สวัสดีค่ะผู้อ่านที่รัก
หายไปนานอีกแล้วครั้งนี้ นานกว่าเก่าเสียอีก เซ็งกับตารางเวลาชีวิตตัวเองช่วงนี้เหลือเกิน
ต้องขอโทษจริงๆนะคะที่ปล่อยให้รอนานขนาดนี้ แล้วก็อยากจะขอบคุณด้วยมากๆที่ยังคงรอกันอยู่
ดังนั้น วันนี้เลยมีเพลงเพราะมาแนะนำเป็นการไถ่โทษค่ะ 55555
ไม่ใช่หรอก จริงๆคืออยากเอามาช่วยโปรโมทให้ลูกชายสุดที่รัก (ได้ข่าวอายุเท่ากัน)
ซิงเกิลใหม่จากคชาAF8ค่ะ ชื่อเพลงว่า 'แค่ของเลียนแบบ'
เพราะมาก อินมาก (ข้อนี้สวนด.คงรู้ดี ความหมายมัน อื้อหือ...)
ไม่โฆษณาอะไรมาก เอาเป็นว่า ฟังแล้วคุณจะรู้สึกอยากหานิยายเศร้าๆมาอ่านสักเรื่องเลยล่ะค่ะ
จิ้มเลย แค่ของเลียนแบบ จากคชาค่ะ ----------
หัวใจหลังเลนส์
#29
ปุ่มควบคุมหน้าจอบนรีโมทในมือเด็กหนุ่มถูกกดระรัวอย่างเมามัน เกมง่ายๆที่ปรากฏอยู่บนจอภาพเล็กตรงหน้าทำให้เจ้าตัวนั่งเพลิดเพลินกับมันอยู่อย่างนี้มาตั้งแต่เครื่องขึ้นแล้ว จนตอนนี้ แม้ไฟจะถูกปิดและผู้โดยสารคนอื่นๆจะหลับคอพับคออ่อนกันไปหมด แต่จักรวาลก็ยังคงตะลุยเคลียร์ด่านในเกมส์ที่ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับแต่ละที่นั่งอย่างไม่คิดหยุดพัก
กวินลอบมองเด็กหนุ่มข้างกายเป็นระยะพร้อมด้วยรอยยิ้มเล็กๆบนใบหน้า ภาพยนตร์เรื่องที่เขาสุ่มๆเลือกดูในจอของตนไม่ได้ถูกให้ความสนใจมากเท่าที่ควร
อาการตื่นตาตื่นใจแบบเงียบๆที่มีมาตั้งแต่เริ่มเดินขึ้นเครื่องของจักรวาลนับเป็นสิ่งน่าดูน่าชมสำหรับชายหนุ่ม แม้เจ้าหนูของเขาจะไม่ได้กล่าวออกมาเป็นคำพูด แต่แววตาเป็นประกายคู่นั้นก็บ่งบอกความตื่นเต้นในใจได้เป็นอย่างดี
เขาสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ตัดสินใจไม่ผิดจริงๆที่เขาพาเด็กหนุ่มมา
“นี่...นอนบ้างเถอะ เดี๋ยวถึงที่นู่นแล้วจะเหนื่อยเอานะ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยกระซิบกับคนที่ยังคงสนุกสนานอยู่กับเกมส์ตรงหน้า สำหรับคนเดินทางข้ามทวีปบ่อยอย่างเขารู้ดีว่าเจ็ทแล็คทีมันทรมาณขนาดไหน ยิ่งเป็นอเมริกาที่เวลากลับขั้วกลางวันกลางคืนกันอย่างนี้ด้วยแล้ว ขืนอยู่บนเครื่องไม่ได้งีบเลย พอถึงที่นู่นมีหวังง่วงหงาวหาวนอนไปทั้งวันแน่ๆ
ดวงตาเรียวเหลือบมองคนพูดเพียงแวบเดียว ก่อนจะรีบหันกลับไปสนใจกับเกมส์ในจอต่อด้วยกลัวว่าจะเล่นพลาด เด็กหนุ่มกระซิบตอบกลับมาเบาๆในขณะที่สองมือก็ยังคงกดปุ่มในมือไปเรื่อยๆ “ขอจบด่านนี้ก่อนได้ไหมครับ พี่วินก็ยังดูหนังอยู่เลยไม่ใช่เหรอ...”
ได้ฟังดังนั้นช่างภาพคนดังก็หัวเราะในลำคอเบาๆ “นั่งดูเป็นเพื่อนเรานั่นแหละ” ฝ่ามือหนาเอื้อมมาขยี้ผมคนข้างกายอย่างหมั่นเขี้ยว “ให้แค่ด่านนี้นะ โอเคไหม?”
เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบเป็นอันตกลง กวินคลี่ยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกเอ็นดู
เที่ยวบินทั้งขาไปและกลับในครั้งนี้เขาแอบซื้อเป็นที่นั่งชั้นธุรกิจ ที่ต้องใช้คำว่า 'แอบ' ก็ไม่ใช่อะไรหรอก ก็หากบอกไปว่าที่นั่งสุดหรูที่นั่งกันอยู่นี่ไม่ใช่ชั้นประหยัดล่ะก็ เจ้าหนูนี่คงจะโวยวายไม่กล้านั่งแน่ๆ นี่ก็คงเข้าใจผิดอยู่ว่า ที่นั่งทั้งลำคงจะใหญ่โตสะดวกสบายแบบนี้แน่ๆ
โดยปกติแล้วเขาไม่ใช่คนใช้เงินเปลือง ทุกครั้งที่ขึ้นเครื่องบินไปไหนต่อไหนเขาก็นั่งชั้นประหยัดเหมือนคนทั่วๆไป เพียงแต่ครั้งนี้...ครั้งที่มีใครอีกคนมาด้วย เขาก็ไม่อยากจะต้องไปนั่งติดกับใครคนอื่นให้เสียอารมณ์ แถวที่เป็นที่นั่งคู่ ไม่ติดกันเป็นแผง ก็เห็นจะมีแต่ชั้นธุรกิจและชั้นหนึ่งเท่านั้นแหละที่เหลือเป็นตัวเลือก
ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ปิดหน้าจอและเก็บรีโมทคอนโทรลเก็บเข้าที่ตามสัญญาเมื่อเล่นจบด่านที่ว่า
คนทั้งคู่ปรับพนักพิงให้เอนลงเตรียมตัวเข้านอน
หากแต่ยังไม่ทันที่จักรวาลจะได้ปิดตาลงตามคำสั่ง ฝ่ามือใหญ่จากคนข้างๆก็เอื้อมมารั้งศีรษะเขาเข้าไปวางแหมะอยู่บนไหล่แข็งแรงนั่นเสียก่อน
"ตื่นมาจะได้ไม่ปวดคอ..."
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
กวินยกมือขึ้นปิดปากหาวหวอดๆอยู่บนรถแท็กซี่ ขณะเหลือบตามองดวงตาใสแจ๋วของเจ้าหนูข้างๆที่ไม่มีวี่แววเหน็ดเหนื่อยใดๆทั้งสิ้นจากเที่ยวบินอันยาวนาน ซำ้ยังตื่นตาตื่นใจเสียเหลือเกินกับภาพที่ปรากฏอยู่นอกหน้าต่างรถสองข้างทาง กลับกัน...เป็นเขาเสียอีกที่เป็นฝ่ายรู้สึกง่วงงุ่นมากขนาดนี้
ทั้งที่ตอนอยู่บนเครื่องเป็นคนที่คอยเตือนให้อีกฝ่ายนอนด้วยซ้ำ
ให้ตายสิ...ก็เพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับคนที่หลับสบายบนไหล่ของเขานั่นแหละ
เลยกลายเป็นฝ่ายนอนไม่หลับเสียเอง...
แล้วจะว่าใครได้ เมื่อเขาเป็นคนดึงหัวทุยๆนั่นให้มาซบเองนี่หว่า...
แต่กระนั้น ถึงอย่างไรในตอนนี้เขาก็อดมองเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดูไม่ได้ ท่าทางรัวชัตเตอร์ไม่ยั้งใส่ภาพวิวข้างทางแบบนั้นทำให้เขาต้องลอบยิ้มออกมากับตัวเอง ฝ่ามือใหญ่เอื้อมไปลูบหัวคนข้างกายเบาๆ ในขณะที่คนถูกสัมผัสเพียงหันกลับมายิ้มให้อย่างร่าเริง
เพียงไม่กี่อึดใจ รถโดยสารก็แล่นมาจอดลงตรงหน้าหอศิลป์ร่วมสมัยใจกลางมหานครบิ๊กแอปเปิ้ลแห่งนี้
หลังลงจากเครื่องบินมา คนทั้งคู่ก็มีเวลาเพียงสองสามชั่วโมงในการจัดการเข้าที่พักเก็บข้าวของและอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะต้องรีบบึ่งออกมาร่วมงานเปิดตัวนิทรรศการณ์ซึ่งมีผลงานของพวกเขาจัดแสดงอยู่ด้วยที่นี่ทันที นับเป็นการคลาดเคลื่อนในตารางเวลาเล็กน้อยที่กว่าจะปั่นงานจากเมืองไทยเสร็จก็เหลือแค่เที่ยวบินนี้เที่ยวบินเดียวที่จะมาถึงที่นี่ได้ทัน
“ไปกันเถอะ” เสียงทุ้มต่ำกล่าวกับเด็กหนุ่มพลางขยับเสื้อนอกของตนให้เข้าที่เข้าทาง
จักรวาลก้าวขาลงจากรถแท็กซี่คันสีเหลืองอย่างกล้าๆกลัวๆ ดวงตาคู่เรียวสอดส่ายลอดผนังกระจกเข้าไปภายในตัวอาคาร และเมื่อเห็นว่าด้านในเต็มไปด้วยฝรั่งหัวทองมาดน่าเกรงขามมากมาย เด็กหนุ่มก็รู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมาดื้อๆเสียอย่างนั้น
ราวกับรู้ทัน กวินออกแรงดันแผ่นหลังบางๆนั่นให้เดินนำเข้าไป ใบหน้าหล่อเหลาคมคายโน้มลงกระซิบข้างหูเด็กหนุ่มแผ่วเบา
“ไม่ต้องกลัวน่า ฉันอยู่ทั้งคน”
น่าแปลกที่คำพูดสุดแสนจะธรรมดาแค่นั้นกลับทำให้คนฟังรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาไม่น้อย
จักรวาลพยักหน้าเรียกความมั่นใจให้ตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินผ่านประตูเข้าไป ภาษาอังกฤษฟุดฟิดฟอไฟที่เตรียมมาจากบ้านเผื่อมีฝรั่งมาคุยด้วยถูกท่องซ้ำไปซำ้มาอยู่ในหัว
โดยไม่ต้องใช้เวลาหานาน ชุดภาพถ่ายฝีมือของพวกเขาก็ปรากฏอยู่ในตำแหน่งที่มีทำเลดีที่สุด ผลงานภายใต้คีย์เวิร์ด 'คัลเจอร์ช็อค' เดียวกันนี้จากศิลปินประเทศต่างๆก็ถูกจัดเรียงไว้ในบริเวณใกล้กันอย่างน่าดูชม ฝรั่งหลายคนยืนกอดอกมองผลงานของพวกเขาอย่างพิจารณา
ภาพบรรยากาศทั้งหมดนี้ไหลผ่านตาเข้าสู่สมองของจักรวาลอย่างรวดเร็ว มันช่างดูแตกต่างจากงานนิทรรศการณ์ที่ถูกจัดไว้ตามมุมต่างๆของห้างสรรพสินค้าในบ้านเราเสียเหลือเกิน
"เฮ้!วิน! เป็นยังไงบ้าง ผมไม่ได้เจอคุณเสียตั้งนาน” เสียงทักทายที่ดังมาจากทางด้านหลังเรียกให้คนทั้งคู่ต้องหันไปมองทางต้นเสียง ก่อนที่ช่างภาพคนดังจะยิ้มแย้มพ่นภาษาอังกฤษคล่องปรื๋อทักกลับไปยังฝรั่งวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ที่ตรงเข้ามาหา
กวินช่างดูเข้ากันได้ดีกับบรรยากาศแบบนี้เสียเหลือเกินในสายตาของจักรวาล เด็กหนุ่มยืนยิ้มฟังบทสนทนาที่ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง และมีโอกาสได้แนะนำตัวเองสั้นๆตามที่ตระเตรียมมาอย่างดีเล็กน้อยพอเป็นพิธี และเมื่ออีกฝ่ายรู้จากปากกวินว่าคอนเซ็ปภาพในครั้งนี้มาจากจักรวาลเป็นส่วนหลักก็ออกปากชมเสียยกใหญ่ ทำเอาเด็กหนุ่มต้องยิ้มแก้มแทบปริด้วยความภูมิอกภูมิใจ
หลังจากนั้นก็มีผู้คนอีกมากหน้าหลายตาพากันเข้ามาทักทายพูดคุยกับกวินเรื่อยๆตลอดเวลางาน แสดงให้เห็นถึงความกว้างขวางในวงการของช่างภาพหนุ่ม
“สวัสดีครับโปรเฟสเซอร์เทย์เลอร์!” ครั้งนี้กวินเอ่ยทักฝรั่งวัยอาวุโสอีกคนที่ตรงเข้ามาทางพวกเขาด้วยน้ำเสียงดีอกดีใจมากกว่าที่ใช้ทักคนก่อนๆ
ชายชราที่ยังดูแข็งแรงย่างเท้าเข้ามาหาพวกเขาด้วยฝีก้าวที่ดูมั่นคง ใบหน้าอันเต็มไปด้วยร่องรอยเหี่ยวย่นที่ได้รับมาตามกาลเวลาประดับประดาไปด้วยรอยยิ้มใจดี
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะวิน ผลงานยังเฉียบเหมือนเดิมไม่มีผิด” เสียงแหบแห้งกล่าวทักทายช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำเสียจนบุคคลที่สามซึ่งไม่ได้ถนัดภาษาอังกฤษที่ยืนฟังอยู่ด้วยยังสามารถฟังออกได้ทุกคำ ชายสูงวัยพยักเพยิดไปทางผลงานของพวกเขาที่แปะโชว์อยู่กลางนิทรรศการณ์อย่างชื่นชมขณะกล่าวในตอนท้ายประโยค
“ไม่เคยผิดหวังในตัวคุณเลยจริงๆ” “เกินไปครับโปรเฟสเซอร์ ก็คุณนั่นแหละที่ทำให้ผมมีวันนี้” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยความเคารพ ท่าทีการแสดงออกแตกต่างกับการพูดคุยกับคนอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด ถ้าให้จักรวาลเดา ดูท่าว่าชายอาวุโสผู้นี้คงจะมีบทบาทพิเศษในชีวิตของชายหนุ่มเป็นแน่
ดวงตาสีเทาแบบคนชาติตะวันตกเลื่อนกลับมามองทางพวกเขาอีกครั้ง ก่อนจะหยุดลงตรงที่เด็กหนุ่มที่ยืนฟังเงียบๆเยื้องอยู่ด้านหลังของกวินด้วยแววตาใจดี
“แล้วสุภาพบุรุษผู้นี้เป็นใครกันล่ะ ไม่แนะนำหน่อยหรือ” คำพูดที่ได้ฟังเพิ่งจะทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัวว่าลืมแนะนำคนสำคัญไปเสียสนิท
"เอ้อ...จริงด้วยครับ ปอม...นี่คือโปรเฟสเซอร์เทย์เลอร์ เป็นอาจารย์ของฉันสมัยเรียน" กวินแนะนำผู้อาวุโสก่อนตามมารยาทก่อนจะหันกลับไปแนะนำเด็กหนุ่มให้กับผู้เป็นอาจารย์
"โปรเฟสเซอร์ครับ นี่ปอม...เป็นหนึ่งในทีมช่างภาพที่ทำงานนี้ แล้วก็เป็นเจ้าของไอเดียครั้งนี้ด้วย" "สวัสดีครับโปรเฟสเซอร์เทย์เลอร์" จักรวาลกล่าวทักด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงกระท่อนกระแท่น แต่ก็ไม่ฟังดูไม่เลวร้ายนัก
"โอ้...คนนี้เองหรือ" ชายชราจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยแววตาใจดี
"ผมก็ยังคิดอยู่ว่าผลงานครั้งนี้มันมีกลิ่นอายที่ต่างจากสไตล์ของคุณอยู่นิดหน่อย...น่าสนใจๆ" เทย์เลอร์ผินหน้ากลับไปพินิจพิจารณายังผลงานของพวกเขาอย่างตั้งใจอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับมาถามเด็กหนุ่ม
"คุณอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ" "ยี่สิบครับ" "อืม...ต้นกล้าของไม้พันธ์ุดีเชียวนะอย่างนี้" ประโยคนี้ชายชราเปลี่ยนเป้าหมายไปกล่าวกับกวินพลางพยักหน้าขึ้นลงทบทวนคำพูดของตัวเอง
"เหมือนคุณตอนเด็กๆไม่มีผิด..." "ผมทราบครับ...เด็กคนนี้ฝีมือโดดเด่นมาก" ช่างภาพหนุ่มตอบกลับด้วยความภาคภูมิใจในตัวเจ้าหนูของเขา
"ในอนาคตคงพัฒนาไปได้ไกล" "ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ...มันต้องเป็นอย่างนั้น" ชายแก่ผู้สั่งสมประสบการณ์ด้านศิลปะการถ่ายภาพมาตลอดชีวิตจ้องลึกลงไปในด้วยตาของเด็กหนุ่ม ราวกับต้องการค้นหาอะไรบางอย่าง...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“โอย…ง่วงเป็นบ้าเลยเว้ย” เสียงทุ้มต่ำบ่นขึ้นทันทีที่สองขายาวๆก้าวพ้นกรอบประตูห้องพัก
“ก็นอนเลยสิครับ” เด็กหนุ่มที่เดินตามหลังเข้ามากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสดใสราวกับไม่เหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย
ช่างภาพคนดังหันกลับมามองจักรวาลพร้อมด้วยรอยยิ้มจางๆบนใบหน้า “เราล่ะ…ไม่เหนื่อยบ้างหรือไง…หืม?”
ได้ฟังดังนั้นคนถูกถามก็ส่ายหน้า “มาที่ที่น่าตื่นเต้นแบบนี้ ผมเหนื่อยไม่ลงหรอกครับ”
กวินหัวเราะน้อยๆให้กับคำตอบตรงไปตรงมาของเด็กหนุ่ม ก่อนจะขอตัวไปอาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวเข้านอนอย่างที่ได้รับคำแนะนำ
ห้องพักที่ว่าของพวกเขาไม่ใช่ห้องพักในโรงแรมแต่อย่างใด หากแต่เป็นห้องชุดหน้าตาน่าอยู่ที่บ้านจารุกิตติ์ซื้อไว้ตอนที่กวินมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ในช่วงเรียนหนังสือ แม้ไม่ได้ถึงกับหรูหราอะไรมาก แต่ก็จัดว่าอยู่ในย่านธุรกิจของมหานครแห่งนี้ ขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กสำหรับการใช้ชีวิตอยู่คนเดียว หนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ หนึ่งห้องนั่งเล่น และครัวเล็กๆอีกหนึ่งมุม
เพียงไม่กี่อึดใจต่อมา ร่างสูงใหญ่ของกวินก็ก้าวออกมาจากห้องน้ำ
...แบบนี้...เรียกว่าวิ่งผ่านน้ำก็คงจะได้
ชายหนุ่มจัดการกับตัวเองด้วยความเร็วแสง ก่อนรีบเอาตัวเข้าไปนัวเนียพอเป็นกระษัยกับจักรวาลที่นั่งจัดเสื้อผ้าอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง จนเมื่อพอใจก็รีบขอตัวกระโจนขึ้นเตียงแล้วหลับไปเลย...
ก็บอกแล้วว่าคนมันเหนื่อยมาก...
.
.
.
.
จักรวาลใช้เวลาหลังอาบน้ำเสร็จไปกับการชื่นชมแสงสียามค่ำคืนที่ปรากฏอยู่ภายนอกหน้าต่างนานสองนาน หน่วยความจำของการ์ดในกล้องตัวเก่งเต็มไปด้วยภาพมุมสูงของเมืองหลายต่อหลายช็อต
คิดไปก็เหมือนฝัน ไม่เคยนึกว่าวันนึงจะได้เดินทางมาที่ต่างถิ่นที่แสนห่างไกลจากบ้านเกิดขนาดนี้มาก่อน
สำหรับใครหลายคน การท่องเที่ยวในต่างแดนอาจเป็นเรื่องเล็กจิ๊บจ๊อย แต่สำหรับเขา...มันคือโอกาสที่หาได้ยากเหลือเกิน
เด็กหนุ่มละสายตาออกจากแสงไฟเคลื่อนที่ได้บนท้องถนนหลังจากการจับจ้องมันอยู่นานหลายสิบนาที สายตาเหลือบมองไปยังบานประตูห้องนอนที่ปิดลงไปแล้ว ก่อนจะเลื่อนกลับมาสะดุดอยู่กับเสื้อผ้าใส่แล้วที่วางอีเหละเขละขละอยู่บนพื้น
ริมฝีปากบางได้รูปคลี่ยิ้มน้อยๆ
สงสัยจะเหนื่อนจัดอย่างที่ว่าจริงๆ
เด็กหนุ่มเดินมาหยิบพวกมันขึ้นมาพับเก็บทีละชิ้น พลางนึกตะหงิดปนขำตัวเองในใจนิดๆ...
ก็ไอ้ที่ทำอยู่นี่...มันอย่างกับว่า...เป็นหน้าที่ของ...ภรร...เอ่อ...นั่นแหละ...ไม่ใช่เหรอ
เรื่องมันออกมาเป็นแบบนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้เหมือนกันแฮะ...
ชีวิตคนไม่มีอะไรคาดเดาได้จริงๆ
ขณะที่สองมือกำลังจัดแจงพับกางเกงยีนตัวเก่งของชายหนุ่มที่นอนหลับปุ๋ยไปแล้วอยู่นั้น กระดาษพับสี่ทบแผ่นหนึ่งก็ร่วงลงมาจากกระเป๋าด้านหลัง
จักรวาลก้มลงเก็บมันขึ้นมา เตรียมจะเอาไปวางไว้ให้ที่กระเป๋าเดินทาง หากแต่ความตั้งใจก็ต้องถูกพับเก็บลงเสียก่อนเมื่อสายตาดันเหลือบไปเห็นตัวอักษรที่ถูกเขียนด้วยลายมืออันคุ้นเคยที่ครั้งนี้ดูจะบรรจงเป็นพิเศษ ก็ไม่ได้มีเจตนาจะสอดรู้สอดเห็นอะไรหรอกนะ ถ้าไม่บังเอิญว่าข้อความที่ปรากฏให้เห็นอยู่แพลมๆนั่นมันอ่านได้ใจความดังนี้น่ะสิ...
'กำหนดการพาที่รักเที่ยวนิวยอร์ก'
ที่รัก?...เห้ย...เขาเหรอ...
ก็มากันแค่สองคนมันก็ต้องเขาน่ะสิ...
ว่าแต่เรียกอย่างนี้เลยเหรอวะ???
บ้าเอ๊ย....
...เขินแย่...
อดใจไม่ไหวจริงๆ ขอเปิดดูหน่อยแล้วกันนะ...
เนื้อหาภายในเป็นกำหนดการเที่ยวแบบแน่นเอี๊ยด ถูกวางแผนมาอย่างดีชนิดที่ว่าไม่ตกหล่นไปสักโปรแกรมเดียว กะว่าเวลาที่เหลืออยู่สี่วันคงจะพาเขาเที่ยวให้ทั่วทุกมุมของนิวยอร์คเป็นแน่ นอกจากนั้นยังมีบางรายการที่ดูจะเอ็กซ์คลูซีฟเสียยิ่งกว่าไปเที่ยวกับทัวร์เกรดเอเสียอีก
ที่ด้านหลังของบางโปรแกรมถูกเขียนกำกับรายละเอียดเฉพาะ เช่นเรื่องตั๋วเข้าชมหรือเวลาการเข้าของแต่ละรอบไว้อย่างรอบคอบ ต่อให้อยู่เคยอยู่ที่นี่มาหลายปี แต่ข้อมูลแบบนี้คงไม่ได้มาจากการจำแน่ๆ นี่คงตั้งใจหาข้อมูลมาจากไทยอย่างแน่นอน
ยิ่งได้กวาดตาอ่านไปเรื่อยๆเด็กหนู่มก็ยิ่งรู้สึกปลื้มปริ่มในหัวใจ จำได้ว่า ช่วงก่อนเดินทาง พวกเขาทุกคนโดยเฉพาะหัวหน้าอย่างกวินต่างก็หัวหมุนอยู่กับการปิดงานให้เสร็จทันเวลา จนแทบไม่ได้กินไม่ได้นอน ไม่รู้ว่าคนใจดีคนนั้นหาเวลาที่ไหนมานั่งจัดแจงวางแผนพาเขาเที่ยวซะละเอียดยิบขนาดนี้ ใช้ลายมือตัวเองเขียน ยังไงก็คงไม่ได้ให้คนอื่นทำให้แน่ๆล่ะ...
เด็กหนุ่มไล่อ่านจนเกือบจะจบแผ่น ก็ต้องมาสะดุดตาอยู่กับโปรแกรมเที่ยวรายการสุดท้ายของคืนสุดท้ายก่อนกลับบ้าน
'ที่นั่น'
กวินเขียนไว้เท่านั้น ไม่ได้ระบุชื่อสถานที่ ราคาค่าเข้าชม เวลาเปิดปิด หรือข้อมูลอื่นๆอย่างที่เขียนๆมาก่อนหน้านี้ มีเพียงคำสั้นๆคำนี้เท่านั้น
จักรวาลขมวดคิ้วลงด้วยความสงสัย พลางพับกระดาษแผ่นที่ว่าลงเหมือนเก่า แล้วเดินไปวางมันลงที่กระเป๋าเดินทางของกวินอย่างที่ตั้งใจในตอนแรก
ความสงสัยถูกเก็บลงไปในใจ เดี๋ยวถึงเวลาก็คงได้รู้เองว่า 'ที่นั่น' ของกวินมันคือที่ไหน
เนื่องจากตอนนี้ เขามีสิ่งที่อยากทำเพื่อเป็นการระบายความรู้สึกขอบคุณในใจมากกว่าการนั่งเดา
จักรวาลจัดแจงเก็บเสื้อผ้าใส่แล้วของช่างภาพคนดังลงในถุงที่เตรียมไว้ เดินเก็บกวาดขวดน้ำและถุงขนมฝีมือตนที่วางอยู่บนโต๊ะอาหาร จนในที่สุดเมื่อทุกอย่างดูเรียบร้อยดี เด็กหนุ่มก็ปิดไฟบริเวณห้องนั่งเล่นลง ก่อนจะเดินเข้าห้องนอนไปอย่างเงียบเชียบ
สองขาพาเขามาถึงที่นอนฝั่งที่กวินเว้นไว้ให้ เด็กหนุ่มค่อยๆคลานขึ้นไปนั่งบริเวณหัวเตียง ข้างกันกับใบหน้าหล่อเหลาของใครอีกคนที่ดูเหมือนจะหลับสนิทไปแล้ว
แสงจันทร์ที่ส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่างบานเล็ก พอจะเอื้ออำนวยให้คนแอบมองได้เห็นเค้าความใจดีที่แม้ยามหลับก็ยังคงหลงเหลืออยู่ให้เห็น
จักรวาลอมยิ้มน้อยๆระบายความเขินกับสิ่งที่ตัวเองกำลังจะทำต่อไปนี้ ความรู้สึกดีๆเต็มตื้นอยู่ในหัวใจ ยากที่จะระบุได้ว่าความรู้สึกเหล่านั้นมันประกอบด้วยอะไรบ้าง อาจจะรู้สึกขอบคุณ รู้สึกปลาบปลื้ม รู้สึกดีใจ หรืออาจจะ
รู้สึกรัก...
ใบหน้าเรียวได้รูปค่อยๆขยับโน้มลงใกล้คนที่นอนหลับตาอยู่ข้างกาย กลิ่นเมนทอลของโฟมล้างหน้าสำหรับผู้ชายลอยจางๆขึ้นแตะจมูก มุมปากบางอดที่จคลี่ยิ้มออกมากับตัวเองด้วยความกระดากอายอีกครั้งไม่ได้เมื่อระยะห่างลดลงเรื่อยๆ
จนในที่สุด...
ริมฝีปากนิ่มหยุ่นของเด็กหนุ่มก็จรดลงกับข้างแก้มที่เต็มไปด้วยไรหนวดไรเคราของช่างภาพคนดังแผ่วเบา
จักรวาลไม่มีความกล้ามากพอที่จะค้างอยู่ท่านั้นนานนัก แม้จะไม่เห็นหน้าตัวเอง แต่ความรู้สึกเลือดสูบฉีดที่เป็นอยู่ก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า บัดนี้หน้าเขาคงแดงอีกตามระเบียบแน่ๆ
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
เมอร์ซิเดสเบนซ์คันหรูสีบรอนซ์ดูภูมิฐานจอดลงบริเวณที่จอดรถสำหรับลูกค้า ชายหนุ่มรูปร่างผิวพรรณดีในชุดสูทเนี๊ยบกริบเดินลงจากรถด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมถุงขนมยี่ห้อดังเต็มไม้เต็มมือ
เมษาสาวเท้ายาวๆตรงเข้าไปยังบริเวณทางเข้าบริษัทผลิตผลงานภาพถ่ายที่คุ้นเคยอย่างอารมณ์ดี รู้มาว่าสัปดาห์หน้ามหาวิทยาลัยของรุ่นน้องคนดีของเขาจะเปิดเทอมแล้ว นี่ก็คงเหลืออีกไม่กี่วันแล้วล่ะที่เขาจะต้องมาที่นี่
หวังว่าคงจะหมดห่วงได้เสียที...
"อ้าวคุณเมษา สวัสดีค่ะ" สาวสวยเจ้าหน้าที่ต้อนรับหลังเคาท์เตอร์เอ่ยทักลูกชายนายแบงค์ขึ้นเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่นั่นผลักประตูเข้ามา ภายใต้รอยยิ้มสวยหวานตามหน้าที่การงานนั้น หล่อนซุกซ่อนความลำบากใจที่แล่นขึ้นมาไว้ไม่น้อย รู้ดีว่าชายหนุ่มมาที่นี่เพื่อต้องการจะพบใคร แล้วก็รู้ด้วยว่าใครคนนั้นน่ะ เป็น 'คนพิเศษของพี่วิน' หอบหิ้วขนมนมเนยมาเต็มมือแบบนี้ พนันได้ว่าคงยังไม่รู้แน่ๆว่าสองคนนั้นตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนกัน
"สวัสดีครับคุณกิ๊ฟท์ ทานข้าวหรือยังครับ" ทั้งรอยยิ้มการทูตและคำพูดคำจาน่าฟังชวนให้ใครต่อใครรู้สึกไม่อึดอัดใจที่ได้พูดคุยด้วย แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นถึงทายาทมหาเศรษฐีก็ตามที
จะมีก็แต่ครั้งนี้นี่แหละที่เจ้าหล่อนถึงกับเหงื่อตก
"เอ่อ...เรียบร้อยแล้วค่ะ คุณเมษาล่ะคะ"
"เรียบร้อยแล้วเหมือนกันครับ" ชายหนุ่มตอบกลับพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ ก่อนจะกล่าวเข้าธุระของตน "แล้วนี่ ปอมอยู่บริษัทใช่ไหมครับ รบกวนคุณกิ๊ฟท์ช่วยตามให้หน่อยได้ไหม ผมโทรไปไม่ยอมรับสายเลย สงสัยจะอยู่ในสตูดิโอหรือเปล่า"
นี่แหละ ส่วนที่หญิงสาวหนักใจ ไม่อยากเป็นคนบอกเลยจริงๆให้ตายสิ เห็นความพยายามของคุณเมษาก็สงสารนะ แต่ทำยังไงได้ ยังไงเธอก็ต้องเชียร์คนที่จ่ายเงินเดือนเธออยู่แล้ว
"คือ...ตอนนี้น้องปอม..."
หากแต่ยังไม่ทันที่หล่อนจะกล่าวจบประโยค เสียงดังโหวกเหวกพร้อมด้วยคำพูดเจ้าชู้ของใครอีกคนก็ดังหยุดบทสนทนาไว้เสียก่อน
"น้องกิ๊ฟท์คร้าบบบบ พี่ซื้อกล้วยแขกลุงดำมาฝาก" เสียงที่มาถึงก่อนตัวคนพูดเรียกให้หนุ่มสาวทั้งสองต้องหันไปมอง ก่อนจะพบกันร่างอวบอัดของเต้ที่เดินถือถุงกระดาษตรงเข้ามา
กราฟฟิกดีไซเนอร์หนุ่มเองก็แปลกใจไม่น้อยเมื่อพบกับผู้มาเยือน
สงสัยจะยังไม่รู้แฮะ...
"หวัดดีครับคุณเต้" ชายหนุ่มหน้าเนื้อส่งยิ้มทักทายมาให้เขา "พอดีเลย ผมกำลังจะให้คุณกิ๊ฟท์ช่วยตามปอมให้อยู่เนี่ย วันนี้ปอมทำงานในสตูดิโอใช่ไหมครับ"
โดยไม่มีการเกริ่นรักษาน้ำใจให้มากความ คนถูกถามส่ายหน้าออกมาทันที "น้องปอมไปนิวยอร์คกับพี่วินครับ ไม่อยู่หรอก"
หญิงสาวหลังเคาท์เตอร์ทำได้เพียงส่งยิ้มเจื่อนๆออกไปเยียวยาความรู้สึกของคนฟังหลังได้รับคำตอบโผงผางจากเต้
เมษาชะงักไปทันทีเมื่อได้รับรู้อย่างนั้น คิ้วคมเข้มเลิกขึ้นด้วยความประหลาดใจ "ไปนิวยอร์คหรือครับ? ปอมไม่เห็นบอกผมเลย แล้วนี่...คือไปทำงานกันทั้งทีมหรือครับ หรือว่ายังไง?"
เต้ส่ายหน้าเร็วๆอีกครั้ง "ทั้งทีมอะไรครับ เขาไปกันสองคน"
"สองคน?" ชายหนุ่มในชุดสูททวนคำพูดด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดี แต่ด้วยลักษณะนิสัยของนักธุรกิจที่ถูกปลูกฝังมาทำให้เมษาไม่ได้หลุดแสดงความรู้สึกอะไรออกมาจนหน้าเกลียด
"ครับ สองคน" เต้กล่าวย้ำชัดถ้อยชัดคำพลางมองสังเกตปฏิกิริยาของคู่สนทนาลอดเปลือกตาตี่ๆอย่างรู้สึกสนุกสนานในใจ ในฐานะลูกน้องคนสนิทของกวิน เขาแอบรู้สึกรำคาญใจไอ้คุณเมษานี่แทนเจ้านายมานานแล้วล่ะ
เมษานิ่งจมอยู่กับความคิดตัวเองอยู่หลายวินาที ก่อนจะรู้สึกตัวว่านี่ไม่ใช่ที่ๆเขาควรจะมายืนคิดอะไร ชายหนุ่มจึงพับเก็บทุกสิ่งกดทับมันลงในใจเพื่อกลับไปไตร่ตรองกับตัวเองเมื่ออยู่คนเดียว และเลือกที่จะส่งยิ้มกลับไปให้คนตรงหน้าทั้งสองอย่างเป็นธรรมชาติ
"งั้นก็ช่วยไม่ได้ น่าเสียดายจัง" ถุงขนมราคาแพงมากมายถูกยกขึ้นวางบนเคาท์เตอร์ "ยังไงพวกคุณช่วยรับขนมพวกนี้ไปกินหน่อยได้ไหมครับ ผมคงเอากลับไปกินเองไม่หมด"
กิ๊ฟท์และเต้กล่าวขอบคุณพอเป็นพิธี ก่อนที่เมษาจะขอตัวกลับไป
ชายหนุ่มเดินจ้ำอ้าวมายังรถที่จอดไว้อย่างไม่สบอารมณ์ หงุดหงิดใจที่มาช้าไปอีกก้าวแล้ว
อย่างที่เขาเคยตั้งปณิธานไว้ ว่าหากวันหนึ่งคนที่ปอมเลือก ไม่ใช่ผู้หญิง คนๆนั้นมันจะต้องเป็นเขาคนเดียว
เขาเท่านั้นที่จะดูแลปอมให้ได้อยู่อย่างสบายใจในฐานะผู้ชายที่รักกับผู้ชายได้
เขาเท่านั้นที่จะปกป้องไม่ให้ปอมถูกกรอบวัฒนธรรมของสังคมทำร้ายได้
เขามั่นใจว่ามีเขาเท่านั้นที่มีความสามารถมากพอที่จะไม่ทำให้ปอมเจ็บปวดกับเรื่องแบบนี้ได้
แล้วเขาก็มั่นใจว่า กวินทำไม่ได้หรอก...
สถานะการณ์ตอนนี้อยู่ในเขตอันตรายเสียแล้ว เขาปล่อยให้เรื่องของสองคนนั้นเลยเถิดมาไกลเกินไป...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐