาทำให้การทำงานสั่นไหวล่าช้าแน่นอน
เรื่องนั้นสิปป์ศิลป์ไม่ห่วง ไม่ต้องเป็นไปตามตารางงานก็ได้ ขอแค่ให้งานเสร็จก็พอ พูดแล้วก็นึกถึงคนที่เรื่องมากที่สุดในแพลนนี้ “วันนี้กูโทรไปคอนเฟิร์มทางนายแบบเว่ย ผู้จัดการเค้าถามใหญ่เลยว่ามึงไปแน่ใช่เปล่า ฮ่าๆๆ เสร็จแน่....”
“ตึ่ง ตึง ตือดื้อดึง ตึ๊งตึ๊ง...ตึ่ง ตึง ตือดื้อดึง ตึ๊งตึ๊ง” เสียงเรียกเข้าอันเป็นเอกลักษณ์ของไอโฟนดังแทรกการสนทนามาจากฝั่งตากล้อง คนกำลังฝอยฟุ้งจึงต้องหยุดชะงัก ก่อนสมองจะประมวลเป็นความเข้าใจว่าปลายสายไม่ได้อยู่คนเดียว...ในห้อง
“เอ่อ...ไอโฟนมึงดังอ่ะ ไปรับก่อนมั้ย แค่นี้ก่อนละกันนะ” สิปป์ศิลป์กดวางสายโดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับหรือปฏิเสธ ไอโฟนเหรอ? ไอ้เมตมันใช้แอนดรอยด์กับโนเกียเก่าๆ ที่เอาไว้เป็นเครื่องสำรองเท่านั้นแหละ แล้วอีไอโฟนที่มันดังขึ้นมานี่มัน....?
แม้จะเข้าใจดีว่า การที่ชายโสดโดดเดี่ยวเปล่าเปลี่ยวอย่างเมตตา ซึ่งหน้าตาไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ จะพา ‘ใคร’ มาห้องบ้าง มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดแผกอะไร และ ‘ใคร’ ที่ว่าจะใช้ไอโฟน โนเกีย ซัมซุง หรือมือถือเสินเจิ้น แม่งก็ไม่ใช่เรื่องที่คนอย่างกูต้องไปเสือกป่ะวะ?
ถึงจะบอกตัวเองอย่างนั้น แต่สมองก็ยังไม่หยุดคิด สิปป์ศิลป์มั่นใจว่าตอนนี้ตัวเองโดนอินเซ็ปชั่นด้วยเสียงเรียกเข้าไอโฟนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะจะทำอะไรก็จะได้ยิน ‘ตึ่ง ตึง ตือดื้อดึง ตึ๊งตึ๊ง...’ ลอยเข้ามาในความคิดตลอดเวลา
“สิปป์ กูเพิ่มบอร์เดอร์ขึ้นอีก 2 พิกเซล เลื่อนเฮดก็อปปี้ไปทางขวาตามที่มึงบอก แต่ไอคอนตรงนี้กูขอเอาไว้ที่เดิม ไม่งั้นมันไม่แมทช์กับสีแบล็คกราวน์ ส่วนเนื้อหากูเพิ่มขนาดตัวอักษร ขนาดช่องไฟ ทำย่อหน้าใหม่ แต่ตัดมันวางเป็นสองคอลัมน์นะ... สิปป์? ไอ้สิปป์!!” กราฟิกโอตาคุเขย่าแขนนักเขียนที่นั่งรอตรวจงานเบาๆ
เงียบ...สงสัยแม่งช็อก!
…………. Gayscale Magazine………….
ในเวลาเช้าตรู่ที่ดวงอาทิตย์ยังขี้เกียจโผล่พ้นขอบฟ้า ถนนเส้นที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตามีเพียงรถเต่าสีเขียวมะกอก ที่กำลังพาเจ้าของและผู้ติดตามมุ่งหน้าสู่สมุทรสงคราม เมตตารักษาความเร็วที่ระดับ 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพราะออกเร็วกว่ากำหนดเล็กน้อย จึงทำให้มีเวลาเอ้อระเหยกับอากาศเย็นสบายระหว่างทาง
เสียงเพลง ‘มนต์รักแม่กลอง’ ดังคลอจากเครื่องเล่นซีดีที่ถูกเปิดไว้เป็นเพื่อน ผู้ร่วมทางอีกคนที่สวมแว่นกันแดดสีทึบเอาแต่มองออกไปนอกกระจก หากสมองกลับคิดถึงแต่เรื่องเมื่อคืนไม่หยุด...
จนถึงตอนนี้ เมตตาก็ยังไม่มีคำอธิบายใดๆ
วิวสองข้างทางเปลี่ยนจากตึกอาคารสูงใหญ่เป็นป่าหนาทึบ ตอนนี้คงออกจากกรุงเทพฯ มาไกลแล้ว ...อยู่ๆ สิปป์ศิลป์ก็พบว่าแว่นกันแดดที่สวมอยู่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำ ตอนแรกคิดว่าตัวเองร้องไห้ แต่ก็เปล่า แล้วน้ำมาจากไหน?
เสียงฟ้าร้องครืน..ครืน...เป็นคำตอบ ไม่นานหยาดฝนก็เริ่มโปรยปรายหนาตา บางส่วนสาดเข้ามาทางกระจกที่เปิดรับลมไว้ มือเรียวเลื่อนไปกดปุ่มปิด ทว่ามันไม่ทำงาน เมื่อกดย้ำเท่าไรก็ไม่เกิดผล จึงจำใจหันไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าของรถ
“ปิดกระจกให้หน่อยดิ่” สิปป์ศิลป์ตะโกนแข่งกับเสียงฝนที่แรงขึ้นเรื่อยๆ
คนขับรถเลิกคิ้วถาม “ปิดทำไม ฝนตกสนุกดีออก!”
คราวนี้เมตตาถึงกับฉุนจัด เมื่อเนื้อตัวเริ่มเปียกปอนจนหนาวสั่น “สนุกบ้านมึงสิ! ปิดเดี๋ยวนี้! ปิด!”
“ฮ่าๆๆ มึงอย่าซีเรียส มาๆ มาเต้นกันดีกว่า”
อยู่ๆ รถเต่าก็กลายเป็นเวทีคอนเสิร์ตขนาดย่อม เมตตาและสิปป์ศิลป์กำลังยืนเบียดกับผู้คนมากมายหน้าเวทีนั้น บทเพลงที่จำได้ฝังใจดังสนั่น ท่องทำนองสนุกสนานผลักดันให้ร่างกายต้องขยับไปตามจังหวะเพลง
“นี่ความฝันกูเลยนะ เต้นบ้าๆ กลางสายฝน” เมตตากระโดดเข้ามาประชิดตัวเพื่อนสนิทก่อนกระซิบข้างหูแข่งกับเสียงเพลง
“มึงมันบ้า ฮ่าๆๆ กูไม่เคยคิด แต่แม่งโคตรสนุกเลยว่ะ” พูดเสร็จก็กระโดดตัวลอยไปกับทำนองมันส์ๆ ที่ดังเข้าหู เสื้อนักศึกษาที่สวมใส่อยู่เปียกปอนไปด้วยสายฝน แต่นาทีนี้ไม่มีใครแคร์ เพราะแม้แต่นักร้องยังไม่หยุดเลย!
เพราะความคึกจึงทำให้สิปป์ศิลป์กระโดดโลดเต้นสุดพลัง โดยลืมไปว่าคนแสนแออัดและพื้นเริ่มลื่นจากฝนตก จังหวะสุดท้ายที่หวังจะทำสกายคิกกลางอากาศจึงเสียหลักล้มลงกองกับพื้นไปซะอย่างงั้น
“สิปป์!” เมตตาเรียกชื่อเพื่อน ก่อนจะเข้าไปพยุงไอ้ตัวแสบที่ล้มไม่เป็นท่า
“กูโอเคๆ แต่..โอ้ยยย! กูไม่โอเคแล้วว่ะ” คนเจ็บทำหน้าเหยเกเมื่อความปวดที่ข้อเท้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนแทบยืนไม่ไหว มาอีหรอบนี้สงสัยข้อเท้าพลิกแหงๆ
“มึงนั่งรอกูตรงนี้นะ” มือหนากดไหล่คนเจ็บเป็นเชิงสั่ง โต๊ะม้าหินที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่พอบังฝนได้บ้าง สิปป์พยักหน้ารับและนั่งรอไม่กระดุกกระดิก จนรถป๊อบคันคุ้นตาแล่นเข้ามาจอดข้างๆ จึงส่งมือให้เพื่อนประคองขึ้นรถไปด้วยความเจ็บปวด
“อ่ะ เอาผ้าไปเช็ดหน้าก่อน” คนขับส่งผ้าขนหนูที่ค้นได้จากก้นกระเป๋าไปให้คนซ้อน พอเห็นอีกคนไม่รับเลยหันไปเช็ดหัวเปียกๆ ให้ซะเอง
วินาทีนั้น สิปป์ศิลป์รู้สึกเหมือนอยู่ๆ ฝนก็ขาดสาย สายลมที่เคยพัดแรงกลับนิ่งสนิท แมลงตัวเล็กตัวน้อยที่บินล้อไฟด้านบนพากันลอยสงบนิ่ง มันเหมือน....
เหมือนโลกหยุดหมุน “ตึ่ง ตึง ตือดื้อดึง ตึ๊งตึ๊ง...ตึ่ง ตึง ตือดื้อดึง ตึ๊งตึ๊ง”
สิปป์ศิลป์สะดุ้งสุดตัวจนหัวเข่ากระแทกกับคอนโซลรถ แว่นกันแดดอันโปรดร่วงมาอยู่บนตัก รู้สึกปวดร้าวช่วงคอที่เกิดจากการพิงเบาะผิดท่า กระจกรถด้านข้างปรากฏรอยฝนจางๆ เพลง ‘มนต์รักแม่กลอง’ ยังดังอยู่เหมือนเดิม อืม...ตอนนี้อยู่บนรถไอ้เมต เมื่อกี๊ก็แค่ฝันไป ...ฝันไปถึงเรื่องเดิมๆ ที่ไม่เคยลืม
“เป็นไรมึง ฝันร้ายเหรอ” อยู่ๆ คนในความฝันที่นั่งอยู่ในความจริงก็ถามขึ้น สิปป์หันไปสบตากับคนที่ฮัมเพลงในลำคอ
“กำลังต่อสู้กับ ‘อิด’ ในความฝันเหรอ” คนฮัมเพลงถามต่อยิ้มๆ
“หึ!’อิด’ ของกูเป็นคนดีตลอดเว้ย” คนถูกแซวด้วยทฤษฎีความฝันของนักจิตวิทยาชื่อดังรีบแก้ตัว
“โอ้โห...พ่อเทพบุตรผู้โปรดสัตว์ พ่อคนบรรลุนิพพาน” ที่ต้องประชดเสียสูงส่งเพราะคงไม่มีใครบนโลกที่ Id หรือ สัญชาตญาณดิบจะบริสุทธิ์ผุดผ่องได้ มึงต้องเป็นพระพรหมอวตารชัวร์!
“อ่ะแน่นอน ทุกวันนี้อีโก้กับซุปเปอร์อีโก้ไม่ต้องทำงานนะ ใช้จิตใต้สำนึกล้วนๆ” พูดจบก็ยักคิ้วกวนๆ อีกสองที
“ซิกมัน ฟรอยด์คงตกงานแน่นอนถ้าเจอมึง”
“ตึ่ง ตึง ตือดื้อดึง ตึ๊งตึ๊ง...ตึ่ง ตึง ตือดื้อดึง ตึ๊งตึ๊ง” เสียงไอโฟนปริศนาดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้สิปป์ศิลป์รู้แล้วว่ามันไม่ใช่เสียงจากการถูกอินเซ็ปชั่น ไม่ใช่จากในฝัน แต่มันดังอยู่ในรถนี่แหละ!
“รับโทรศัพท์สิครับแฟน” เมตตาบอกกับคนที่นั่งทำหน้างง
อีกคนสายหน้าพรืด “ไม่ใช่ของกูนะ” ว่าจบก็พยายามหาต้นตอของเสียงต่อไป เด็กมึงทำหล่นไว้ในรถหรือเปล่าไอ้เมต เห๊อะ!
“เห้ย!” ความรู้สึกชาวูบตีเข้าแสกหน้าเหมือนโดนเผาพริกเผาเกลือแบบไม่รู้ตัว สิปป์ศิลป์ค่อยๆ ยื่นนิ้วไปคีบเอาโทรศัพท์รูปร่างคุ้นตาออกมาจากซอกเบาะที่ติดกับช่องวางแก้วน้ำ ไอโฟนหน้ากากแบบนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าของใคร
“ไหนว่าไม่ใช่ของมึง?” อีกคนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเอ่ยถาม
“เอ่อ...กูลืมไปว่าเปลี่ยนเสียง” เรื่องของเรื่องคือ เนื่องจากเมื่อคืนริงโทนเบสิคสไตล์ไอโฟนมันหลอนมาก ไอ้สิปป์เลยคิดว่าหนามยอกยังต้องเอาหนามบ่ง นับประสาอะไรกับการโดนอินเซ็ปชั่น กูเปลี่ยนเป็นเพลงเดียวกันแม่งเลยเว้ย!
“ครับพี่เป็ด...โอเคพี่ แต่เจอฝนอ่ะ ตอนนี้เหรอ ผ่านราชบุรีมาแล้วล่ะ ครับ...เดี๋ยวไปหาไรกินแถวตลาดร่มหุบ....”
เมตตานั่งฟังเสียงคนข้างๆ คุยกับปลายสาย จริงๆ พี่เป็ดเป็นคนติดต่อขายแอดกับบ้านพักที่อัมพวา แต่ไม่รู้ทำไมถึงให้น้องจีดูแลต่อ ทั้งๆ ที่รู้ว่างานนี้ต้องขายได้อยู่แล้ว สรุปน้องจีก็ได้ค่าคอมไปท่ามกลางความงงงวยของใครหลายๆ คน อ่า...ยกเว้นพี่เอ้ เพราะรายนั้นเปรยเบาๆ ว่า ‘สุดท้ายมันก็กระเป๋าเดียวกัน!’
“ฮะ?? ฝากซื้อปลาทู? ไอ้น้องจีอยากกิน?” คนคุยโทรศัพท์อุทานลั่นรถจนเมตตาต้องหันกลับมาสนใจ
“อ่า...ครับๆ ถ้ามีเวลาจะไปซื้อให้นะพี่” นักเขียนกดวางโทรศัพท์อย่างงงๆ คือ..ตลาดสดหน้าบ้านมึงไม่มีเหรอครับพี่เป็ด ต้องให้กูหิ้วไปจากอัมพวาเนี่ย - -"
โชเฟอร์เห็นท่าทางคิดมากของคนข้างตัว ก็เลยถามออกไปเพราะหวังจะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง “มึงมีไรอยากถามกูป่ะ”
สิปป์พยักหน้าหงึกๆ ก่อนตากลมโตจะจับจ้องไปที่ดวงหน้าของอีกฝ่าย เมตตาเห็นสายตาอันแน่วแน่ของเพื่อนแล้วก็รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ไม่รู้ว่ากะอีแค่ปลาทู ทำไมมันต้องทำหน้าอย่างนั้นด้วย
“คือ...” คนตั้งใจถามชะงักไปนิดหน่อย “คือเมื่อคืนตอนคุยกันแล้วเสียงไอโฟนมันดังขึ้นอ่ะ กูอยากรู้ว่าเป็นโทรศัพท์ของใครวะ คือกูไม่ได้อะไรนะเว้ย แค่แบบสงสัยนิดหน่อย เพราะมึงไม่ได้ใช้ใช่ป๊ะ แล้วทีนี้แบบ... คือกูไม่ได้คิดอะไรนะถ้ามึงจะพาใครไปห้อง แต่กูแค่สงสัยไง ก็แบบตามประสากูอ่ะ ชอบเสือกไรงี้ ง่ะ...แต่กูไม่ได้คิดไรมากนะเว้ย ที่เปลี่ยนเสียงไอโฟนตัวเองก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรนะ ถึงมันจะหลอนกูไปทั้งคืนก็เถอะ แต่กูไม่ได้อะไรจริงๆ”
คนฟังคำถามถึงกับตบไฟเลี้ยวจอดข้างทางตั้งแต่คำว่า ‘ไอโฟน’ คำแรกหลุดออกมา ...สรุปว่ามึงคิดจริงๆ คิดมากด้วย!
“ไอ้สิปป์... คืองี้” เมตตาสูดลมหายใจเข้าปอด พยายามเรียบเรียงเรื่องราวในหัวให้เข้าใจง่ายที่สุดสำหรับคนที่ชอบอนุมานเรื่องไปเองแบบไอ้สิปป์
“เมื่อวานกูบังเอิญเจอขวัญใจแถวๆ บ้าน มึงจำได้ใช่มั้ย แฟน ‘เก่า’ กูอ่ะ” คนพูดจงใจเน้นคำว่า เก่า ให้ดูหนักแน่นกว่าคำอื่นๆ “แล้วกูก็นึกได้ว่า ยังไม่ได้คืนหนังสือของกามูส์ที่เคยยืมมาตอนปีสี่ หนังสือมันหายาก ขวัญใจเคยบอกว่าอยากได้คืน”
‘อืม...แล้วมึงก็ชวนเค้าไปบ้าน พาเค้าเข้าไปในห้อง ช่วยกันค้นหนังสือทั้งคืน...’ คนฟังคิดในใจ
“อย่าเพิ่งคิดเอง ฟังกูก่อน” ตากล้องเอ่ยราวกับรู้ความในใจของอีกคน “ก็พาขวัญใจมาบ้าน ให้นั่งรอกับแมวกูที่หน้าทีวี แล้วกูก็เข้าไปหยิบหนังสือในห้องให้เค้า”
“แล้วเสียงไอโฟน..”
“พอได้หนังสือแล้วเค้าก็กลับไป กูก็เข้ามานั่งเล่นเน็ต เลยได้อ่านเมล์ที่มึงส่งมา สักพักนึงขวัญใจก็เดินกลับมา กูไม่ได้ล็อคห้อง เค้าเลยเดินเข้ามา แล้วโทรศัพท์เค้าก็ดังพอดี แล้วมึงก็วางไป ...คือเค้ามาบอกว่ารถออกไม่ได้ จะให้ไปช่วยเข็นรถที่จอดปิดอยู่ ...แค่เนี้ย”
“ไม่มีการช่วยกันค้นหนังสือ?” คนช่างสงสัยยังถามต่อ
“ไม่”
“ไม่มีมือโดนกัน?”
“ไม่...เอ่อ ไม่แน่ใจ แต่ไม่หรอก”
“ไม่มีถ่านไฟเก่า?”
“ไม่ เฮ้ย! นี่มึงอยากรู้หรือมึงหึงกูวะ?” คราวนี้เมตตาโวยวายบ้าง
คนถูกกล่าวหาหน้าแดงแปร๊ด ชนิดที่ว่า ถ้าพี่เอ้เห็นคงระบุว่าเป็นอาการเขินขั้น –est
“ไม่...เว้ยยยยย”TBC.
//โย่ววววว และแล้วก็มาจนได้ คึคึ
นึกเสียงเรียกเข้าเบสิคของไอโฟนออกมั้ย ฟังแล้วมันหลอนจริงๆ นะ - -"
อธิบายเพิ่มเติมนิดนึง เรื่อง Id, Ego, Superego
(ถ้าขี้เกียจก็ข้ามไปเลยจ่ะ ไม่มีผลกับเนื้อหา)ฟรอยด์ นักจิตวิทยาเค้าเชื่อว่า บุคลิกภาพของมนุษย์ถูกควบคุมด้วยสามสิ่งนี้
Id หรือ อิด คือสัญชาตญาณดิบ เป็นอารมณ์ส่วนลึกของเรา เช่น อยากเตะคน อยากขโมยของ เป็นสิ่งที่ขึ้นกับตัวเราเอง
Superego คือ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี การคิดตามแบบแผน ประเพณี กฎหมาย เช่น ขโมยของไม่ได้ เดี๋ยวสังคมจะมองว่าเป็นคนเลว ผิดศีลธรรม คือเป็นสิ่งที่ขึ้นกับสังคม
Ego คือ ส่วนของการประนีประนอมทั้งสองฝ่ายนั้น เช่น ขโมยไม่ได้นะ แต่ลองขอเค้าดีๆ เค้าอาจจะให้ บางทีอีโก้ก็จะเอนเอียงไปทางฝ่ายดี ถ้าเราซึมซับกฎประเพณีมามากๆ หรือบางทีก็เอนไปทางอิด ถ้าจิตใต้สำนึกเรามีพลังอยากมากๆ
ทีนี้โดยทั่วไป คนปกติก็จะถูกอีโก้กดอิดไว้ กดหนักๆ เข้ามันก็จะไประบายออกในความฝัน ก็เลยเป็นที่มาที่ว่า ทำไมพี่เมตถึงแซวสิปป์ว่ากำลังต่อสู้กับอิดในความฝันนั่นเอง
มันก็เป็นประการฉะนี้ อธิบายรวบๆ ตามความเข้าใจของไอ่คนเขียน
อ้อ...ใครที่อยากรู้เรื่องเดจาวูตอนฝนตก ตอนนี้มีแพลมๆ ออกมาครึ่งนึงแล้วล่ะ

ขอบคุณที่อ่าน ขอบคุณที่ติดตาม ที่ทวง ที่เมนต์ ที่ให้เป็ด
และขอบคุณที่รอค่ะ (ก็คุ้มจริงๆ ที่รอที่เฝ้าคอยมาาาา //ฮัมเพลงพี่นัท 555555)
เจอกันตอนหน้าค่าาา