[ต่อจากด้านบน]
"นางเอกต่างหากละ"
"บ้า ผมเป็นผู้ชายนะ แมนขนาดนี้ ดูๆ กล้ามปู" ผมเบ่งกล้ามให้ดู มีนะครับ แต่ไม่เท่ามันที่เป็นมัดๆเท่านั้นเอง
"หึหึ ปูลมขาดสารอาหารชัดๆ" ปูลมอะไรเล่า เปรียบซะพันธุ์เล็กเชียวนะ ฟังแล้วหงุดหงิดแปลกๆ หมั่นไส้คนกล้ามใหญ่ชะมัด
"ฮึ่ยยย" ผมหน้าบึ้งใส่มัน แล้วกระดึ๊บตัวไปตามเสียงแคว่กๆแง้วๆที่ปลายเตียง ไอซิสลูกพ่อออ
ผมอุ้มมันขึ้นมา จะวางบนเตียงก็เจอหัวเข่าใครบางคนสะกิดที่ต้นขายิกๆ หันไปก็เจอตาคมมองดุๆ โด่ อะไรวะ แค่จะให้มันสัมผัสเตียงนุ่มๆบ้างนี่นา คนนอนได้ทำไมแมวจะนอนด้วยไม่ได้ละ แต่ก็ขัดเขาไม่ได้หรอกครับรายนั้น เลยจำใจต้องวางไอซิสที่พื้นปลายเตียงเหมือนเดิม แล้วก้มเล่นกับมันจนก้นกระดกอยู่บนเตียงนี่ละ
จะเล่นท่ายากไปไหมครับ
"มานอนดีๆ" เผลอแปบเดียว เสียงมารโหดก็ดังขึ้นอีกรอบ
"จ้าๆ" แล้วผมจะตามใจมันทำไมหว่า
เหมือนกับผมและมันไม่ได้เครียดอะไร แต่ความจริงเราต่างกลับมาคิดในใจนะครับ ผมรู้ว่าตัวเองก็หนักใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นะครับ ส่วนเกียร์นั้นก็คงไม่ต่าง ถึงแม้จะมีสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม แต่ผมดูออกว่ามันคิดมากเหมือนกัน
ถึงแม้ว่าจะผ่านไปด่านหนึ่งแล้ว แต่มันก็กังวลไปหมด ยิ่งหลังจากนี้ อะไรจะเกิดขึ้นบ้างไม่รู้
คนอื่นผมไม่เก็บเอามาคิดหรอก จะมีก็แต่คนในครอบครัวนี่ละ
เฮ้อ..
คิดไปคิดมาก็เผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ ตื่นมาก็ตอนที่เกียร์เดินไปรูดผ้าม่านที่หน้าต่างบานใหญ่ เผยแดดสีส้มเข้มเกือบครามยามเย็น แอบปวดหัวเล็กน้อย แปลกนะครับที่คนโบราณเรียกเวลานี้ว่าผีตากผ้าอ้อม แต่ผมว่าคงเป็นกลยุทธ์ที่จะให้เรานอนเป็นเวลากระมัง อาจเป็นเพราะผมเรียนสายวิทย์ จึงเชื่อว่าเวลานี้มันเป็นช่วงที่อุณหภูมิกำลังเปลี่ยนแปลง ร่างกายก็ยังไม่พร้อมที่จะพักผ่อนตอนนั้นด้วยก็เท่านั้นเอง
แต่ก็ไม่ได้ไม่เชื่อหรือจะลบหลู่ความเชื่อแต่โบราณนะครับ แค่เอนเอียงไปทางเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มากกว่า
"ตื่นแล้วเหรอ" ยังครับ
"ครับ แล้วไอซิสละครับ" คุณน้ำแข็งชักสีหน้าทันทีที่ผมถาม
"ไม่รู้ นอนมั้ง นอนพุงไม่กระเพื่อมอยู่แถวไหนสักที่" คือที่พูดมาจะแช่งลูกผมใช่ไหมครับ ร้ายกาจ
"ลงไปเล่นข้างล่างกันดีกว่าเนอะ ผมขอไปล้างหน้าแปบหนึ่ง" มันพยักหน้า ผมบิดขี้เกียจ นั่งมึนๆสักพักก็ลุกไปล้างหน้าล้างตา แอบแปรงฟันลวกๆด้วย เพื่อความสะอาดและสดชื่นในช่องปาก
พอลงมาแถวสนามหญ้า ผมก็เดินไปเล่นไอแดดกับไอหมอก ทั้งสองตัวชอบวิ่งน่ะครับ ถึงจะเชื่องกับคนในบ้านแต่เวลาที่จะชวนมันวิ่งเล่นต้องเป็นผมกับพี่ไอติมเท่านั้นนะครับ ถ้าเป็นคนอื่นมันจะไม่วิ่งด้วย ขนาดแม่ผมมันยังเดินเอื่อยๆทอดน่องไปหาเฉยๆ
แค่ผมโผล่ขาไป พวกมันก็วิ่งมากระโจนใส่ทำเหมือนผมเป็นพันธุ์เดียวกันกับพวกเขาเลย ผมก็วิ่งไปทางไหนมันก็ติดไฮสปรีดตามมาอย่างกับเงา เกียร์ที่นั่งอยู่แถวนั้นก็โยนลูกเทนนิสเยินๆที่เอามาจากแถวกรงสุนัขมาให้ผม
เล่นกันนานจนเหนื่อยละครับถึงได้นอนอ้าซ่าพักกันอย่างหมดสภาพทั้งสุนัขทั้งคน ส่วนอีกคนที่นั่งดูเพลินๆก็ยิ้มขำใหญ่ คงจะไม่ค่อยเห็นผมในลุคนี้กระมัง ก็แหงสิ อย่างนี้เก็บไว้คนที่บ้านเห็นก็พอแล้ว
อืม..นี่ผมยังพูดไม่ชัดเจนอีกเหรอครับ ก็หมายความว่าผมมองมันเป็นหนึ่งในครอบครัวผมแล้วไง หายสงสัยกันยัง ฮู้
"เป็นนักวิ่งมาก่อนเหรอ วิ่งวนเป็นแมวลมกรดเลย"
"แฮ่กๆ เขามีแต่หนูลมกรดครับ แมวไม่มี๊" นอกจากไอรักจะต้องนอนอกกระเพื่อมแล้วยังต้องตอบปัญหาชาวเกรียนของมันด้วยเหรอ มันขยี้หัวผมใหญ่เลย ถึงผมจะเหงื่อน้อย แต่มันก็ซึมๆออกมาบ้างนะครับ ยิ่งมึงขยำขยี้มันขนาดนี้ เม็ดเหงื่อก็ออกมาแบ่งปันหญ้าข้างตัวเลยเหอะ
"ทำอะไรกันน่ะ!" เสียงทุ้มดังขึ้น ผมรีบเท้าแขนขึ้นหันไปมองตามเสียง เห็นพ่อกำลังเดินมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
"เปล่าครับ ไอรักพึ่งเล่นกับไอหมอกกับไอแดดเสร็จ" ไอรักรีบแก้ตัว ไม่สิ ไอรักพูดความจริง
"ลุกขึ้นเลยตัวเล็ก" ผมรีบทำตามที่อีกคนสั่ง พ่อดึงตัวผมเซไปอยู่ด้านหลังแล้วเอ่ยปากไล่ผม
"ไอรัก เข้าบ้านไป" พ่อจ้องเกียร์ด้วยสายตาเชือดเฉือน มันมองพ่อ ก่อนจะสบตาแล้วยิ้มบางให้ผม พยายามบอกว่าไปเถอะ มันอยู่ได้ แต่ผมยังคงลังเลอยู่
“แต่...”
“แด๊ดบอกให้เข้าบ้านไปไง” พ่อเริ่มดุเสียงดังขึ้น ผมตกใจเพราะน้อยครั้งที่พ่อจะเสียงดังใส่
แต่ท่านก็คงรู้สึกตัว หันมองกลับมาหาผมพร้อมพูดเสียงอ่อนลง
“ไปอยู่เป็นเพื่อนมาม๊าเถอะตัวเล็ก”
ผมเดินออกมา มิวายหันไปมองทั้งสองคนเป็นระยะอย่างเป็นห่วง เกียร์จะรับมือพ่อไหวไหมนะ จากระยะไกลก็ไม่เห็นทั้งสองคนพูดอะไรกันเลยนะครับ แต่จ้องหน้ากันนิ่งอยู่อย่างนั้น
ผมถอนหายใจออกมา จะรักกันก็ต้องทำรับมือเรื่องนี้ให้ได้สินะ ในใจก็กังวลมากเหมือนกันนะครับที่จะทำให้คนที่สำคัญกับเราได้เข้าใจและยอมรับเรื่องนี้ไปพร้อมกันได้ ผมรู้ว่ามันยากที่จะเข้าใจ แต่ผมก็ไม่เคยเหนื่อยที่จะสู้ ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนใจไปจากมันเลย ถึงเราจะเปลี่ยนไปคบผู้หญิงอย่างที่สังคมยอมรับได้ แต่ถ้าไม่รักกัน เราจะทนไปเพื่ออะไร
ผมรักมัน ผมถึงบอกไงครับว่าผมไม่เคยเหนื่อยที่จะรักและพร้อมที่จะสู้ไปด้วยกัน
เพราะคำว่า ‘เรา’ นั่นละครับ มีมัน มีผม รักเราจึงยิ่งใหญ่เกินกว่ากรอบเล็กๆที่สังคมได้ตีเอาไว้ว่าผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิง
ยังไม่ทันไปถึงประตูใหญ่ก็ได้ยินเสียงรถขับเข้ามา และอีกคันก็ขับตามมาติดๆ ผมยิ้มออกมาอย่างดีใจ เมื่อเห็นพี่ไออุ่นกับพี่ไอติมลงจากรถ ผมวิ่งเข้ากอดคนใกล้ที่สุดอย่างแรง ได้ยินเสียง ‘อั่ก’ ด้วยละ แต่ใครจะสนละครับ คิดถึงจะแย่อยู่แล้ว
“โอ้ยยยตัวเล็ก กอดมาได้ซะแรง คนนะไม่ใช่รถบั๊ม” ปากบ่นแต่ดูดู๊ กอดไอรักหลังแทบหัก
“ก็เค้าคิดถึงตัวเองนิ..” ไม่รู้ทำไม พอเจอพวกพี่แล้วน้ำตามันรื้นขึ้นมา ผมไม่ได้เป็นคนขี้แงนะ แต่ผมค่อนข้างที่จะติดครอบครัว พอไม่เจอกันนานก็เลยเป็นแบบนี้
“โอ๋ๆ ไม่ร้องนะครับ พี่ล้อเล่น โน่น ไปดูพี่ชายตัวเองเลย น้อยใจแล้วมั้งน่ะ หึๆ” พี่ติมพยักพเยิดไปทางพี่อุ่น ผมผละออกมา ยิ้มกว้างแล้ววิ่งปรู๊ดไปกระแทกกอดอีกคนแรงๆอีกครั้ง เสียงอั่กลอยมาให้ได้ยินอีกแล้ว
“ว่าไงครับ ลืมพี่แล้วเหรอ หื้ม” พี่อุ่นหอมขมับแล้วอุ้มผมโยกไปโยกมาเหมือนเด็ก เออก็สนุกดีนะ แต่ผมตัวหนักไงเลยยกให้ลอยได้นิดเดียว
“ใครจะไปลืมตัวเองเล่า เค้าคิดถึงทุกคนเลย คิดถึงพี่อุ่นเท่าฟ้าเลยด้วย ฮื้อๆๆๆ”
“เอ้าไอ้ตัวดีเป่าปี่ซะแล้ว ฮ่าๆๆๆ” ถ้าเดินมาหันเราะใส่ก็เข้าบ้านไปเถอะพี่ติม หันไปค้อนเจ้าตัว แต่รายนั้นก็ยักคิ้วกวนๆใส่อีกต่างหาก ผมหันไปส่งสายตาฟ้องพี่อุ่นที่เป็นเกราะกำบังที่ดีที่สุดของผม
“อย่าแกล้งน้อง” พี่อุ่นดุอย่างไม่จริงจัง แต่ก็ทำให้พี่ติมหยุดได้ มิวายก็ยังแอบส่งยิ้มกวนมาให้อีก ได้! ไม่ยุ่งด้วยแล้ว!
“เออแล้วไหนแมวละตัวเล็ก” พี่ติมพูดขึ้น เห็นไหมครับบ้านผมมีการสื่อสารแบบโลกาภิวัตน์ขนาดไหน จะอยู่กันไกลขนาดไหนก็ส่งข่าวไปมาหากันได้ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนบอกพวกพี่นะครับ ไม่พวกแม่บ้านก็แม่ผมนี่ละ
“นอนอยู่ที่ห้องครับ ขี้เซามากๆ” ไม่รู้ว่าตื่นหรือยังนะ แต่ตอนลงมานี่แทบไม่กระดิกตัวตามเลย นอนหลับสนิ๊ทสนิท
“เหมือนเจ้าของใช่ไหม ฮ่าๆๆๆ”
“พี่อุ่น พี่ติมแกล้งเค้าอีกแล้วอะ!”
“หึ เข้าบ้านกันเถอะ” พี่อุ่นกอดให้ผมเดินเข้าบ้านด้วยกัน ไม่มีแม้แต่จะมองไปยังสนามหญ้าหน้าบ้านเลย ผมว่าพวกพี่คงเห็นเกียร์กับพ่อตั้งแต่ขับรถเข้ามาแล้วละ แต่ทำเป็นไม่สนใจก็เท่านั้น ผมรู้สึกแย่แปลกๆ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไปในเวลานี้
แม่เดินมารับในห้องโถงพอดี พวกพี่ทั้งสองทักทายและกอดเหมือนกับทุกวัน ก่อนจะพากันเดินไปรับห้องรับแขกที่มีคุณไอแดดกับไอหมอกนอนกระดิกหางดิ๊กๆอยู่ นอนรอเจ้านายสบายเชียวนะครับสุนัขบ้านนี้
“ไอหมอก ไอแดด” พี่ติมเรียก พวกมันเอี้ยวซ้าย เอี้ยวขวาค่อยๆลุกเหมือนคนแก่ แล้วเดินดุ๊กดิ๊กทำปากแหะๆเงยหน้ามอง พวกผมยิ้มขำกับท่าทางของมัน
“งานเยอะหรือ ไม่กลับมาบ้านเลย” พี่อุ่นลูบหัวผมที่นั่งอยู่บนตักเขา พี่แกชินแล้วน่ะครับ ตอนผมเริ่มเจริญเติบโต(อ้วนนั่นเอง)เขาก็บ่นๆว่าหนักอย่างโน้นหนักอย่างนี่ มีการมาไล่ให้ลงไปนั่งข้างๆด้วยนะครับ แต่ตอนนี้ก็ชิวครับ หนักจนชิน
“ก็ด้วยละครับ” แอบรู้สึกผิดที่ลืมมาหาชะมัด เฮ้อ
“โทรก็ไม่โทรมา”
“ยุ่งๆน่ะครับ เค้าก็โทษน้า” ผมเกยคางกับไหล่พี่อุ่นแล้วกอดเอวโยกไปโยกมาเป็นการขอโทษ
“หึหึ”
“ไม่ต้องอ้อนเลยนะตัวดี ใครจะยุ่งตลอดทั้งวันหะ ถามหน่อย” พี่อุ่นเงียบไปแล้ว คราวนี้เป็นพี่ติมที่มาถามแทน รายนี้ชอบแกล้งผมอะ ถ้าผมจนมุมจะเป็นเวลาที่เขาชอบใจมาก
“อะไรเล่า กลับมาก็เหนื่อยแล้วนี่”
“หนึ่งนาทีไม่เค๊ยไม่เคยคิดจะโทรเลยว่างั้น”
“ไอรักลืมเอง ไอรักขอโทษครับ” ผมรับผิดอย่างช่วยไม่ได้ ดูสิ พี่ติมหัวเราะที่ได้แกล้งผมใหญ่เลย ส่วนคนอื่นได้แต่ส่ายหน้าเอือม เอือมพี่ติมนะครับไม่ใช่ผม ไม่ใช่หรอกเชื่อสิ
“เลิกแกล้งน้องได้แล้วลูก ขึ้นไปอาบน้ำได้แล้วไป เดี๋ยวก็ไม่สบายเนื้อสบายตัวหรอก” แม่ผมบ่นมาเป็นห่างว่าวเลยครับ
ผมลากสองพี่ตัวโตขึ้นไปยังชั้นสอง แล้วพาไปดูเจ้าหญิงของบ้านที่กำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่ พอผมเรียกชื่อก็ไม่ตื่นจนต้องสะกิดแล้วเรียกดังขึ้นถึงสะลึมสะลือตาปรือขึ้นมา
“..เมี้ยว..” ผู้ชายสามคนก้มหัวมองคุณไอซิสด้วยสีหน้ายิ้มแก้มปริ ตัวอะไรไม่รู้ น่ารักได้อีก
“นอนเยอะไม่ดีนะครับ เดี๋ยวก็ปวดหัวหรอก” ผมเอ็ดเบาๆ
“ไอรัก นั่นแมว ไม่ใช่คน” พี่อุ่นเตือน ส่วนพี่ติมเอามือมาขยี้หัวผมกระจาย
“ก็เค้ากลัวมันไม่สบายอะ”
“แล้วพาไปให้หมอตรวจร่างกายหรือยัง หื้ม” พี่อุ่นถาม ผมส่ายหน้า
“ได้มาเมื่อกลางวันเองครับ กะว่าวันพรุ่งนี้หลังเลิกเรียนจะพาไปตรวจสักหน่อย เผื่อจะได้ฉีดวัคซีนแล้วก็ถ่ายพยาธิด้วย”
“นั่นสิ ควรไปทำนะ ดูสิท้องป่องเลย แมวอะไรเนี่ยตัวเล็กท้องโต” พี่ติมจิ้มหัวคุณไอซิสเบาๆแล้วอมยิ้มขำ เขาเรียกว่าเป็นแมวที่มีคาแรคเตอร์ครับ!
“ให้แม่บ้านจัดการให้ไหม”
“อย่าเลยครับ เค้าอยากดูแลไอซิสให้ดีที่สุดน่ะครับ”
“ชื่อไอซิสเหรอ” พี่ติมหันมาถาม แล้วก้มเล่นกับไอซิสต่อ ไปเอาไม้แขวนเสื้อข้างตู้มาแกว่งให้แมวประสาทแดกเล่น ไอซิสก็บ้าจี้ ตีมึนตะคลุบใหญ่เลย
“ครับ เพราะละซี่”
“ดีกว่าชื่อไอรักนิดหนึ่ง” ถ้าไม่ติดว่าพี่ไออุ่นกับไอซิสอยู่ตรงนี้ ผมจะยกเตียงทุ่มใส่หัวพี่แกให้รู้แล้วรู้รอด
ไม่นานพวกพี่ก็ขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมอุ้มไอซิสลงไปเล่นข้างล่างด้วย ดูท่าเจ้าตัวเล็กของผมจะเข้ากับไอหมอกและไอแดดพอสมควร วิ่งกันวุ่นเลย ตอนแรกก็กลัวว่าจะกัดกันตายไปข้างหรือเปล่า แต่ไม่เลยครับ มันเป็นมิตรกันมากเลย ผมแปลกใจนะที่ทั้งสองตัวไม่เขม่นแล้วกระโจนงับหัวไอซิส แต่ก็ดีแล้วละครับที่เข้ากันได้
“เป็นยังไงบ้างครับ” ผมรีบถามอย่างลุ้นๆเมื่อเห็นเกียร์เดินมาห่างจากพ่อที่ปลีกตัวขึ้นไปข้างบนเมื่อกี้
มันมองผมก่อนจะถอนหายใจแล้วส่ายหน้าเบาๆ ไหล่ผมลู่ลงช้าๆแต่มันก็บีบมือผมเบาๆแล้วปล่อยออก
“ไม่เป็นไรนะ” ผมพยักหน้าเบาๆ มันหนักไปหมด เหมือนอยากจะทรุดลงเสียตรงนี้ไปเลย มันเสียศูนย์ เสียความมั่นใจไปเกือบครึ่ง
“..ไหวไหมเกียร์”
“ไหว ไอรักละ”
“ไหวสิ ท้อบ้าง แต่ไม่ถอยหรอกนะ” บอกน้ำเสียงจริงจัง ถึงเวลาจริงๆเป็นใครก็ยิ้มไม่ออกหรอกครับ อย่างผมตอนนี้ไง ผมไม่รู้จะทำอย่างไรดี ทางมันมืดจนแทบไม่เห็นแสงสว่าง แต่ใจสู้สั่งขาให้วิ่งหาทางออก ทั้งที่ไม่รู้ว่าหนทางที่จะพบเจอทางออกมันอยู่ตรงไหน
"แล้ว..พ่อว่ายังไงบ้างครับ" เสียงผมคงแห้งแล้งเกินไป มันจึงลากผมไปที่ลับตาคนแล้วกอดผมไว้ทั้งตัว
“ว่าไงครับ เขาว่ายังไงบ้าง” ผมถามอีกครั้ง เมื่อเห็นว่ามันไม่ตอบเสียที
“..เขาให้เราเลิกกัน..ห้ามเจอ..ห้ามคุย..ห้ามทัก..ทำเหมือนเป็นคนไม่เคยรู้จักกันยิ่งดี..ถ้ารักจริง..ก็ต้องเพื่ออนาคตไอรัก..” เสียงมันสั่นเครือลงทุกที ผมหลับตา พยายามสูดหายใจแล้วเงยหน้าถาม
“แล้วคุณตอบ..” พูดแค่นั้น กว่าจะออกมาแต่ละคำ ช่างยากเย็นเหลือเกิน..
“เพราะเรารักกันจริง..เลยทำให้ไม่ได้ สำหรับเกียร์คนเลิกกันคือคนที่หมดรักกัน ดังนั้นเราจะไม่เลิกกัน”
“….” น้ำตาที่รื้น ไหลลงมาช้าๆ ผมซุกอกหนา
“และจะช่วยกันทำเพื่ออนาคตของเราด้วยความรักของเรา..แต่เขาก็...ไม่ยอมรับ” มันผละออกมาสบตาในอ้อมกอดแล้วเช็ดน้ำตาให้
สายตานี้เหมือนตอนที่ผมขอให้เราลองห่างกัน สายตาที่เศร้าหมองยังติดตาผมไม่เคยหายไป
“ตัวเล็ก!” ไม่ทันที่จะหันไปตามเสียงเรียกก็มีมือมากระชากแขนให้ออกจากอ้อมกอดอุ่น ผมตกใจหันไปมองก็เจอพี่ติมจ้องมาทางผมกับเกียร์เขม็ง
“เมื่อกี้ทำอะไรกัน” พี่ติมถามเสียงเย็นก็ทำผมใจแป้วอีกครั้ง
“ปะ เปล่าครับ”
“เปล่าอะไร! เมื่อกี้พี่เห็นเรากอดกับมันอยู่ ทำไมเราทำตัวอย่างนี้ห้ะ!”
“เสียงดังอะไรติม” พี่อุ่นที่เดินมาพร้อมแม่ก็เข้ามาทัก แค่พี่ติมคนเดียวผมก็ตัวสั่นจนทนไม่ไหวแล้ว
“ไอ้นั่นมันกอดไอรักต่อหน้าต่อตาติม แม่ง มึงเป็นใครวะมากอดน้องกู เหี้ยเอ๊ย”
“ติม! ใครสอนให้พูดไม่เพราะอย่างนี้คะ พูดจาให้มันดีๆหน่อย” แม่ดุเสียงหลง
“ขอโทษครับ แต่มัน..ฮึ่ม!..ติมรับไม่ได้ที่จะให้น้องเราไปคบกับผู้ชายอย่างนี้ บ้านเราไม่เคยมีใครทำอย่างนี้มาก่อน มาม๊าก็รู้ว่ามันผิดธรรมชาติ สุดท้ายมันก็ต้องเลิกกันเพราะปัจจัยหลายอย่าง ตอนนี้น้องอาจจะหลงสนุกชั่วคราว แต่สุดท้ายแล้วไม่ใครก็ใครก็ต้องจบด้วยการเลิกกัน ติมไม่อยากให้น้องเสียใจ ไม่อยากให้น้องเสียเวลา เรื่องนี้ติมรับไม่ได้ พี่รับไม่ได้จริงๆไอรัก” พี่ติมพรั่งพรูออกมา แล้วหันมาบอกกับผมด้วยประโยคแสนแทงใจ
“แต่ไอรักรักเขา! พี่ติมได้ยินไหมว่าไอรักรักเกียร์! ฮึก..มันไม่ใช่ความรู้สึกชั่ววูบ แต่มันเหมือนกับคนทั่วไปที่เขารักกันจริง เหมือนผู้ชายรักผู้หญิง เหมือนกับที่แด๊ดรักมาม๊า แต่แค่เราทั้งสองเป็นผู้ชายเหมือนกัน แค่นั้น..แค่นั้นจริงๆ ทำไมคนที่ไอรักอยากให้เข้าใจ กลับ...กลับไม่เข้าใจไอรักเลยสักนิด...ฮึก”
“..ไอรักผิดมากเหรอ..” ขามันล้าจนทรุดตัวลงซบกับเข่า
พึ่งเข้าใจว่าน้ำตาเช็ดหัวเข่าก็วันนี้
“อย่ามาจับ!” เสียงพี่ติมดังขึ้น พร้อมปัดมือเกียร์ที่กำลังประคองให้ผมลุกขึ้น แล้วดึงให้ผมไปทางพี่ติมแทน
“ปล่อยเขารักกันไปเถอะลูก น้องติมจะดูถูกความรักของคนอื่นไม่ได้นะคะ เราจะมาเปรียบเทียบกับใครที่เคยเห็นมาไม่ได้ ผู้ชายรักกันยันแก่ยันเฒ่ามีออกเยอะไป น้องติมลองเปิดใจให้กว้างกว่านี้แล้วจะเข้าใจน้องนะลูก”
“…”
“น้องไม่ได้ผิดอะไรเลย ความรักไม่มีคำว่าผิดหรือถูกหรอกนะคะ อย่างน้อยน้องเขาก็ทำตัวน่ารัก มีความรับผิดชอบ ไม่เคยละทิ้งหน้าที่การเรียนหรือไปทำไม่ดีอะไร แค่นี้ยังไม่พออีกเหรอคะ”
“อย่างนั้นก็เถอะ ติมก็ยอมรับไม่ได้อยู่ดี ต่อไปนี้ไอรักต้องกลับมานอนบ้าน”
“พี่ติม!”
“ถึงเราจะบังคับตัวน้องได้ แต่ก็บังคับใจน้องไม่ได้หรอกนะติม มาม๊าขอพูดแค่นี้ละ” แม่พูดแค่นั้นแล้วเดินออกไป
“ไอรักลองไปคิดดูดีๆว่าที่ทำอยู่มันถูกดีหรือยัง พี่ยังยืนยันคำเดิม กลับมานอนบ้านซะ” พี่ติมหันมาพูดแล้วเดินขึ้นชั้นบน
“พี่อุ่น..” ผมเรียกพี่ไออุ่นเอาไว้ เขามองผมนิ่งแล้วส่ายหน้าออกมา
“พี่ไม่อยากให้เราเสียใจ แต่พี่ก็ไม่อยากยอมรับ”
สุดท้ายก็เหลือแค่ผมกับเกียร์ที่ยืนอยู่ตรงนี้ มันคว้าผมกอดอีกครั้ง
“..ทำไมละเกียร์ ทำไมมันต้องเป็นอย่างนี้ด้วย..ทำไม..ทำไมอะ..ทำไม...” ไร้เสียงร้องโฮ แต่ความเจ็บกระอักอยู่ข้างในมันล้นออกมาเป็นน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสายอย่างไม่รู้ตัว
โหดร้ายเกินจะรับ
“ไม่เป็นไรหรอก สิ่งที่น่ากลัวคือความรู้สึกของเราต่างหาก เกียร์จะมาหาบ่อยๆ เขาจะได้ชิน” ผมผละตัวออกมามองมันอย่างใคร่รัก เวลาแบบนี้มันยังนิ่งและใช้ความคิดไตร่ตรองเรื่องราวเพื่อแก้ไขปัญหา มันรักผมมากจนไม่อยากเสียไปพอๆกับที่ผมไม่อยากเสียมันไป
“ขอบคุณครับที่ไม่ทิ้งกัน” ผมปาดน้ำตาแล้วยิ้มสู้
“เกียร์สิต้องขอบคุณ”
เรายิ้มให้กัน มองตากัน สื่อความรู้สึกออกมาโดยที่ไม่ต้องใช้คำพูดหรือการกระทำใดๆ เพียงมองดวงตาที่เปี่ยมด้วยความรู้สึกที่มากมายก็ทำให้รู้ว่าเรามีกันและกัน เพื่อกันและกัน
คนอื่นยังรับเราได้ ทำไมเราจะทำให้พ่อกับพวกพี่ๆรับไม่ได้ละ! ไอรักไฟ้ท์ติ้ง!
TBC-------->>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
+ขอโต๊ดดดดด ไม่อยากจะหายไปนานนะคะ ความจริงพอเปิดเทอม งานรุมเร้า เราก็ตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะปลีกตัวมาอัพให้อย่างน้อยเดือนละ2ครั้ง แต่เหตุไฉนถึงอัพเดือนละ1ครั้งไปได้ ขออภัยจริงๆค่ะ
+ขอระบายหน่อยนะคะ T^T เทอมนี้มีโปรเจคใหญ่ ต้องทำแผนการตลาดกับร้านของหวานชื่อดังในห้างทั่วประเทศ หากทำแผนห่วย ร้านเขาก็เจ๊ง ถ้าทางผู้บริหารไม่โอเคกับแผนงานก็ต้องทำใหม่ให้เขาซื้องานจนได้อะค่ะ ก็เลยต้องเต็มที่กับมันมากหน่อย ถ้าเขาโอเคก็ได้30คะแนน ถ้าทำยังไงก็ไม่ผ่านก็หายไป30คะแนนค่ะ(โหดสุดๆ) เมื่อวานก็พึ่งส่งแปลTextbookเกือบ800หน้า เล่นเอาเราแทบน็อคคาคอมฯ เรียนปี3หรือจบทำงานไปได้5ปีแล้วฟระ เครียดจริงๆ
+ที่กล่าวมาคือจะบอกว่า ช่วงนี้งานเยอะจริงๆค่ะ แต่ไม่ทิ้งกันแน่นอน สัญญา ส่วนอีกเรื่องหนึ่ง
+>> แก่แล้วไง...เล็กไม่เกี่ยง <<+ ขอพักไปก่อนนะคะ ไม่รู้ว่าปีใหม่จะมาต่อทันไหม แต่ก็ไม่ทิ้งแน่ๆค่ะ
โซ่รักทุกคนเหมือนเดิม