ทะลึ่ง : กามที่ 26
ผมพาตัวเองและลูกทัวร์กลับถึงรีสอร์ทได้อย่างปลอดภัยในช่วงเย็นวันถัดมา หลังจากกรมทางหลวงแจ้งว่าถนนสายหลักใช้การได้ตามปกติแล้ว สบโอกาสบอกลาพี่หญิงแค่ทางโทรศัพท์ ส่วนคุณกัณฑ์ธร ผมยังไม่พร้อมจะพูดคุยอะไรกับเขาทั้งนั้น แต่ยังเก็บนามบัตรของเขาไว้เป็นอย่างดี รวมถึงแท็บลอยด์ที่มีข่าวของตรัสเล่มนั้นด้วย
ไม่สงสัยเลยว่าทำไมตลอดหนึ่งสัปดาห์ก่อนไปภูเก็ต ผมถึงได้รับเพียงข้อความสั้น ๆ จากคนไกลบ้าน เรียนหนักบ้างล่ะ กลับดึกบ้างล่ะ มิหนำซ้ำยังย้ำอยู่บ่อย ๆ ว่ากลัวผมเสียงานเพราะเวลาของเราไม่ตรงกัน ไม่อยากปักใจว่านั่นคือข้ออ้าง ผมมีเหตุผลพอที่จะฟังความทั้งสองฝ่ายมากกว่าตีโพยตีพายว่าตรัสปิดบังเรื่องสำคัญ ทั้งที่มันเป็นเรื่องน่ายินดีและถูกต้องตามทำนองคลองธรรม แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนมีเข็มนับร้อยเล่มทิ่มแทงกลางใจไม่เว้นสักนาที
สิ่งเดียวที่จะช่วยเยียวยาอาการโคม่าของผมได้คือการฟังความจริงจากปากเจ้าตัว แต่จะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม ตรัสปิดโทรศัพท์ ไม่ว่าจะโทรไปเมื่อไหร่ตอนไหนก็ได้ยินเพียงเสียงสัญญาณที่ส่งไปไม่ถึง ‘ขอเวลาฉันแก้ปัญหาสักหน่อย แล้วจะติดต่อกลับ ขอโทษ’ ข้อความที่ได้รับมันแสดงถึงความไม่พร้อมที่จะคุย ไม่พร้อมที่จะเปิดใจ ไม่พร้อมที่จะให้ผมได้รับรู้ความจริงที่ว่า...ชีวิตนี้มันไม่สวยงามเหมือนในนิยายประโลมโลก
แซนรู้ทุกอย่าง ผมบอกมันทุกเรื่อง ข่าวนั้นมันก็ได้เห็นเองกับตา แม้จะอ่านทวนทุกประโยคซ้ำไปซ้ำมา ความหมายทั้งหมดก็ยังคงเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ตรัสกับว่าที่เจ้าสาวคนสวยที่ยืนเคียงข้างกันในงานเลี้ยงโอ่โถง แม้ภาพที่เห็นจะไม่ค่อยคมชัดแต่ก็มองออกว่าเธอผู้โชคดีคนนั้นไม่ใช่คนที่มีเชื้อสายเอเชียร้อยเปอร์เซ็นต์ อาจจะเป็นลูกครึ่งลูกเสี้ยวยุโรป รูปโฉมงดงามไร้ที่ติ คู่ควรกับตรัสทุกกระเบียดนิ้วทั้งหน้าตาและราศี ซึ่งความเหมาะสมนี้เองที่ทำให้ผมไม่อาจมองภาพประกอบเนื้อข่าวได้เกินชั่วอึดใจ
ผมสำคัญตัวผิดมาตลอด ทั้งที่เคยคิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์คนหนึ่งในโลกที่รู้จักผู้ชายคนนี้ดีที่สุด แต่แล้วก็เป็นได้แค่คนแปลกหน้า ผมไม่เคยเข้าถึงตรัส ไม่เคยเข้าถึงฐานความคิดที่มีแต่ความลับเต็มไปหมด ตรัสในฐานะผู้ชายคนหนึ่งกับบทบาทความเป็นผู้นำ อีกหน่อยก็ต้องขึ้นรับตำแหน่งประธานรามานุสรณ์จิวเวลรี่ ต่อให้ไม่ใช่ตอนนี้แต่สักวันหนึ่งตรัสก็ต้องแต่งงานอยู่ดี ความสมบูรณ์แบบในชีวิตที่ทุกคนขวนขวาย แต่ปัญหาใหญ่ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก
ผมมีแค่ตรัสทุกลมหายใจเข้าออก ถลำใจผูกขาดอนาคต ถ้าเป้าหมายชีวิตที่ถูกวางไว้คือการเอื้อมให้ถึงผู้ชายคนนี้ แล้วจู่ ๆ กลับมีอุปสรรคขวากหนามที่แหลมคมและสมบูรณ์แบบมากั้นกลาง ผมคงไม่มีความอดทนถึงขนาดนั้นแน่ ท้ายที่สุดแล้วผมไม่อาจรอคอยอย่างนิ่งเฉยเพียงเพราะตรัสบอกให้รอ ก็เลยหันเข้าหาตัวช่วยสุดเบสิคอย่างเสียงเพลงและแอลกอฮอล์
“เท็ต มึงลาเกินเจ็ดวันแล้วนะ แจ้งคุณพีไว้แค่อาทิตย์เดียวไม่ใช่หรือไง” ผมไม่ตอบแต่พลิกตัวนอนหันหลังให้คนที่เพิ่งกลับเข้ามาในห้อง ผมกำลังหวนคืนการใช้ชีวิตรูปแบบเดิม ๆ อย่างนอนกลางวันตื่นกลางคืนเลียนแบบพวกนกฮูกนกเค้าแมว ทั้งที่คิดว่าตัวเองมีความรับผิดชอบมากกว่านี้ ไม่สมควรที่จะทำตัวเหลวแหลกไร้สาระ ผมก็แค่ไม่เข้าใจว่าเรื่องแค่นี้ทำไมตรัสต้องปิดบังกัน ถ้าพูดมาตามตรงผมคงมีเวลาทำใจมากขึ้น หรือแค่รับโทรศัพท์ผมบ้าง...สักนาทีเดียวก็พอ
“กูพอจะเข้าใจว่ามึงรู้สึกยังไง แต่มึงไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว จะมาทำตัวหลักลอยแบบนี้ไม่ได้ อย่างน้อยก็รอให้ตรัสมันอธิบายทุกอย่างให้ฟังก่อน อย่าเพิ่งตีตัวไปก่อนไข้ ตั้งสติหน่อยสิวะเท็ต”
“เออ กูรู้แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ไป”
“ไปไหน”
“ทำงานไง”
“แน่นะ”
“เออ โทรบอกคุณพีแล้ว พอใจหรือยัง หุบปากซะทีจะนอน” ควานมือหยิบหมอนอีกใบมาปิดหูแล้วถอนหายใจ ไม่ว่ายังไงแซนมันก็ยังเจ้ากี้เจ้าการได้ทุกเรื่อง ขาดมันไปก็ไม่รู้ว่าชีวิตผมจะเป็นยังไงเหมือนกัน
ผมไม่ได้โกหกว่าพรุ่งนี้จะกลับไปทำงานตามปกติ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าคืนนี้จะไม่ออกมาดื่มสั่งลาที่บาร์ร้านประจำ นึกเกรงใจที่ได้อยู่ฟรีกินฟรีแล้วยังหนีเที่ยวเป็นกิจวัตร แต่คุณพีระมิดก็ไม่เคยตำหนิด้วยถ้อยคำรุนแรง คงเพราะเข้าใจหัวอกเด็กจบใหม่ที่ยังปรับตัวไม่ได้ทั้งที่เริ่มงานมาเดือนกว่าแล้ว จะว่าไปก็ผิดวิสัยคนปากจัด เจ้าระเบียบ เข้มงวดและเคร่งครัดกับงานอย่างที่ไอ้แซนมันชอบค่อน คิดเข้าข้างตัวเองว่าบุญหนาที่ไม่ต้องมาพบพานคุณพีระมิดในโหมดนั้น
คืนนี้ก็เหมือนทุกคืนที่มีเสียงเพลงจังหวะหนักดังสนั่นไปทั่วร้าน บาร์เทนเดอร์หน้าเคาน์เตอร์ที่กลายเป็นคนคุ้นเคยไปแล้วส่งแก้วค็อกเทลสีสวยมาให้อย่างรู้หน้าที่ ยอมรับตามตรงอย่างปลงตกว่าเป็นคนคออ่อน ถ้าสั่งเหล้าแรงอาจนั่งอยู่ได้ไม่ถึงครึ่งคืน ไม่ล้มลงไปนอนกับพื้นก็คงโดนใครหิ้วปีกไปโยนทิ้งหน้าร้าน
“มาคนเดียวอีกแล้วนะครับ” ผมยิ้มตอบกลับคำทักทาย เคยบอกเขาไปแล้วว่าผมทำงานที่รีสอร์ทใกล้ ๆ ไม่ใช่ว่าเหงาหรือต้องการเพื่อนคุย ดังนั้นเขาจึงต้อนรับตามมารยาทก่อนจะสงบปากสงบคำ ปล่อยให้ผมจมจ่อมความคิดไปกับเสียงเพลง
“ขอนั่งด้วยได้ไหมคะ” เสียงเล็ก ๆ ที่ดังแทรกจังหวะดนตรีทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเจ้าของเสียงเป็นผู้หญิงผิวขาวผมยาวสลวยคนหนึ่งพร้อมรอยยิ้มในดวงตา เธอไม่รอคำอนุญาต ยึดพื้นที่เก้าอี้ข้างผมก่อนจะสั่งค็อกเทลกับพนักงานชงเครื่องดื่ม นึกสงสัยอยู่ว่าจะถามหาความสมัครใจทำไมในเมื่อมันเป็นเคาน์เตอร์ส่วนกลาง ไม่ใช่โต๊ะส่วนตัว มิหนำซ้ำยังมีที่นั่งอีกตั้งมาก อะไรดลใจให้คุณเธอเลือกมานั่งเบียดที่เก้าอี้ตัวติดกันนี่ก็ไม่รู้
“มาคนเดียวเหรอคะ” ผมยิ้มตอบเพราะไม่อยากตะเบ็งเสียงแข่งกับทำนองเพลงสากล ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงตีอกชกหัวอย่างบ้าคลั่งด้วยความดีใจที่มีผู้หญิงเข้าหา แต่เวลานี้ไม่ยักกะมีอะไรดึงดูดสายตาผมได้ดีไปกว่าแก้วเมรัยรสหวานที่อยู่ในมือ รวมถึงคนที่พยายามโน้มหน้าเข้ามากระซิบกระซาบสร้างความสัมพันธ์
“ที่นี่เสียงดังจัง ไปหาที่เงียบ ๆ คุยกัน...แค่สองคน...ดีไหมคะ” ความหมายแฝงในคำพูดเชิญชวนเหล่านั้นไม่ต่างอะไรกับการก้าวขาขึ้นเตียงไปแล้วข้างหนึ่ง คืนนี้ผมมาที่นี่เพื่อฟังเพลงหย่อนใจ แล้วจะลุกหนีเสียงดนตรีไปหาที่เงียบ ๆ ทำบ้าอะไร ทึกทักมานั่งข้าง ๆ แล้วยังรบกวนโลกส่วนตัวของคนอื่นอย่างนี้ ไม่มีเสน่ห์เอาซะเลย ผิดกาลเทศะไปหน่อยนะน้อง
“ขอโทษนะครับ ช่วยเงียบหน่อยได้ไหม ผมกำลังฟังเพลง” ตัดบัวไม่เหลือใยก็เลยได้เห็นปฏิกิริยาตอบกลับที่ผิดกับตอนแรกพบลิบลับ เธอเหวี่ยงทั้งน้ำเสียงและกิริยา สบถหยาบคายก่อนจะสะบัดบั้นท้ายได้รูปเดินจากไป ยอมรับว่าโง่ดักดานที่มีโคนมมาป้อนถึงปากแต่กลับปฏิเสธน้ำใจ ผมยักไหล่ไม่ยี่หระกับรอยยิ้มบางของบาร์เทนเดอร์ที่ร่วมรู้เห็นเหตุการณ์ หลังจากนั้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำที่ดังอยู่ข้างหูก็ทำให้ผมต้องชะงักมือที่กำลังยกแก้วขึ้นจรดริมฝีปาก
“เมินผู้หญิงซะแล้วทัศนัย”
“คุณกัณฑ์ธร!” บ้าน่า ผมอาจตาฝาด เวลานี้กัณฑ์ธร รามานุสรณ์ควรนอนพักผ่อนที่บ้านของเขา ไม่ใช่บาร์ริมชายหาดบนเกาะต่างจังหวัดอย่างนี้ หรือถ้ามีเหตุสุดวิสัยเขาก็น่าจะยังพำนักอยู่ในโรงแรมที่ภูเก็ต ไม่ใช่มายืนเท้าแขนบนเคาน์เตอร์บาร์โดยที่มือข้างหนึ่งคีบบุหรี่ไฟแดงวาบ
“หลงคิดว่านายชอบ...แบบนั้น” เขาชี้นิ้วไปมาบริเวณหน้าอกตัวเองพร้อมกลั้วหัวเราะ แสงเงาสลัวที่ตกกระทบโครงหน้าคมคายทำให้ผมละเลยกลิ่นนิโคตินฉุนจมูก คืนสติอีกทีตอนที่เบี่ยงตัวหลบคนถือวิสาสะโน้มหน้ามาใกล้เพื่อก้มมองเครื่องดื่มในมือ ก่อนจะเห็นด้วยหางตาว่าเขาหยักยิ้มมุมปาก “ฉันกำลังเดาอยู่ว่าคนถือดีที่ชอบดื่มหนักจะเลือกอะไรมาใช้ย้อมใจตัวเอง ที่แท้ก็แค่ค็อกเทลธรรมดา”
“นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเหมือนคราวก่อนใช่ไหมครับ” ผมเลี่ยงที่จะต่อปากต่อคำคนกวนโมโห วางแก้วแล้วลุกขึ้นจ้องหน้าหาเรื่องประหนึ่งตั้งการ์ดพร้อมลงมือลงไม้
“โกรธทำไม ฉันแค่อยากคุยกับนาย”
“ก็เลยรุกล้ำความเป็นส่วนตัว สะกดรอยตามผม”
“ช่วยไม่ได้ นายไม่ยอมรับโทรศัพท์ฉันเอง ถ้าไม่ตามถึงตัวจะรู้หรือว่านายคิดยังไงกับข่าวนั่น อ่านหรือยัง”
“ครับ” ผมตอบเสียงห้วน
“ไม่สงสัยสักนิดเลยหรือว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ใจแข็งเหลือเกินนะ ถ้าเป็นฉันคงกุลีกุจอหาข้อมูลทันที หรือว่าที่ไม่ยอมตามตรัสไปอังกฤษก็เพราะนิสัยหัวรั้นแบบนี้” ก็ไม่รู้ว่าเขาใช้อำนาจบาตรไหนมาวิเคราะห์นิสัยของคนที่ไม่ได้รู้จักมักจี่ แต่ที่แน่ ๆ เขาเดาถูก
“ว่ายังไง ไม่มีคำถามเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นเลยหรือ” ผมเลือกที่จะส่ายหน้า “ไม่สงสัย...หรือไม่อยากรับรู้”
“ผมแค่อยากฟังคำอธิบายจากตรัสเองมากกว่า ไม่ใช่คนอื่น”
“คนอื่น การที่ถูกนายขีดเส้นแบ่งจุดยืนชัดเจนขนาดนี้มันรู้สึกแย่เอาเรื่องเหมือนกัน ฉันเป็นพี่ชายของตรัส อย่างน้อยสายเลือดเดียวกันครึ่งหนึ่งในตัวฉันน่าจะทำให้นายไว้เนื้อเชื่อใจได้บ้าง แต่ถ้านายรู้สึกตรงกันข้ามฉันก็ควรพิจารณาตัวเองใหม่ จริงไหม”
“ไม่ใช่นะครับ ผมแค่...”
“แค่อะไร จะเถียงหรือว่าท่าทีของนายที่ฉันเห็นอยู่นี่ไม่ใช่เพราะมองฉันเป็นศัตรู”
“ก็ได้ครับ อยากพูดอยากบอกอะไรก็เชิญเลย ผมรอฟังอยู่”
“ที่นี่เสียงดังเกินไป กล้าพอที่จะคุยกับฉันตามลำพังไหม หรือถ้านายลำบากใจก็แยกกันแค่นี้” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเดินตามคุณกัณฑ์ธรไปง่าย ๆ ไม่แม้แต่จะฉุกคิดไตร่ตรองว่าผู้ชายคนนี้มีประวัติไม่หล่อเหลาอย่างหน้าตา ผมแค่เกลียดการถูกท้าทาย และดูเหมือนว่าคุณกัณฑ์ธรจะจับไต๋ผมได้ อย่างอยู่หมัดเสียด้วย
ความจริงคือผมไม่อยากใส่ใจ เขาบอกให้ขึ้นรถก็ขึ้น บอกให้เดินเข้าโรงแรมที่พักไปกับเขาก็ทำตามโดยไร้ซึ่งคำถามจุกจิก อยากทักท้วงว่ารีสอร์ทของคุณพีระมิดก็บรรยากาศดี ไม่มีเสียงโหวกเหวกเหมาะแก่การนั่งสนทนา แต่ท้ายที่สุดก็คิดได้ว่ามันคงไร้ประโยชน์ เพราะถึงอย่างไรผมก็ตามคุณกัณฑ์ธรมาจนถึงที่นี่แล้ว พูดไปก็รังแต่จะถูกกล่าวหาว่าขี้ขลาด
ประชดตรัสหรือ ก็อาจจะใช่ แต่ผมค่อนข้างจะมั่นใจว่าคุณกัณฑ์ธรคนนี้ยึดมั่นถือมั่นในเกียรติและศักดิ์ศรี ไม่น่าจะยอมลดตัวลงมาคลุกคลีกับคนอย่างผม สิ่งแรกที่ควรพึงสังวรคือใจแข็งเข้าไว้ ไม่ว่าเขาจะชักจูงจู่โจมด้วยวิธีไหนก็ไม่ควรโอนอ่อนตาม เพราะการที่เดินตามเขาต้อย ๆ มาจนถึงโรงแรมก็ถือเป็นยกแรกที่พ่ายแพ้ย่อยยับเกือบนับสิบแล้ว
ก้าวเข้ามาในห้องพัก ผมได้รับคำถามเกี่ยวกับเครื่องดื่มเป็นการแสดงน้ำใจไมตรี หลังจากที่ตอบไปว่าอะไรก็ได้ก็หลงคิดว่าอาจจะเป็นน้ำดื่มเย็น ๆ ล้างคอสักแก้ว แต่ไม่ใช่ ของเหลวสีอำพันที่คุณกัณฑ์ธรรินมาให้กลับกลายเป็นเบียร์สดแก้วใหญ่พร้อมรอยยิ้ม ยอมรับว่าชะล่าใจเพราะทุกอย่างดูปกติดี ไม่มีคนคุ้มกันรกหูรกตาก็เลยกระดกเบียร์ขึ้นดื่มอย่างใจเย็นจนเหลือเพียงค่อนแก้ว แต่แล้วประโยคที่ได้ยินถัดมาก็เกือบทำให้ผมสำลัก
“ความจริงแล้วแอลกอฮอล์พวกนี้น่ะ ล้างแผลใจให้นายไม่ได้หรอก ทำไมไม่ลองมองหาใครที่รู้สึกกับนายไม่ต่างจากตรัสดูบ้าง”
“อะไรนะครับ”
“นายคงไม่ไร้เดียงสาถึงขนาดไม่รู้ว่าสิ่งที่ฉันกำลังพูดอยู่หมายถึงอะไร”
“ผมเข้าใจครับ เพียงแต่อยากทราบว่าคุณพูดเพื่ออะไร”
“เพื่อทำให้นายตัดใจง่ายขึ้น เพราะถึงยังไงตรัสก็ต้องแต่งงานกับฮันนา” ผมขมวดคิ้วฉับ “ฉันหมายถึงผู้หญิงที่นายเห็นในแท็บลอยด์เล่มนั้น” แล้วในที่สุดผมก็ได้รู้ชื่อของเธอ ผู้หญิงสวยหมดจดที่ยืนเคียงข้างตรัสได้อย่างสง่างาม รัศมีความเหมาะสมที่ทำให้คนอย่างผมสงบนิ่งได้อย่างน่าประหลาดใจ
“อย่าลำบากเลยครับ ขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำ”
“ฉันไม่ได้แนะนำ แต่ฉันเสนอตัว” มือข้างหนึ่งที่สืบเข้าหาอย่างรวดเร็วเกือบจะทำให้ผมปัดแก้วหล่นจากขอบโต๊ะ ถ้าสังเกตจะรู้เลยว่าเบียร์ของคุณกัณฑ์ธรไม่ได้พร่องไปกว่าเดิมสักนิด ผมพลาด พลาดอย่างมหันต์ที่ตามเขามา
คุณกัณฑ์ธรบอกเล่าข้อมูลสารพัดเกี่ยวกับว่าที่คู่หมั้นของตรัส ทั้งเรื่องที่เป็นลูกครึ่งอังกฤษเยอรมัน จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ธุรกิจทางบ้านเป็นคู่ค้ากับรามานุสรณ์จิวเวลรี่มาช้านาน รูปสวยรวยทรัพย์ไม่อับปัญญา ผู้หลักผู้ใหญ่จึงเห็นดีเห็นงามหมายมั่นว่าจะให้ดองกันเพื่อความก้าวหน้าทางธุรกิจและความสมบูรณ์แบบในชีวิต ทั้งนี้ถ้าสืบเชื้อสายกันอย่างละเอียดถี่ถ้วน พวกเขาทั้งสองคนอาจจะเป็นญาติห่าง ๆ กันด้วยซ้ำ นัยว่าเรือล่มในหนองทองจะไปไหน
อย่างไรก็ดี เรื่องที่ผมได้ยินได้ฟังนั้นไม่ได้น่าสนใจน้อยไปกว่ามือแข็งแรงที่ยังพยายามรั้งให้ผมขยับตัวเข้าใกล้ โซฟาขนาดกลางดูเล็กไปถนัดตาเมื่อผู้ชายวัยทำงานสองคนมานั่งเบียดเสียดยื้อยุดกันเหมือนเด็ก ๆ ค็อกเทลหลายแก้วที่บาร์กับเบียร์เหยือกใหญ่ที่เพิ่งดื่มเข้าไปทำเอาหมดแรงจะส่งเสียงห้ามปราม ทำได้ดีที่สุดแค่ส่งสายตาแทนคำร้องขอ
“ที่นายยอมตามฉันมาไม่ใช่เพราะว่าอยากรู้เรื่องคู่หมั้นของตรัสหรอกหรือ” ผมขบริมฝีปากล่างแน่น “ฉันก็บอกทุกอย่างที่นายต้องการแล้ว ไม่คิดจะจ่ายค่าตอบแทนกันหน่อยหรือไง” เงินทองคงไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการเป็นของแลกเปลี่ยน ดูจากสถานการณ์แล้วคงไม่พ้นตัวผมที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบ ทั้งสิ้นคิดทั้งไร้สติ โมโหตัวเองชะมัดเลยว่ะ ถ้าแซนมันรู้ว่าผมหนีมาเที่ยวสั่งลาแถมยังโดนคุณกัณฑ์ธรมอมเหล้า ไม่พ้นโดนมันสวดยับจนหูชาแน่ แต่ก่อนหน้านั้นควรคิดให้ตกก่อนว่าจะรอดพ้นเงื้อมือมารไปฟังไอ้แซนเทศน์ได้ยังไง
“คุณ...คุณธรครับ ผม...” ผมกำลังถูกขืนใจด้วยการจูบ! สำนึกเดียวในเวลานี้คือคลื่นไส้ ปลายลิ้นชื้นที่กระหวัดพันเกี่ยวในโพรงปากคลุ้งกลิ่นแอลกอฮอล์ ทำให้ผมอยากจะสำรอกออกมาทั้งที่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกผู้ชายจูบ ต่างจากตรัสโดยสิ้นเชิง จูบของตรัสไม่หยาบคาย ไม่รีบร้อนเร่งรัด หรือบ่งบอกชัดเจนถึงความต้องการของตัวเองแบบนี้
กัณฑ์ธรไม่ให้โอกาสผมร้องอุทธรณ์ใด ๆ ไม่อนุญาตให้หายใจด้วยซ้ำ ทางเลือกเดียวที่มีคือขบฟันซี่คมไปเต็มรักที่ปลายลิ้นของอีกฝ่าย เขารีบผละถอยไปแต่มือยังบีบแน่นที่หัวไหล่จนผมอุทานเสียงดัง อาศัยจังหวะนั้นลุกพรวดไปยืนพิงบานประตู พอดีกับสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น ผมรีบกดรับพร้อมกับสำเหนียกได้ว่า...เดจาวูชัด ๆ เลยว่ะ
(( มึงอยู่ไหนไอ้เท็ต )) ตายล่ะหว่า นึกถึงโจโฉ โจโฉก็มา ไอ้บ้าแซนตายยากฉิบ
“แซน กู...” ผมเอามือป้องปากแล้วจ้องหน้าคนที่มองตอบมาจากโซฟา “กูอยู่กับคุณกัณฑ์ธร”
(( ที่ไหน! )) เผลอส่งเสียงชู่ว์เพราะกลัวว่าเสียงจากปลายสายจะดังถึงหูคู่กรณี (( มึงไปเจอเขาได้ยังไง ไหนบอกว่าพรุ่งนี้จะทำงาน พอเคลียร์เอกสารเสร็จกลับมาห้องมึงก็หายจ้อยไปอีกแล้ว เท็ต มึงนี่มัน... ))
“เดี๋ยว ใจเย็นก่อน กูขออธิบายหลังจากที่มึงมารับได้ไหม ช่วยมารับตอนนี้เลยเถอะ กูขอร้อง” หลังจากนั้นผมก็บอกชื่อโรงแรมไปพร้อมกับยืนใจตุ๊มต่อมจ้องพี่ชายตรัสไม่วางตา ซึ่งเวลานี้นอกจากจะเสียการทรงตัวแล้วผมก็เพิ่งตระหนักได้ว่าสมองสั่งการช้า หูตาฝ้าฟาง เห็นจุดโฟกัสอีกทีก็ตอนที่คุณกัณฑ์ธรมายืนประจันหน้าพร้อมกับหยักยิ้ม มิหนำซ้ำยังก้มลงมากระซิบชิดใบหู
“ใครโทรมา” ผมส่ายหน้า แปลว่ากูบอกไม่ได้ครับ เพราะถ้าบอกไปกลัวโดนสำเร็จโทษซึ่งคงเป็นอย่างอื่นที่น่าขนลุกมากกว่าการจูบ ดีไม่ดีผมอาจจะหน้ามืดสวนหมัดใส่ปลายคางขาวเนียนแล้วเรื่องมันจะยุ่ง และอย่าหลงคิดว่าผมจะอ่อยเขาด้วยการยืนรอเฉย ๆ โดยไม่ทำอะไร เบื้องหลังลำตัวที่บดบังลูกบิดประตูไว้ ผมพยายามส่งมือไปลองหมุนอยู่หลายครั้งจนมั่นใจว่ามันไม่ได้ถูกล็อคจากด้านนอก ก่อนจะถ่วงเวลารอแซนด้วยการอ้ำอึ้งทำหน้าอินโนเซ้นท์อยู่หลายนาที จนกระทั่งคำพูดต่อมาของคุณกัณฑ์ธรจะทำให้ความหวังของผมพังครืน
“ต่อให้นายตามใครมาช่วย แต่กว่าจะผ่านด่านคนของฉันที่หน้าโรงแรมเข้ามาก็คงเสียเวลาไปหลายนาที ป่านนั้นฉันคงสมใจอยากแล้ว นายว่าไหม” ไม่เอาน่า อย่าล้อกันเล่นแบบนี้สิวะครับ จากที่ทรงตัวไม่อยู่ตอนนี้ผมแทบจะคุมสติไม่ไหว ใครใช้ให้มาเล่นกับคนอย่างกัณฑ์ธร เขาย้ำชัดแล้วแท้ ๆ ว่าอยากได้อะไรต้องได้ ไม่น่าความจำเสื่อมเลยไอ้เท็ต
“คือ...ผม...”
“ฉันไม่อนุญาตให้นายพูดอะไร เก็บเสียงไว้ใช้หลังจากนี้ดีกว่า” โอย พ่อจ๋าแม่จ๋า เกิดมาชาตินี้ไม่คิดไม่ฝันว่าจะโดนล่วงละเมิดทางเพศ ผมมันไม่รักดีที่ริอาจมาเข้าถ้ำเสือ ที่สำคัญเสือหน้าขาวมือเย็นคนนี้มันโคตรเผด็จการ ผมผลักก็แล้วถองศอกก็แล้วแต่ดูเหมือนคุณเขาจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย แถมยังขู่เสียงเข้มว่าถ้าไม่ยอมอยู่นิ่ง ๆ จะทำตรงนี้
ผีบ้านผีเรือนเป็นพยาน ช่วยเอาพี่ท่านไปลงนรกปีนต้นงิ้วสักร้อยปีพันปี!
“คุณธรครับ...ผมเป็นผู้ชาย” ช่วยเตือนความจำให้ เผื่อว่าเขาจะเมาจนเลอะเลือน
“ฉันมั่นใจว่าตรัสรู้ข้อนี้ดี”
“แต่นี่มัน...ไม่เหมือนกันนะครับ” มือเย็นเฉียบตรงข้างเอวเลื่อนไปหยุดที่กลางหลังก่อนจะผลักให้ตัวผมชนกับอกของเขาจนเรียกได้ว่ากระแทก ใกล้มากจนได้ยินเสียงหายใจและมองเห็นความหมายหลายอย่างในแววตาคู่นั้น เหมือนกับมันคือคำเฉลยทุกสิ่ง
“มีอะไรที่ไม่เหมือน ตรัสดีกว่าฉันตรงไหน หน้าตา ฐานะ การศึกษา หรือว่า...”
“ความรู้สึกต่างหากครับ คุณ...ไม่ได้รัก” เขาสบตานิ่ง ไม่ตอบคำ “คุณไม่เคยรู้สึกแบบนั้น คุณแค่ต้องการเอาชนะตรัส ผมพูดถูกไหม”
“แล้วทำไมต้องรัก จำเป็นด้วยหรือ ฉันอยากได้ตัวนายก็เพราะอยากได้เป็นสำคัญ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ข้ออ้างที่จะทำให้ฉันใจอ่อนแล้วปล่อยนายไป ฉันพูดถูกไหม” ยอกย้อน ปากจัด เอาแต่ใจ อย่าให้กูมีอิทธิพลล้นฟ้าลูกน้องล้อมหน้าล้อมหลังแบบนี้บ้างแล้วกัน พ่อจะจับเฉือนเป็นขันทีซะเลย
ผมไม่ขอสาธยายว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น บอกได้เพียงว่ามันน่าอดสูมากสำหรับผู้ชายคนหนึ่งที่ไร้พละกำลังถึงขนาดปล่อยให้คนเห็นแก่ได้มาล่วงเกิน น่าแปลกที่ทุกสัมผัสของเขาทำให้ผมรู้สึกมากกว่าที่เคยรู้สึก ทั้งที่รังเกียจรังชังและไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนี้เลย จนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตูดังสะนั่น กัณฑ์ธรสบถอย่างหัวเสียผละจากโซฟาก่อนจะกระชับเสือเชิ้ตที่หลุดลุ่ยให้เข้าที่เข้าทาง
“ปล่อยเขาซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะโทรรายงานท่านฉัตรพันธ์เดี๋ยวนี้”
“พีระมิด” ผมปรือตามองหาเจ้าของชื่อที่กัณฑ์ธรพึมพำ อยากจะลุกขึ้นนั่งแล้วเอ่ยปากถามเพื่อไขข้อข้องใจว่าเขาสองคนรู้จักกันได้อย่างไร แต่ยังไม่ทันได้ทำอย่างที่ตั้งใจก็รู้สึกได้ว่ามีคนมาพยุงให้ยืนขึ้นก่อนจะพาออกจากห้องนั้นได้อย่างละมุนละม่อมโดยไม่มีเลือดตกยางออก
ได้สติอีกทีตอนที่นอนเอนหลังอยู่ในรถแล้ว ไอ้แซนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอาพร้อมกับกลัดกระดุมให้อย่างประชดประชัน “ก่อนจะทำอะไรคิดบ้างหรือเปล่าวะเท็ต มึงตามเขามาเองใช่ไหม คนอย่างกัณฑ์ธรไม่น่าจะฉุดใครเข้าโรงแรมแน่” ผมไม่ตอบ ได้แต่ทอดถอนหายใจแล้วหลับตาลงอีกครั้ง “นี่โชคดีแค่ไหนที่เขายังไม่ทันได้ทำอะไร กูไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามึงเต็มใจมา”
“เขายังไม่พร้อมจะฟังคุณหรอก อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลย”
“คุณหมายความว่าไง”
“ผมคิดว่าทัศนัยไม่ใช่แค่เมาเหล้า กัณฑ์ธร...น่าจะใช้ยา”
เช้าวันต่อมากลับกลายเป็นผมต้องโดดร่มอีกจนได้ อาการเมาค้างทำให้เส้นเลือดในสมองแข่งกันเต้นตุบตับจนลุกจากเตียงไม่ไหว พอถึงเวลาใกล้เที่ยงได้ยินเสียงท้องร้องโครกครากจนหนวกหูนั่นแหละถึงได้ฝืนยันตัวลุกไปยังห้องครัว ได้น้ำผลไม้ขวดใหญ่มาประทังชีวิตก่อนจะลากสังขารไปจัดการธุระในห้องน้ำ ก้าวกลับออกมาแล้วพบว่ารูมเมทที่วันนี้หล่อเหลาเป็นพิเศษกำลังยืนกอดอกพิงกำแพงด้วยสีหน้าแววตาคาดโทษอย่างไม่ปิดบัง
“ใส่ยูนิฟอร์มทำไม ปกติไม่เคยเห็นใส่” ผมถามไม่ยี่หระ เดินผ่านมันไปแล้วนั่งเช็ดผมที่โซฟา ก่อนคำตอบที่ได้ฟังจะทำให้เบิกตากว้างแล้วสวนคำถามกลับไปทันที
“คุณฉัตรพันธ์มาที่นี่”
“มาทำไม!” ผมจำเรื่องเมื่อคืนได้ไม่ค่อยปะติดปะต่อเท่าไหร่นัก มีเพียงคำถามเดียวที่วนเวียนอยู่ในหัวคือคุณกัณฑ์ธรกับคุณพีระมิดรู้จักกันได้ยังไง จากที่คิดว่าเบลอหนักถึงขั้นหูเฝื่อน แต่สิ่งที่แซนเพิ่งบอกเป็นเครื่องยืนยันย้ำชัดว่าผมฟังไม่ผิด
“คุณฉัตรพันธ์รู้เรื่องมึงกับคุณกัณฑ์ธรแล้ว เขาจะช่วยจัดการให้”
“จัดการอะไร”
“ปัญหาทุกอย่างมันยืดเยื้อเรื้อรังมานานเกินไป จะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว”
“มึงกำลังปิดบังอะไรกูอยู่หรือเปล่าแซน มึงรู้อะไรมา ก่อนอื่นช่วยบอกกูด้วยว่าคุณธรรู้จักกับคุณพีได้ยังไง”
“กูพูดอะไรมากไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ปัญหาของกูคนเดียว เอาเป็นว่าหลังจากนี้กัณฑ์ธรคงไม่มายุ่มย่ามกับมึงอีกแน่ กูสาบานได้...”
“เพราะผู้ชายคนนั้นเขาได้ผู้หญิงที่รักกลับคืนไปแล้ว”▩▩▩
แอบมาแปะตอนดึก ๆ ค่ะ คราวนี้หายไปนานจริง ๆ รู้สึกผิดจนไม่รู้จะพูดยังไงดี
ขอบคุณมาก ๆ ที่หลายคนคอยทวงถามตลอด มีทั้งแบบนุ่มนวลและฮาร์ดคอร์ ♥
ความจริงมีข้ออ้างมากมายว่าทำไมถึงหายไปนาน แล้วท้ายที่สุดแล้วก็ต้องโทษตัวเองว่าขี้เกียจนี่แหละค่ะ ฮือ
อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนนะคะ ขอสัญญาว่าจะแต่งจนจบแน่นอน ยังมีคู่อื่นที่ยังรออยู่ด้วย ช่วยเป็นกำลังใจกันเหมือนเดิมนะคะ
คนอ่าน : หายไปนานแล้วยังจบตอนแบบนี้อีกนะ!! ลิปเอ็ม : แหะ ๆ ขอโทษค่า //วิ่งหนี